**ไม่เหมือนใคร เพราะเราจะไปปีนภูเขาไฟตอนตีสามที่ไม่ใช่โบรโม่กัน**

*ทริปนี้อาจจะมี itinerary ที่ไปตามแหล่งยอดฮิตบ้าง แต่ไฮไลท์คือปีนเขาค่ะ ดังนั้นจะไม่ลงรายละเอียดที่อื่นมาก*


Day 1 Ulun Danu

หลังจากลงหางแดงที่สนามบิน Ngurah Rai ก็นัดเจอไกด์ เขาพาเราไปแลกเงิน จากนั้นก็ไปกินข้าวมื้อแรกที่ Mallioboro ร้านอาหาร Local ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวบาหลีเอง เรียกว่าเป็นร้านดังใกล้สนามบิน

จากนั้นไปตรงไป Ulun Danu Temple วัดเก่าแก่ริมทะเลสาป (ค่าเข้าคนละ 50000 IDR = ประมาณ 108 บาท)


มีเรือเป็ดให้ถีบด้วยนะ

ไปวันที่หมอกลงก็สวยไปอีกแบบ

จบวันแรก เช็คอินที่ รร. Tebesaya Cottage ที่ Ubud ราคาน่ารัก พนักงานบริการดีมากกกกก




Day 2 Batur Trekking-Hot spring-Luwak farm-Tirta Empul

เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขา Batur กัน เนื่องจากใช้เวลาเดิน/ปีนขึ้นประมาณ 2 ช.ม. เราจึงต้องออกจากรร.ตั้งแต่ก่อนตีสาม เพื่อไปให้ถึงตีนเขาตอนตีสามครึ่ง

*แพ็คเกจขึ้นเขา ประมาณ 1600 บาท/คน ถ้าไปเยอะกว่านี้ จะถูกกว่านี้ เพราะคิดราคาเหมาไกด์นำขึ้นเขา*

นักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะมาก ทั้งเอเชียและตะวันตก วันที่ไปไม่เจอคนไทยเลยค่ะ จากนั้นเราก็ไปเจอไกด์นำขึ้นเขาซึ่งจะเป็นคนละคนกับไกด์ขับรถ ไกด์นำขึ้นเขาเป็นคนท้องถิ่นที่เหมือนมารับจ็อบเป็นครั้งคราวไป ไกด์มาพร้อมกับไฟฉายให้ลูกค้าคนละอัน

จากนั้นเราก็เดินขึ้นเขากันท่ามกลางความมืด มืดมากๆ มองขึ้นไปเห็นดาวทั้งฟ้า แต่มันไม่น่ากลัวตรงที่คนเป็นร้อยๆ ทะยอยเดินตามกัน ไม่มีความวังเวงเลย ฝรั่งก็เม้ามอย จีนก็เม้ามอย

เดินไปได้ครึ่งช.ม. โดยที่ช่วงแรกเป็นถนนราดยางมะตอยอย่างดี แต่ชันมาก (น่าจะเกิน 30 องศา) จากนั้นไกด์และลูกค้าอย่างเราและเพื่อนซึ่งเป็นผู้หญิงหมดเลยก็ดูสภาพแล้วคงต้านแรงหนืดไม่ไหว ไกด์เลยเปลี่ยนเส้นทางไปอีกทางหนึ่งที่เป็นทางธรรมชาติ มีแต่หิน ดิน กรวด แต่ไม่ใช่สโลปเหมือนถนนตอนแรก เป็นทางขึ้นเขาที่ต้องเดินและปีน แต่เพราะว่ามันเป็นทางที่คนใช้เยอะอยู่แล้ว เลยไม่ถึงกับต้องฝ่าดงไม้ มีบางช่วงที่ขั้นสูงมากก็ต้องใช้มือช่วยพยุงบ้าง

เดินพัก พักไป พักถี่ๆ แต่พักสั้นๆ เราก็ไปถึงยอดเขาตอน 5.35 น. น่าจะได้ มีฝรั่งสาวที่เดินตามมาถึงกับร้องไห้ด้วยความปีติว่า ถึงสักทีโว้ยยย

บรรยากาศข้างบน คนเยอะ แต่เย็นพอสมควรเนื่องจากยังเช้ามืดและมีลมแรง

มีที่ให้จับจองนั่งพักผ่อนกันได้ตามอัธยาศัย เราก็กินขนมปังและผลไม้ที่รร. แพ็คมาให้ (เพียงแค่เราแจ้งเขาว่าเราจะไม่อยู่ทานมื้อเช้าเพราะจะมาขึ้นเขา พนักงานก็จัดการเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ ใส่กล่องไว้ให้ตอนเช้ามืดเลย)

สิ่งที่ได้เห็นกับอากาศเย็นๆ ทำให้หายเหนื่อยไปเลย

มองไปจะเห็นภูเขาฝั่งตรงข้าม เหนือทะเลสาป Danau Batur (รูป header นั่นเองค่ะ)

จากจุดที่เรานั่งชมวิว เดินไปอีกนิดจะเจอยอดเขาขึ้นไปอีก บริเวณนี้มีฝูงลิงเจ้าถิ่นอยู่ตามธรรมชาติ สัญชาติญาณสัตว์ป่าสูง อย่าถืออะไรให้เขามาแย่งกินได้ล่ะ

นักท่องเที่ยวบางส่วนก็เดินขึ้นต่อ เพื่อไปยอดของยอดอีกที แต่เราต้องทำเวลา เลยต้องเดินลงแล้ว ลุ้นมากว่าจะเดินกลับทางที่ขึ้นมารึป่าว เพราะเตรียมเหนื่อยและเสียวได้เลย

แต่สุดท้ายไกด์บอกว่าจะพาลงอีกทาง เป็นทางลัด ซึ่งเป็นทางสโลปปกติ ไม่ต้องปีน แต่ไม่ใช่ถนนราดยางมะตอยนะ เป็นทางกรวดแดงเลย ตอนแรกคิดว่าชิว แต่คิดว่าเพราะขาลงนี่แหละที่ทำให้เราปวดเข่าในที่สุด เพราะการเดินทางลงสโลป(และโค้ง) ต้องใช้แรงเบรคตลอดเวลา ถ้าไม่เบรคก็ไถลแน่นอน กว่าจะเดินถึงจุดที่รถสามารถขึ้นมารับได้ เล่นเอาแย่เหมือนกัน

วิวระหว่างทางลง นี่คือทะเลสาปและภูเขาที่เราเห็นตอนอยู่ข้างบน พอขาลงก็เหมือนเดินลงมาใกล้ทะเลสาป สวยมากๆ

หลังจากลงมาเจอไกด์ขับรถแล้ว ก็พาเราไปบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ริมทะเลสาปนั่นแหละ ลงไปแช่ผ่อนคล้ายกล้ามเนื้อที่โดนใช้งานอย่างหนักมาหลายช.ม. (ค่าเข้าประมาณ 330 บาท ไม่รวมบริการนวด)

ละแวกนั้นมีสปากึ่งบ่อน้ำร้อนอยู่ติดๆ กันประมาณ 2-3 เจ้า บ่อน้ำร้อนแบบนี้มีทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนอินโดฯมาเที่ยว เป็นที่นิยมอยู่พอสมควร


แช่ตัวหายเมื่อยแล้วไกด์พาไปไร่กาแฟ เพื่อชิมกาแฟขี้ชะมดชื่อดังของที่นี่

ได้ชิมทั้งกาแฟขี้ชะมด และกาแฟอื่นๆ ที่เขาขาย จัดมาชิมครบทุกรส ทั้งผสมโกโก้, วนิลา. โสม ฯลฯ

ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบกาแฟขี้ชะมดเท่าไหร่ ยังรู้สึกว่าโรบัสต้าหรืออาราบิก้าธรรมดาอร่อยกว่ามาก 555

แวะทานมื้อเที่ยงตอนบ่ายๆ แล้วไปต่อที่ Tirta Empul Temple หรือวัดบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ คนอินโดมาอาบน้ำเพื่อความเป็นสิริมงคลเยอะมาก (ค่าเข้าประมาณ 32 บาท)


ถือว่าเป็นวัดที่คนท้องที่มาเยอะเลย เพราะหลายบริเวณก็เปิดให้เข้าหรือมีพิธีตลอด

กลับ รร. กัน เพราะหมดแรงแล้ว

ช่วงบ่ายๆ ที่รร. มีบริการของว่างและเครื่องดื่มฟรีให้ลูกค้า

หนมครกอินโดและกล้วยชุบแป้งทอด ของขึ้นชื่ออินโด อร่อยมาก ทำไมที่ไทยมีแต่อีกเวอร์ชั่นนึง




Day 3 Nusa Dua-Uluwatu-Blue Point-Tanah Lot

เช้านี้ได้กินอาหารของรร. เป็น set ต่อคน ทำสดใหม่

เราเช็คเอ้าเลย เพราะคืนสุดท้ายต้องไปนอนรร. ใน Kuta ซึ่งจะใกล้สนามบินมากกว่า

ออกจากรร. ตรงไปที่ Nusa Dua บริเวณแหลมของเกาะบาหลีที่มีชายหาดยาวที่ลงเล่นน้ำได้ โรงแรมรีอสร์ทเชนดังๆ ตั้งอยู่แถวนี้หมด


ย้อนกลับมาที่ Uluwatu Temple ตั้งอยู่บนผาริมทะเล (่ค่าเข้าประมาณ 65 บาท)

มีทางเดินที่ให้เดินลัดเลาะไปตามริมผาได้ ดูปลอดภัย ไม่น่ากลัว

ที่บาหลี บางวัดต้องใส่โสร่งยาวเข้าวัด ซึ่งส่วนใหญ่มีให้ยืมฟรี

ที่นี่ก็ลิงเยอะเช่นกัน แว่นกันแดดยังใส่ไม่ได้เลย โดนสอยแน่ๆ

ออกจากวัดตรงไปหาดดังที่คนมาเล่นเซิร์ฟกันเยอะ Blue Point Beach/Single Fin

หน้าผาที่อยู่ติดกันมีร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงรีสอร์ท

ไกด์พาแวะทานมื้อกลางวันที่ร้านดังแถวนั้น

เหมือนเป็นร้านดักนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ราคาค่อนข้างสูง แต่รสชาติดีผิดคาดมาก ในรูปคือแกงไก่ จัดจ้านจนไม่น่าเชื่อว่าฝรั่งกินได้ เป็นมื้อที่อร่อยสุดในทริปนี้เลย (จำชื่อร้านไม่ได้ซะงั้น เพราะร้านนี้อยู่นอก plan ที่ตกลงกันไว้ เรา request ไกด์หน้างานว่าอยากกินของ local แซ่บๆ)

บ่ายคล้อย ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะถึง Tanah Lot Temple วัดที่อยู่บนเกาะในทะเล (ค่าเข้าประมาณ 130 บาท)

ทางเชื่อมจากหาดถึงเกาะจะเดินได้เฉพาะเวลาน้ำลงเท่านั้น บางเดือนที่เป็นฤดูน้ำ น้ำจะท่วมตลอด เดินไม่ได้เลย

ที่เกาะจะมีถ้ำเล็กๆ ให้เราได้รับน้ำมนต์ มีบันไดเดินไปต่อได้อีกนิดนึง แต่เขาไม่ได้ให้ขึ้นไปถึงข้างบน

ใช้เวลาอยู่ตรงนั้นนานพอสมควร เพราะจะรอช่วงพระอาทิตย์ตกด้วย


กลับเข้าเมือง ไปเช็คอิน รร. Harris ที่ Kuta

คืนนั้นเรากินพิซซ่าง่ายๆ ที่รร. แล้วไปร้านนั่งชิวแถวนั้น Lucky Bar Restaurant เป็น Aussie Bar มีดนตรีสดแต่คนอินโดเล่นนะ ยิ่งดึกยิ่งมีแต่คนเมา ถ้าจะนั่งบรรยากาศเงียบๆ ต้องไปร้านอื่นจ้า




Day 4

ทานอาหารเช้ามาตรฐานรร. เสร็จ ไกด์ก็มารับไปสนามบิน

รู้สึกคิดถูกที่เข้ามาพักใน Kuta ถึงแม้จะไม่อยู่ละแวกสนามบินแต่ก็ไม่ไกลมาก ยังใช้เวลาไปสนามบินเกือบ 2 ช.ม. เพราะรถติด ช่วงเช้าขาเข้า Ngurah Rai หนาแน่นมากจริงๆ ต้องเผื่อเวลาไว้ด้วย

ยังเป็นที่ๆ มาซ้ำอีกได้ เพราะรู้สึกว่ายังไปไม่ครบที่ที่อยากไปเลย

เจอกันแน่

ความคิดเห็น