สวัสดีค่ะ เราชื่อ นัท เป็นผู้หญิงตัวเล็ก(เตี้ย)ที่รักการเที่ยวแบ็คแพคคนเดียวเป็นชีวิตจิตใจ เหนือ ใต้ ออก ตกไปคนเดียวหมด แต่นี่คือการตะลุยเดี่ยวนอกประเทศครั้งแรกของเรามันเลยอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไรเท่าที่ควรนักนะคะ
บวกกับการที่การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นแบบฉุกละหุเนื่องจากกก...จริงๆจะไปเลห์แต่ไม่มีใครว่างไปด้วย แป่ววว
ทริปเนปาลประเทศในฝันอีกประเทศนึงจึงผุดขึ้นมานั่นเอง
การเดินทางครั้งนี้จะเป็นตามสไตล์แบ็คแพคเกอร์นะคะ ลุยๆถึกๆทนๆ เลยอาจจะดูไม่ได้สะดวกสะบายสำหรับหลายๆคนนะคะ แต่รับรองว่าโหด มัน ฮา ครบทุกรสแน่นอนค่ะ
ฝอยพอละ ใครมีอะไรอยากถามอยากพูดอยากคุยหลังไมค์มาได้นะคะ ^^
การเตรียมตัว
ตั๋วเครื่องบิน การเดินทางครั้งนี้ของเราค่อนข้างฉุกละหุกเลยไม่ได้เล็งโปรจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าอะไรนานนัก
ทำให้ได้ได้ตั๋วไป-กลับ กรุงเทพ-กาฑมัณดุ ของสายการบินไทยรักคุณเท่าฟ้าาาา มาในราคา13,xxx ซึ่งสายการบินนี้เป็นสายการบินเดียวที่มีบริการบินตรงจากไทยนั่นเองค่ะ
ทัวร์ ทริปนี้เป็นทริปชิวตามใจค่ะ เราเลยเลือกจองทัวร์ไว้แค่ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ซารางก็อตและพาราไกด์ดิ้งที่โพคราเท่านั้นเอง
เงิน เนื่องจากแลกเป็นUSDแล้วไปแลกรูปีเนปาลที่นู่นจะได้เรทที่ดีกว่า เราเลยแลกไปจำนวน 440USDค่ะ (รวมค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ตั้งแต่การเดินทาง โรงแรม ค่ากิน ยันทัวร์และช้อปปิ้งเลยค่ะ) เรทเงินจะอยู่ที่100 ประมาณเท่ากับ 30 เนปาลรูปีค่ะ
เน็ต ไม่ต้องซื้อไวไฟไปนะ ซื้อซิมที่นู่นโลดด ราคาไม่แพง แต่อย่าลืมพกรูปไปด้วยนะคะ
วีซ่า ค่ะ เนปาลต้องทำวีซ่านะ ซึ่งจะสามารถทำได้สองแบบคือ
1.ทำที่สถานฑูตเนปาลในไทย : ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 71(ปรีดีพนมยงค์) ค่าใช้จ่าย 950 บาท วันนี้ทำ วันรุ่งขึ้นไปเอาได้เลยค่ะ
2. Visa on arrival : ทำได้ที่สนามบินตรีภูวันได้เลยค่ะ เวลาทำก็แล้วแต่ดวงว่าเจอคิวยาวขนาดไหนนะคะ 555555
แผนการคร่าวๆ
Day1 : กรุงเทพ - กาฑมัณดุ -โพครา
Day2 : ซางรางก็อต-โพครา
Day3 : บัตตะปูร์
Day4 : ปาฏัน - กาฑมัณดุ
Day5 : กาฑมัณดุ - กรุงเทพ
โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยวมักจะเที่ยวกาฑก่อนแล้วค่อนๆไต่ขึ้นไป
แต่สำหรับเรารีเวิสชาวบ้านเค้าซะอย่างนั้น อย่างที่บอกทริปนี้เป็นทริปชิวตามใจค่ะ แผนสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
เราเลยจะไปที่ที่อยากไปจริงๆก่อนแล้วค่อยๆไล่มานั่นเอง^^
ค่ะ พร้อมแล้วก็ไปกันเลยยยยยยย!
Day1 : การต้อนรับที่ไม่คาดฝันที่เนปาล
หลังจากนั่งเครื่องบินมาเป็นเวลาสามชั่วโมงเต็มๆก็ได้กฤษ์แลนดิ้งลงที่สนามบินนานาชาติตรีภูวัน
ความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัสสนามบินแห่งนี้ก็คือ ...... นี่สนามบินหรือหมอชิตสองคะ!!
ตึกอิฐสีแดงหลังไม่ใหญ่ ไม่มีการตกแต่งอะไรเป็นพิเศษนอกจากศิลปะแบบเนปาลตามมุมเสา
แอร์ไม่มี มีก็แค่พัดลมนับร้อยๆตัวที่พัดหึ่งๆบนเพดาน
สนามบินขั้นนี้ช่างมีความสมถะระดับสิบเหลือเกิน...
แต่เมื่อดูๆไปแล้ว ภาพสนามบินเล็กๆที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาใหญ่ที่สวยงามแบบนี้ก็คล้ายๆกับจะบอกกับเราว่า "เธอไม่ต้องสนใจฉันหรอก ก็ความงามจริงๆอยู่ข้างนอกนนี่แล้วไง"ยังไงยังงั้นเลยนะ ^^
หลังออกจากสนามบิน สิ่งแรกที่ทำคือการซื้อซิมค่ะ
จะมีสองเครือข่ายให้เลือกด้วยกันคือ ncell และอีกหนึ่งที่จำชื่อไม่ได้
เราเลือกของncellมาค่ะ ราคามาตราฐาน รัฐบาลคุมไว้ใจได้เลย 5555
เมื่อได้ซิมแล้วเราก็จะมามุ่งหน้าไปโพครากัน
แต่เนื่องจากวันที่เราไปถึงนั้นไฟท์ไปโพคราเต็มหมดแล้ว แถมรถGreen lineขาประจำของนักท่องเที่ยวก็ออกแค่7โมงเช้าซะด้วยสิ
ทำให้เราเหลือแค่สองช้อยคือ 1.เหมารถไป 2.หาทางไปรถสาธารณะให้ได้
และแน่นอนว่าสาวจากเมืองกรุงอย่างเราก็ต้อง.......ไปรถสาธารณะสิคะ! 555555
จากข้อมูล(อันน้อยนิด)ที่หามาได้ของเราก็พาให้เรากระโดดขึ้นแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าไปที่kalanki ไปขึ้นเจ้าไมโครบัสท้องถิ่นไปโพครากันน (ก็รถตู้น่ะแหละจ้าา)
พรึ่บบบ ทันที่ที่เรากระโดดขึ้นรถตู้ท้องถิ่นนี้เราซึ่งเป็นต่างชาติคนเดียว ณ ที่นั้นก็สัมผัสได้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้จะต้องหรรษาแน่ๆ
และแล้วก็ตามคาดเลยค่ะ ความ"ท่องถิ่น"มาเยือนเรารวดเร็วปานจรวดติดเสือชีต้าห์
...มา เรามาสัมผัสความท้องถิ่นกัน!
"... เอ๊ะ ทำไมข้างประตูรถตู้ถึงได้มีราวเหล็กเหมือนราวโหนรถเมล์นะ?" นี่คือสิ่งที่เราสงสัยตอนมองเห็นเจ้าราวเหล็กราวนั้น
แต่ไม่นานหลังจากนั้น เราก็ได้คำตอบเมื่อรถเริ่มทำท่าที่จะเคลื่อนตัวออกทั้งๆที่ยังไม่ปิดประตู!
ทันใดนั้นผู้ชายคนนึงก็วิ่งมาด้วยความเร็วแสง กระโดดขึ้นรถตู้มาและยืนโหนราวอยู่ตรงนั้น เมื่อรถค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปเขาก็ยื่นมืออกไป พร้อมกับเปล่งเสียงร้องเรียกผู้คนไปตลอดทางว่า "โพคร๊าาาาาา โพครา"
(ถ้านึกภาพไม่ออก ขอให้นึกภาพตามในหนังอินเดียที่เวลาพูดเค้าจะชอบยื่นมือออกไป(ทำไม?) พูดลิ้นรัวๆและโยกตัวนิดๆ ใช่ค่ะ แบบนั้นเลย!)
และใช่ค่ะ เขาคือเด็กรถนั่นเอง
"รถตู้ที่นี่มีเด็กรถด้วยยยย ไม่เคยเจอค่ะ แต่ก็นะเดี๋ยวเค้าคงลงไปมั้ง" นี่คือสิ่งที่เราคิดจากภาพที่เห็น
และความท้องถิ่นอย่างที่สองก็มาเยือนเราแบบรวดเร็วพอๆกัน
"ปังๆๆๆ!" อยู่ดีๆเสียงเคาะข้างรถก็ดังสนั่นขึ้นพร้อมเราที่ตกใจสะดุ้งตามจังหวะเคาะรถ ดึ๋งๆๆๆ
เสียงนั้นเรียกให้เราหันไปมองขวับว่ามันเกิดอะไรขึ้น อุบัติเหตุหรอ?
แต่ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เลย มันคือเสียงเคาะรถของเด็กรถที่เคาะเพื่อให้รถจอดรับคนจากความสำเร็จของเสียงเรียก "โพคร๊าาา โพครา"ตลอดทางของเค้านั่นเอง
.......เจ็บมือบ้างมั้ยพี่ น้องล่ะเป็นห่วงจริงๆ
หลังจากเสียงเคาะนั้น ความท้องถิ่นอย่างที่สามก็ปรากฎต่อสายตาเรา
เด็กรถคนนั้นเองกระโดดลงจากรถที่กำลังชะลอลง พร้อมกับมือที่ยังยื่นออกไปด้านหน้าและเสียง(แขก)ที่ยังคงร้องเรียก(แขก) ตรงดิ่งไปหาผู้กำลังจะโดยสารที่กำลังเดินตรงมาที่รถ
ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ นอกจากพระเจ้าช่วยกล้วยทอดนี่มันหนังอินเดียจริงๆด้วย 5555555
เวลาบ่ายสามโมงหลังจากรถโพคร๊าาา โพครารับผู้โดยสารจนพอใจและเริ่มเคลื่อนตัวออกนอกเมืองสักระยะแล้ว
ก็ได้เวลาเผยโฉมให้เราได้เห็นความท้องถิ่นอย่างที่สี่ และมันคือจุดพักรถนั่นเอง
เป็นความท้องถิ่นที่มีค่ามากเลยว่ามั้ยคะ^^?
หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศความท้องถิ่นไปพอประมาณ
เหตุการณ์ที่เราไม่เคยคาดคิดเลยก็เกิดขึ้น
เจ้ารถไมโครบัสที่เคลื่อนตัวบนทางซิกแซกอ้อมภูเขาระดับพี่สาวเชียงใหม่-ปายที่เคลื่อนตัวมาได้เรื่อยๆนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนตัวช้าลง ช้าลงงง และช้าลงงงงง จนกระมันจอดนิ่งสนิทชนิดที่ไม่ขับยไปไหนเลยเป็นระยะนาน
ใช่ค่ะ รถติด รถติดที่ไหนคงไม่เป็นอะไรเท่าไหร่ ถัาที่นี่ไม่ใช่เนปาล
เพราะรถที่นี่ไม่เปิดแอร์ค่ะทั้งที่ตอนนี้เป็นหน้าร้อนก็ตามที พัดลมก็ไม่มี โอ่ยพระเจ้าช่วยท้องถิ่นสุดดด!
ถามว่าร้อนมั้ย บอกเลยว่าไหม้ค่ะ T^T
และเหตุนี้เองที่ทำให้เราเห็นความท้องถิ่นอีกอย่างของคนที่นี่
นั่นคืออาการพอรถติดปุ๊ป เด็กรถก็เปิดประตูแล้วลงไปเดินข้างล่าง
พอรถจะเริ่มขยับ เด็กรถคนนั้นเองจะรีบวิ่งกลับมาเพื่อกระโดดขึ้นรถ
แต่รถเจ้ากรรมก็ขยับไปได้เพียงนิดเดียวเท่านั้นก็เกิดอาการรถติดอีก
หลังจากรถติดหลายๆครั้งเข้า ผู้คนที่เริ่มจะทนไม่ไหวกับอากาศร้อนก็จะลงจากรถไปเดินข้างล่างตามเด็กรถคนนั้นด้วย
และภาพที่เห็นก็คือ...เมื่อรถจะเริ่มขยับอีกจะแอบได้ยินเสียง เฮ! พร้อมกับก็เสียงตุ้บตับๆจากคนที่เดินลงไปที่กำลังวิ่งกลับมาขึ้นรถ
แต่สถานะการณ์รถติดระดับกรุงเทพชิดซ้ายยยังคงดำเนินต่อไป
ขยับล้อหมุนสามทีแล้วติดอีก แล้วขยับอีกสามแล้วติดอีก คือวนลูปอยู่แบบนี้
นึกภาพตามนะคะ
....รถติด คนเปิดประตูเดินลงไป รถจะขยับ เสียงเฮมา ตุ้บตั๊บๆวิ่งกลับมาขึ้นรถ สองนาทีติดอีก คนเปิดประตูอีก รถจะขยับ เสียงเฮมา ตุ้บตั๊บๆวิ่งกลับมาขึ้นรถ รถติดอีก วนไปวนมาอยู่แบบนี้....
เราต้องอยู่ในกองถ่ายทำหนังอินเดียแน่ๆค่ะ!
สถานะการณ์รถติดยังคงย่ำแย่
และยิ่งแย่ขึ้นไปอีกเมื่อได้ข่าวมาว่ามีดินสไลด์กีดขวางทางจราจรทำให้รถขยับไปไหนไม่ได้เลย
ซึ่งคาดการกันว่า....เที่ยงคืนก็ไม่ถึงโพคราแน่นอน
ยัยต่างด้าวน้ำตาจะไหลค่ะ
เวลาผ่านไปนานแล้วนานอีก จากฟ้าที่สว่างก็ค่อยๆมืดลง มืดลง
สิ่งที่คิดคือต้องมีคนโวยวายแน่ๆ ต้องได้ยินแต่เสียงบ่นแน่ๆ บรรยากาศน่าอึดอัดแน่ๆ
แต่ภาพตรงหน้ามันกลับไม่ใช่
กลายเป็นว่าชาวเนปาลทุกคนกลับพร้อมใจกันดับเครื่องรถ จอดทิ้งไว้อย่างงั้น
บ้างก็นั่งรอในรถ อีกหลายคนก็ออกจากรถลงมาเพื่อนั่งจับกลุ่มคุยกัน ปีนหลังคารถไปนั่งดูวิว ร้องเพลงกัน
ผมตะลึงฮะ ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพแบบนี้มาก่อน
ตอนนั้นเองความท้องถิ่นอีกอย่างก็ปรากฎให้เราเห็น
เมื่อชาวเนปาลคนนึงมาคุยด้วยแล้วชวนเราไปกินข้าวกับกลุ่มพวกเขาระหว่างที่รอรถติด
เท่านั้นไม่พอ มื้อนั้นเขาเลี้ยงค่ะ
แถมด้วยการให้เบอร์ติดต่ออะไรเสร็จสรรพพร้อมกำชับเราหลายรอบมากว่าถึงโพคราแล้วโทรหา
เพราะเค้าจะคุยกับแท็กซี่ให้ บอกว่าแท็กซี่จะได้รู้ว่าคุณมีเพื่อนที่โพครา เขาจะได้ไม่กล้าทำอะไรคุณ
เค้าอยากมั่นใจว่าเราถึงที่พักแบบปลอดภัย
สรุปแล้วคืนนั้นเราถึงที่พักตีสี่ของอีกวัน
กาฑ-โพคราที่ควรใช้เวลาแค่5ชั่วโมง กลายเป็น12ชั่วโมง
แต่สิ่งที่เจอระหว่างทางมันไม่ได้ทำให้เราหงุดหงิดกับการเดินทางครั้งนี้เลย
กลับต้องขอบคุณซะอีก ถ้ารถไม่ติดเราคงไม่ได้เจอความน่ารักแบบนี้
ที่เค้าว่ากันว่าคนเนปาลเป็นคนน่ารัก ท่าทางจะจริง
ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ
Tip เพิ่มเติมกันหน่อยฮะ:"
1. จริงๆจากกาฑไปโพครามีรถนักท่องเที่ยวสาย Green lineไปทุกวันนะคะ แต่มันจะออกเที่ยว7โมงเท่านั้นนะคะ
สามารถบุ๊คกันได้ที่เว็บนี้ค่ะ http://www.nepalbuses.com/?gclid=EAIaIQobChMIju_huoeD1QIVRYmPCh3Xfw0dEAAYASAAEgKQdPD_BwE
2.โพครามีแท็กซี่วิ่ง 24 ชั่วโมงนะ เพราะงั้นไม่ต้องห่วง
3.แท็กซี่ในเนปาล เป็นไปได้ให้ต่อราคาเอาไว้ก่อนเลยค่ะ เค้าไม่เปิดมิเตอร์กันหรอก --"
Day2 : Unseen โพคร๊าาา โพครา
เวลาตีสี่ เราไปถึงโฮสเทลด้วยอาการ ถึงห้องปุ๊ป เขวี้ยงกระเป๋าทิ้ง อาบน้ำแล้วรีบออกมานั่งข้างนอก
เพราะว่าเราได้บุ๊คทัวร์ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ซารางก็อตไว้ให้เขามารับที่โฮสเทลตอน 04.20น. นั่นเองค่ะ
...ทรหดมั้ยล่ะ แต่เพื่อเที่ยวเราทำได้ค่ะ! 555555
เวลา 04.20 นาฬิกาตรงเสียงโทรศัพท์เราก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของไกด์ของเราเอง
หลังจากขับรถกันมาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงจุดชมวิวที่ยอดเขาซารางก็อต
แต่เนื่องจากช่วงนี้ที่เนปาลเป็นฤดูฝนค่ะ ทำให้ฟ้าไม่เป็นใจเท่าไหร่ ทำให้ไม่ค่อยได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเท่าไหร่เลย
แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าหลังจากฟ้าเปิดแล้วมันไม่เสียแรงเลยจริงๆที่ทรหดอดทนมาเพื่อมาอยู่ตรงนี้
เอาล่ะทุกคน ทักทายคุณเอเวอเรสกันหน่อยสิคะ
Tip เพิ่มเติมกันหน่อยค่ะ
1.พี่ไกด์ของเราบอกว่าถ้าอยากเห็นคุณเอเวอเรสแบบเต็มตาๆแล้วล่ะก็ ควรมาช่วงเดือนตุลานะคะ
2.ถ้าจะขึ้นมาซารางก็อต จริงๆหาแท็กซี่ท้องถิ่นในเทืองโพคราแล้วเหมาเค้าไปก็ได้ค่ะ ถูกกว่าซื้อทัวร์เยอะ เชื่อเราเถอะ
3.อย่าหวังว่าจะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นแบบสงบๆนะคะ เพราะบางทีอาจจะทัวร์จีนเพียบเลยจ้าาาา แม่นางนั่งเปิดหนังจีนกำลังภายในเสียงดังลั่นอยู่ข้างบน กรี๊ดดดดT^T
หลังจากทักทายคุณเอเวอเรสกันไปพอเป็นพิธีแล้ว
เราก็ดิ่งกลับมาที่โฮสเทลของเราเพื่อทำการทานอาหารเช้ากันค่ะ
โฮสเทลที่เราพักที่โพครานี่ชื่อว่า "Hostel Kiwi Backpackers" ค่ะ
เป็นMixed Dormพร้อมอาหารเช้า ในราคาสองคืน 12USDเท่านั้นค่ะ
ที่นี่ก็มีเป็นห้องพักเดี่ยวเหมือนกันนะคะ แต่ไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่
ห้องอาหารที่นี่จะลักษณะเป็นเหมือนห้องนั่งเล่น open air โต๊ะวางตั้งเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากันได้
ตรงกับคอนเซ็ปที่เจ้าของโฮสเทลได้เขียนไว้บนกระดานในห้องนั่นเอง "No wifi 8 a.m. - 9 a.m. Talk to each other Human!"
ไม่นานนักอาหารเช้าก็มาเสิร์ฟ และนี่คืออาหารเช้าของเราค่ะ
ความคิดแรกคือ "โอ้โหว Healthyสุดดด แล้วสาวสายนักสะสม(ไขมัน)อย่างเราจะกินได้มั้ยนะ" 55555
แต่ก็อย่างว่าละนะคะ "ไม่ลองเปิดใจคงไม่มีทางได้รู้"
หลังจากการทำใจอยู่สามวิและลองเปิดใจให้แล้ว เราเลยได้ค้นพบว่ามันอร่อยมากกกก
เพียงแค่สิบนาทีผ่านไป ประโยคบนกระดานก็เหมือนประโยคอาถรรพ์
"Hi, Where do you come from?"
หนุ่มตาน้ำข้าวที่นั่งอยู่กับสาวอินเดียที่อีกมุมโต๊ะนึง ตะโกนข้ามโต๊ะมาทักทายเรา
จากการคุยกันสองคน กลายเป็นสามคน สามคนกลายเป็นสี่คน หลังจากนั้นไม่นานคนแปลกหน้าที่มาจากต่างที่ต่างเมือง คนละซีกโลกเกือบสิบคนก็นั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน
นี่เอง มิตรภาพจึงเกิดขึ้น ณ โฮสเทลแห่งนี้ ง่ายๆแบบนี้แหละ
ก็บอกแล้วนี่คะ "ไม่ลองเปิดใจคงไม่มีทางได้รู้"
หลังจากกินอาหรกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เราก็มานั่งพักเตรียมตัวเพื่อทริปต่อไปของเรากันค่ะ
ซึ่งนั่นก็คือ ......แต่นแต๊นน "Paragliding" นั่นเองงง
เนื่องจากที่โพครามีบริษัทพาราไกด์ดิ้งเยอะมากกกก พาราไกด์ดิ้งครั้งนี้เราเลยได้ทำการคุยมาตั้งแต่อยู่ไทยค่ะ เพื่อที่จะได้เปรียบเทียบและหาบริษัทที่ถูกใจที่สุด โดยไม่ต้องมาเสียเวลาคุยที่นี่
และแล้วเราก็จบลงที่บริษัท "Cloud Base Paragliding" ด้วยราคา15000 รูปีนั่นเอง
เวลา 11.20 ตรง สาวชาวเนปาลคนนึงก็ขีบมอไซต์มารับเราที่โฮสเทล ตามที่นัดกันเอาไว้
เวลาเที่ยงนิดๆ เราก็ได้กระโดดขึ้นรถจิ๊บพร้อมกับสตาฟหนุ่มของบริษัทอีกสี่คนเพื่อมุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขาที่เราจะไปทำการบินกัน
"Are you excited?" คุณแรม นักบินของเราในคราวนี้อีกทั้งเขายังเป็นเจ้าของบริษัทCloud Base Paraglidingแห่งนี้ด้วยก็ได้เปิดการสนทนาขึ้นมาระหว่างทางอยู่บนรถ
อยากจะบอกว่า...ไม่ตื่นเต้นก็บ้าสิคะ 555555555
จุดที่เราจะทำการเทคออฟกันนั้นอยู่บนยอดเขาสูง ที่มีลักษณะเป็นทางลาดลงมาค่ะ
เรียกได้มาสะดุดล้มลงไปคือ เจอรานีโมมมมม เจอกันอีกทีตีนเขาเลยนะ บ๊ายบายย
อาจจะฟังดูน่ากลัว แต่ไม่มีอะไรต้องกลัวเลยค่ะ คุณแรมคอยเดินข้างๆดูแลเทคแคร์เป็นอย่างดี พร้อมกับคำแหย่เป็นระยะๆ ว่า"อย่าสะดุดนะ"
ขอบคุณค่ะ ซึ้ง! 5555555
ใกล้ถึงเวลาเทคออฟ คุณแรมก็ได้ทำการอธิบายวิธีการและข้อห้ามต่างๆให้ฟังพร้อมกับใส่ชุดเซฟตี้ให้เราเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเทคออฟ
ใช้เวลาไม่นาน เราก็พร้อมเทคออฟกันแล้วค่ะ
"คุณพร้อมนะ?" "หนึ่ง สอง สาม วิ่ง" "เข้ามาข้างในนนนน!"
ชั่วพริบตาเดียว เราก็อยู่บนท้องฟ้ากันแล้วค่าาาา
ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเมืองโพคราที่อยู่เบื้องล้างกับภูเขาสูงชันที่อยู่เบื้องหลัง
จากความกลัวปนตื่นเต้นที่มีตอนแรก กลายเป็นความรู้สึกสบายใจ ความสุขและความอิสระที่ได้บินอยู่บนนั้น
นี่แหละมั้งสิ่งความรู้สึกที่นกรู้สึกเวลาบินบนท้องฟ้า ^^
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็ได้ทำการแลนดิ้งลงบนทุ่งนาไม่ไกลจากตัวเมืองโพครา
จริงๆแล้วตามที่เราคุยกับทางบริษัทไว้คือบิน40 - 60นาที
แต่เนื่องด้วยสภาพอากาศที่ไม่ค่อยเป็นใจ ทำให้เราบินกันได้แค่ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
"ผมรู้สึกไม่โอเค มันไม่ใช่ตามที่เราคุยกันไว้เลย พรุ่งนี้คุณมาอีกนะ ผมจะพาคุณบินใหม่ ฟรีเลย"
นี่คือสิ่งที่คุณแรมบอกกับเราหลังจากเทคออฟ สิ่งที่เราไม่คิดว่าจะได้ยิน เพราะมันไม่ใช่ความผิดเขาเลยด้วยซ้ำ
แต่ด้วยความที่เราได้ทำการจองตั๋วเครื่องบินกลับกาฑไว้แล้วในวันรุ่งขึ้นจึงทำให้เราไม่สามารถทำตามที่คุณแรมบอกได้
แต่คุณแรมผู้ไม่ยอมปล่อยให้ทริปจบด้วยความผิดพลาดที่เขาไม่ได้ทำจึงโทรมาเจรจากับเราหลังจากส่งเราที่โรงแรมแล้ว
เหตุนี้เองที่ทำให้ไพร์เวท ไบร์ค โพคราทัวร์กับเขาจึงเกิดขึ้น
"คุณจะพาฉันไปที่ไหนคะ"
"บนภูเขาครับ เดี๋ยวคุณก็รู้"
และนี่คือบทสรุปเส้นทางไบร์คทัวร์ของเรา สั้น ง่าย ได้ใจความมากค่ะ 5555555
เอ้า ไปก็ไป
เวลาผ่านไปชั่วนานตาปีบนเบาะหลังมอไซด์ในเส้นทางขึ้นเขาที่ขรุขระยิ่งกว่าผิวพระจันทร์ที่ทำให้เรารู้สึกเด้งยิ่งกว่าลูกชิ้นใส่สารบอเร็กซ์
พร้อมกับคำถามจากคุณแรมที่ลอยมาตามลมเป็นระยะว่า "๋Are You OK?" และ "Don't worry, I'm a good rider"
ค่ะๆ ฉันเชื่อคุณแล้วววว ตั้งใจขับรถไปแล้วไม่ต้องคุยกับฉันนนนน><!
เราก็มาถึงจุดชมวิวบนยอดเขาแห่งหนึ่ง
ที่ที่สามารถมองเห็นเมืองโพคราได้ทั้งเมือง ที่ที่อยู่บนระดับความสูงที่สูงซะยิ่งกว่า" Peace Stupa"ที่อยู่บนเขาเบื้องล่าง ที่ที่มีคนอยู่ข้างบนเพียงแค่สี่คนเท่านั้น ที่ที่เราต้องขอบคุณความไม่เป็นใจของลมธรรมชาติที่ทำให้ทริปนี้เกิดขึ้น
ทุกเรื่องต้องมีทั้งด้านดีและด้านร้ายสินะ ^^
เห็นPeace Stupaใช่มั้ยคะ? นู่นนนนน ทางด้านซ้าย ขาวๆนั่นแหละ
เราอยู่ดื่มด่ำบรรยากาศธรรมชาติที่นั้นไปเป็นเวลาหลายชั่วโมง ภาพตรงหน้าเป็นอะไรที่ชวนอยากให้หยุดเวลาไว้ตรงนี้จริงๆ
"ไปกันหรือยังครับ? เราไปที่อื่นกันต่อเถอะ" คุณแรมถามขณะเรายืนมองตะวันลับขอบฟ้าไป
ห๊ะ ยังมีที่อื่นอีกหรอคะ? ทางแบบนี้ เวลาแบบนี้น่ะนะ
"คุณขับรถได้หรอคะ มันจะค่ำแล้วนะ"
"ได้ครับ แล้วแต่คุณเลย ผมให้เวลาคุณเต็มที่ ผมสบายมาก คุณไม่เชื่อใจผมหรอ?" ตึ่งงง! เอาวะ มาขนาดนี้ละ ไปก็ไป
สิ้นเสียงบทสนทนา เราก็กลับมานั่งเป็นลูกชิ้นใส่สารบอเร็กซ์อยู่บนหลังรถเขาอีกครั้ง ดึ๋งๆๆๆๆๆๆๆ
ทันทีที่ล้อหยุดหมุน "สวยอิ๋บอ๋ายยยย" นี่คือประโยคที่อยู่ในใจเราตอนที่เป็นภาพตรงหน้า
ภาพเมืองโพคราทั้งเมืองที่เปิดไฟระยิบระยับคล้ายทะเลดาวบนดินที่เปล่งแสงแข่งกับดาวนับพันที่อยู่บนท้องฟ้าคั่นด้วยเทือกเขาขนาดใหญ่ และทะเลสาบ
มันเป็นอะไรที่เกินจินตนาการจริงๆ
"คุณๆๆๆ เห็นนั่นมั้ย?"
"อะไรคะ?"
"นั่นไงๆ ไฟกระพริบๆตรงนั้น หิ่งห้อยเยอะเลย คุณเห็นมั้ย"
"จริงด้วยย ฉันเห็นแล้ว สวยจังเลย มันดีจังเลยนะคะ"
ชานมอุ่นๆ บรรยากาศตรงหน้า ความทรงจำดีๆ และมิตรภาพกับคนข้างๆ
ใช่ค่ะมันดีจริงๆ
.....ฉันหมายความว่าแบบนั้นจริงๆนะ
หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศกันไปพอประมาณ
คุณแรมก็ขับรถพาเรากลับมาส่งที่โรงแรม เป็นอันสิ้นสุดทริปของวันนี้
จากความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็กลายเป็นความประทับใจที่ยากจะลืม
ขอบคุณจริงๆค่ะ
หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้คงสงสัยว่าทำไมเรากล้าไว้ใจคนๆนี้ได้ถึงขนาดนั้น
ตอบเลยว่าปล่าวค่ะ เราไม่ได้ไว้ใจเค้าขนาดนั้นเลยต่อให้เค้าแสดงความบริสุทธิ์ใจกับเรามากก็ตาม
แต่ที่เรากล้าไป เพราะเรารู้ข้อมูลเกี่ยวกับเขาค่อนข้างเยอะแล้ว
และที่สำคัญเรารู้จักน้องสาวเค้าค่ะ
เพราะฉะนั้นสาวๆคนไหนก็ตามที่อ่านอยู่ มันอาจฟังดูโรแมนติก น่ารักก็จริง
แต่ถ้าจะทำแบบเราก็ขอให้คุณคิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเป็นหลักนะคะ คิดให้ดีๆคิดให้ถี่ถ้วนก่อน
คุณอาจจะไม่โชคดีเหมือนเราก็ได้ค่ะ
ด้วยความหวังดีนะ
ปล.ทุกวันนี้กับคุณแรม เรายังเป็นเพื่อนกันค่ะ
แค่เพื่อนจริงๆ กรุณาอย่าคิดไปไกลลลลล
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ (-/\-)
Day3: Good Bye Pokhara and Say Hi to You, Bhaktapur
เช้าวันนี้เราตื่นแต่เช้าเพื่อมาเดินเล่นที่ทะเลสาบเฟวาค่ะ
ใช่ค่ะ เดินไป เนื่องจากระยะทางจากโฮสเทลของเราไปทะเลสาบเฟวาเนี่ย มันไม่ไกลเลยจริงๆ
แค่เดินออกมา เลี้ยวขวาแล้วเดินตามทางไปแค่ประมาณ400เมตรเท่านั้นเอง
ทะเลสาปเฟวาเป็นทะเลสาปขนาดใหญ่ของเมืองโพครา
จะว่าเป็นศูนย์กลางเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะที่นี่เราจะได้พบเจอผู้คนที่ออกมาเดินเล่น พายเรือเล่น ออกกำลังกายเป็นกิจวัตรประจำวันกันนั่นเอง
ระหว่างทางเราก็จะได้เห็นชีวิตประจำวันน่ารักๆของผู้คนด้วยค่ะ
เดินเล่นทะเลสาปเฟวากันพอหอมปาดหอมคอแล้ว ถึงเวลาที่เราจะนอกใจโพคราไปหาบัตตะปูร์กันแล้วค่ะ
ว่าแล้วเราก็กลับโฮสเทลไปเก็บของแล้วโบกพี่ซี่ตรงดิ่งไปสนามบินทันที
วันนี้อากาศเป็นใจ เราเลยได้อำลาเมืองน่ารักๆแห่งนี้ด้วยภาพนี้ค่ะ
บินภายในครั้งนี้เราใช้บริการของBuddha airค่ะ
จากโพคราไปกาฑ จะใช้เวลาแค่25นาทีเท่านั้น
ไม่นานนักเราเลยแลนด์ดิ้งถึงกาฑ
ถึงปุ๊ปเราก็ออกจากสนามบินด้วยความไวแสงหาแท็กซี่ไปลงที่ Ratna park bus stationเพื่อต่อรถเมล์ไปลงบัตตระปูร์นั่นเอง
"ยูจะไปไหน บัตตะปูร์ใช่มั้ย ไปแท็กซี่สิเนี่ยฉันให้ราคาพิเศษยูเลยนะ"
ไม่ทันไรเราก็โดนรุมยิ่งกว่าดาราฮอลลีวู้ดนั่งกดินโรตีด้วยท่าตีลังกาจากมหาชนชาวแท็กซี่
แต่แน่นอนค่ะว่าเราต้องใจแข็งและตอบไปว่า ไม่ค่ะ ฉันจะไปแค่นี้ ราคาไม่เกินเท่านี้ ไม่ไปฉันก็ไม่ไปนะ
จนในที่สุดมหาชนชาวแท็กซี่ก็ต้องยอม และได้ไปในราคา500รูปี
....เชื่อเราเถอะว่า เราอยู่ไทยไม่เคยต่อราคาอะไรเลยค่าาา เราทำได้ คุณก็ทำได้ค่ะ5555
เมื่อถึงbus station(ที่หน้าตาเหมือนแค่รถบัสจอดเรียงรายอยู่ข้างถนน)ก็ถามหาคันที่จะไปบัตตะปูร์กันทันที
เสียค่ารถไป40รูปีแล้วก็มาเถอะ มาขึ้นรถกันค่ะ
....พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วยยย ไทยมีรถปลากระป๋อง ที่นี่คงเป็นแกงกะหรี่กระป๋องล่ะค่ะ T^T
"Feel The Local, Dude!"
หลังจากที่เรานั่งเป็นแกงกะหรี่กระป๋องกันไปเกือบชั่วโมง
นั่งมองวิวข้างทาง
......ที่เราอาจจะไม่เข้าใจ หรือว่ามันจะเป็นแฟชั่นของที่นี่
ในที่สุดบรรยากาศข้างทางจากตึกสูงดูทันสมัยก็เริ่มเปลี่ยนเป็นตึกราบ้านช่องสมัยเก่า
ด้วยความไม่แน่ใจเราเลยหันไปถามผู้หญิงข้างๆว่า "Here is Bhaktapur?"
ผู้หญิงคนนั้น : "sdygftui asoifasjkh Blah Blah Blah "
เรา : ".....???......"
สงสัยรัสมีความหน้ามึนของเราจะแผ่กระจายเป็นวงกว้าง
ผู้ชายตรงข้ามจึงพูดขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ " She said you have to wait until last bus stop and they will park infront of the city"
ผู้หญิงคนเดิมข้าง : " Oh, you are not Nepali? I'm sorry, I thought you were Nepali "
เรา : " I look like Nepali? "
ทั้งคู่ : " Yessss "
โอเคคค อยู่เนปาลจนหน้าเหมือนคนเนปาลไปแล้วครับ
แบบนี้ใช่มั้ย เข้าเมืองตาลิ่วต้องลิ่วตาตาม
..แต่คราวนี้สงสัยลิ่วเยอะไปหน่อยแฮะ 55555
ทันใดนั้นรถก็หยุดที่ป้าย(ที่ไม่มีป้าย)สุดท้ายตามที่ทั้งคู่บอก
ถึงแล้วสินะ
นมัสเตบัตตะปูร์!
การจะเข้าไปส่วนภายในเขตตัวตัวเมืองเก่านั้นต้องเสียเงินนะคะ
ค่าเข้าจะอยู่ที่ 1500รูปี สามารถอยู่ได้เจ็ดวัน
เพราะฉะนั้นถ้าใครจะมา แนะนำให้ค้างในนี้เลยนะคะ
ที่พักของเราในครั้งนี้คือ Golden Gate Guest Houseในราคาห้องเดี่ยวหนึ่งคืน9USDค่ะ
มาค่ะ เราจะพาไปที่พักกัน
แล้วไหนล่ะที่พัก
ไหนอ่ะ ไหนนนน?
ค่ะ เราหลง 5555555555
เนื่องจากเส้นทางในตัวเมืองบัตตระปูร์นั่นจะมีลักษณะเป็นตรอกซอกซอยเยอะแยะไปหมด
ตึกรามบ้านช่องจะหน้าตาคล้ายๆกัน มันจึงง่ายมากต่อการหลงนั่นเอง
เดินหลงไปหลงมา ถามทางไปมา เราก็เจอแล้วค่ะที่พักของเรา
กับราคาสามร้อยกว่าบาทต่อคืน ไม่เลวเลยน๊าาาา
ไปค่ะ วางกระเป๋าแล้วเราไปเดินเที่ยวกัน
ในราคา1500ที่เราจ่ายไป เราจะได้รับแผนที่ที่พร้อมบอกรายละเอียดและประวัติจุดสำคัญต่างๆในตัวเมืองด้วยค่ะ
เราก็ใช้เจ้านี่แหละค่ะ กางเดินเที่ยวกันแบบไม่จำเป็นต้องมีไกด์เลย
ไปชมมนต์เสน่ห์แห่งเมืองเก่าเมืองนี้กันเถอะค่ะ
เนื่องจากช่วงที่เราไป มันเป็นหน้าฝนค่ะ
จึงทำให้มีฝนตกบ้าง สภาพถนนที่เห็นจึงเป็นแบบนั้นแหละโยม
ด้วยความซนของเรา เราเลยเดินไปทั่วเมืองชนิดที่ว่าเดินออกนอกเขตเมืองเก่าที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเข้าไปในตัวเมืองกันเลยทีเดียว
แต่ต้องขอบคุณความซนของเราที่พาเรามาเห็นภาพนี้
ถนนยาวสุดลูกหูลูกตา ที่เบื้องหลังเป็นเทือกเขาใหญ่ ขนาบสองข้างทางด้วยตึกสไตล์ศิลปะเนปาลโบราณท่ามกลางผู้คนที่วิถีชีวิตแตกต่างกันไป
เป็นภาพที่สวยจริงๆค่ะ
ไป! เตร็ดเตร่เยอะแล้ว กลับเข้าไปในเขตเมืองเก่ากันเถอะ
จ๊อกก จ๊อกกกกกก จ๊อกๆๆ
และแล้วเสียงท้องเราก็เริ่มดังเป็นวังหวะสามช่า ต้องหาอะไรกินแล้วล่ะ
แต่อะไรล่ะ? นั่นน่ะสิ เดินออกนอกถนนหลักมาไกล(อีกแล้ว)ด้วย
มองซ้าย มองขวา อ๊ะ นั่นแสตนขายอาหารนี่นะ
ด้วยความห้าวหาญบ้าบิ่นของเราเอง ไหนๆก็ Touch the localมาเยอะแล้ว เอาให้สุด เดินเข้าไปเลยค่ะ
"มีอะไรแนะนำมั้ยคะ"
และนี่คือสิ่งที่เราได้มา
ลักษณะเส้นจะเป็นเส้นคล้ายๆสปาเก็ตตี้ผสมขนมจีน ผัดด้วยเครื่องเทศสไตล์เนปาล ไข่เจียวทอดสไลด์ และเนื้อไก่
คือมันอร่อยมากกกกกเลยค่ะ ให้ตายเถอะพระเจ้าจอร์จ 55555555
ยิ่งกินกับน้ำอัดลมที่สั่งมา อื้อหือ โอเคแฮะ
และค่าเสียหายมื้อนี้ทั้งหมดแค่ 100 รูปีเท่านั้นค่ะ
ไปค่ะ เดินกันต่อ
และแน่นอน เราเข้าซอกอีกแล้วค่ะ 5555555
และแน่นอนค่ะว่ามันทำให้เราได้เห็นวิถิชีวิตจริงๆของคนที่นี่แบบนี้
...เขายังตักน้ำจากบ่อกันอยู่นะคะ คลาสสิกมากกก
เดินเล่นจนค่ำก็ได้เวลากลับห้องไปนอนเอาแรงกันแล้วล่ะค่ะ
เจอกันวันต่อไปนะบัตตะปูร์
Day4 : อรุณสวัสดิ์บัตตะปูร์ สวัสดีปาฏัน กาฑมัณดุ
เช้าวันนี้เราตื่นมาตั้งแแต่ยังไม่หกโมงค่ะ
ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ถ้าเราอยากเห็นวิถีชีวิตที่แท้จริงของผู้คนแล้วล่ะก็ เราต้องดูตอนไม่มีนักท่องเที่ยวค่ะ
แต่ในเมืองท่องเที่ยวแบบนี้ จะมีตอนไหนล่ะที่ไม่มีนักท่องเที่ยว?
ก็ตอนเช้าตรู่แบบนี้ไงคะ
เพราะเราเชื่อว่าวิถีชีวิตที่แท้จริงของผู้คนในแต่ละที่มันมีเสน่ห์ที่ต่างกันไป และคุ้มค่าต่อการได้สัมผัส
ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เราเด้งออกมาจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งๆที่เพิ่งอดนอนไปเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว
...บอกแล้วค่ะ เพื่อเที่ยวฉันทำได้ 555555
เวลาหกโมงนิดๆ เราออกมาเตร็ดเตร่ในถนนท่องเที่ยวสายหลักของย่านเมืองเก่าแห่งนี้
เมืองยังคงสภาพเดิม แต่ที่แตกต่างกันออกไปคือภาพชาวบ้านที่ออกมาเดินจับจ่ายใช้สอย มาทำบุญ มาออกกำลังกาย
ไม่มีไกด์ท้องถิ่นคอยเรียก ไม่มีแท้กระทั่งนักท่องเที่ยวสักคน มีก็แต่ความสงบ
ใช่ค่ะ เราเป็นนักท่องเที่ยวคนเดียวที่นี่ตอนนี้เลย
มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆนะ
ภาพนี้เป็นวิวจากบนดูบาร์สแควร์ยามไร้นักท่องเที่ยวหลังจากคืนที่ฝนเพิ่งตกมาหมาดๆค่ะ
เป็นความสวย และความสงบที่ทำให้เรานั่งอยู่บนนั้นนานมากกกก ไม่อยากไปไหนกันเลยทีเดียว
ในเมืองที่มีฮินดู 80% แต่ได้เห็นภาพแบบนี้ก็น่ารักดีนะคะ
หลังจากนั่งกลิ้งนอกกลิ้งคิดมาทั้งคืนแล้วว่าเราจะไปปาฏันดีมั้ยเนื่องจากเวลาเรามีค่อนข้างน้อย
เสียงลึกๆในใจก็บอกเราว่า"มาแล้วต้องไปให้ถึงสิ" และแน่นอนเราเชื่อมันค่ะ
ดังนั้นเวลาเกือบๆแปดโมงเราตรงดิ่งกลับโรงแรมไปเพื่อคว้ากระเป๋าตรงไปปาฏันกัน
แต่จะไปยังไงล่ะในเมื่อมันไม่มีรถตรงบัตตะปูร์-ปาฏัน หาจากเน็ตก็ไม่มีบอกซะด้วย? นั่นสิ
หลังจากการสอบถามจากพนักงานโรงแรมแล้วจึงได้คำตอบมาว่าการจะไปปาฎันนั้นทำได้สามทาง คือ
1.นั่งรถเมล์กลับไปกาฑ ต่อรถเมล์หรือแท็กซี่จากที่นั่นเพื่อไปปาฎัน ซึ่งจะมีรถวิ่งตลอด
2.นั่งรถเมล์จากที่นี่ไปลงที่อีกเมือง แล้วนั่งรถอีกสายจากตรงนั้นไปลงปาฏัน ซึ่งมันค่อนข้างจะอ้อมโลก ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ และรถไม่สม่ำเสมอ
3.เดินออกไปนอกเขตตัวเมืองเก่า เหมาพี่ซี่จากตรงนั้นไปปาฏัน
ซึ่งตัวเลือกที่สองเราทำการตัดทิ้งทันทีค่ะ เพราะด้วยเวลาที่จำกัด มันไม่เพียงพอให้เราสนุกไปกับการหลงทางได้ขนาดนั้น
เราเลยเดินออกนอกตัวเมืองไปเพื่อลองเจรจากับพี่ซี่ดู เผื่อจะได้ราคาที่ตรงใจ
และ 1000รูปี คือราคาที่ออกมานั่นเอง
จริงๆก็ถือว่าไม่แพงนะ ถ้าเทียบกับการซื้อความสะดวกสบายและเวลา
แต่ด้วยความที่เป็นสาวสายลุยของเรา บวกกับรถเมล์ที่วิ่งผ่านมาพอดี เลยทำให้เรารีบกระโดดขึ้นไปเลยค่าา
หนูขอโทษค่ะ พี่ซี่T^T
ใช้เวลาไม่นานรถเมลล์ก็วิ่งกลับมาถึงกาฑ
ฉละที่ที่เราไปขึ้นรถเพื่อต่อไปฏาทันก็คือ Ratna park bus stationที่เดิมนั่นเองค่ะ
...อารมณ์คงคล้ายๆวินรถตู้อนุสาวรีย์บ้านเรามั้ง? 555555
เนื่องจากปาฏันอยู่ไม่ไกลจากกาฑมากนัก ค่ารถจึงเบาๆอยู่ที่ 20รูปีค่ะ
ประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงปาฏันกันแล้ววววว
สวัสดีค่ะ Dr. Strange คุณอยู่ที่ไหนนนน
ใช่แล้วค่ะ เมืองปาฎันแห่งนี้นี่แหละที่เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักในภาพยนต์เรื่อง Dr. Strange
วันนี่เราจะมาตามหาเค้ากันค่ะ
เวลา10โมงนิดๆ รถที่เรานั่งมาก็มาจอดบริเวณหน้าจตุรัตดูบาร์แสควร์พอดี
"โอ้โห สวยจังเลย"
อันนั้คือ Taleju Bell ที่ตั้งอยู๋ภายในบริเวณดูบาร์แควร์ค่ะ
เค้าว่ากันว่าคนเนปาลเป็นคนอัธยาศัยดี ขี้เล่น โอเคค่ะพ่อคุณ ฉันเชื่อคุณแล้ว 55555
ภายในวัด Golden Temple วัดพุทธสุดสวยแห่งเมืองปาฏันค่ะ
สภาพตัวมืองปาฏันที่ตึกราบ้านช่องจะเป็นลักษณะนี้ทั้งเมือง
คลาสสิกมากก สวยมากกก Dr. Strangeมากกกกก
ตัวเมืองปาฏันเป็นเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่ค่ะ ทำให้ใช้เวลาเตร็ดเตร่อ้อยอิ่งเพียงแค่ 3 ชั่วโมงก็ชมความงามทั้งเมืองได้แล้ว
และเนื่องจากเมืองปาฏันแห่งนี้ได้รับผลกระทบเต็มๆจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปีที่ผ่านมา
ทำให้สถาปัตกรรมส่วนนึงยังคงอยู่ในขั้นตอนบูรณะซ่อมแซมอยู่
ภาพปาฏันฉบับเต็มก่อนแผ่นดินไหวค่ะ
ซึ่งจากการสอบถามจากชาวบ้านทำให้ได้รู้ว่า อาจจะใช้เวลามากถึง2ปีในการบูรณะซ่อมแซมสถาปัตกรรมทั้งหมด
แน่ล่ะ ก็ทุกอย่างทำด้วยมือกันแบบนี้นี่นะ
นี่ล่ะมั้งที่ทำมให้เวลาสองปีมันช่างดูคุ้มค่ากับการรอคอย
สงสัยอีกสองปีต้องเจอกันใหม่นะคะปาฏัน
หลังจากเดินอ้อยอิ่งปาฏันกันหนำใจแล้ว เราก็กลับกาฑกันเถอะค่ะ
การเดินทางหรอ? มายังไงก็ไปแบบนั้นล่ะค่ะ
เวลาบ่ายสองนิดๆ เราก็มาถึงกาฑกัน
หลังจากลงรถเมล์ไม่รอช้า รีบหาแท็กซี่ต่อไปธาเมลเพื่อไปเช็คอินที่พักของเรากันทันทีค่ะ
ซึ่งที่พักของเราครั้งนี้นั้น ก็คือfireflies hostel ในราคาหนึ่งคืน 500 รูปี เป็นmixed dorm สี่เตียงเช่นเคยค่ะ
ถึงที่พักก็สไตล์เดิมค่ะ วางกระเป๋า อาบน้ำอีกสักรอบแล้วออกไปเที่ยวกัน
ที่ที่เราจะไปต่อไปคือที่ที่ทุกคนต้องไปเมื่อไปเนปาล ซึ่งนั่นก็คือ Boudhanath Stupa นั่นเองค่ะ
ไปยังไงน่ะหรอ? เวลาไม่เข้าใครออกใคร น้องต้องโบกแท็กซี่แล้วค่ะ 55555
และค่าเสียหาย 300 รูปีถ้วนก็พาเรามาถึงหน้า Boudhanath กันแล้วค่ะ
เนื่องจากว่ามีชาวเนปาล 80 % ที่เราพอเจอและได้คุยด้วยต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า
"นึกว่าคุณเป็นคนเนปาล หน้าคุณเหมือนคนเนปาลมาก"
ด้วยนึกความสนุก เราเลยจัดการซื้อจุดท้องถิ่นแบบสาวเนปาลมาจากปาฎันหนึ่งชุดและใส่มันมาเที่ยวที่นี่ซะเลย
ไหนๆเค้าก็บอกว่าเราเนปาลแล้ว ก็เนปาลกันให้สุดๆไปเลยยย
ปลอมตัวเป็นคนท้องถิ่นสักวัน มันน่าสนุกดีออกเนอะ^^
ที่Boudhanathแห่งนี้ ต่างชาติจะต้องเสียค่าเข้า 100รูปี นะคะ
และด้วยความที่ป้อมขายตั๋วตั้งอยู่ที่มุมนึง บวกกับหน้าและการแต่งตัวแบบคนท้องถิ่นของเรา
ทำให้เราเดินเข้ามาเฉยๆได้แบบไม่โดนเรียกเก็บตั๋วเลยจ้าาาา
นี่สินะเครื่องการันตีว่าเรา"เนปาล" จริงๆ 55555
(สาบานว่าเรามองไม่เห็นจริงๆ มันไม่ดีนะคะ พ่อแม่พี่น้อง อย่าเอาเป็นแบบอย่าง แหะๆุ^^")
มาค่ะ เรามาเดินเที่ยวข้างในกันน
ซึ่งภายใน Boudhanath เองก็จะมีร้านค้า ร้านอาหาร และโฮสเทลอยู่รายล้อมเต็มไปหมด
เหมือนเมืองย่อมๆเมืองนึงกันเลยล่ะค่ะ
ถ้าใครมีเวลานะคะ เราแนะนำให้มาค้างด้านในนี้สักคืน
ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกในบรรยากาศนี้มันจะเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆเลยนะ
เชื่อเราเถอะ ^^
เธอเห็นท้องฟ้านั่นมั้ยยย มืดมาเลยจ้ะ --"
ที่ไทยมีเคาะระฆังขอพร ที่นี่ก็มีหมุนระฆังยักษ์ขอพรค่ะ
ตอนเราไป มันจังหวะดีมากๆ ทำให้เราได้เห็นพิธีสวดฉบับชาวเนปาลพอดี
ที่จะมีทั้งการเป่าแตรยาว ฆ้อง การทำพิธี และการสวดที่เป็นเอกลักษณ์
เป็นอะไรที่ดูมีเสน่ห์ เป็นเอกลักษณ์ และมีมนต์ขลังมากๆค่ะ
แต่น่าเสียดายที่ ณ ที่ทำพิธี เค้าไม่ให้ถ่ายรูปค่ะ เลยนำมาให้ดูกันไม่ได้
ก็อย่างที่บอกค่ะ ต้องมาสัมปัสด้วยตาตัวเองจริงๆ ^^
เรามาต่อสถานที่ต่อไปกันน
ที่ที่เราจะไปต่อนั่นคือ Swayambhunath Temple นั่นเองค่ะ
แท็กซี่เหมือนเดิม คราวนี้โดนไป 450 ด้วยความที่มันค่อนข้างไกลค่ะ
เวลา5โมงเย็น ใช้เวลาไปประมาณ 40 นาที เราก็มาถึงที่หมาย
ด้วยความที่วัดแห่งนี้อยู่บนภูเขาสูง สามารถมองเห็นเมืองกาฑมัณดุได้ทั้งเมือง
เลยทำให้ที่นี่เป็นที่ที่เราเลือกมาในตอนเย็น
ใช่แล้วค่ะ เราจะมาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่กัน
แต่ก่อนที่จะขึ้นไปได้นั่น ป่ะ ขึ้นบันไดสูงลิ่วกันก่อนนะคะ T^T
ก่อนทางขึ้นค่ะ
อื้มม มันก็ไม่สูงเท่าไหร๊ ไม่เหนื่อยเท่าไหร่เล๊ยยยยยย T^T
ข้างบนก็จะมีเจ้าจ๋อเต็มไปหมด
แบบนี้ล่ะค่ะ เค้าถึงเรียกว่า "วัดลิง"
แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เจ้าพวกนี้ไม่ดุเลย ถ้าคุณไม่ไปรังแกเค้า
นายแบบของเราหล่อมั้ยคะ 5555
มีช่วงนึงที่บังเอิญจังหวะดีมากค่ะ ฟ้าเปิด แดดสาดเปรี้ยงมา
เพียงแค่แปปเดียวเท่านั้น แต่นี่คือสิ่งที่เห็น
" Called it Magic "
วิวเมืองกาฑมัณดุเมื่อมองจากด้านบนค่ะ วิวสวยๆ ลมเย็นๆ ไม่อยากลงกันเลยทีเดียว
...ถ้าไม่ติดว่าน้องเมฆมาอีกแล้วนะ T^T
เราเลยจำเป็นต้องทำการหยุดเที่ยวของวันนี้เพียงเท่านี้ค่ะ ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เหลือเวลาอีกนิดหน่อยเนอะ
Day 5 : Good Bye Nepal
หลังจากเรานั่งกลิ้งนอนกลิ้งมาทั้งคืนแล้วว่าวันนัเราจะไปไหนได้มั้ย
ด้วยเวลาที่จำกัด เนื่องจากว่าเราต้องเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมก่อน 10 โมง เพื่อไปให้ทันเที่ยวบินกลับกรุงเทพ เวลา 13.00ค่ะ
ทำไมต้องเผื่อเวลานานขนาดนั้นน่ะหรอ
คุณคะ กาฑเนี่ย ถ้าพูดถึงเรื่องรถติด เรียกได้ว่าพี่กรุงเทพเลยนะ
แต่ด้วยความพยาม(อยากเที่ยว)ของเราเอง คำตอบที่ได้คือ ได้ค่ะ เราจะไป!
เช้าวันนี้เราเลยตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า(อีกแล้ว) เพื่อเดินไปจตุรัตดูบาร์แห่งกาฑมัณดุกัน ระยะทางก็ประมาณ 800 เมตรค่ะ
แต่เนื่องด้วยเมื่อคืนฝนตกหนักประกอบกับมีเส้นทางบางส่วนที่ทำการก่อสร้างอยู่
เลยทำเราได้พบความ adventure of the life time แบบนี้กันเป็นระยะๆนะครับบ
ใช่แล้วค่ะ เราเป็นแฟนคลับColdplay 55555
ถ้ามองให้มันสนุก มันก็สนุกนะ 55555
หลังจากเดินๆโดดๆประหนึ่งว่าตัวเเองอยู่ในเกมกันไปพอสมควรแล้วเราก็มาถึงดูบาร์ สแควร์แห่งกาฑมัณดุกันค่ะ
ซึ่งใกล้ๆบริเวณดูบาร์ ก็จะประกอบไปด้วย
Hanuman Dhoka, Degutale Temple, Taleju Mandir, Nasal Chowk,
Nine storey Basantapur Tower, Panch Mukhi Hanuman Temple, Mul Chowk,
Mohan Chowk, Sundari Chowk, Tribhuvan Museum, King Mahendra Memorial Museum และ Kal Bhairab temple
เรียกรวมๆกันว่า "World heritage site" แห่งกาฑมัณดุนั่นเองค่ะ
...และแน่นอนค่ะ ค่าเข้า1000รูปีสำหรับชาวต่างด้าวอีกแล้ว
ไปค่ะ เดินชมรอบๆกัน
มีความ "นก" เยอะมากกก 5555555
หลังจากเดินเที่ยวจนเพลิน เหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลาเกือบสิบโมงแล้วค่ะ ได้เวลาแล้วสินะที่เราต้องกลับไปเช็คเอ้าเพื่อเตรียมตัวกลับไทย
ส่วนค่าแท็กซี่จากการสอบถามจากพนักงานที่โฮสเทลแล้ว
จะอยู่ที่ 500 - 600 รูปีแล้วแต่ฝีมือในการต่อราคานะคะ
ถ้ามีโอกาส เจอกันใหม่นะเนปาล<3
สรุปค่าใช้จ่ายค่ะ
ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ : 13,5xx บาท
ค่าแท็กซี่ : 300 + 450 + 300 + 500 + 500 = 1750 รูปี
ค่าเข้าชมสถานที่ : 1000 + 1000 + 1500 = 3500 รูปี
ค่ารถเมล์: 40 + 40 + 20 + 20 = 120รูปี
ค่ารถไปโพครา : 600 รูปี
ค่าโรงแรม : 9 + 7 +12 = 28 USD
ค่าแพคเกจทัวร์ : 30 + 145 = 175USD
ค่าตั๋วเครื่องบินภายใน : 120USD
สรุปแล้ว 440 USDของเราา เที่ยวเนปาลได้สบายๆเลยค่าาา
บทสรุปการเดินทาง
ถ้าคุณเป็นคนรักความสบาย ชอบอะไรสะดวกๆ อนามัยจัด
ตัดเนปาลออกไปเถอะค่ะ ประเทศนี้ไม่เหมาะกับคุณ
แต่ถ้าคุณเป็นคนลุยๆอยู่ง่ายกินง่าย เปิดใจ ชอบความท้ายทายความแปลกใหม่
รักธรรมชาติและหลงใหลในศิลปะวัฒนธรรม หรืออยากเปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้ชีวิต
มาเถอะค่ะ คุณจะพบว่าประเทศนี้คุ้มค่าต่อการมาเยือนสักครั้งจริงๆ
แล้วมันก็กลายเป็นความทรงจำดีๆที่คุณจะลืมไม่ลงเหมือนที่เราเป็น <3
สุดท้ายแล้วถ้ามีคำถาม คำแนะนำอะไร หรือว่าอยากพูดคุยกัน
แวะมาหากันได้ที่เพจ https://web.facebook.com/InTheCornerOfThisWorld/ นะคะ
ขอบคุณมากเลยค่ะ
In The Conner of This World
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 13.15 น.