“ใบไม้เปลี่ยนสี” ทางเลือกใหม่ไฉไลกว่าเดิมที่ “ป่าหูหยาง”
หูหยาง : เกิดพันปีไม่ตาย > ตายพันปีไม่ล้ม > ล้มพันปีไม่เน่า
ผมได้ยินชื่อนี้ครั้งแรกจากพี่คนหนึ่งที่รู้จักกัน แนะนำผมว่า …
“แพททำทัวร์ไปดูป่าหูหยางเปลี่ยนสีสิ ยังไม่ค่อยมีคนทำ คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก มีแต่พวกกลุ่มช่างภาพที่ Backpack ไปกันเอง ซึ่งก็น้อยมาก ๆ”
จากนั้นผมก็ลองค้นหาข้อมูลดูว่า ป่าหูหยางมันคืออะไร พอได้เห็นรูปเท่านั้นแหละ … ผมคิดในใจทันทีว่า ผมจะต้องทำทัวร์ไปที่นี่ให้ได้ เพื่อให้คนไทยได้ไปเห็นภาพสวย ๆ ด้วยตาตัวเองมากขึ้น
ผมพยายามติดต่อคู่ค้าที่เมืองจีน เพื่อพาผมไปสำรวจเส้นทาง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะดูแล้ว ไม่ค่อยมีใครสนใจที่จะทำเลยสักคน ผมก็เป็นประเภท ไม่ชอบบังคับใครเสียด้วย ก็เลยไม่ได้ทำทัวร์ป่าหูหยางสักที แต่ผมก็ไม่ย่อท้อนะครับ เมื่อมีโอกาสได้รู้จักคู่ค้าใหม่ ๆ ผมก็จะพยายามชวนเขาไปสำรวจเส้นทางป่าหูหยางด้วยกัน
ผ่านไป 1 ปีเต็ม ๆ ที่ความพยายามของผมเริ่มเห็นผล เมื่อมาคู่ค้าเจ้าใหม่ เข้ามาหาผมที่ออฟฟิศ เพื่อเสนอเป็นแลนด์ทัวร์จิ่วจ้ายโกว ผมเลยสอบถามถึงเส้นทางป่าหูหยาง และความเป็นไปได้ที่จะไปสำรวจกัน เราใช้เวลาเตรียมตัวกันนานหลายเดือน เพื่อเตรียมข้อมูลในการสำรวจ และได้จังหวะลงตัวกันที่ เดือน ต.ค. 61 (ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี)
หลังจากทุกอย่างลงตัว ก็ได้เวลาไปตามล่าฝัน … สำรวจเส้นทางป่าหูหยาง
วันที่ 10-18 ต.ค. 61 คือวันที่เราเลือกกันไว้ เราเริ่มต้นด้วย แอร์ไชน่า (CA) มุ่งหน้าสู่เฉินตู เมืองที่เราถนัดและคุ้นเคยมากที่สุด (จากการทำทัวร์จิ่วจ้ายโกวมา 8 ปี) เราบินไปถึงเฉินตูตอนเย็น ๆ วันที่ 10 ต.ค. 61 ซึ่งงานนี้ได้รับเกียรติจากคู่ค้า มารับเราและเป็นหัวหน้าทีมสำรวจด้วยตัวเองเลย เราเลือกพักโรงแรมแถว ๆ สนามบิน เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องบินภายในต่อ ตั้งแต่เช้ามืด
เช้าวันรุ่งขึ้น (11 ต.ค. 61) พวกเราก็ไปสนามบิน เพื่อบินไปลงที่ จางเย่ โดยต้องเปลี่ยนเครื่องที่ หลันโจว ถึงจางเย่ ก็ประมาณเที่ยง แต่ทริปนี้เราไปสำรวจหลายที่ และ 1 ในนั้นก็คือ ภูเขาสายรุ้งที่จางเย่ แต่เราขอข้ามไปก่อน เพราะเราจะเน้นเฉพาะที่ ป่าหูหยางเท่านั้น (คืนนี้เรานอนที่จางเย่ 1 คืนครับ)
เช้าวันต่อมา (12 ต.ค. 61) เราออกเดินทางสู่ มองโกเลียใน (มีแวะที่แกรนด์แคนยอนก่อน 1 ที่) ตลอดเส้นทางที่เรานั่งรถไป มีแต่ทะเลทราย เวิ้งว้างไปหมด เป็นภาพที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน ต่างก็ตื่นเต้น + กังวล โดยกังวลว่า หากเกิดอะไรขึ้นกลางทาง เราจะทำอย่างไร ? ก็มีเหตุการณ์ให้ระทึกอยู่บ้าง เมื่อคนขับบอกว่า น้ำมันกำลังจะหมด ต้องหาที่เติมก่อน
ห๊ะ !! อะไรนะ … หาที่เติมน้ำมันกลางทะเลทรายเนี้ยนะ ?
เอาแล้ว ๆๆๆ พวกเรามองหน้ากัน พร้อมช่วยกันภาวนาให้เจอปั้ม จนแล้วจนรอด ก็ไปเจอบ้านชาวบ้าน ที่เขาสามารถแบ่งน้ำมันขายให้เราได้ (รอดตายกันไป)
ป.ล. มื้อนี้ ผมได้ลองทาน เนื้ออูฐรมควัน ด้วยนะครับ ก็ถือว่า ลองให้รู้ครับ
ไฮไลท์ของวันก็มาถึง เมื่อโรงแรมที่เราพัก อยู่ติดกับชายแดนประเทศมองโกเลีย สภาพโรงแรมดูวังเวง และน่ากลัวมาก และที่หนักกว่านั้นคือ เจ้าหน้าที่โรงแรม ต้องโทรแจ้งตำรวจก่อนว่า มีคนไทยมาพัก กว่าจะได้เข้าห้องเล่นเอาเหนื่อย พลางคิดในใจว่า คืนนี้จะได้นอนมั้ยนะ และเมื่อขั้นตอนการ Check in อันแสนยุ่งยากผ่านไป ก็ได้เวลาเข้าไปในห้อง บอกเลยว่า … โคตรน่ากลัว ผมนอนไม่หลับแทบทั้งคืนเลย
(13 ต.ค. 61) เช้าก็ต้องตื่นแต่เช้ามืด เพราะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ “ทะเลสาบจูหยวน” ไปแบบไม่รู้อะไรมากนัก ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก พอไปถึง … โคตรหนาววววว ลมก็แรงสุด ๆ เครื่องกันหนาวที่เตรียมไป เอาไม่อยู่ครับท่าน !! แต่ก็เอาน่ะ ลูกผู้ชายต้องอดทน … คนก็เยอะมาก รอคิวถ่ายรูปกัน มีเสียงจากคณะที่ไปสำรวจด้วยกันว่า … นี่ถ้าอากาศมันไม่หนาว นึกว่าอยู่ที่ “บางปู” (นกนางนวลเยอะมาก)
ป.ล. ผมเลยต้องถ่ายรูปที่มีอนุสาวรีย์มาด้วย จะได้รู้ว่า ไม่ใช่บางปูโว้ยยยย
จากนั้นหัวหน้าทีมสำรวจแจ้งว่า เราไม่มีเวลากลับโรงแรมแล้วนะ เราต้องไปป่าหูหยางกันเลย
เฮ้ยยยยยยยย … ไม่ได้เตรียมตัวไปป่าหูหยาง เตรียมมาแค่ดูพระอาทิตย์ขึ้น !! ไอ้โน่นก็ไม่ได้เอามา ไอ้นี่ก็ไม่ได้เอามา … จุดไฮไลท์ที่สุดของทริป กลับไม่พร้อม T T แต่ทำไงได้ล่ะครับ … ก็ต้องเลยตามเลย เข้าไปทั้งที่ไม่ได้เตรียมตัวมานี่แหละ
พอไปถึงหน้าอุทยาน หัวหน้าทีมสำรวจบอกว่า มีป้ายภาษาจีนเขียนไว้ว่า
“ป่าหูหยางแห่งนี้ รอคอยคุณมานานกว่า 3000 ปีแล้วนะ”
ผมฟังแล้วเฮ้ยยยย โดนอ่ะ ใช้คำได้กินใจมาก ๆ เลยยยยย
จุดแรกที่เจอ ถึงกับอุทานในใจ (เหี้ยยยย !! ป่าอะไรวะ โคตรสวยเลย) มันเป็นต้นไม้โบราณ ที่มีฟอร์มสวยงาม ดูประหลาดตา ที่สำคัญคือ มันเหลืองทองอร่ามไปทั้งต้น และทุกต้นเหลืองอร่ามเต็มท้องทุ่งเลย โอ้ยยยยย ไม่รู้จะเริ่มถ่ายจากตรงไหน
ผมเลยเริ่มด้วยการ Live ผ่าน FB เพราะอยากให้ทุกคนได้เห็นไปพร้อมกับผมเลย และทุกที่ที่สวย ๆ ผมก็จะ Live ให้เพื่อน ๆ ได้ชม จนลืมคิดไปว่า เรามาสำรวจเส้นทาง … เราต้องเก็บภาพ เก็บวิดีโอ เพื่อเอากลับไปทำข้อมูล และลืมคิดไปว่า File ที่ Live มันใช้งานไม่ได้ T T สรุปคือ แทบไม่มี Video กลับไปทำงานเลย เพราะมัวแต่ Live
พวกเราเดินกันไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก เพราะจินตนาการไม่ออกว่ามันกว้างขนาดไหน มีอยู่ช่วงหนึ่ง ต้องเดินกลางแดดเปรี้ยงตอนบ่าย และเดินยาวไกลมาก เป็นช่วงสะพาน 3 ป่าไม้หลิ่วสีแดง ก่อนจะถึงสะพาน 4 ป่าหูหยางโบราณ (ป่า Hero) กล้องก็หนัก ของก็เยอะ คิดในใจว่า … เราจะต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหน ?
แต่ความเหนื่อย ก็แทบจะมลายหายไปในฉับพลัน เมื่อเดินพ้นป่าไม้หลิ่วสีแดง มาสักพัก (ระหว่างทางไป สะพาน 4 ป่า Hero) บอกเลย โคตรสวยยยยยยย !! ทั้งถ่ายรูป วิดีโอ และ Live จนแบตหมด (คือไม่มี Power Bank เพราะคิดว่าจะกลับโรงแรมก่อนมาป่าหูหยาง)
แต่นาทีนั้น ผมยืนซึมซับความงดงาม อยู่พักใหญ่ ๆ จนรู้สึกว่า ไม่อยากไปที่ไหนอีกแล้ว มันสวยมากเพียงพอแล้ว และแม้จะแบตหมด ผมก็ยังจะพยายามหาวิธี Live ให้ได้ เพราะอยากให้เพื่อน ๆ ได้เห็นความงามไปพร้อม ๆ กับผมเลย
จบที่นี่ ยังคงต้องเดินต่อ เพราะยังแคลงใจว่า ขนาดระหว่างทางไป ป่า Hero ยังสวยขนาดนี้ แล้วป่า Hero จะสวยขนาดไหน แล้วก็ต้องผิดหวังอย่างแรง เมื่อมาถึงป่า Hero ที่คิดว่าเป็นไฮไลท์ที่สุดของทริปนี้ เพราะใบไม้ร่วงหมดแล้ว ไม่หลงเหลือภาพในหนังเรื่อง Hero เลย แต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไร เพราะผมได้ผ่านจุดที่ประทับใจที่สุดมาแล้ววววว
จากนั้นก็นั่งรถกลับไปที่หน้าอุทยาน เพื่อกลับไปที่โรงแรม เพราะไปต่อไม่ไหวแล้วครับ เราเที่ยวได้แค่ 4 สะพาน จากทั้งหมด 8 สะพาน และอีกจุดหนึ่งที่พลาดก็คือ “เฮยสุ่ย กว้ายซู่หลิน” ป่าหูหยางที่กลายเป็นฟอสซิลไม้ คงต้องรอไว้ตอนที่พาลูกค้าไปเที่ยวอีกรอบ ถึงจะเก็บได้ครบ
ปล. เส้นทางใหม่ "ป่าหูหยาง" เปิดเพียงปีละครั้งเท่านั้นนะครับ (เดือนตุลาคม) ห้ามพลาดกันเลยทีเดียว!!!
แล้วก็ขอจบการ รีวิวป่าหูหยาง ในแบบฉบับของมือใหม่หัดรีวิวไว้เพียงเท่านี้ ครั้งต่อไปจะพยายามทำให้ดียิ่งขึ้นไปนะครับ..ขอบคุณครับผม
#นี่ไงที่ไปมา #เที่ยวสนุกสุขคูณสอง
ขอบคุณไฟล์ VDO สวย ๆ จาก Double Enjoy Travel นะครับ
ถ้าท่านใดสนใจไปเที่ยวเส้นทางทริปใหม่ ๆ แบบนี้ สามารถติดต่อได้ที่ Double Enjoy Travel ครับ
Asavaree Bunnate
วันพฤหัสที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.04 น.