Julley!! Lost in Leh Ladakh 2019

ออกเดินทางไปพร้อมกันเลยจ้าา let's Goooooo

Day 1 25 May : BKK to New Delhi

Day 2 26 May : New Delhi to Leh ladakh >> Shanti stupa, Namgyal Tsemo, Leh palace

Day 3 27 May : Leh to Lamayuru (ไปกลับ) >> Sangam of Indus & Zanskar rivers,Magnetic Hill,Moon land,Alchi Monastery,Likir monastery,Lamayuru monastery

Day 4 28 May :Leh to Nubra Valley(ไปค้าง) >>Khardongla Pass,Diskit & Hunder monastery,White sand dunes & Camel safari

Day 5 29 May : Nubra Valley to Pangong Lake(ไปค้าง) >>Shayok River way,Pangong lake

Day 6 30 May : Pangong Lake to Leh(กลับมาค้าง leh) >> Changla Pass,Hemis monastery,Thiksay monastery,Leh Bazaar

Day 7 31 May : Leh to Tsomoriri Lake(ไปค้าง)>> Chumathang Hot spring,Mahe Bridge,see Himalayan marmots on side way,Toskar lake(Small lake),Tsomoriri lake

Day 8 1 Jun : Tsomoriri Lake to Leh (กลับมาค้าง leh) >> Shopping at Leh city,Sigh seeing

Day 9 2 Jun : Leh to New Delhi (กลับแล้วจ้า)

ช่วงเวลาการเดินทาง 25 พฤษภาคม 2562 ถึง 2 มิถุนายน 2562 รวม 9 วัน 8 คืน จ้าาา ถือว่าพวกเราวางแผนช่วงเวลาได้ค่อนข้างดีนะครับ เพราะเวลาประมาณนี้ทำให้เราเก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ Leh ได้ทั้งหมดแบบ 100% แบบไม่ต้องเร่งรีบมากจนเกินไป ดังนั้นใครที่กำลังจะเดินทางไปเที่ยว Leh ladakh แล้วอยากเก็บที่เที่ยวให้ครบหมดใน trip เดียวผมขอแนะนำว่าควรจะมีเวลาอย่างน้อยประมาณ 9-10 วันครับ

การเดินทาง

การเดินทางทั้งหมด 4 ขาเราใช้บริการ Full service ของ Air India จ้าา (แค่ได้ยินชื่อก็ขนลุกกันแล้วใช่มั้ย 55+)

**สังเกตุว่าเราเดินทางกลับกันวันที่ 4 มิถุนายน นะครับเนื่องจากเราอยู่เที่ยวที่อินเดียกันต่ออีก 2 วัน**

การเดินทางครั้งนี้ของเราถือว่าค่อนข้างราบรื่นครับ ไม่มีดีเลย์ ไม่มียกเลิกไฟลท์ ถือว่าเวลาเดินทางค่อนข้างเป๊ะโชคดีมากๆ ส่วนเรื่องการบริการบนเครื่องก็ทั่วๆไปครับ ไม่มีอะไรพิเศษ เรื่องที่กังวลสำหรับผมเกี่ยวกับสายการบินนี้มีอยู่แค่ 2 อย่างครับคืออาหารกับกลิ่น เรื่องแรกสำหรับใครที่ไม่ชอบอาหารอินเดีย หรืออาหารที่มีเครื่องเทศกลิ่นแรงแบบผม คงทานไม่ได้แน่ๆครับ ส่วนเรื่องกลิ่นบนเครื่องผมค่อนข้างโอเคนะครับไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้ 55+

มาเริ่มกนัเลยครับ

Day 1-2 25-26 May 2019 : New Delhi to Leh ladakh >> Shanti stupa, Namgyal Tsemo, Leh palace

เริ่มออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิตรงตามเวลาเลยครับ 21.30 น.เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี ประมาณ 00.00 น. (เวลาที่อินเดียช้ากว่าไทยเรา 2 ชั่วโมงนะครับ) หลังจากนั้นเราต้องไปรับกระเป๋าจากสายพาน เพื่อนำไปโหลดอีกครั้งที่ช่องเดินทางภายในประเทศ (ตรงนี้ไม่ต้องกังวลนะครับจะคอยมีเจ้าหน้าที่แนะนำตลอดทาง) เราจัดการทุกอย่างเสร็จประมาณ 01.00 น.ก็ไปนอนรอที่หน้า gate ยาวๆเลยครับ ผมแนะนำว่าใครหิวให้ไปซื้อพวก KFC หรือ McDonald มาทานรองท้องได้นะครับ มันจะเป็นอาหารที่คุ้นเคยก่อนที่เราจะไม่ได้เจอไปอีก 9 วัน 555+ ส่วนตัวผมสั่ง Burger ไก่ทอด KFC มากินรสชาติผมว่าโอเคเลยไก่แอบอร่อยกว่าไทยนิดนึงด้วย **ต้องขออภัยด้วยครับที่ไม่มีภาพตอนนั้นทั้งง่วงทั้งหิวเลยไม่มีอารมย์ถ่ายเลย

และแล้วเวลาที่เราลอยคอ เอ้ยรอคอยก็มาถึง 05.30 เครื่องบินของเรามาจอดเทียบ gate แอบดีใจที่เครื่องไม่ดีเลย์ แต่ก็แอบหงุดหงิดเพราะกำลังหลับสบายเลย 55 (นอนบนเก้าอี้หน้า gate นั่นแหละครับ) ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันละก็เดินขึ้นเครื่องกันเลยจ้า ตื่นเต้นมากๆ

หน้าตาเครื่องบินของเราจ้าขนาดพอๆกับเครื่องบินภายในประเทศของไทยเลยครับ ตอนแรกแอบกังวลว่าจะเป็นเครื่องเล็ก แต่เอาเข้าจริงแถวที่นั่งเป็น 3x3 นะครับ **สำคัญมากตอนเช็คอินจองที่นั่งขาไปให้เราจองที่นั่งทางฝั่งซ้ายและท้ายหรือหน้าเครื่องไปเลยเพราะจะเห็นวิวพอดี** ย้ำว่าฝั่งซ้ายท้ายหรือหน้าเครื่องจะได้ไม่โดนปีกบังเด้อ เราไปกับ 4 คน จองที่นั่งแถวท้ายๆ ฝั่งซ้ายกันหมดเลยครับ แอบทำการบ้านมานิดนึง

รูปบนเครื่องไม่ได้ถ่ายอีกตามเคยเพราะว่าง่วงมากครับ แต่และแล้วพอนั่งมาได้ประมาณ 40 นาที ก็เริ่มได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายกันใหญ่ทุกคนต่างหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายออกไปนอกหน้าต่าง ผมก็ไม่รอช้ารีบมองออกไปนอกหน้าต่างเท่านั้นแหละครับ โอ๊วโหววิวหลักพันล้านไปเลยจ้า

ในภาพว่าสวยแล้วไปเจอด้วยตาตัวเองนี่อึ้งไปเลยครับ เหมือนเรากำลังมองภาพวาดขนาด 360 องศาไปเลยครับ นั่งมาประมาณ 1 ชั่วโมงกัปตันก็ประกาศให้เตรียมตัว landing ความร้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็วมากเหมือนนั่ง BTS จากสยามไปทองหล่อเลย55 มองผ่านหน้าต่างเครื่องบินออกไปก็เริ่มเห็นพื้นดินละครับยกกล้องถ่ายไม่ทันเลยต้องใช้มือถือถ่ายมาได้แค่นี้แหละ ^^

บอกตามตรงความรู้สึกตอนนั้นทั้งตื่นเต้นทั้งกังวลกันเลยทีเดียว หลังจากเครื่องลงจอดเราก็นั้งรถ Shuttle bus จากลานจอดเข้ามาที่อาคารผู้โดยสาร ช่วงระหว่างรอรถอากาศแบบหนาวมากครับน่าจะประมาณ 5 องศาไดเแถมลมแรงมากๆ ทำเอาหน้าชาไปเลย มีนักท่องเที่ยวบางคนลงมาแล้วปรับตัวไม่ทันคลื่นไส้อาเจียนก็มีนะครับ เพราะปรับตัวกับระดับความสูงและสภาพออกซิเจนเบาบางไม่ได้ (ใครจะเดินทางมาที่ Leh ให้ลองศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภาวะ AMS หรือ Acute mountain Sickness มาก่อนนะครับ ถ้าไม่มีข้อห้ามหรือประวัติแพ้ยาควรจะทานยา Acetazolamide(Diamox) เพื่อป้องกันภาวะนี้ด้วยนะครับ

**ข้อแนะนำการรับประทานยา Diamox 250 mg เพื่อป้องกันภาวะ AMS ให้ทานยาขนาด 125 mg(0.5 เม็ด) วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น 1 วันก่อนออกเดินทาง ระหว่างอยู่ในพื้นที่อย่างน้อย 2-3 วัน หรือนานกว่านั้นจนมั่นใจว่าปรับตัวหรือชินกับสภาวะการอยู่บนที่สูงก็สามารถหยุดทานยาได้** ใครมีข้อสงสัยเรื่องการกินยาตัวนี้หรืออยากได้คำแนะนำการเตรียมยารักษาโรคอื่นๆ ที่จำเป็น comment มาถามได้เลยนะครับยินดีตอบมากๆ**

เอาล่ะมาต่อกันดีกว่า หลังจากเข้ามาในอาคารก็รอรับกระเป๋าที่สายพาน ยื่นใบตม.+Passport+VISA ก็เป็นอันเรียบร้อย จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยประมาณ 08.00 น. จากนั้นเราก็เดินออกมารอไกด์ที่เราติดต่อไว้ที่ด้านหน้าสนามบินไม่นานเค้าก็มาพร้อมป้ายที่มีชื่อพวกเรา let go ไปโรงแรมกันดีกว่า

พวกเราใช้บริการบริษัท https://www.facebook.com/mysticmountainsladakh/ นี้นะครับใครสนใจหลังไมล์มาถามได้ครับ บริการดีมาก เรา list สถานที่และตารางเวลาไปให้เค้าก็จะจัดแผนและที่พักตามที่เรารีเควสไปเลยครับ ราคามิตรภาพ

**ถ้าจะให้คุ้มและลงตัวจำนวนผู้ร่วมทริป ควรจะเป็น 4 หรือ 7 หรือมากกว่านั้นไปเลยเนื่องจากการเที่ยวที่ Leh นั้นการเดินทาง 100% เราจะต้องนั่งรถซึ่งที่ผมสังเกตุจะมีรถหลักๆอยู่ 2 แบบคือ Toyota Innova แบบ 7 ที่นั่งซึ่งจะพอดีสำหรับ 4 คน +คนขับ 1 คน +กระเป๋าเดินทาง ส่วนอีกแบบจะเป็นรถ Van น่าจะจุได้ประมาณ 10-11 คนแต่ถ้าจะนั่งกันแบบไม่อึกอัดมากสัก 7-8 คนกำลังดี เพราะเราต้องใช้ชีวิตกันบนรถกันค่อนข้างเยอะจะได้ไม่เบียดกันมาก**

จากสนามบินใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเราก็เดินทางมาถึงโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองใกล้ๆกับ main bazaar เลยครับโรงแรมที่ leh ที่เราจะพักทั้งหมด 4 คืนชื่อว่า Hotel grand willow เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างใหม่นะครับเป็นตึก 3 ชั้น ห้องก็โอเคเลยมีน้ำอุ่น ชักโครก เหมือนโรงแรมต่างจังหวัดของบ้านเรานี่แหละครับ บรรยากาศอย่างชิวเลยครับ เห็นแดดแบบนี้อุณหภูมิน่าจะประมาณ 8-10 องศาเองนะครับ

โรงแรมเรามีทั้งหมด 2 ตึกสถาปัตยกรรมก็ดูแปลกตาดีครับ

เราเดินทางมาถึงโรงแรม check-in เรียบร้อยก็เก็บกระเป๋าและพักผ่อนเพื่อปรับสภาพร่างกายเนื่องจาก ตัวเมือง Leh นั้นมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 11,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเลซึ่งอากาศเบาบางมากสำหรับคนไทยแบบเรา ถ้าจะเทียบง่ายๆว่าสูงแค่ไหน ดอยอินทนนท์สูงประมาณ 8,400 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ตัวเมือง Leh มีความสูงกว่าถึงเกือบ 3,000 ฟุตหรือเกืบ 1 กิโลเมตรเลยเด้อ

**สำหรับใครที่คิดว่าร่างกายตัวเองไม่แข็งแรง,พักผ่อนไม่เพียงพอหรือยังปรับสภาพไม่ได้ สังเกตุจากอาการดังนี้ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย อ่อนแรง คลื่นไส้ อาเจียน เบลอ หรือคล้ายจะเป็นลมในวันแรกควรนอนพักผ่อนที่โรงแรมให้เต็มที่ไม่ต้องเสียดายเวลาแล้วค่อยเริ่มเดินทางเที่ยวเช้าวันถัดไป**

แต่ๆสำหรับพวกเราแล้วนั้นแอบซ่าไปหน่อยนัดให้ไกด์มารับไป sigh seeing กันตอนบ่าย 3 โมงเลยจ้าโดยโปรแกรมบ่ายวันนี้เราจะไป Shanti stupa, Namgyal Tsemo, Leh palace

บ่าย 3 โมงตรงพวกเรากำลังหลับสบายเลยก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น(เราจองโรงแรมแบบนอนด้วยกัน 4 คนนะครับห้องใหญ่แบ่งเป็น 2 ห้องนอนย่อย) เท่านั้นแหละครับรีบแต่งตัว พร้อมออกเดินทางทันทีเพราะเกรงใจไกด์กันมากทำไงได้เรายึดการนัดแบบเวลาไทยนี่นา55 หลังจากนั่งรถจากโรงแรมมาประมาณ 20 นาทีขับผ่านเมืองขึ้นเขาเล็กน้อยเราก็เดินทางมาถึง Shanti stupa สถานที่แรกของวันซึ่งเป็นคล้ายกับเจดีย์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสามารถเห็นวิวเมืองได้ วันนี้โชคร้ายหน่อยครับฟ้าครึ้มๆไปหน่อย

ระหว่างทางเดินขึ้นเจดีย์พวกเราต้องนั่งพักเป็นระยะครับ เนื่องจากยังปรับตัวได้ไม่ดีมากเหนื่อยง่าย หายใจเร็วมมากครับ ผมแนะนำถ้าใครจะออกเที่ยวตั้งแต่วันแรกแบบพวกเราให้เคลื่อนไหวช้า หายใจลึกๆ ดื่มน้ำบ่อยๆ หรือถ้าเป็นไปได้ให้เช่าถัง Oxygen ติดไว้ด้วยก็ดีครับ

เดินตามทางมาสักพักประมาณ 10 นาทีเราก็ขึ้นมาถึงเจย์ดีด้านบน ระหว่างทางก็จะมีธงปักตลอดทางเลยครับ แต่ผมก็ไม่รู้นะว่ามีความหมายอะไรมั้ย 55

Shanti stupa เป็นเจดีย์สีขาวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มีมางเดินบนตัวเจย์ดีย์ 2 ชั้นซึ่งคนเยอะมากทำให้พวกเราไม่ได้ขึ้นไปบนตัวเจย์ดี หนีมาถ่ายรูปวิวรอบๆเจดีย์ซะเลย 55

ธงมนต์ทิเบตหลากสีถูกผูกไว้ริมระเบียงรอบเจดีย์ปลิวสวยดีเลยถ่ายเก็บไว้หน่อยครับ

เสียดายวันนี้ฟ้าไม่เปิดเลยได้ภูเขาอารมณ์อึมครีม เศร้าๆหน่อยครับ หลังจากใช้เวลากับที่แรกสักพักประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็นั่งรถไปต่อกันอีกประมาณ 15 นาที ก็ถึงวัด Namgyal Tsemo ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกันแต่ระดับความสูงนั่นสูงกว่า Shanti stupa เล็กน้อยอาการเริ่มมาครับเหนื่อยมากจนเดินขึ้นกันไม่ไหว จึงตัดสินใจกันว่าจะถ่ายรูปกันแค่ด้านล่างก็พอ

มองจากตรงนี้สามารถมองเห็น Shanti stupa อยู่ไกลๆได้เลยครับ

หลังจากพักเหนื่อยกันเรียบร้อยก็เดินทางไปจุดสุดท้ายของวันนี้ก็คือ Leh Palace นั่นเอง Leh Palcae คือพระราชวังเก่าแก่คู่เมือง Leh ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Leh สามารถมองเห็นวิวเมืองได้แบบ 360 องศาเลยครับ สำหรับคนไทยเสียค่าบัตรเข้าชมคนละ 50 Rs นะครับ

ตัว palace ออกแบบมาคล้ายๆกับเป็นป้อมปราการค่อนข้างแน่นหนาถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีทั้งหทด 7 ชั้นนะครับและ Leh Palace ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย


จากที่จอดรถเราต้องเดินประมาณ 400 เมตรกว่าจะถึงตัว Palace บอกเลยว่าเหนื่อยกันมากๆครับ จนทำให้มีพี่ในกลุ่มเราคนนึงถึงขั้นมีภาวะ attitude sick หรือ AMS ขึ้นมาเลยครับ(ตรงส่วนนี้เดี๋ยวจะขอมาเล่าเป็นพาร์ทแยกอีกทีนึงนะครับ) จึงทำให้เราต้องปรับแผนมาซ่อมที่ leh palace กันในวันสุดท้ายอีกทีครับ


ก่อนถึงจุดขายตั๋วก็มีเจ้าถิ่นนอนเฝ้าทางขึ้นเต็มไปหมดเลยครับ


ภายในก็จะแบ่งเป็นห้องๆ ซึ่งค่อนข้างมืด นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะและบางจุดไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพผมจึงถ่ายมาได้แค่บางส่วนครับ


ถ่ายวิวเมืองจากระเบียงรูปด้านบนครับ

เราเดินอยู่ในตัว Palace กันประมาณ 1 ชั่วโมง ผมอยากแนะนำใครที่ไปเที่ยวที่ Leh palace อย่าลืมขึ้นไปชมวิวเมือง Leh บนชั้นดาดฟ้ากันนะครับรับรองไม่ผิดหวัง

มีความ Contrast ระหว่างเมืองกับต้นไม่สวยดีครับ

ปิดท้ายทริปวันแรกกันแบบตื่นเต้นกันพอสมควรขอตัวกลับไปนอนเอาแรงเพื่อเตรียมตัวลุยกรุ่งนี้กันต่อครับ อ้อที่ Leh จะมืดค่อนข้างช้านะครับ ทุ่มนึงยังสว่างมีแสงออดอยู่เลยบางวัน

Day 3 27 May 2019 : Leh to Lamayuru (ไปกลับ) >> Sangam of Indus & Zanskar rivers,Magnetic Hill,Moon land,Alchi Monastery,Likir monastery,Lamayuru monastery

มาเริ่มวันที่ 3 กันเลยจ้าวันนี้เนื่องจากต้องนั่งรถออกไประยะทางค่อนข้างไกลเลยนัดกับไกด์เช้านิดนึงครับประมาณ 08.30 น.หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อย(กินได้แค่ Omlet,Toast,Conflex,นมสดร้อน(อร่อยมาก) ที่เหลือเป็นแกงอินเดีย ขอบายเด้อ)

เราเดินทางโดยใช้ highway สายหลักเพื่อออกนอกเมืองถนนที่ Leh ช่วงออกนอกเมืองค่อนข้างดีเลยนะครับแต่เป็นแบบสวนเลนส์บางช่วงแคบหน่อยก็แอบมีเสียวอยู่บ้าง ยังดีที่รถไม่ค่อยเยอะมากครับ


ออกมาได้สกพักประมาณ 30 นาทีไกด์ก็จอดที่จุดชมวิวข้างทางให้เราแวะถ่ายรูปเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนเลยครับ

จากนั้นเราออกเดินทางกันต่อไปที่ Magnetic Hill ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ผมอยากเดินทางมาที่ Leh เห็นรูปจากริวิวหลายอันแล้วมีความน่าสนใจ แต่พอมาจริงๆแล้วผมรู้สึกเฉยๆนะครับ

จริงๆมันคือถนนที่เป็นเนินๆ ขึ้นไปละทำให้รถเคลื่อนที่ได้เองเหมือนกันภูเขาดึงดูดรถ คล้ายๆกับที่มีที่เมืองไทยนี่แหละครับ รถวิ่งกันเร็วมากครับกว่าจะหาช่วงถ่ายรูปได้ยืนรอกันจนไหม้เลยจ้า


ถ่ายรูปกับป้ายกันหน่อยเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงนะครับ 55

บรรยากาศห้องน้ำแบบ open air แต่ผมไม่เสี่ยงเข้านะครับขอเข้าแบบโล่งๆ ธรรมชาติดีกว่า 55+

เราใช้เวลาอยู่จุดนี้กันแค่ประมาณ 30 นาทีก็ออกเดินทางไปจุดต่อไปเริ่มเห็นภูเขาแบบแปลกตามากขึ้น

เดินทางกันต่อมาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงจุดไฮไลท์ของวันนี้นั่นก็คือ Sangam of Indus & Zanskar rivers คือจุดที่แม่น้ำ 2 สายมาบบรจบกันโดยเราจะเห็นเป็นแม่น้ำ 2 สีไหลมาบรรจบกันบอนเลยครับตรงนี้คือวิวหลักล้านมากๆ ทุกคนถึงกับตะลึงกันไปเลย 55+

วิวเหมือนกันเรามองภาพวาดอยู่เลยครับ ของจริงสวยกว่าในภาพจริงๆครับอันนี้คอนเฟิร์ม หันกล้องไปถ่ายทางไหนก็สวยไปหมด

รอช้าอยู่ใยนางแบบเราพร้อมมากครับจุดนี้ (ใครจะมาถ่ายจุดนี้ผมแนะนำใส้เสื้อสีสดๆมาภาพจะสวยขึ้น)

กรุ๊ปช็อตกันอีกสักภาพ

ออกเดินทางกันต่อครับเส้นทางนี้อีกยาวไกลนี่เราออกนอกเมืองกันมาได้ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย พอออกจากจุดนี้สักพักมองออกไปข้างทางเห็นภูเขาสีแปลกๆ พื้นผิวแปลกๆอยู่ดีๆไกด์เราก็จอดรถตรงป้ายถึงได้รู้ว่ามันคือ Moon land นั่นเองที่เรียกแบบนี้เพราะลักษณะพื้นผิวของภูเขาน่าจะคล้ายๆดวงจันทร์ คล้ายจริงป่าวผมก็ไม่รู้นะครับ ยังไม่เคยไปเที่ยวดวงจันทร์สักที หาวันลางานไม่ได้ 55

เสียดายแถวนี้เสาไฟสายไฟค่อนค้างเยอะหามุมถ่ายภาพยากมากๆเด้อ

TT ไม่คิดว่ามาที่นี้จะเจอการขีดเขียนป้ายเหมือนกันครับ

ตาม concept ครับ เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง อากาศหนาวเอาเรื่องเหมือนกันนะครับเห็นแดดจ้าแบบนี้ แถวบริเวณนี้เป็นทางโค้งใครแวะถ่ายรูปก็ระวังอุบัติเหตุกันด้วยนะครับ

เดินทางกันต่อครับคราวนี้เราจะออกเดินทางกันไปที่ Alchi Monastery เป็นวัดที่อยู่ริมแม่น้ำหน้าวัดมีของฝากพื้นเมืองขายเต็มไปหมดครับ ราคาแอบแพงกว่าในเมือง leh นิดหน่อยแต่ของบางชิ้นก็สวยกว่านะครับใครได้มาก็อุดหนุนชาวบ้านซื้อติดมือกันคนละชิ้นสองชิ้นก้ได้ครับ เดินมาถึงหน้าวัดเจอคุณยายนั่งขายของอยู่เลยขออนุญาตแกถ่ายภาพ คุณยายน่ารักมากครับพยักหน้าใหญ่พร้อมกับพูดภาษาท้องถิ่นซึ่งแน่นอนผมฟังไม่รู้เรื่องแต่เห็นพยักหน้าเอาเป็นว่าคุณยายคงอนุญาตแหละ 55!

เข้าวัดไปไหว้พระทำบุญกันหน่อยครับก่อนเข้าวัดจะมีค่าบัตรถ้าจำไม่ผิดคนละ 100 Rs นะครับ วัดที่นี่จะค่อนข้างมีหลายห้องให้เข้า สถาปัตยกรรมแปลกตาสวยงามตามท้องเรื่องครับ

ออกจากวัดได้เวลาบ่ายโมงพอดีก็เลยไปแวะกินข้าวกลางวันเติมพลังกันก่อน เหมือนเดิมครับผมกินไม่ได้เหมือนเดิม 55+ ดีนะที่เตรียมน้ำพริกเผากับหมูฝอยไปด้วย เลยรอดไปได้ เราพักกินข้าวกันประมาณ 1 ชั่วโมงจากนั้นออกเดินทางไปจุดต่อไประหว่างทางมีข้ามแม่น้ำเป็นระยะๆ เห็นสะพานนี้สวยดีพวกเราเลยแวะซะหน่อย(จริงๆแวะตลอดทาง เอิ๊กๆๆ)

ออกเดินทางกันต่อครับสถานี้ต่อไป Likir monastery พอเราผ่านเข้าซุ้มประตูวัดมองเห็นวัดอยู่ไกลๆไกด์ก็จอดรถแล้วไล่พวกเราลง ตอนแรกก็งงว่าถึงแล้วติ ทางอกตั้งไกลสรุปคือไกด์บอกว่าตรงนี้เป็นจุดถ่ายภาพยอดฮิตของวัด ผมแอบคิดในใจจุดถ่ายภาพไรฟระอย่างไกล ไหนๆก็ไหนๆ ไกด์ตั้งใจแนะนำเลยยืนเป็นแบบให้เค้าซะหน่อย 55

ด้านบนมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สวยงามแปลกตาดีครับ กว่าจะเดินขึ้นไปถึงเหนื่อยเอาเรื่องเลยจ้า แต่ก็คุ้มกับวิวที่ได้มา

รูปแบบอาคารจะคล้ายๆกันนะครับเป็นตึกปูน รูปแบบสี่เหลี่ยมสีแนวเอิร์ธโทน


มาดูวิวจากมุมบนวัดกันบ้าง OMG งามแงะมากๆครับ


ออกเดินทางกันต่อไปวัดสุดท้ายของวันนี้ (วันนี้เหมือนเป็นทริปเดินทางไหว้พระเลยครับ) โดยวัดสุดท้ายของวันนี้ก็คือ Lamayuru monastery พอถึงวัดพวกเราแทบไม่มีใครอยากลงละครับจังหวะนี้ แต่กลัวจะเสียน้ำใจพี่ไกด์ก็เลยต้องลง แต่ว่าไม่ผิดหวังครับ ไม่เชื่อลองดูเด้อ

อาคารคล้ายๆกับวัดก่อนหน้านี้เลย

วันนี้หลวงพี่ปิดโบสถ์เลยอดเข้าเด้อ ขอถ่ายรูปกับประตูก็ยังดี 55

เวลาล่วงเลยมาเกือบ 5 โมงเย็นได้เวลาเดินทางกลับละครับขากลับไกด์บอกว่าจะพาไปทางเลียบแม่น้ำเพื่อไปชมบริเวณจุดตัดแม่น้ำ Sangam of Indus & Zanskar rivers ด้านล่าง

พอมาถึงเราลงไปถ่ายรูปกันได้ไม่เยอะครับคือมันหนาวมาก + ลมแรงมากเลยขอกลับดีกว่า อีกอย่างมองจากด้านบนลงมาสวยกว่าเยอะเด้อ

กลับมาถึงโรงแรมประมาณเกือบๆ 1 ทุ่มที่โรงแรมวันนี้มีการแสดงให้ชมซะด้วย ดูไปดูมาก็คล้ายๆกับรำวงของไทยเรานี่แหละครับ

กลับมาอาบน้ำนอนพักกันแป๊ปนึงก็ออกไปหา street food กินกันหน่อยจากโรงแรมเดินไปไม่ไกลประมาณ 400 เมตรก็เป็น Leh bazaar ละครับมีพี่คนนึงในทริปรีวิวมาว่ามาที่นี้ต้องไปกินแกะย่างรอช้าอยู่ใยเรื่องของกินเราไม่พลาดอยู่แล้ว

แถวตลาดจะมีร้านแบบนี้เต็มไปหมดเลยครับคล้ายๆกับร้านหมูปิ้งที่ไทย แต่ที่นี่จะเป็นเนื้อไก่กับเนื้อแกะย่าง มีชื่อเรียกท้องถิ่นว่า Motton ถ้าฟังไม่ผิดเขาออกเสียงว่า เมอ-เท่น มันคือแกะย่างนั่นเอง

รสชาติเอาเรื่องอยู่นะครับคล้ายๆ สเต๊กเนื้อ ไม่มีกลิ่นเลยสำหรับคนกินยากอย่างผมให้ผ่านครับ กินกับแป้งโรตี้ปิ้งกับซอสสีขาวๆ เฉียบเลยรอดไปอีกมื้อ แต่ขอเตือนนะครับแถวร้าน Chicken&Motton จะมีมาเฟียร์เจ้าถิ่นอยู่เต็มไปหมด ระวังให้ดี

นี่แหละครับโฉมหน้าเจ้าถิ่น 55 !! จบละครับวันที่ 3 วันนี้ต้องรีบกลับไปเก็บกระเป๋าเตรียมแบ่งของสำหรับไปค้างคืนที่ Nubra valley กับ Pangong อีก 2 คืน

ติดตามกันต่อได้ที่ Julley !! Lost in Leh Ladakh 2019 Part 2 ได้ที่ https://th.readme.me/p/27032

Mister.Koke'

 วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.40 น.

ความคิดเห็น