เป็นการเที่ยวมิลาน ที่ไม่ได้มีแค่ landmark!
พิพิธภัณฑ์ แกลอรี่ฮิปๆ เราก็ไป ย่านสวยๆ
เราก็เก็บ ไหนจะออกไปเที่ยวเกาะอีก โอ๊ยเริ่ด!
ใครมีแพลนไปเที่ยวมิลาน รีบหยิบสมุดขึ้นมาจดด่วน
เพราะรีวิวนี้ปิงเขียนละเอียดขั้นสุด! ชนิดที่ว่า
อ่านรีวิวเดียว ไปตามรอยได้เลย ไม่ต้องเสิชเพิ่ม
ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย การเดินทาง ที่พัก ที่กิน ที่เที่ยว
ถ้าพร้อมแล้วก็ ไปค่ะ !!
ก่อนอื่นเลยยยยย ใครยังไม่ได้อ่านรีวิวเที่ยวยุโรป
EP.1 Hallstatt + Salzburg ประเทศออสเตรีย
ไปอ่านได้ที่ลิงก์นี้ค่ะ https://bit.ly/2T8ORx
และ EP.2 Capri + Palermo ประเทศอิตาลี
ลิงก์นี้จ้า https://bit.ly/2OO6dlc
อ่านกันให้ครบ ดูรูปยั่วตัวเอง จะได้ไปตามรอย
มันทั้งทริป ทั้ง 3 ประเทศเลยนะ5555555
** ค่าใช้จ่าย ต่อคน เฉพาะเที่ยวมิลาน **
( หน่วยเป็นยูโรช่วงที่ปิงไป 1 EUR = 34 THB
ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่หาร 3 นะคะ เพราะไปกัน 3 คน อิ_อิ )
1. ค่าที่พัก Canova Hotel 4 คืน 433.20 EUR
ไม่รวมอาหารเช้า ตกคนละ 144.40 EUR
2. ค่าเดินทาง 75.9 EUR ( รถราง รถบัส รถไฟ เรือ )
3. ค่ากิน 81.96 EUR
4. ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ 48.5 EUR ( ไว้แจกแจงในรีวิว )
—– รวม 350.76 EUR / 11,925.84 THB —–
ป.ล. ไม่รวมค่าเครื่องบินจาก Palermo ไป Milan
( สายการบิน Ryanair ) และจาก Milan ไป Barcelona
ประเทศสเปน ( สายการบิน vueling )
มาเริ่มวันแรกกันเลยจ้าาาาาาา จากเมือง Palermo
ปิงบินมาลงที่มิลานประมาณ 11 โมง แล้วก็นั่งรถไฟ
เข้าเมือง โดยพอออกจากสนามบินมา ให้เดินไปที่
ticket booth ( ตามรูปด้านล่าง ) แล้วบอกเค้าได้เลยว่า
เอาตั๋วรถไฟไปลงสถานี Central ราคาเที่ยวละ 13 EUR ค่ะ
นั่งไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง Milano Centrale แล้ว!
* คำเตือน * ก่อนขึ้นรถไฟที่นี่ อย่าลืมเอาตั๋ว
ไป activate กับตู้สีขาว-เขียวที่อยู่ตรงชานชาลานะคะ
เพราะรถไฟส่วนใหญ่จะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจ
ซึ่งถ้าเรามีตั๋วขึ้นมา แต่ไม่ได้ activate ก็อาจจะ
โดนเสียค่าปรับได้ ที่เค้าทำแบบนี้ก็เพื่อไม่ให้
คนเอาตั๋วมาใช้ซ้ำๆ เมื่อขึ้นรถไฟเส้นทางเดิมค่ะ :- )
เข้ามาในเมืองแล้ว อย่างแรกที่ปิงแนะนำให้ทำเลย
คือซื้อบัตรโดยสารค่ะ ไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน
จะมีตู้ขายบัตร เราก็เข้าไปกด เลือกให้ระบบ
เป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็ซื้อตั๋วแบบเหมา
จำนวนวันเท่าไหร่ ตามใจเราเลย ของปิงเป็นแบบ
3 วัน ใช้ได้ 3 โซน ราคา 12 EUR ค่ะ
( เรื่องโซนคือ การเดินทางในเมืองนี้เค้าจะ
แบ่งเป็นโซนๆ ถ้าจะเที่ยวในโซนไหน ก็ต้อง
ซื้อตั๋วแบบที่ครอบคลุมโซนนั้น แต่ที่เที่ยวหลักๆ
มันก็อยู่ใน 3 โซนที่ปิงซื้อนี่แหละ อิ_อิ )
จากสถานีรถไฟ เดินไปที่พักของเราไม่ถึง 10 นาทีค่ะ
เรียกได้ว่าโลเคชั่นดีมากๆที่พักรอบนี้! มันชื่อว่า
Canova Hotel นั่นเอง เป็นโรงแรมขนาดเล็ก
แต่คุณภาพดี ทั้งเรื่องห้อง ความสะอาด และบริการ
wifi ก็แรงใช้ได้เลย ใครอยากพักผ่อนสบายๆ
แต่มีงบจำกัด ปิงแนะนำที่นี่นะ สนใจก็ลองเข้าไป
ส่องเว็บนางได้ https://canova.hotels-milan.info/en/
กว่าจะเช็คอิน เก็บของเสร็จ ก็บ่ายแล้ว
วันนี้เราไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวไหนทั้งนั้นค่ะ
เพราะว่า เรามีภารกิจที่สำคัญกว่า! นั่นก็คือออออ…
คือออออออออออออ… คือออออออออออออ…
การไปร่วมงานรับปริญญาของพี่ชายปิงนั่นเองงงงง
คือแบบ ไม่ได้เจอพี่มาปีกว่า แล้วได้มาร่วมงาน
รับปริญญานาง คือเป็นปลื้มมมมมมม :’-)
ก็เดี๋ยว ออกจากที่พัก พี่ชายปิงจะพาปิง แม่ และ
เพื่อนแม่ ไปกินอาหารจีน ที่พี่ปิงว่าอร่อยที่สุด
ในมิลาน55555555 จากนั้นก็ไปงานรับปริญญาค่ะ
ร้านที่เรามา ชื่อว่า Impressione Chongqing
ใครมีแพลนไปเที่ยวมิลาน จำชื่อนี้ไว้เลยแกร
เพราะอาหารร้านนี้คือเริ่ดจริง! หลังจากที่เราเที่ยว
กันมาหนึ่งสัปดาห์ แทบไม่มีอาหารเอเชียลงท้องเลย
อันที่ลงไปก็ไม่อร่อย ร้านนี้คือกู้ชีวิตมากๆ5555555
เราสั่งเมนูผัดกะหล่ำปลี คล้ายๆกะหล่ำปลีทอด
น้ำปลาบ้านเรา แต่เค้าใส่ซีอิ๊วกับพริกแห้งด้วย
เผ็ดเค็มกำลังดี ชอบมากกกกกๆๆๆ อีกอันเสิร์ฟมา
ในกระทะร้อน เป็นไก่กรอบผัดซอสเปรี้ยวหวาน
มีหัวหอมใหญ่ พริกหยวก ผักชี และจานสุดท้าย
เป็นกุ้งผัดซอสหมาล่า กินแล้วร้องซี๊ดซ๊าดกันใหญ่
รวมข้าว น้ำ แล้วแค่ 36 EUR หรือคนละ 9 EUR อ่ะ
ไม่มาไม่ได้แล้ววววววววว >//<
ขอปิดท้ายวันแรก ด้วยรูปตอนพี่ชายรับปริญญาบัตร
ไม่ค่ะ.. ปิงไม่ได้ร้องไห้เลย.. ฮืออออออออออ ประชด
ร้องสิ ดีใจแทนพี่ตัวเอง! เท่านี้แหละค่ะ วันนี้กลับที่พักนอน
เก็บแรงเอาไว้เยอะๆ พรุ่งนี้เราไปลุยของจริงกัน :- D
.
.
.
DAY 2 : Fondazione Prada, Duomo di Milano,
Galleria Vittorio Emanuele II, Parco Sempione, Navigli
สวัสดีเช้าวันที่สองในมิลานค่ะทุกโค๊นนนนนนนนนน
วันนี้ ที่แรกที่ปิงจะพาไป คือ Fondazione Prada
เห็นคำว่า Prada หลายคนอาจจะคิดว่าปิงพาไปดู
กระเป๋าแบรนด์ดังหรืออย่างไร… ไม่ใช่ค่ะ มันคือพิพิธภัณฑ์
จัดแสดงศิลปะร่วมสมัย แต่เจ้าของก็คือ Miuccia Prada
และ Patrizio Bertelli สามีภรรยาผู้บริหารแบรนด์ Prada
นี่แหละ! จากที่พักเราเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินสถานี centrale
แล้วนั่งไปลงที่สถานี Lodi T.i.b.b. แล้วเดินต่ออีก 15 นาที
ก่อนจะพูดเรื่องข้างในมีอะไร ค่าเข้าเท่าไหร่
เปิดปิดวันไหน ขอนี่กินข้าวก่อนเลยยยยยยยย
หิวม๊ากกกกกก *O* เราแพลนมาทาน brunch
ที่บาร์ชื่อดังในมิลาน นั่นก็คือ Bar Luce ค่ะ
บาร์แห่งนี้เป็นส่วนนึงของ Fondazione Prada นะ
ร้านตกแต่งแบบ nostalgic พาเราย้อนไปยุค
1950s แต่ก็ใช้เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง แก้ว จาน
สีพาสเทล เพิ่มความน่ารักสดใสเข้ามา แถมมีพวก
ตู้เกม pinball ตู้เล่นเพลงสมัยก่อน ตั้งอยู่ในร้านด้วย
เห็นบาร์ดูดีแบบนี้ นึกว่าขนม เครื่องดื่มจะแพง
ที่ไหนได้.. ไม่แพงเลยจ่ะ นี่ไปกัน 3 คน ทุกคนสั่ง
ขนม เครื่องดื่ม คนละอย่าง บิลออกมา 18.40 EUR
คือสมเหตุสมผลอ่ะกับรสชาติและบรรยากาศ
ป.ล. ชาพีชอร่อยมาก ต้องลองงงงงงงงงง <3
เวลาเปิดปิดแต่ละวันไม่เหมือนกัน เข้าไปดูได้ในนี้
http://www.fondazioneprada.org/barluce-en/?lang=en
กินอิ่มแล้ว ฝากกระเป๋าแล้ว ( ต้องฝากนะ เค้ามีที่ให้ฝาก )
ก็ไปเดินดูกันเลยยยยยย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีพื้นที่เยอะมากค่ะ
อาคารหลักคืออาคารสีทอง แล้วก็มีโซนพิพิธภัณฑ์
และอาคารแกลอรี่ที่สูงถึง 10 ชั้น! ค่าเข้าชมทุกโซน
15 EUR ถ้าชมแค่โซนนิทรรศการถาวร / ชั่วคราว
แค่โซนใดโซนนึง ก็ 10 EUR ซึ่งแบบทุกโซนมันคุ้มกว่านะ..
ช่วงที่ปิงไป ในอาคารหลักก็คือคงธีมบ้านผีสิง
แต่ไม่ได้น่ากลัวอะไร คอนเซ็ปต์คือการนำของใช้
ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันมาเล่นกับพื้นที่ และ การจัดวาง
บอกตามตรงว่าติสท์มาก.. นี่เข้าไม่ถึง.. ปิงว่าปิงเป็นคน
มีอาร์ตแล้วนะ ก็ยังเข้าไม่ถึง แล้วงานแต่ละชิ้นคือ
ไม่มีเขียนอธิบายที่มาที่ไปเลย มีแค่ชื่อคนทำ กับคำอธิบาย
นิทรรศการนั้นๆแบบคร่าวๆ ก็เลยเดินมาต่อที่อาคารต่อไป
เออยังดีหน่อย มีหนังสั้นให้ดู จนไปถึงตึก 10 ชั้นที่บอก
ดูเพลินเลย ดูจนคุ้ม 15 EUR ฮ่าๆๆๆ ใครมาสายนี้ก็…
เค้าเปิดวันจันทร์, พุธ, พฤหัส 10.00 – 19.00 น.
วันศุกร์ – อาทิตย์ 10.00 – 21.00 น. หยุดวันอังคารค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม ลิงก์นี้เล้ยยย http://www.fondazioneprada.org/?lang=en
กว่าจะเสร็จจาก Fondazione Prada ก็ปาไป
ครึ่งวันแล้ว พอออกมาได้ เราก็มุ่งหน้าไปเก็บ
landmark ของมิลานกันเลย นั่นก็คือ
Duomo di Milano วิหารประจำเมืองมิลาน
ที่สวย ใหญ่อลังการ จนเค้าล่ำลือกันไปทั่วโลก
สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดชื่อว่า Duomo เลย
รับรองไม่มีหลงค่ะ! ส่วนตัวปิงเคยเข้าไปดูด้านใน
วิหารแล้ว รอบนี้เลยขอแว๊ปมาถ่ายรูปข้างหน้าเฉยๆ
แต่ถ้าใครยังไม่เคยดู ไหนๆมาแล้ว ไปดูเถอะ!
แนะนำว่าจองตั๋วออนไลน์ไป จะได้ไม่ต้องไป
ต่อคิวยาวเหยียดดดดดดด ตั๋วเค้ามีหลายแบบ
หลายราคา แต่แบบจะจำกัดโซนที่เราเข้าชมได้
แตกต่างกัน เข้าไปอ่านและทำความเข้าใจจากลิงก์นี้
ได้เลยค่ะ https://www.duomomilano.it/it/buy-tickets/
* คำเตือน * ลานหน้าวิหารจะมีนักท่องเที่ยวเยอะ
และมีพวกมิจฉาชีพแฝงเข้ามา ให้ระวังกระเป๋าดีๆ
กับจะมีคนผิวสีที่เค้าขายพวกกำไลข้อมือ พวงกุญแจ
แม่เหล็กติดตู้เย็น เค้าจะชอบเอามายัดใส่มือเรา
อย่าเผลอไปรับเชียวนะ เดี๋ยวนางจะบังคับซื้อ T_T
อยู่ติดกับ Duomo คือ Galleria Vittorio Emanuele II
นี่เป็นศูนย์การค้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเลยนะ!
สร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 จุดเด่นคือโครงสร้างอาคาร
4 ชั้น ที่เชื่อมต่อกันด้วยโดมกระจกทรงแปดเหลี่ยม และเพดาน
กระจก ที่ช่วยให้แสงส่องเข้ามาในอาคารตลอด ข้างในคือ
ถูกใจสายช้อปปิ้งเลย มีร้านแบรนด์เนมอย่าง Prada, Gucci,
Louis Vuitton และอีกมากมายยยยยย แต่ที่ห้ามพลาดคือ
การไปยืนบนตรารูปกระทิง แล้วหมุนตัวด้วยส้นเท้า เค้าเชื่อว่า
ทำแล้วจะโชคดี ก็ไม่รู้ว่าจริงมั้ย แต่คนทำกันเยอะมากจน
กระเบื้องโมเสกบุ๋มเป็นหลุมลงไปเลย :- D
เสร็จจากตรงนี้ เรานั่งรถไฟใต้ดินไป 1 ป้าย
ลงสถานี Cadorna FN แล้วเดินต่อไปอีกหน่อย
ก็จะถึงที่พักใจของเราาาา.. Parco Sempione ค่ะ
นี่คือสวรสาธารณะประจำเมืองมิลาน อารมณ์สวนลุม
ในกรุงเทพเลย แต่ใหญ่กว่า55555555 ด้านในมี
สถานที่สำคัญอย่าง Castello Sforzesco หรือ
ปราสาทเก่าแก่ ที่สร้างตั้งแต่ยุค 1300s ให้เข้าชมด้วย
ตัวปราสาทเข้าชมฟรีค่ะ แต่โซนพิพิธภัณธ์มีค่าเข้านะ
ดูรายละเอียดได้ในลิงก์นี้ https://www.milanocastello.it/en/content/hours-and-admission
ส่วนตอนนี้ ปิงขอไปนอนงีบใต้ต้นไม้ในสวนก่อน :- p
ไปต่อกันที่ Navigli District ย่านสังสรรค์
ยามค่ำคืน ที่อยู่ริมคลอง Navigli ในย่านนี้เต็มไปด้วย
ร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ ร้านไอศกรีม ร้านหนังสือ
ร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ และ ของกระจุ๊กกระจิ๊ก
ยิ่งตกเย็น คนก็จะยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยความที่
คนประเทศนี้ติดชิลล์ slow life ชีวิตเค้าจะดำเนินช้าหน่อย
เรามาถึงหกโมงเย็นคือแบบ คนน้อยจนตกใจ555555
แต่ก็เดินเล่นรอบๆ ถ่ายรูป เก็บภาพสวยๆได้อยู่
เราปิดท้ายวันที่สองกันที่ ร้านอาหารอิตาลี
ที่ชื่อ Le Tournedos เป็นอีกร้านที่พี่ชาย
คอนเฟิร์มว่าดีจริง เด็ดจริง เรื่องซีฟู๊ดนะ
( ไม่ใช่ปิ้งย่าง.. นี่ก็จะตลกอย่างเดียวเลย )
ร้านไม่ใหญ่มากค่ะ ต้องจองโต๊ะก่อนเท่านั้น
ไม่จองมา คือรอนานเลยแหละ เพราะลูกค้า
เค้าเยอะ และเข้ามาเรื่อยๆ.. เมนูที่ปิงลองคือ
หอยนางรมสด ก่อนเลยยยย สดม๊ากกกกกกกก
ฟินมากค่ะ! ตามด้วยสลัดผักรวม สปาเก็ตตี้ซีฟู้ด
Deep fried mixed seafood คือ ปลาหมึก
กุ้ง ปลา ชุบแป้งทอด เสิร์ฟกับเฟรนซ์ฟราย
แต่ที่พีคสุดคือสเต็กเนื้อ นุ่ม ละลายในปาก
ทานคู่กับไวน์แดงคือ perfecto!
DAY 3 : Lago Maggiore ( Isola Bella,
Isola Mandre, Isola Pescatori )
วันที่สามในมิลาน ปิงจะพานั่งรถไฟออกไปเที่ยว
นอกเมืองมิลานกันค่ะ! จริงๆแพลนว่าจะไป lake como
ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกที่หนึ่ง แต่ด้วย
ความที่คุณแม่เคยไปแล้ว เราเลยต้องปรับเปลี่ยนแพลน
กันหน่อย แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจไปที่นี่..
Lago Maggiore มันเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ทาง
ตอนเหนือ ที่คนชอบไปเที่ยว / พักผ่อนกัน เพราะ
มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเกาะต่างๆ
หมู่บ้านริมทะเลสาป พระราชวัง ฯลฯ เรียกได้ว่า
ไปวันเดียว ได้เที่ยวแบบครบรสเลยยยยย
โดยเราเริ่มต้นการเดินทางที่สถานีรถไฟ Centrale
อีกเช่นเคย ซื้อตั๋วไปกลับราคาคนละ 17 EUR
นั่งไปลงที่สถานี Stresa ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีค่ะ
ไปถึงแล้วให้เสิร์ช google map ว่าไป Carciano
เป็นท่าเรือที่มีบูทขายตั๋วเรือ ferry อยู่ จากสถานีรถไฟ
เดินไปประมาณ 10 – 15 นาที แล้วแต่คน เพราะระหว่างทาง
ก็หยุดถ่ายรูปได้เรื่อยๆเลย วิวสวยยยยยยย ฮี่ฮี่ <3
พอไปถึง จะเห็นบูทขายตั๋วเรืออยู่ 2 บูท ให้ตรงไป
บูทที่อยู่ตรงที่รอขึ้นเรือเลยนะ อย่าเผลอไปตาม
เสียงเรียกของอีกบูทนึง เพราะบูทตรงท่าเรือมันถูกกว่า
และไอบูทที่มีคนมาตะโกนเรียกอ่ะแพง! นี่เกือบแล้ว55555
ตั๋วที่เราต้องซื้อเป็นแบบ unlimited หรือไม่จำกัด
จำนวนเที่ยวค่ะ คือนั่งจากไหนไปไหนก็ได้ในบริเวณ
รอบทะเลสาบ กี่รอบก็ได้ในหนึ่งวัน แล้วเค้าจะให้
ตารางเวลาของเรือมาด้วย ว่าจอดท่าไหน กี่โมง
ซึ่งเราต้องเก็บไว้ให้ดี แล้วเวลาเที่ยวก็คอยดูว่า
เรือจะมารึยัง ต้องไปขึ้นให้ทันค่ะ เอ้อ! ราคาตั๋ว
คนละ 13.9 EUR นะ.. แพลนของเราวันนี้ คือเก็บ
ให้ได้ 3 เกาะในทะเลสาบแห่งนี้ ได้แก่ Isola Bella,
Isola Mandre และ Isola Superiore แต่ละเกาะ
จะมีจุดขายเป็นอะไร ตามปิงมาเลยยยย :- ))
Isola Bella คือเกาะแรกของพวกเราวันนี้
จุดเด่นของเกาะนี้คือวัง Palazzo Borromeo และ
นกยูงขาว แต่ปิงไม่ได้เข้าไปดูวัง เพราะพี่ชาย
บอกว่า ( อีกแล้ว ) ถ้ามีเวลาน้อย แนะนำให้ไปดู
สวนดอกไม้บนเกาะ Isola Mandre ดีกว่า
เพราะว่ามันอลังการมาก.. แล้วปิงก็ไม่เจอนกยูงขาวด้วย
งงมากแม่555555 แต่อย่าเพิ่งเซ็งค่ะ เพราะแค่
บรรยากาศและวิวของเกาะนี้ก็เริ่ดมากๆแล้ว
ปิงชอบเกาะนี้สุดใน 3 เกาะอ่ะ!
บนเกาะมีร้านค้าน่ารักๆเยอะเลย แล้วพอเดินมา
ด้านหลังวัง ก็มีจะลานยื่นลงไปในทะเลสาบ
มีปลูกต้นไม้ ดอกไม้รอบบริเวณ เห็นแล้วสดชื่นเลย
ปิง แม่ ป้า นี่เดินเล่น หามุมถ่ายรูปกันเพลินเลย
เกือบจะลืมดูรอบเรือ ferry ซะแล้ว แหมะ!
ขอหนูโพสต์นึง >//<
ก่อนออกจาก Isola Bella อย่าลืมไปที่ ticket booth
นะจ๊ะ เพราะเราต้องซื้อบัตรเข้าพิพิธภัณฑ์และสวน
บนเกาะต่อไป นั่นก็คือ Isola Mandre หรือถ้าใครอยากซื้อ
แบบเข้าได้หลายวัง หลายเกาะ เค้าก็มี ในตาราง
เป็นภาษาอิตาลี แต่ก็น่าจะพอเดาได้อยู่น้า
เดาไม่ออกก็ถามพนักงานได้ค่ะ เค้ารู้หมด :- D
เกาะที่สองได้แก่.. เกาะแน่นๆหน่อยนะน้องนะ..
เย้ย! ไม่ใช่! เกาะ Isola Mandre ไง บอกไปแล้ว
นอกจากสวนดอกไม้สุดอลังการรอบเกาะ
จุดเด่นอีกอย่างของเกาะนี้ คือ นกยูงหลายสายพันธุ์
ก็เพิ่งรู้ตอนไปเห็นนี่แหละว่านกยูงมันมีหลายพันธุ์
นึกว่ามีแบบเดียวมาตลอดเลยยยย ปิงเจอทั้งตัวเล็ก
ตัวใหญ่ หางสั้น หางยาว แบบโอ๊ยยยยยยยยย
ดีงามมาก แล้วก็มีพิพิธภัณฑ์ให้ดูเพลินๆ มีคาเฟ่
น่ารักๆให้เราได้จิบกาแฟ ทานเบเกอรี่ในสวน <3
จ๊ะเอ๋ :- ))
นี่คือโซนพิพิธภัณฑ์ค่ะ เคยเป็นที่อยู่ของครอบครัว
Borromeo ซึ่งเค้ายังดูแลรักษาห้องต่างๆไว้ให้ดูใหม่
มีทั้งห้องนอน ห้องโถง ห้องทานข้าว ห้องดูหุ่นกระบอก
และของใช้ เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ สวยๆมากมายเลย
พอเอามาเขียนเล่าแล้วดูเหมือนเดินแป๊ปเดียวเสร็จ
ดูไม่ค่อยมีอะไร แต่จริงๆแล้วมันมีอะไรเยอะเลยนะ
แล้วก็ใช้เวลาเดินดู แต่ปิงต้องย่อมาเล่า ไม่งั้นรีวิว
ยาวต๊ายยยยยย55555555 ก็พอดูจนทั่ว ออกมา
จะเจอคาเฟ่ที่บอกเลย คนที่มาเที่ยวเกาะนี้
เที่ยงๆบ่ายๆก็มารวมตัวกันอยู่ตรงนี้แหละ
เพราะหิว! พวกเราสั่งทาร์ต เค้ก กับเครื่องดื่มเย็นๆ
มากินนิดหน่อย ไม่ได้กินมื้อหนัก เพราะกลัว
เดี๋ยวจะขึ้นเรือไปเกาะต่อไปไม่ทัน :- 3
แล้วเราก็มาถึงเกาะสุดท้ายยยยยย เจ้าเกาะ
Isola Pescatori เอาจริงเกาะนี้ไม่มีอะไรเด่น
มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายเสื้อผ้า งานฝีมือ
ของที่ระลึก ก็คือเดินเล่น ดูนู่นดูนี่ไปเพลินๆ
แต่เห็นคนเล่นน้ำกันเยอะอยู่ เพราะด้านนึงของเกาะ
เหมือนเป็นหาดยื่นไปในทะเลสาบเลย ซึ่งก็..
ถ่ายรูปสวยอีกอ่ะแหละ วันนี้.. ถ่ายรูปท้างงงงวันค่ะ
เราใช้เวลาอยู่ที่ Lago Maggiore ทั้งวันเลย
แบบ 1 วันเต็มๆ แล้วก็นั่งเรือกลับไปที่ท่าเรือหลัก
เดินกลับไปสถานีรถไฟ เพื่อขึ้นรถรอบ 5 โมง
หรือ 5 โมงครึ่งนี่แหละ ปิงจำไม่ได้555555
เพราะถ้าไม่ขึ้นรอบนี้ จะมีอีกรอบ 1 ทุ่มเลย
พอไปถึงเราก็ตรงไปที่ apartment ที่พี่ชายปิงอยู่
เพื่อทำอาหารไทยกินเองงงง ไม่ได้ออกไป
กินข้างนอกจ้าาาา จบวันที่สามเพียงเท่านี้..
แต่ยังไม่บาย.. ยังเหลือพรุ่งนี้อีก อย่าเพิ่ง
กดออกไปไหนนนนน.. แง๊
DAY 4 : Nilufar Depot, Pirelli HangarBicocca, Chinatown
เผลอแป๊ปเดียว วันที่สี่แล้วเว่ย!
วันนี้โปรแกรมเราเบาๆ เพราะแต่ละที่อยู่ค่อนข้าง
ไกลกัน และ พรุ่งนี้เราจะบินไปสเปนแล้ววววววว
ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ไปลุยที่แรกกันเลยยยยยย
แต่ก่อนจะไป ซื้อบัตรโดยสารใหม่ก่อนเธอ!
เพราะไอตั๋วแบบ 3 วันที่เราซื้อวันแรก มันหมด
อายุแล้ววววว เร็วม๊ากกกกกก วันนี้เราเลยซื้อ
เป็นแบบ one day ticket 7 EUR ขึ้นได้ทั้ง
รถไฟ รถราง รถบัส ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวครับ
สถานที่แรกของวันนี้ คือ Nilufar Depot
มันเป็น warehouse ที่จัดแสดงคอลเลคชั่น ของสะสม
เฟอร์นิเจอร์ และ ของตั้งโชว์ต่างๆ ของ แฟชั่นดีลเลอร์
ชื่อดัง ชาวอิตาลี ที่ชื่อว่า Nina Yashar โดยของทุกชิ้นที่
อยู่ที่ Nilufar Depot สร้าง / ถูกผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 20 ค่ะ
เค้าเอา warehouse มาจัดแบ่งพื้นที่เป็นห้องๆ
แล้วจับโต๊ะ เก้าอี้ พรม โคมไฟ ฯลฯ ที่ดูเข้ากัน
มาไว้ในห้องเดียวกัน ส่วนตัวไม่เคยไปชม warehouse
แบบนี้เลย เคยแต่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ ไม่ก็แกลลอรี่
ปิงว่าที่นี่เจ๋งมากอ่ะ และเจ้าของก็อัจฉริยะ +
รสนิยมดีมาก ที่เอาของจากประเทศต่างๆ คนสร้าง
คนละคน มาไว้รวมกันในที่เดียว ให้ดูลงตัวได้ขนาดนี้
แต่ละห้องจะมีสมุดเล็กๆ รวมคำอธิบาย
ที่มาของเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของทุกชิ้น
ว่าแบบ เค้าซื้อมาจากไหน คนสร้างชื่ออะไร
สร้างเมื่อปี ค.ศ. อะไร ยิ่งทำให้เราสนุกกับ
การเดินดูเข้าไปอีก <3
ที่นี่เปิด 10.00 – 13.00 น. และ 14.00 – 19.00 น.
หยุดวันอาทิตย์ค่ะ ไม่มีค่าเข้าชม แต่เค้าจะขายพวก
กระเป๋าผ้ากับหนังสือรวมภาพคอลเลคชั่นของเค้า
20 EUR ได้ทั้งกระเป๋าและหนังสือ ซึ่งปิงก็ช่วยเค้า
ซื้อมา เพราะเดินดูเป็นชั่วโมงแล้วก็รู้สึกว่ามันคุ้ม
มันดีต่อคนดู มันควรค่ากับการเสียเงินเข้าชม
* คำเตือน * มันมี Nilufar อย่างเดียว กับ Nilufar Depot
อย่าไปผิด.. เพราะปิงไปผิดมาแล้ว55555555
Nilufar อย่างเดียว เค้าขายเฟอร์นิเจอร์กับพวก
ของใช้ไลฟ์สไตล์ ไม่ได้ให้เข้าชมแบบนี้ ไอบ้า!
จาก Nilufar Depot เรามาทานมื้อเที่ยงกันที่
Fioraio Bianchi Caffe ปิงไปเห็นคาเฟ่นี้จาก
รีวิวของฝรั่ง เค้าบอกว่าร้านนี้เปิดมากว่า 40 ปีแล้ว!
ถือเป็นคาเฟ่เก่าแก่ของมิลานเลยยยยยย ตัวร้านไม่ใหญ่
แบ่งเป็น 2 โซน ถ้ามาตอนเช้า นั่งโซนไหนก็ได้
เพราะเค้าจะมีเมนู breakfast แล้วก็พวกชา กาแฟ
เค้ก เบเกอรี่ เหมือนคาเฟ่ทั่วไป แต่ถ้ามาหลังเที่ยง
โซนด้านหลังจะกลายเป็นร้านอาหารทันที
ซึ่งต้องจองล่วงหน้า แล้วปิงไม่รู้ ปิงไปหลังเที่ยง
เลยได้นั่งแค่โซนข้างนอก กับกินได้แค่เบเกอรี่
เพราะของคาวเป็นจานๆเค้าจะเสิร์ฟแค่ในอีกโซนค่ะ
แต่บรรยากาศร้านคือโอเคเลย อบอุ่น ตกแต่งด้วย
เฟอร์นิเจอร์วินเทจ ของสะสม ดอกไม้แห้ง ฯลฯ
ร้านเปิดยาว 8.00 – 24.00 น. มาโดนกันได้จ้า
กินอิ่มแล้ว เราก็ไปลุยกันต่อดิค้าบบบบบบบบ
สถานที่ต่อไปคือ Pirelli HangarBicocca
มันเป็น contemporary art museum ค่ะ แต่มันไม่
เหมือนที่ปิงคิดไว้เลย แล้วปิงว่ามันก็ไม่เหมือน
ที่เพื่อนๆคิดไว้ด้วย.. ทำไมน่ะหรอ? เพราะมันไม่ใช่
ตึกหรืออาคารหลายๆชั้นที่ให้เราเดินวนดูรูปภาพ
หรือรูปั้นต่างๆ แต่มันเป็นโกดังเปล่าๆเลย ไม่มีการ
ประดับ ตกแต่ง หรือซอยเป็นชั้นอะไรทั้งสิ้น
แล้วเค้าก็เอาชิ้นงานศิลปะขนาดใหญ่บึ้ม
ตั้งลงไปในโกดังนั่นแหละ ให้คนเดินดูกัน
แปลกดี! ที่แปลกอีกอย่างคือทางเข้า…
มันต้องหายากขนาดนี้มั้ยอ่ะ?55555555555
คือมาตามแมพ แต่เข้าไม่ได้ เดินวนอยู่นานม๊ากกกก
ใครมาตาม google map ถ้าใกล้ถึงแล้วให้หาคน
ถามทางเลย ไม่งั้นเดินวนเหนื่อยแย่ค่ะ
ที่นี่เปิดแค่วันพฤหัส – อาทิตย์ 10.00 – 22.00 น.
หยุดวันจันทร์ – พุธ ค่ะ แล้วก็ไม่มีค่าเข้าชมนะ ฟรี!
อันนี้เว็บไซต์ เผื่อใครอยากเข้าไปดูรายละเอียดของ
นิทรรศการก่อน ถ้าไม่ถูกใจจะได้ไม่ต้องไป :- )
https://pirellihangarbicocca.org/en/
หลังจากที่เราเดินเสพอาร์ตกันจนปวดขาและตาแฉะ
ก็ได้เวลามุ่งสู่ย่านที่เต็มไปด้วยของอร่อย ไม่ว่าจะ
ไปประเทศไหนๆก็พลาดไม่ได้.. ย่าน Chinatown
( ทาว วาว วาว วาววววววววว ทำเสียงให้ดูยิ่งใหญ่ )
ปิงจะพาไปกินก๋วยเตี๋ยวโฮมเมดที่เค้าว่าดีว่าเด็ด
ต่อด้วยขนมจีบโฮมเมดเจ้าดัง แต่ตอนนี้ ไปดู
บรรยากาศรอบๆ chinatown กันก่อนเลยจ้าาาาา
เป็น Chinatown ที่ต่างกับประเทศอื่นๆที่ปิงเคยไปมา
เพราะ chinatown ในมิลาน ตึกเค้าก็เหมือนย่านอื่นๆเลย
สไตล์ฝรั่ง แบบ ดูไกลๆไม่รู้เลยว่าย่านคนจีน แล้วทุกอย่าง
ก็เข้าไปอยู่ในร้านหมด ไม่มีการมาตั้งโต๊ะขาย หรือ
ขายบนรถเข็นเลยค่ะ ในย่านก็จะมีทั้งร้านอาหารจีน
อาหารเกาหลี ญี่ปุ่น ร้านขนมเอเชียต่างๆ ร้านชาไข่มุก
ฯลฯ เราเดินดูสักพักก็มุ่งไปที่ ร้าน Hua Cheng
อันนี้ปิงก็เห็นมาจากรีวิวของฝรั่งอีกเช่นกัน
ตัวร้านไม่ใหญ่มาก แต่ที่นั่งเหลือเฟืออยู่
เมนูมีให้เลือกเยอะมากค่ะ ทั้งก๋วยเตี๋ยวผัด ก๋วยเตี๋ยวน้ำ
เส้น น้ำซุป และ topping หลากหลายเลย
หรือใครอยากสั่งอย่างอื่นมาทานคู่กันเค้าก็มี
พวกผัดผัก หมู ไก่ เนื้อ ผัดซอสต่างๆ สไตล์จีน
นี่โดนก๋วยเตี๋ยวน้ำเป็ด เส้นหมี่ผัดไข่ กับ ผัดผักบุ้งไป
เด็ดหมดทุกจาน โดยเฉพาะผัดหมี่ เด็ดมาก!!!
กิน 4 คน บิลออกมา 18 EUR ถูกเกิ๊นนนนนนน
ของหนักไปแล้ว ไปทานของเบาๆกันบ้าง
ร้านขนมจีบที่บอก ชื่อว่า La Ravioleria Sarpi
ไม่ต้องคิดจะสะกดค่ะ ไปให้ถูกก็พอ555555555
เค้ามี 2 สาขานะ อยู่บนถนนเดียวกัน ใกล้ๆกันเลย
สาขาสีแดงจะขายพวกซาลาเปา แซนวิชแบบจีน
มีขนมจีบด้วย แต่ชิ้นใหญ่ ทุกอย่างของร้านนี้ค่ะ
สั่งชิ้นเดียวอิ่มค่ะ ส่วนอีกสาขา หน้าร้านจะสีขาว
คือร้านนี้แหละที่เรามา เค้าขายขนมจีบไซส์กลางๆ
ไม่อยากใช้คำว่าพอดีคำ เพราะปิงกินสองคำต่อชิ้น
มีไส้หมู ไก่ ผัก แป้งสีพาสเทลน่ารักดี อร่อยด้วย!
กล่องนึงมี 4 ชิ้น ราคา 6 EUR ค่ะ
จบแล้วหรอเนี่ย? มิลาน 4 วัน จบแล้วจริงๆหรอ?
จริงๆยังมีวันที่ห้าอีกนะ แต่มันไม่มีอะไร แค่ไปช้อปปิ้ง
ตรงย่าน Duomo ก็พวกร้านแบรนด์ทั่วไป
เหมือนกันทุกเมือง ทุกประเทศ เดี๋ยวพวกเธอจะ
เสียเวลาอ่านกัน5555555 นี่ห่วงนะเนี่ย!
แล้วตอนบ่ายก็ขึ้นรถไฟจาก Centrale ไปสนามบิน
ความพีคคือ เครื่องจากมิลานไปบาเซโลน่า
ควรออกประมาณ 5 โมงเย็น แต่ที่สนามบินบาเซโลน่า
มีประท้วงอะไรไม่รู้ นี่เลยได้ตอนตีสองกว่า !
ชีวิตเพิ่งเคยเจอการดีเลย์ที่นานขนาดนี้ค่ะ
แล้วจองที่พักมาคืนแรกก็เสียไปเลยยยยยยย
ไอพวกฉากแบบนี้จะอยู่ใน vlog นะ ฝากติดตามที่
หน้าเพจ Bliss Out There เร็วๆนี้ รวมถึง
รีวิว EP.4 Barcelona ประเทศสเปน ฝากด้วยจ้า
https://www.facebook.com/BlissOutThere/
รักคนอ่านมากมากมาก ก.ไก่สิบแปดล้านตัว <3
Bliss Out There
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 07.54 น.