เ ห็ น ตั ว เ ร า เ ล็ ก ล ง เ ห็ น โ ล ก ก ว้ า ง ขึ้ น


We get smaller when we get a wider view of the world


ผมเชื่อว่าทุกคนมีสถานที่ในฝัน ว่าสักครั้ง เราจะต้องเดินทางออกไปเยือน

Bromo พอเพื่อนเอ่อปาก ชวนๆกันในกลุ่ม ผมก็รีบตกลงรับคำขอไปร่วมทริปด้วยคัรบ

สถานที่ในฝันของผม ภูเขาไฟที่ว่ากันว่าสวยติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก

แถมพ่วงด้วยแพกเกจทัวร์ไป Kawah Ijen กับ Bali ต่อ คงจะเป็นอะไรที่มันสนุกไม่น้อยเลย

เพราะผมคิดว่า ทริปนี้ต่อเหนื่อยๆแน่ๆ แต่มันก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว

มันเป็นทริปที่เหนือยจริงๆครับ แทบจะไม่ได้นอน

เพราะหลายๆ คน เวลาจะไป Bromo หรือ Bali ก็เลือกที่จะแบ่งเป็น 2 ทริป ซึ่งมันค่อยข้างจะห่างกันระหว่าง 2 สถานที่นี้

อยู่คนละเกาะกันเลย แถมหลายๆคนเลือกที่จะนั่งเครื่องไปลงที่ Surabaya Airport มากกว่า เพราะใช้เวลาเดินทางไป Bromo ไม่นานมาก

แต่ทริปของเรา เลือกที่จะไปลง Denpasar นั่งก็คือเมืองในเกาะ Bali และนั่งย้อนมาเกาะชวา

ซึ่งวันแรกก็กินเวลาอยู่บนรถ 12-13 ชั่วโมง ผมว่ามันก็ดีอย่างนะ ได้ชมวิถีชีวิตของผู้คนระหว่าง 2 เกาะ ซึ่งมันก็ค่อนข้างจะแตกต่างกันบ้าง

ในชวาเราก็จะเห็นมัสยิดตามเส้นทาง ในบาหลีเราก็จะเห็นวัดแบบฮินดู



22-27 มีค ที่ผ่านมา ต้องบอกว่าการเดินทางครั้งนี้ มันเป็นอะไรที่ประทับใจสุดๆครับ กับการเดินทางไปอินโดในครั้งนี้ ที่สุดของที่สุดธรรมชาติเลยก็ว่าได้ หรือแม้แต่อาหาร ผู้คน มิตรภาพดีๆ ที่ผมได้เดินทาง เป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่าแก่ชีวิตมากครับ หากใครเคยไปหรือจะลองไปดู คงประทับไม่ต่างกับผมไม่มากก็น้อยนะครับ ทริปอินโดนีเซีย ครั้งนี้จะไปเที่ยวด้วยกันสองเกาะ คือ JAWA และ BALI เชื่อไหมแค่ข้ามเกาะสองเกาะนี้เวลาก็ต่างกันและ

เพราะอินโดจะมีเส้นแบ่งเวลา 3 ช่วงเวลา ด้วยกัน เวลาที่ JAWA จะเท่ากับกรุงเทพ หรือช้ากว่า BALA 1 ชั่วโมงครับ



แผนการเดินทาง

Day 1 : Bangkok –> Bali

Day 2 : Bali -> Madakaripura -> Bromo

Day 3 : Bromo -> Kawah Ijen

Day 4 : Kawah Ijen -> Bali (Denpasar)

Day 5 : Denpasar - > Nusa Penida - > Kelingking Secret - > Broken Beach

Day 6 : Bali - > Bangkok


ค่าใช้จ่าย

ทั้งทริป ประมาณ 13000 บาท

แบ่งเป็น

1 เครื่องบิน ไปกลับ บาหลี 4800 บาท

2 ที่พัก 3 คืน คนละ 505.46 บาท

3 รถบัสมาบาหลี

4 เรือข้ามฝากไปเกาะ speed boat ประมาณ 1400-1500 บาท

5 ค่าใช้จ่ายไกด์ 4000 บาท ต่อคน รวม

- ตั๋วเฟอรี่

- ตั๋วเข้าชมทั้งหมด

- รถจี๊ปส่วนตัวที่ Bromo

- มอเตอร์ไซค์ที่น้ำตกมาดาการิปุระ

- มัคคุเทศก์ท้องถิ่นทั้งหมด

- หน้ากากป้องกันแก๊สพิษที่ Ijen

6 กินและอื่นๆ อาหารไม่แพง


อุปกรณ์ถ่ายภาพ

Huawei Mate20


เรื่องน่ารู้


- อินโดนีเซีย มันแปลว่า หมู่เกาะอินเดียตะวันออก

- บาหลี เดนปาซาร์(Denpasar) คือเมืองหลัก 3 ล้านกว่าคน มากกว่าร้อยละ 90 นับถือศาสนาฮินดู

- 80% รับวัฒนธรรมจากอินเดีย

- อรรถรสในการเดินช็อปปิ้งที่บาหลี คือต่อราคาสินค้าไปครึ่งราคา

- กาแฟขี้ชะมด กาแฟอินโดขึ้นชื่อติดอันดับโลก คนอินโดนจะนำเสนอด้วยความภูมิใจอย่างมากครับ

- ประเทศอินโดนีเซียอยู่ทางตอนใต้ของภูมิภาคอาเซียน เป็นประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประชากร 260 ล้านคน 87%

นับถือศาสนาอิสลาม แต่คนบาหลี 4 ล้านคน 83% นับถือศาสนาฮินดู

- ติดมหาสมุทรอินเดีย

- ภาษาทางการของบาหลีคือภาษาอินโดนีเซียเช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ในประเทศแต่ชาวบาหลีก็มีภาษาบาหลีเป็นของตัวเอง ซึ่งนอกจากจะพูดต่างกันแล้วยังมีตัวอักษรใช้เขียนของตนด้วย ภาษาบาหลีมี 3 ระดับ คือ แบบไม่เป็นทางการจะใช้พูดกับคนแปลกหน้า และราชาศัพท์ใช้กับราชวงศ์ชั้นสูงและนักบวช

- อินโดนีเซียทรัพยากรมหาศาลกว่าฟิลิปปินส์มาก โดยเฉพาะน้ำมันดิบ

- เส้นทางเดินเรือหลักอีกจุดหนึ่ง สำหรับเรือใหญ่ที่ผ่านช่องแคบมะละกาไม่ได้ต้องมาผ่านที่อินโด

- ขนาดพื้นที่ใหญ่มาก ระยะทางจากเมืองอาเจะห์ะถึงเมืองจายาปูรายาวกว่าเบอร์ลินถึงมอสโก

- เกาะนิวกินี (New Guinea) ประชากรบนเกาะซึ่งเป็นชาวเมลานีเซียน(Melanesian)นั้นมีลักษณะผิวคล้ำ ผมหยิกเหมือนกับชาวกินีในแอฟริกา จึงเรียกเกาะนี้ว่า Nueva Guinea หรือ New Guinea

- เกาะนิวกินีเป็นบริเวณที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นเขตที่มีวัฒนธรรมและภาษาหลากหลายที่สุดในโลก บางหมู่บ้านที่ห่างกันเพียงไม่กี่กิโลเมตร ก็มีภาษาที่ต่างกัน

- เวลาที่จาการ์ต้า กับ บาหลีก็ต่างกันนะคัรบ

แค่นั่งเรือข้ามเกาะบาหลีมาเกาะชวา เวลาก็เปลี่ยนแล้ว

อินโดนีเซีย จะมี 3 เขตเวลา

#เขตตะวันตก (เกาะสุมาตรา ชวา กาลิมันตันตะวันตก) เท่ากับ

GMT+7 หรือตรงกับเวลาประเทศไทย

#เขตกลาง (กาลิมันตันตะวันออก สุลาเวสี บาหลี) เท่ากับ

GMT+8 หรือเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชม.

#และเขตตะวันออก (มาลูกูและปาปัว) เท่ากับ GMT+9

หรือเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชม.


Day 1 : Bangkok –> Bali



การเดินทางในวันแรกเรานัดเจอกันที่สนามบินดอนเมือง ออกจากดอนเมืองประมาณช่วงเย็นๆ ค่ำๆ ไปถึงสนามบินประมาณตีหนึ่ง

ด้วยตั๋วเครื่องบินที่ไม่แพง ประมาณ 4800 บาท เราเลือกนั่งเครื่องบินกันไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติ Ngurah Rai หรือ (Denpasar airport)



จากนั้นเราติดต่อ Agency ที่นั่นก่อนหน้านี้ เขาส่งไกด์มาชูป้ายชื่อต้อนรับถึงสนามบิน เป็นเกียรติอย่างมากครับ ไกด์ของพวกเราขับรถมารับ และแจ้งว่าจะใช้เวลา 13 - 14 ชั่วโมงในการเดินทางสู่ Bromo เมือง Surabaya



มาถึงด้วยความที่หิวมาก เราบะหมี่กิ่งสำเร็จรูปก่อนระหว่างการเดินทางที่ยาวไกลครับ



Day 2 : Bali -> Madakaripura -> Bromo

เริ่มวันที่ 2 กันเลย เวลาตีหนึ่งกว่าๆ หลังจากลงเครื่องและเราจัดการกินบะหมี่สำเร็จรูปไปเรียบร้อย เป้าหมายวันนี้คือจะไปพักที่ Bromo อาจจะใช้เวลาการเดินทางประมาณ 13-14 ชั่วโมง อย่างที่บอกครับ จาก Denpasar เกาะBali นี้ ไกด์จะขับรถพาเราไปที่ท่าเรือ นั่งเรือข้ามฟากไปเกาะ Jawa โดยเวลาที่นี่จะเร็วกว่าเกาะ Jawa หรือกรุงเทพฯเรา 1 ชั่วโมง



แวะเดิมน้ำมันข้างทาง



ถึงท่าเรือข้ามฝาก ประมาณช่วงเวลาตี 5 กว่าๆ ไกด์คนขับรถปลุกเราขึ้นมา การเดินทางเรือเฟอร์รี่ ข้ามไปเกาะชวา ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีได้ ระยะทางไม่ไกลเลย แต่เรือจะใช้เวลาที่ค่อนข้างช้านิดหน่อยครับ



เราสามารถลงไปนั่งข้างล่างได้ ระหว่างที่เรือกำลังวิ่งข้ามฝั่ง จะไปถึงอีกฝ่ังก็จะช่วงเช้าๆ พระอาทิตย์ขึ้นพอดี เวลาที่ Bali กับ Jawa จะเร็วต่างกัน 1 ชั่วโมงนะครับ ฉะนั่นเราข้ามมาเกาะ Jawa เราต้องปรับลดเวลาลง นี่เป็นการเดินข้ามผ่านกาลเวลากันเลยคัรบ 555



จากนั้นเราเดินทางมุ่งหน้าสู่เมือง เมือง Surabaya ที่ตั้งภูเขาไฟ Bromo เราไปพักที่นั่นต่อเลย 1 คืน ในระหว่างทางเราจะแวะพักกินข้าวเรื่อยๆตามจุดต่างๆ แค่บอกไกด์ คนขับรถ เขาก็จะแวะจอดให้เรา ขับไปได้สักพัก 9 โมงกว่าๆ แวะกินข้าว เราบอกไกด์ว่าเราอยากได้อาหารแบบชาวบ้านๆ ที่เขากินกันซึ่งผมไม่กินเนื้อวัว แต่มาประเทศอินโดถึงจะมุสลิมไม่ต้องห่วงเกือบทุกร้านจะมีไก่ทอดขาย เป็นประเทศที่ขายไก่ทอดเยอะเลยทีเดียว



รวมถึงจะใช้ simcard แนะนำให้มาซื้อร้านค้าทั่วไปที่นี่ แต่จะยากในการสื่อสารหน่อยนะครับ เพราะบางทีคนท้องถิ่นไม่ได้สื่อสารภาษาอังกฤษ

ราคาไม่แพงเลยสำหรับ Simcard 6Gb ประมาณ 80 บาท ใช้ได้ 1 เดือน เล่น FB ฟรีครับ มาซื้อที่นี่คุ้มค่า ใช้เรียก Grab ได้ด้วย บางทีก็ยังมีโปรโมชั่น 1 แถม 1 ร่วมกัน Starbuck ด้วยนะ



ระหว่างทาง การขับรถ ถนนหนทาง ก็คล้ายๆกับบ้านเรานะ ที่เมืองไทยเวลาขับรถจะเจอวัดตามทางบ่อยๆ แต่ที่นี่จะเป็นมัสยิดมากมายแทน



สัก 2-3 โมง จะถึง Madakaripura Waterfall เป็นจุดแรกที่เราจะแวะพัก Madakaripura น้ำตกที่มีความสูงประมาณ 200 เมตร อยู่ในหุบเขาลึกใน Probolingo ของหมู่บ้าน Sapih เห็นได้ตามรีวิวทั่วไป มีชื่อเสียงมาก ซึ่งบอกได้เวลาว่าคุ้มค่าแก่การเข้าไปชมมากยิ่งใหญ่และอลังการสุดๆ ทั้งธรรมชาติที่สมบูรณ์ คนไม่เยอะเกินไป เย็นสบายๆ ทางเดินจะเดินเข้าไปในหุบเขาลึกหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงครับ นักท่องเที่ยวอยู่ค่อนข้างปลอดภัย



ไกด์จะขับรถมาจอดบริเวณลานจอดรถ ก่อนเข้าจะไปในหุบเขา ต้องนั่งวินมอไซต์เข้าไป และเดินเท้าเข้าไปสักระยะ ใช่เวลาจากจุดนี้ไปน้ำตกประมาณ 40 นาทีได้







แนะนำว่าให้เตรียมเสื้อกันฝนมาครับ แต่ถึงยังไงก็เปียกอยู่ดี ใส่ชุดลุยน้ำพร้อมเปียกมาได้เลย น้ำตกยิ่งใหญ่มาก ธรรมชาติสดชื่น สวยงดงามจริงๆ คุ้มค่ากับชีวิตจริงๆ (ผมเอากล้องแค่ Huawei Mate 20 มาถ่ายรูปแค่ใส่เคส ไม่กล้าให้โดนน้ำมาก ไกด์ก็ใจดี คอยถ่ายภาพให้เราตลอด เหมือนเขาอยากให้เราช่วยนำเสนอด้วย)



การเดินทางมาน้ำตกไกด์ทาง Agency จะติดต่อเราให้กับไกด์ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่ พาพวกเราเข้ามานะครับ ค่าบริการรวมอยู่ในตอนที่ agency เสนอมาแล้ว แต่ถ้าในอยากจะให้พิเศษกับไกด์ท้องถิ่นก็ได้ครับ

หลังจากเที่ยวน้ำตก Madakaripura แล้ว เราจะรีบไปที่พักที่ Bromo ต่อจากนี้ก็ใช้เวลาไม่นานมากแล้ว



ประมาณ 5 โมงกว่าๆเราก็มาถึง Bromo ถึงที่พัก bromo otix guest house ที่พักดีมาก ราคา 1200 กว่าบาท หาร 4 คน ตกคนละสองร้อยกว่าบาท ได้บ้านทั้งหลังแบบรีสอร์ทมาพักกันเลย ข้อเสียที่พักในย่านนี้เป็นปกติครับน้ำไม่ค่อยไหล ต้องแบ่งช่วงเวลากันนิดนึง โดยรวมถือว่าดีมากๆเลย



ความรู้สึกที่ผมคิดมาตลอดว่า Bromo มันต้องอากาศร้อนแน่เลย แต่ผิดคาดที่นี่หนาวมาก หนาวแบบไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาที่จะรับกับสภาพอากาศแบบนี้เท่าไร หนาวจริงๆครับ อยากให้มาสัมผัส



ชาวบ้านมาต้อนรับพวกเราถึงที่พัก พร้อมนำหมวกไหมพรมกันหนาวมาขาย



มีเรื่องโชคร้ายมาแจ้งก็คือ ไกด์เราบอกว่า ภูเขาไฟเริ่มปะทุเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ใครจะมาลองเช็คช่วงเวลาดีๆนะครับ ยังไม่มีวีแววจะลด เขม่าต่างๆ จากการปะทุภูเขาไฟ เห็นได้ตามบริเวณที่พัก และพรุ่งนี้เราจะไม่สามารถขึ้นไปถ่ายรูปชมความงามบนปากปล่องภูเขาไฟได้ จะได้ถ่ายแค่บริเวณโดยรอบเท่านั้น




ระหว่างนั้นเราทำธุระอาบน้ำเสร็จ เดินสำรวจโดยรอบ พร้อมหาอาหารข้าวเย็นรับประทาน คาดว่าร้านอาหารที่นี่น่าจะปิดไวมาก ด้วยอากาศที่หนาว และพระอาทิตย์ตกอย่างไว



อาหารมื้อเย็นนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ เรียกไม่ถูก หวานๆดี แต่ก็ยังมีส่วนผสมกับไก่ชุบแป้งทอดโรยหน้าอยู่ ซึ่งอาหารการกินผมว่าไม่ต้องห่วงมาก ไม่หนักหนาสำหรับคนไทยครับ อาหารที่นี่โอเครอยู่ครับ



กินข้าวเสร็จก็พักผ่อนต่อไป เก็บแรง พรุ่งนี้ต้องตื่นตี 3 เพื่อเดินทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้น

พรุ่งนี้มาต่อ Day 3 นะคัรบ นอนก่อน ....

Day 3 : Bromo -> Kawah Ijen



ต่อกันวันที่ 3 ของการเดินทางครับ ตีสามแล้ว เพื่อนตะโกนเรียกปลุกสมาชิกทุกคน เตรียมล้างหน้าแปรงฟัน ไม่อาบน้ำนะ เพราะถ้าอาบน้ำคงไม่ไหวแน่ๆ หนาวและเย็นโครตตๆ เตรียมตัวสักพักก็จะมีไกด์ท้องถิ่นขับรถจิ๊บมารับ ไปตามจุดชมวิวต่างๆ โดยรอบ Bromo และไปรอพระอาทิตย์ขึ้นที่ Kingkong Hill



เรานั่งรถจากที่พักมาประมาณ 20-30 นาทีได้มาถึง Kingkong Hill ไกด์พาเราส่งลง ณ จุดลานจอดรถระหว่างไหล่เขา เราออกจากรถหอบเสื้อกันหนาวติดตัวไป เดินขึ้นไปพร้อมกับลมเย็นๆ อากาศที่หนาวๆ จับใจจริงๆครับ แต่การเดินขึ้นเขาเวลานี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ ค่อยข้างเสียพลังงาน เราได้ออกกำลังกายกันไปในตัว ทำให้ร่างกายอบอุ่นไปด้วย ข้างบนมีกาแฟ มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขายไม่ต้องห่วง แต่ราคาก็จะบวกนิดหน่อยไม่แพงมากเกินไปครับ



มีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มขึ้นมา ส่วนใหญ่คนไทยก็เยอะนะครับ บ้างก็มากางเต้นท์นอนดูดาวที่นี่เลย แต่ด้วยอากาศที่หนาวหมอกลงหนามากๆ พร้อมการประทุของภูเขาไฟ ควันเขม่าต่างๆ ทำให้เราต้องผิดหวังกับการรอชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่ผมคิดว่าได้ขึ้นมาก็ยังดี ได้เห็นวิถึชีวิตของชาวบ้านย่านๆนี้บ้าง ที่บางคนก็ทำอาชีพพนักงานขับรถจิ๊บ ขายของ บางคนก็พาม้ามาให้ค่อยบริการนักท่องเที่ยว



ไม่เอาและ เจ็บใจ เดินทางต่อไปลานภูเขาไฟด้านล่างดีกว่า จะได้มีเวลาถ่ายรูปเยอะๆ



สายๆ แดดเริ่มออกมาบ้างแล้ว เวลาหกโมงกว่าๆ เกือบเจ็ดโมง เราก็นั่งรถลงไปด้านล่าง ไปถ่ายรูปลานหน้าภูเขาไฟ พื้นที่มันเต็มไปกองขี้เถ้า เป็นลานกว้างๆสีดำๆเต็มไปหมด สุดลูกหูลูกตา เสมือนอยู่นอกโลกยังไงไม่รู้





ภาพที่สวยงามอยู่ตรงข้างหน้า ราวกับความฝันที่มันกลายเป็นจริง แต่มันยิ่งใหญ่มากๆครับ ผมไม่สามารถบรรยายด้วยภาพถ่ายได้หมดจริงๆ เราไม่สามารถนำความรู้สึกนั้นถ่ายทอดลงในรูปภาพหลายๆใบ ออกมาได้หมด เพราะทุกอย่างมันงดงาม มันมหัศจรรย์ มันเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจจริงๆครับ



ตามที่บอกครับ เรามาโชคไม่ดีเท่าไร เนื่องจากการปะทุของภูเขาไฟ มันไม่ใช่ปัญหาเลย เราเลยเลือกหาจุดภาพถ่ายกับรถจิ๊บเท่ๆซะหน่อย ใครมา Bromo ไม่มีรูปกับรถจิ๊บมันก็ยังไงอยู่นะครับ



ได้รูปเดี่ยวมาคนละช็อตแล้ว ขอรูปคู่ให้คู่รักที่เดินทางมาพร้อมทริปเราบ้าง



ไกด์ขับรถออกมาหน่อย พาเรามีอีกด้านของลานเถ้าถ่านภูเขาไฟ คุณเอ้ย เหมือนหลุดมาอีกโลกเลยครับ

ธรรมชาติมันผิดกัน ไม่น่าเชื่อเลยครับจะมีธรรมชาติที่สมบูรณ์อย่างนี้อยู่ด้านหลังภูเขาไฟอีกที



พื้นที่เขียวขจี เหมาะแก่การจอดรถรับลมชมวิวถ่ายภาพเล่น เราจึงจอดรถตรงนี้อีกจุดหนึ่ง



ครับ

จากจุดนี้ เราต้องกลับไปเก็บของที่พัก เพื่อเตรียมตัวย้อนกลับไป Kawah Ijen ต่อ ค่อนข้างใช้เวลาเดินทางเลยทีเดียว

ระหว่างนั้น เส้นทางที่เราผ่านมันแปลกตามากเลยครับ เราเจอลานกว้างเห็นรถจิ๊บจอดเรียงรายสวยงาม ลานโล่งๆ เหมือนเราหลุดออกมาเที่ยวดาวอังคารสำรวจดาวยังไงยังงั้นเลย



รวมถึงผิดหวังกับตอนเช้าที่ไม่ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น ก็เลยอ้อนวอนไกด์ของเราหน่อย ให้แวะจอดสักจุดมุมสูงๆ ให้เราได้ถ่ายรูปกับภูเขาไฟด้านบนบ้าง



เที่ยงๆบ่ายๆ เราออกจากที่พักที่ Bromo เราเดินทางมุ่งหน้าสู่ Kawah Ijen สองข้างทางเราผ่านทั้งเมือง ทั้งป่าเขา เราเห็นคนอินโดที่น่ารักๆ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ผมกลัวอยู่อย่างหนึ่งคือคนอินโดขับรถค่อนข้างเร็ว และหวาดเสียว คิดจะปาดจะหักจะเลี้ยว ก็กระทันหัน แต่ดูๆ ก็ต้องเชี่ยวชาญคุ้นเคยกับเส้นทางในระดับหนึ่ง ถนนค่อนข้างขับยากในบางจุด



ผมถามไกด์ชาวอินโดว่า ไม่ง่วงบ้างหรา เขามีเคล็ดลับพิเศษของเขา คือภาพข้างล่างเลยครับ



ระหว่างทางก็จอดรถแวะปั้ม หาซื้อกาแฟแก้ง่วงบ้าง ยังไม่ได้ลองกาแฟขี้ชะมลเลยนะ

ทางไป Kawah Ijen จุดก่อนขึ้นเขาเข้าอุทยาน ไกด์แนะนำว่าให้เราเตรียมหาอะไรกินมื้อเย็น จากนี้ข้างบนอาหารค่อนข้างหารับประทานยาก มานี่ยังไม่ได้ลอง KFC เลยนะ พวกเราก็ตามหา KFC มานานชานเมืองไม่เจอสักที พอเห็นร้านไก่ที่ขับผ่านบ่อย เอาร้านนี้ก็ได้ เห็นคนเยอะ ต้องดีแน่ๆ เป็นร้านคล้ายๆ KFC มันน่ากินดี เลยบอกไกด์ว่าเราขอกินไก่ร้านนี้ละกัน น่ากินไหมละครับ อร่อยนะ ผมว่าไก่อินโด รสชาติจัดจ้านดี ราคาไม่แพงด้วย



ราคาไม่แะงเลย คนขายยังน่ารักไปอีก

หลังจากนั้น เราใช้เวลาเดินทางเข้าอุทยาน เข้าป่า ขึ้นเขา ใช้เวลาค่อยข้างหลายชั่วโมง เข้าพักที่ Ljen Volcano Bed N Breakfast เรามาถึงที่นี่ ประมาณสองทุ่มกว่าๆได้ อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ที่พักอยู่ห่างจากจุดเดินเขา Kawah Ijen ประมาณ 20 โลกว่าๆ



ขอส่งรูปที่พักให้ชมนะครับ เป็นที่พักของชาวบ้านที่นี่จริงๆ ตอนแรกไกด์ถามจะนอนนี้กันได้หรา นอนนี่จริงๆหรา เราก็ไม่ได้คิดนะครับ เพราะจองผ่าน airbnb : Ljen Volcano Bed N Breakfast แต่มาถึงขนาดนี้แล้วต้องนอนเอาแรงไว้ก่อน ขอบอกเรามาพักที่นี่เพื่อที่อาบน้ำ เก็บแรงจริงๆ เพราะเราต้องตื่นตี 1 ไปเดินทางขึ้นเขากันต่อ อยากจะพักให้ได้มากที่สุด







ยังไม่จบนะคัรบ พรุ่งนี้มาเล่าใหม่อีก

Day 4 : Kawah Ijen -> Bali (Denpasar)



เช้าวันที่ 4 Kawah ijen ผมแนะนำเลยครับว่ามาอินโดขอให้ฟิตร่างกายให้พร้อมหน่อยนะ พวกเราตื่นเช้าทุกวัน แทบไม่ได้นอน เดินขึ้นเขาตลอด เหนื่อยจริงอะไรจริง มา ijen ก็เช่นกัน ต้องตื่นมาตี 1 เพื่อเดินทางไปชมลาวาที่ไหลออกมาเป็นก๊าซกัมมะถัน จุดที่ ijen คนชอบมา ต้องเดินลงเขาไปยังข้างล่างเป็นเหมืองกัมมะถัน ถ้าร่างกายไม่พร้อมแนะนำว่าอย่าเดินลงไปเลยข้างล่าง ผมก็เกือบตายเหมือนกันนะ มันหายใจไม่ค่อยออก ต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา สุดท้ายต้องถอดออกเพราะหายใจไม่ทัน รวมถึงควันจากก๊าซมะถันโดยรอบ ยังทำให้แสบตา วันนั้นผมน้ำตาไหลทั้งวันเลย ก๊าซที่ประทุออกมา เขาบอกมันก็คือลาวา ต้องมาชมแต่เช้ามืดเพื่อที่จะได้เห็นไฟที่ติดลุกเป็นสีๆ พอสว่างจะมองไม่ค่อยเห็นแล้ว



ถึงจุดที่เป็นลาวาไฟ ประมาณตี 4 กว่า ทางเดินค่อนข้างลื่นพอสมควร และมืดมาก ต้องขอบคุณไกด์นะครับ ที่เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้เราพร้อม สะดวกสบาย และไกด์ก็ยังดูแลพวกเราอย่างดี ให้เราค่อยๆขึ้นลง อย่างมีสติ เกาะกลุ่มกันไปเป็นทีม



จากจุดนี้เสร็จใกล้สว่างหน่อย เราก็เดินขึ้นเขาไปใหม่อีกรอบ เพราะรอชมภาพมุมสูงที่มองลงไปในปล่อง จะเป็นน้ำสีเขียวๆฟ้าๆ เต็มไปหมด พร้อมกับแสงหนาวๆยามเช้า โหมันสวยงาม และล้ำค่ามากๆ มันเป็นภาพที่ทุกคนตั้งตารอ เผยให้เห็นความงดงามธรรมชาติอย่างช้าๆ



คนเยอะพอสมควรนะครับ พักเหนื่อยและหาจุดถ่ายรูปกันได้เลย



ระหว่างทางเดินกลับลงมาข้างล่างยังมีจุดถ่ายภาพรอบๆ ที่สวยงามให้เห็นเป็นระยะๆ

กลับจาก ijen วันนี้หมดหน้าที่ของไกด์จาก Agency ที่เราจ้างแล้ว



ทริปของเรายังยาวไป Bali อีก ความสนุกคือไกด์ขับรถมาส่งเราขึ้นรถบัส รถร้อนๆ รถท้องถิ่น รถบัสจะขึ้นเรือข้ามฝากจากเกาะ Jawa มุ่งหน้าสู่ Bali



รถบัสพาเราข้ามเรือเฟอร์รี่ไปลงท่ารถใกล้ๆเมือง Denpasar และนั่ง Taxi เข้าเมืองอีกที



นั่งรถบัสแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ รถขับเลียบๆ มหาสมุทรอินเดียมาเรื่อยๆ ได้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านๆ จริงๆ

ใน Denpasar มีหาด KUTA ที่ดูแล้วคล้ายๆพัทยา คล้ายๆหัวหินบ้านเรา มีห้างสรรพสินค้า ผับบาร์ ร้านอาหารมากมาย อยากกินอาหารดีๆ จนเลือกไม่ถูก สุดท้าย ลองไปดูอาหารใน food court และจะรีบกลับไปพักเก็บแรงต่อ พรุ่งนี้เรากะว่าจะนั่ง speed boat ข้ามไปเกาะ Nusa Penida



เดินหาข้าวกิน แวะไปที่ห้าง Premiere XX1 Beachwalk พอเห็นเมนู Nasi Babi Guling ดูน่ากินมาก รสชาติถูกปากจริงๆครับ จัดว่าเด็ดอยู่

Day 5 : Denpasar - > Nusa Penida - > Kelingking Secret - > Broken Beach



เช้าวันนี้เราจะข้ามไปเกาะ Nusa Penida นั่ง speed boat ข้ามมาประมาณ 30 นาที ถึงเกาะเราติดต่อเช่ามอไซต์อะไรเสร็จ วางแผนในใจมาเล่นๆแล้วว่า จะเที่ยวสัก 4-5 จุด และให้รีบกลับมาให้ทันข้ามเรือกลับรอบสุดท้าย



จุดแรกที่เราจะไปคือ หลังไดโนเสาร์ Kelingking Secret Point ในรูปของจริงสวยกว่า เป็นล้าาาาาานเท่านะคัรบ มันต้องแลกมาด้วยการขับมอไซต์ประมาณ 15-16 kmใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงทางมันขุระขระ ขึ้นเขาลงเขา ลื่น และลำบากมากกกก เอาเรื่อง ฝนก็ตก



เอ้ย แต่ภาพที่เห็นมันคุ้มค่า มันเหมือนหลังไดโนเสาร์จริงๆครับ เราจะไต่หลังไดโนเสาร์และเดินลงไปข้างล่างก็ได้ ด้วยการเดินเท้าค่อยๆเดินลงโขลดหินลงไป ใช้เวลาเป็นสองสามชั่วโมงไปกลับ



ข้างล่างจะเป็นหาดส่วนตัวที่สวยงาม แต่คลื่นสูงมากกกก เจ้าหน้าที่ต้องเป่านกหวีดเป็นระยะ เพื่อเตือนภัย หาดมันขาว น้ำมันใส มันเขียวมันฟ้า มันสด มันสุด มันดีไปทุกอย่าง คลื่นที่กระทบโขลดหิน เป็นฟองอากาศเป็นคลื่นขาวๆ ตัดกับฟ้านำ้ทะเล มันลงตัวอะไรเช่นนี้



จะไป Broken Beach ดูเวลาแล้วแปปเดียวบ่ายสามแล้ว ต้องกลับไปขึ้นเรือให้ทันรอบสี่โมงครึ่ง เอาวะพอแว้นไปได้ ก็รีบไปกันเลย แต่ทางนี่ก็ทรหดสุดยอดจริงๆ Broken Beach มันเป็นทะเลที่สลับกับโขลดหินซับซ้อนไปมา ตัดกับฟ้าน้ำทะเล อย่างกับภาพีน้ำมัน ที่สร้างสรรค์งานศิลปะเลย นี่มันสรรค์ชัดๆ จุดสุดท้ายมีนี้เรื่องให้ลุ้นเป็นอย่างมาก เวลาที่ต้องเอามอไซต์ไปคืนที่ท่าเรือมีเวลามีถึงชั่วโมง แว้นกันมัน ฝนตกๆนี่แหละครับ ทางก็สุดทน ฝนก็ตก ลื่นล้มอีก ทีนี้ก็มาไม่ทันซิครับ แต่ๆๆๆ คนอินโดใจดี ยังมีเรือรอบ 5 โมงอีกรอบ เขาเปลี่ยนตั๋วให้เราฟรีๆ



สุดท้ายทริปนี้ผ่านไปด้วยดี ขอบคุณเพื่อนๆ ขอบคุณโชคชะตา ที่พาเรามาร่วมเดินทางด้วยกัน ขอบคุณคนอินโดที่น่ารัก ขอบคุณไกด์ ขอบคุณมิตรภาพ ขอบคุณธรรมชาติที่สุดๆ ผมคุ้มสุดแล้ว เกิดมาได้เห็นอะไรแบบนี้ ผมไม่เสียดายเงินเลย มันคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับ เราหาโอากาสการเดินทางดีๆแบบนี้ ที่ไหนจะได้อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมโชคดีผมได้รับมันมาแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่มาผ่าน ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ



รวมถึงแสดงความเสียใจกับไกด์ของเรา หลักจากเรากลับจากทริปมาได้ไม่กี่เดือน ก็ได้รับข่าวว่าไกด์ตานู ที่นำทางพาเราเที่ยวที่ต่างๆในอินโด ได้เสียชีวิต จากไปอย่างสงบแล้ว ขอให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ เราและเพื่อนๆ โชคดีมากที่ได้มาพบกัน ได้สร้างความสุขร่วมๆกัน

Auttapon Nakharaj

 วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.41 น.

ความคิดเห็น