วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หากใครกำลังมองหาที่พัก ที่เที่ยว แบบชิลล์ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก “บางเสร่” เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจครับ ขับรถเล่นไปเรื่อยๆ ประมาณสองชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

“สำเหร่” เดิมเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่กับตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เมื่อหมู่บ้านขยับขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จึงขอแยกออกมาจากตำบลนาจอมเทียน แล้วมาตั้งเป็นอำเภอใหม่ในชื่อ “บางเสร่” เมื่อปี 2523 ด้วยเหตุที่บางเสร่เป็นที่ราบสลับภูเขา ติดต่อกับทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพทำสวน ค้าขาย และประมง

ใครที่เคยไปเที่ยวพัทยาก็คงรู้นะครับว่าพัทยานับเป็นศูนย์รวมความเจริญ ความบันเทิงหลากหลาย มีสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย จึงทำให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศต่างแห่แหนกันมาเที่ยวที่พัทยากันอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้บางทีผมรู้สึกว่าพัทยาเป็นเมืองแห่งความวุ่นวาย แต่ใครจะรู้บ้างว่า ห่างจากพัทยาออกไปเพียง 20 กิโลเมตร ในตำบลบางเสร่ เราจะได้สัมผัสกับการใช้ชีวิตช้าๆ ในวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ของชาวบางเสร่ ถึงแม้ว่าชายหาดที่บางเสร่สวยสู้ชายหาดพัทยาไม่ได้ แต่ผมว่าใครชอบแนว Slow life ต้องประทับใจกับบางเสร่อย่างแน่นอน

สำหรับทริปนี้ผมเน้นเที่ยวแบบชิลล์ๆ ไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ โดยจุดหมายแรกอยู่ที่ไร่องุ่น Silverlake ไร่องุ่นแห่งนี้เป็นของคุณสุพรรษา เนื่องภิรมย์ อดีตนางเอกชื่อดังของเมืองไทยครับ

สีสันของ Silverlake จะหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามช่วงฤดู ผมมาเที่ยวที่ Silverlake ราวๆ 5 ครั้งได้แล้ว สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของสวนดอกไม้ที่ประดับประดาอยู่โดยรอบ แต่สารภาพเลยว่ามาเที่ยวที่นี่ทีไร ก็อยู่แต่โซนด้านหน้าเท่านั้น แต่รอบนี้พิเศษหน่อย ขอตีตั๋วรถชมไร่เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมด้านในไร่องุ่นดูบ้าง ซื้อตั๋วแล้ว เก็บหางตั๋วไว้ให้ดีๆ นะครับ อย่าทำหาย

ค่าบริการนั่งรถชมไร่องุ่น มีค่าใช้จ่าย โดยผู้ใหญ่เสียค่าเข้าคนละ 130 บาท เด็ก 90 บาท โดยรถชมไร่จะพาแวะไปตามจุดต่างๆ ครับ


โดยจุดแรกจะจอดแวะให้ถ่ายรูปคู่กับกังหัน ซึ่งด้านหน้ากังหันจะมีแปลงดอกไม้ปลูกเพิ่มสีสันให้กับกังหัน ประหนึ่งเหมือนได้มาเที่ยวที่หมู่บ้านกังหันลมโบราณแห่งอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ครับ



จุดต่อไปเป็นโรงเรือนปลูกองุ่นสายพันธุ์เอ็กโซติก ซึ่งเป็นองุ่นที่ใช้สำหรับทำน้ำองุ่น ผลองุ่นมีสีดำ เปลือกหนา รสชาติหวาน ระยะเวลาตั้งแต่ตัดแต่งกิ่งจนเก็บเกี่ยวผลผลิตใช้เวลา 120 วันครับ





ไม่ไกลจากโรงเรือนปลูกองุ่นเป็นสวนสวยที่อยู่ในโซนของมูฟวี่เฮ้าส์ สวนสวยประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นเจ้านกยูงตัวใหญ่ที่ยืนอยู่กลางสวน มีฉากหลังเป็นเขาชีจรรย์ สวยงามดีครับ



จากมูฟวี่เฮ้าส์ ไปต่อที่แอมฟิเธียเตอร์ อดใจที่จะถ่ายรูปคู่กับเจ้าหมีตัวโตที่เคียงคู่อยู่กับถังหมักไวน์ขนาดใหญ่ยักษ์ไม่ได้ครับ







รถชมไร่พามายังจุดสุดท้าย นั่นคือโรงงานผลิตน้ำองุ่นและโรงงานผลิตไวน์ โดยโรงงานผลิตไวน์ที่นี่นับเป็นโรงผลิตไวน์องุ่นที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในประเทศไทยเลยครับ ณ จุดนี้สามารถนำหางบัตรรถลากมาแลกน้ำองุ่นเย็นๆ ได้คนละ 1 ขวด ยังไงซื้อบัตรรถลากแล้ว เก็บหางตั๋วไว้ให้ดีๆ อย่าทำหายนะครับ



ใช้เวลาในการทัวร์ชมไร่องุ่นประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาทีครับ รถลากให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 โดยรถชมไร่รอบสุดท้ายออกเวลา 17.30 น. ครับ

ออกจาก Silverlake เลี้ยวซ้ายมานิดเดียว ก็มาถึงยังเขาชีจรรย์

จุดเด่นของเขาชีจรรย์อยู่ที่การสร้างพระพุทธรูปโดยวิธีแกะสลักบนหน้าผาเขาชีจรรย์ด้วยการยิงเลเซอร์ ในลักษณะพระพุทธฉายที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นพระพุทธรูปแบบประทับนั่งปางมารวิชัยเลียนแบบพระพุทธนวราชบพิตร ศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา สร้างขึ้นเพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 9 น้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติปีที่ 50 ของในหลวงครับ ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีตั้งแต่ 06.00-18.00 น.

เตร็ดเตร่จนเวลาบ่ายกว่าแล้ว เห็นทีต้องแว๊บเข้าที่พักแล้ว ทริปนี้ผมปักหมุดเข้าพักที่ “เคปบางเสร่” (Kept Bangsaray) โรงแรมชิคๆ ที่มีมุมเก๋ๆ ให้ถ่ายรูปเพียบ แถมบรรยากาศดีอีกต่างหาก

จากเขาชีจรรย์มุ่งหน้าออกมายังถนนสุขุมวิท เลี้ยวซ้ายเพื่อมุ่งหน้าสู่ อ.สัตหีบ เมื่อมาถึงแยกไฟแดงบางเสร่ให้เลี้ยวขวา ขับรถตรงไปเรื่อยๆ จนมาเจอสามแยกใหญ่ ให้เลี้ยวซ้าย ขับตรงไปอีกนิดหน่อยก็ถึงเคปบางเสร่แล้ว บอกเลยว่าจากสามแยกมายังโรงแรม ให้อารมณ์คล้ายๆ เชียงคานเลย เส้นทางเล็กๆ ที่ขนาบข้างด้วยบ้านไม้ที่ปลูกเป็นแถว ดูเรียบง่ายมากๆ คือจะบอกว่า feeling มันแตกต่างจากเมืองพัทยาอย่างสิ้นเชิงเลยครับ




บริเวณด้านหน้าโรงแรมมีลานจอดรถไว้ให้พร้อม จากลานจอดรถเดินมานิดเดียวก็ถึงตัวโรงแรมแล้ว เพียงแว๊บแรกก็เห็นมุมถ่ายรูปเก๋ๆ กับรถตุ๊กๆหัวกบ ที่จอดรอให้แขกที่เข้าพักได้มาแอ๊คท่าถ่ายภาพแล้วครับ


บริเวณ Lobby ตกแต่งแบบเรียบง่าย เน้นโทนสีฟ้า ขาว ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในท้องทะเลครับ


มีมุมให้นั่งพักผ่อน ระหว่างรอการ Check in/Check out หลายมุมเลยครับ


ใครเบื่อๆ ก็มาเล่นที่โต๊ะพูล โต๊ะโกล์ ได้ครับ อยู่ใกล้ๆ กับ Lobby นั่นแหล่ะ หรือถ้าใครไม่อยากเล่นก็สามารถหามุมถ่ายรูปได้ แค่ด้านหน้า Lobby ก็มีมุมให้ถ่ายรูปเพียบครับ


มีมุมเบเกอรี่เล็กๆ อยู่ข้าง Lobby ด้วย ผมเองขอเลือกมุมนี้เพื่อนั่งรอช่วง Check in


ระหว่างรอ Check in น้องพนักงานก็นำ Welcome Drink พร้อมผ้าเย็นมาต้อนรับ เจอสองสิ่งนี้เรียกความสดชื่นกลับมาได้เยอะเลย เรี่ยวแรงกลับมาแล้ว ไปสำรวจห้องพักกันดีกว่า คืนนี้ผมเข้าพักในห้องแบบ Kept Horizon ครับ



ห้องพักแบบ Kept Horizon จะมี 2 ชั้น โดยชั้นล่างจะเป็นส่วนของห้องนั่งเล่นและห้องน้ำ โดยห้องนั่งเล่นจะมีโซฟาให้นั่งดูทีวี ดูวิวทะเลด้านนอก มีตู้เสื้อผ้า รวมถึงมุมทำงานเล็กๆ นอกจากนี้ยังมีระเบียงให้ออกไปสูดอากาศด้านนอกได้ครับ


ภายในตู้เสื้อผ้า มีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อคลุมอาบน้ำ ไดร์เป่าผม ตู้นิรภัย ร่ม ถุงผ้าสำหรับใส่เสื้อผ้าเพื่อลงไปเล่นน้ำ ด้านล่างของตู้เสื้อผ้ายังมีตู้เย็น กาต้มน้ำ เตรียมไว้ให้พร้อม



ในส่วนของห้องน้ำก็ถือว่ากว้างขวางเลยทีเดียว แบ่งโซนเปียกโซนแห้งด้วยผนังกระจก




ชั้นสอง เป็นส่วนของเตียงนอน เป็นพื้นที่สำหรับการนอนพักผ่อนจริงๆ เพราะมีเครื่องอำนวยความสะดวกน้อยมาก คือมีเพียงทีวี และโคมไฟเท่านั้น เตียงขนาด King Size หนานุ่ม ที่ปลายเตียงมองเห็นวิวทะเลด้วย ห้อง Type นี้อาจจะไม่ค่อยสะดวกสำหรับผู้สูงวัย และคน Size ใหญ่แบบผม เพราะการจะขึ้นมาบนชั้นสองต้องอาศัยบันไดวน ซึ่งขั้นบันไดค่อนข้างแคบครับ


บริการน้ำดื่มฟรี 4 ขวด และนมกล่องเล็กๆ อีก 1 กล่อง ส่วน Minibar ที่เสียค่าใช้จ่ายมีให้เลือกพอสมควรครับ


มี Welcome Fruit เป็นแอปเปิ้ล 2 ผล ห้องพักโดยรวมถือว่าโอเคเลยครับ เตียงนอนนุ่ม หลับสบาย ผมติดที่เรื่องบันไดวนอย่างเดียว ที่เล็กไปสักหน่อย

สำรวจห้องพักกันแล้ว ไปสำรวจบรรยากาศโดยรอบโรงแรมกันบ้างครับ

มุมนี้มองจากระเบียงห้องที่ผมพักครับ


ถึงแม้ว่าเคปบางเสร่จะไม่มีชายหาดส่วนตัวให้เดินเล่น แต่ทางโรงแรมก็ได้จำลองชายหาดขนาดเล็กมาไว้ในโรงแรมครับ



ติดกับชายหาดจำลองมีบาร์เล็กๆ ด้วย


พื้นที่ส่วนนี้เป็นพื้นที่ของ Kept Water Villa ซึ่งถือเป็นพื้นที่ส่วนตัว ทางโรงแรมได้กันเขตนี้เป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับแขกที่ไเข้าพักเท่านั้น ห้องพัก Type นี้นับเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ และทำให้ผมได้รู้จักกับเคปบางเสร่ด้วย บรรยากาศคล้ายๆ กับมัลดิฟน้อยๆ เลยครับ




ติดกับ Villa เป็นสระว่ายน้ำส่วนกลาง ที่มีเจ้าเป็ดตัวบิ๊กเบิ้มสีเหลืองสดใสลอยคอ รอคอยต้อนรับแขกให้มาว่ายน้ำในสระแห่งนี้ ที่สามารถว่ายน้ำไปชมวิวทะเลไปพร้อมๆ กัน สระว่ายน้ำจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 07.00-19.00 น. ครับ


มองย้อนกลับเข้ามายังตัวโรงแรมครับ


และอีกหนึ่งไฮไลท์ของเคปบางเสร่ คือสะพานไม้ที่ทอดยาวลงสู่ทะเลนี่แหล่ะครับ ที่ปลายสะพานไม้เป็นที่ตั้งของ Kept Pier Café






Kept Pier Café บรรยากาศดีมากๆ ช่วงเย็นๆ มีแขกมาใช้บริการกันเยอะมาก

ถึงแม้ว่าที่เคปบางเสร่จะไม่มีชายหาดสวยๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินเล่น ไม่มีแสงสีสิ่งล่อตาล่อใจที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ที่นี่มีบรรยากาศที่ดีมากๆ มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปมากมาย มากจนทำให้มองข้ามในสิ่งที่ขาดหายไป ใครที่ต้องการการพักผ่อนอย่างเต็มที่ นอนเสพบรรยากาศสวยๆ แนะนำเลยว่าไม่ควรพลาดครับ

เวลา 17.00 น. ของทุกวันในวันที่ฟ้าฝนเป็นใจ ทางโรงแรมจะมี Boat Trip พาแขกที่พักในโรงแรมไปนั่งเรือชมบรรยากาศโดยรอบกันฟรีๆ ใครสนใจสามารถแจ้งความประสงค์ตอน Check in ได้เลย แล้วใกล้ๆ เวลาน้องพนักงานจะโทรศัพท์เข้าห้องพักเพื่อนัดแนะเวลากันอีกทีครับ

โดยเรือจะมาจอดอยู่บริเวณ Kept Pier Café เรือลำใหญ่ มีเสื้อชูชีพไว้บริการสำหรับทุกคน

หากมองกลับเข้าฝั่ง จะเห็นเรือประมงจอดที่ท่าเรือมากมาย ซึ่งอาชีพประมงนับเป็นอาชีพหลักของชุมชนบางเสร่ครับ

แต่ถ้ามองออกไปนอกทะเล จะเห็นตึกสูงๆ ที่ผุดขึ้นกันมากมายบนหาดจอมเทียนครับ

จากนั้นมุ่งหน้าไปยังเกาะเป็ด คนเรือบอกว่าแต่ก่อนบนเกาะนี้มีเป็ดมากมาย เกาะนี้เลยได้ชื่อว่าเกาะเป็ด แต่เดี๋ยวนี้หาเป็ดไม่เจอแล้ว เจอแต่ลิงเต็มเกาะเลยครับ คนเรือเล่าต่อว่าลิงที่นี่ว่ายน้ำเก่งมาก บางทีว่ายน้ำมาขออาหารจากนักท่องเที่ยวที่อยู่บนเรือด้วยครับ

ใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ขึ้นฝั่งเวลา 18.00 น. พอดี พนักงานยืนรอต้อนรับพร้อมเสิร์ฟคอกเทลแก้วเล็กๆ และผ้าเย็นอีกคนละ 1 ผืน ที่สำคัญบริการให้ฟรีครับ

ได้เวลาที่จองโต๊ะสำหรับมื้อค่ำแล้ว ผมไม่รอช้า เพราะตั้งใจจะรีบทานและไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก

ระหว่างรออาหาร ผมขอถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปพลางๆ ถ้าวันไหนฝนฟ้าเป็นใจ บริเวณด้านข้างของสระน้ำจะแปลสภาพเป็นห้องอาหารแบบ Outdoor แต่ถ้าวันไหนฟ้าฝนไม่เป็นใจ คงจะต้องไปทานมื้อค่ำกันที่ห้องอาหาร Kept Marine ครับ

เริ่มที่อาหารว่างและคอกเทลเย็นๆ เรียกน้ำย่อยกันก่อน คอกเทลในแก้วก้านยาว มีก้อนน้ำแข็งทรงกลมลอยอยู่ในคอกเทลสีส้มๆ ให้อารมณ์เหมือนพระอาทิตย์กำลังตก ซึ่งแก้วนี้นับเป็น Signature ของที่นี่ ในชื่อ Pattaya Sunset ครับ สำหรับคอกเทลในแก้วทรงสูง นั่นคือ Bangsaray Coder ครับ

จานแรกเริ่มด้วยพล่าปลาแซลมอน รสชาติอาจจะอ่อนเผ็ดไปสักนิดสำหรับคนชอบรสจัดแบบผม เสิร์ฟมากับหนังปลาแซลมอนทอดครับ

ต่อด้วยต้มยำกุ้ง กุ้งสดตัวโตๆ รสชาติเข้มข้น ที่ถูกใจผมมากๆ ตรงที่มีเห็ดเยอะนี่แหล่ะครับ

ตามมาด้วยน้ำพริกหมูผัด เสิร์ฟพร้อมกับแคปหมูและผักสด น้ำพริกรสชาติออกหวานไปสักนิดครับ

ปิดท้ายด้วยปลากระพงทอดราดน้ำปลาครับ

รสชาติอาหารโดยรวมผมว่าอร่อยเลยครับ ทานซะเกลี้ยงทุกจาน

ตบท้ายมื้อด้วยของหวานอย่างสตอเบอรี่ชีสเค้ก ปิดท้ายมื้อด้วยความอิ่มจนไม่อยากจะลุกไปไหนเลย อิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งบรรยากาศ

ตั้งใจจะไปเดินถนนคนเดิน แต่เจอบรรยากาศแบบนี้ แถมมีดนตรีสดที่ขับกล่อมฟังสบายๆ เข้าไป จนผมลืมที่จะไปเดินเล่นเลย มองนาฬิกาอีกทีก็เกือบ 2 ทุ่มครึ่งแล้ว ปรากฏว่า ร้านรวงบนถนนคนเดินปิดหมดแล้วครับ

กลับเข้าห้องพักมีพนักงานมา Turn Down Service ให้เรียบร้อย พร้อมชอคโกแลตวางไว้ที่โต๊ะทำงานครับ เป็นอันว่าจบวันด้วยความอิ่มเอมใจ

มาเติมพลังกับมื้อเช้าที่ Kept Marine ให้บริการตั้งแต่เวลา 06.30 ถึง 10.30 น. ครับ

Kept Marine เป็นห้องอาหารแบบ Open Air คอนเซปการตกแต่งยังเน้นความเป็นทะเลเช่นเดิมครับ

ไลน์ Buffet ก็มีให้เลือกพอสมควร รสชาติอาหารถือว่าใช้ได้ครับ

จุดนี้บริการก๋วยเตี๋ยวและไข่นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นไข่กระทะ ไข่ดาว ออมเล็ท egg benedict

ถึงแม้ว่าเมนูอาหารอาจมีให้เลือกไม่มากนัก แต่เรื่องวัตถุดิบที่นำมาใช้ถือว่าคุณภาพดีเลยทีเดียว รสชาติอาหารโดยรวมก็ถือว่าดีครับ

หลังอาหารเช้า ยังพอมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย ผมเลยใช้บริการจักรยานของทางโรงแรมที่เตรียมไว้ให้แขกได้ใช้ฟรี ไปปั่นชมวิถีชีวิตชาวบางเสร่กันสักหน่อย หลังจากที่พลาดไปเมื่อคืนครับ

ระยะทางการปั่นก็ไม่ไกลครับ ปั่นไปช้าๆ ชมบรรยากาศกันไป สองข้างทางมีร้านค้ามากมาย สามารถปั่นไปชมท่าเรือ ไปชมตลาดเช้าก็ได้นะครับ ในตลาดมีทั้งของสดและของแห้ง ให้ซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือฝากคนที่บ้านได้ครับ

สำหรับการเข้าพักที่ Kept Bangsaray โดยรวมแล้วถือว่าประทับใจครับ มาพักที่นี่เหมือนได้มาเที่ยว 2 บรรยากาศ คือได้เที่ยวทั้งทะเล และได้สัมผัสกับชุมชนเก่าที่ยังคงวิถีชีวิตแบบช้าๆ ไปพร้อมๆ กัน ห้องหับก็น่ารัก มีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย อาหารอร่อย และที่สำคัญน้องๆ พนักงานให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ใครที่ชอบบรรยากาศการพักผ่อนแบบเงียบๆ มาที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน แต่ถ้าหากใครชอบที่พักริมทะเลมีชายหาดสวยๆ ให้เดินเล่นหรือเล่นน้ำทะเล ที่นี่อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับคุณครับ

หากใครสนใจที่จะเข้าพักที่นี่ ลองสอบถามหรือดูบรรยากาศห้องพักได้จาก http://keptbangsaray.com/th/ ครับ ห้องพักที่นี่มีทั้งหมด 7 Room Type รวมทั้งหมด 25 ห้อง วันที่ผมเข้าพักแขกค่อนข้างเยอะเลยครับ

ผมมาปิดทริปที่สวนนงนุชครับ จำได้ว่ามาสวนนงนุชครั้งสุดท้ายเกือบจะ 10 ปีแล้ว มารอบนี้ที่นี่เปลี่ยนไปอย่างมาก การบริหารจัดการดูดีขึ้นเยอะ ที่สำคัญมาที่นี่แต่ละครั้งเดินได้แป๊บเดียวเพราะสู้อากาศร้อนไม่ไหว รอบนี้มาช่วงฤดูฝน อากาศไม่ร้อนมากมาย เลยสามารถเดินสำรวจบรรยากาศภายในสวนนงนุชได้มากกว่าทุกครั้ง

เดิมทีเดียวสวนนงนุชเป็นสวนผลไม้ แต่เมื่อคุณนงนุช ตันสัจจา ได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แล้วประทับใจในความสวยงามของสวนต่างๆ เลยเกิดความคิดที่จะจัดสวนให้คนมาเที่ยวชม จึงตัดสินใจเปลี่ยนสวนผลไม้ให้เป็นสวนสำหรับการท่องเที่ยว โดยได้ปลูกไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิด จัดแต่งให้ออกมาในรูปของสวนสวย และได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2523 ครับ

สำหรับค่าเข้าสวนนงนุช หากชมสวนอย่างเดียว ค่าบัตร 200 บาท แต่ถ้าจะชมการแสดงต่างๆ ด้วย ค่าบัตรจะมีราคาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับ option ที่เราเลือกครับ

จากจุดจำหน่ายบัตรจะเจอสวนตะบองเพชรเป็นจุดแรก ที่สวนแห่งนี้มีตะบองเพชรมากกว่า 300 ชนิดจากทั่วทุกมุมโลก มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ พันธุ์ที่ใหญ่นี่ก็ใหญ่ยักษ์เลยครับ เมื่อเทียบกับคนแล้ว ดูคนตัวเล็กลงไปขนัดตา

ฝั่งตรงข้ามของสวนตะบองเพชรเป็นโชว์รูมรถสวย ที่คุณกัมพล ตันสัจจา ทายาทคนที่ 2 ของคุณนงนุช ได้สะสมไว้ รถแต่ละคันมีรูปร่างสวยงามแปลกตา มีมากกว่า 60 คัน และทะเบียนรถแต่ละคันล้วนเป็นทะเบียนรถเลขสวยด้วยครับ

ถัดมาเป็นเพนียดช้าง ภายในเพนียดมีการติดสปริงเกอร์เพื่อช่วยคลายร้อนให้กับช้างด้วยครับ


สวนลายปีกผีเสื้อ เป็นสวนไม้ประดับที่นำพันธ์ไม้หลากสีสันมาจัดเรียงให้เป็นลวดลายของปีกผีเสื้อ นอกจากไม้ดอกไม้ใบแล้ว ยังมีการนำรูปปั้นสัตว์มาตกแต่งเพิ่มเติมด้วยครับ


สวนนี้มีรูปปั้นช้างแมมมอธอยู่เต็มไปหมด ตั้งสลับกับพันธุ์ไม้นานาชนิด มีทั้งต้นชวนชม ต้นไทร ต้นข่อย ดูแล้วสวยงามดีครับ



ศาลท้าวมหาพรหม องค์ท้าวมหาพรหมสร้างจากเนื้อทองเหลือง ขนาดหน้าตัก 20 นิ้ว การสร้างองค์ท้าวมหาพรหมเพื่อเป็นการสร้างสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เป็นเกราะป้องกันคุ้มกันภัยร้ายไม่ให้เกิดขึ้นในอาณาเขตแห่งนี้ นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การได้สักการะขอพร โดยเฉพาะหญิงที่มีบุตรยาก ก็จะพบกับความสำเร็จตามแรงปรารถนาทั้งปวงครับ



มด เป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ความสามัคคี ตึกมดแห่งนี้เป็นตัวแทนของความสามัคคีของทีมงานสวนนงนุชครับ กองทัพมดมีมดมากกว่า 5,000 ตัวเลยทีเดียว ไต่ไปตามผนังสูงทั่วทั้งตึก


สวนอิตาเลียน เป็นสวนแรกในสวนนงนุช สร้างขึ้นโดยเลียนแบบจากสวนต่างประเทศ ต่อมาได้มีการนำรูปปั้นหินอ่อนจากประเทศอิตาลีมาประดับตกแต่งผสมผสานกับพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ ครับ


บ่อน้ำที่เห็นคือกระชังปลาขนาดใหญ่ ที่มีปลาช่อนยักษ์แห่งลุ่มน้ำอเมซอน กว่า 60 ตัว แต่ละตัวมีขนาดความยาวประมาณ 1.5-2.0 เมตรเลยทีเดียว


มุมนี้น่ารักดีครับ มีเจ้าโคอาลาอยู่เต็มไปหมด



สวนฝรั่งเศสแห่งนี้ได้แนวคิดการจัดจากรูปทรงเรขาคณิตจากสวนฝรั่งเศสที่ด้านหลังพระราชวังแวร์ซายน์ ใช้เวลาในการตกแต่งเกือบ 2 ปี และเริ่มเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 2541 ต่อมาได้นำสถาปัตยกรรมต่างๆ มาประดับเพิ่มเติมให้เกิดความสวยงามแปลกตาครับ


คุณกัมพล ตันสัจจา ผู้อำนวยการสวนนงนุชได้นำหินชุดหนึ่งจากสวนนงนุชปราจีนบุรี ที่มีลักษณะเป็นแท่งเหลี่ยมคล้ายกับหินที่สโตนเฮ้นจ์ ประเทศอังกฤษ มาจัดเรียงเป็นแนววงกลม และตกแต่งด้วยไม้พุ่ม สวนนี้จึงได้ชื่อว่า สโตนเฮ้นจ์ ครับ







หุบเขาไดโนเสาร์ เป็นโซนใหม่ล่าสุด เดินมาโซนนี้เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายพันปีก่อน เพราะโซนนี้เต็มไปด้วยไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ที่ดูเหมือนจริงมาก แถมยังมีเสียงคำรามด้วยครับ


ปิดท้ายที่สะพานเชือกครับ บริเวณนี้เป็นสวนที่จัดแสดงพันธุ์ไม้ดอกนานาชนิดตามฤดูกาล และยังมีสะพานเชื่อมระหว่างสวนดอกไม้กับสวนตะบองเพชร มีฝูงรูปปั้นนกฟรามิงโก้เพิ่มความสวยงามให้กับสวนสวยด้วยครับ

หากต้องการอรรถรสในการชมสวน ผมแนะนำว่าให้ใช้การเดินจะได้ซึมซับกับบรรยากาศมากที่สุด อยากจะหยุดแวะถ่ายรูปตรงไหนก็แวะได้ รวมถึงการเดินบน Sky walk ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนยอดไม้ ได้เห็นสวนสวยในมุมสูง บอกเลยว่าคุ้มค่ากับความเมื่อยขาจริงๆ ครับ แต่ถ้าใครมีเวลาน้อย แนะนำให้นั่งรถบริการ ซึ่งการนั่งรถจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากบัตรเข้าชมครับ และถ้าใครไปช่วงฤดูร้อน แนะนำให้ติดอุปกรณ์กันร้อนไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นหมวก ร่ม ขนไปให้เต็มสตรีมครับ

สวนนงนุชเป็นแหล่งเก็บรวบรวมพันธุ์ไม้ในเขตร้อนมากกว่า 18,000 ชนิด เป็นศูนย์กลางของสวนพฤกษศาสตร์ระดับโลกภายใต้แนวคิดรักษ์ต้นไม้ ลดโลกร้อน ปัจจุบันสวนนงนุชพัทยาถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในระดับแนวหน้า ที่มีพื้นที่กว่า 1,700 ไร่ จนได้รับการยกย่องให้ติด 1 ใน 10 ของสวนที่สวยที่สุดในโลก โดยได้รับการการันตีจากเว็บไซต์ทั่วโลก พร้อมรางวัลเกียรติยศมากมาย สวนนงนุชเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. ครับ

ถือว่าเป็นทริป 2 วัน 1 คืนที่โอเคเลยครับ ไม่เหนื่อย ไม่ต้องขับรถไกล แถมยังได้เที่ยว ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ หยุดนี้ถ้าเพื่อนๆ ยังไม่มีโปรแกรมไปไหน จะลองตามรอยทริปนี้ดูก็ได้นะครับ ขอให้มีความสุขกับวันหยุดพักผ่อนครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ


ลุงเสื้อเขียว

 วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 12.08 น.

ความคิดเห็น