อัมพวา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมาเป็นเวลานานแล้ว ที่นี่มีชื่อเสียงในเรื่องตลาดน้ำยามเย็น และการล่องเรือชมหิ่งห้อย ตลาดน้ำแห่งนี้จะมีชีวิตชีวาเฉพาะช่วงเย็นวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น

และการมาอัมพวาของผมในครั้งนี้ เพื่อเข้าร่วมสัมมนา เป็นเวลา 5 วัน 4 คืน โดยเริ่มอบรมตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ ตลอดทั้งวัน ทำให้เวลาส่วนใหญ่ผมจะขลุกอยู่แต่ในโรงแรมเท่านั้น สำหรับสถานที่จัดสัมมนานั้น ผู้จัดเลือกใช้ โรงแรมอัมพวาน่านอน (Amphawa Na non Hotel & Spa) ซึ่งสามารถเดินไปตลาดน้ำอัมพวาด้วยเวลาไม่ถึง 3 นาทีครับ

จากตัวเมืองแม่กลองมุ่งหน้าสู่ตลาดอัมพวา ก่อนที่จะถึงสะพานข้ามคลองอัมพวา สักประมาณ 100 เมตร จะพบโรงแรมอัมพวาน่านอนอยู่ทางขวามือ

โรงแรมอัมพวาน่านอน ออกแบบในแนว Modern Tropical เป็นโรงแรมที่เพิ่งเปิดตัวได้ราว 2 ปีครับ

ด้านหน้าของโรงแรมมี 7-11 ด้วย สำหรับลานจอดรถ มีทั้งด้านหน้าและด้านหลังของโรงแรมครับ

ป้ายชื่อโรงแรมออกแบบได้อย่างสวยงาม ถึงแม้จะเป็นต้นไม้ปลอม แต่ก็ดูสดชื่นครับ

ชั้นล่างของโรงแรม จะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ทำให้อากาศถ่ายเทได้อย่างสะดวก การตกแต่งเน้นโทนสีน้ำตาล เดิมที่นี่เคยเป็นร้านกาแฟ แต่ปัจจุบันเติบโตมาเป็นโรงแรม บริเวณลอบบี้จะอยู่ส่วนกลางของโรงแรม โดยด้านซ้ายมือเป็นห้องอาหารครับ

ส่วนด้านขวามือจะเป็นพื้นที่สำหรับให้แขกได้มานั่งเล่นครับ

ด้านหลังลอบบี้มีนาฬิกาที่ออกแบบได้อย่างเก๋ไก๋ แต่ละเรือนบอกเวลาของต่างประเทศด้วยครับ

ภายในพื้นที่รับแขก เน้นออกแบบด้วยการใส่สีสัน ทั้งเฟอร์นิเจอร์ หมอน รวมถึงกระเบื้องปูพื้น โดนใจผมจริงๆ ครับ

มีพื้นที่ให้นั่งอ่านหนังสือด้วย ลิฟต์ที่นี่เป็นแบบสัมผัสครับ

ไปดูห้องพักของผมกันดีกว่า เป็นห้องแบบ Deluxe ครับ

ผมมาประทับใจแนวการออกแบบตั้งแต่ก่อนเดินเข้าห้องเลยครับ การออกแบบของหมายเลขห้องเป็นแบบอาศัยแสงไฟที่ส่องผ่านแผ่นพลาสติกใสที่เขียนหมายเลขห้อง แสงจะตกกระทบกับเพดานสีขาว มองเห็นหมายเลขห้องได้จากระยะไกล แสงไฟบริเวณโถงทางเดินออกแบบให้ไม่สว่างจ้าเหมือนโรงแรมอื่นๆ ให้อารมณ์อยากที่จะนอนตั้งแต่เปิดประตูห้องเลยครับ

ภายในห้องค่อนข้างกว้างขวาง มีระเบียงให้ออกไปสูดอากาศนอกห้องได้ด้วย พื้นห้องเป็นปูนเปลือยขัดมันครับ

ประตูห้องน้ำ และอ่างล้างหน้าอยู่ติดกับเตียงนอนครับ

ที่ระเบียงมีการปูหญ้าเทียม และมีชุดเก้าอี้ให้นั่งเล่นด้วย บริเวณระเบียงจะมีฉากไม้สำหรับกันแสงแดดจากดวงอาทิตย์ส่องเข้าในห้องด้วย สามารถเลื่อนฉากไม้ไปมาได้ครับ

ภายในห้องยังมีเก้าอี้พร้อมโคมไฟสำหรับให้นั่งอ่านหนังสือ ทีวี ตู้เย็น ไดร์เป่าผม ตู้นิรภัย รวมทั้ง free wifi ครับ

ภายในห้องน้ำไม่แยกส่วนเปียกส่วนแห้ง บริเวณโถสุขภัณฑ์มีสายฉีดชำระให้ พื้นที่อาบน้ำมีฝักบัวให้ 2 แบบครับ

ขอบอกว่าเตียงและหมอนนุ่มมากๆ เห็นว่าเตียงเป็นของ Jaspal ซึ่งนำเข้าจากอเมริกาด้วย หมอนมีให้ถึง 3 ใบ ที่หัวเตียง ยังมีโคมไฟให้อีก 1 โคม และโทรศัพท์ด้วยครับ

ภายในห้องแต่ละห้องยังมีการเล่าเรื่องอัมพวาจากภาพลายเส้น ซึ่งแต่ละภาพจะวาดกันชิ้นต่อชิ้นเท่านั้น

ตู้เสื้อผ้าออกแบบแนวเปลือย ดูอาร์ทดีครับ

มีกาน้ำร้อน พร้อมกาแฟเตรียมไว้ให้ด้วยครับ

แต่ละห้อง จะให้โทนสีไม่เหมือนกัน ห้องผมเป็นสีเหลือง ห้องนี้ออกสีส้มครับ

ไปดูห้อง Suite กันบ้าง ห้อง Suite มี 2 แบบครับ

แบบแรก เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะพบกับพื้นที่ห้องน้ำ ซึ่งจะมีห้องน้ำ 2 ห้องครับ

เดินผ่านห้องน้ำเข้าไป จะพบพื้นที่ห้องนั่งเล่น เป็นพื้นที่ให้สมาชิกได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน ภายในห้อง Suite จะมีห้องนอน 2 ห้อง ซึ่งแต่ละห้องจะกั้นด้วยกระจกบานเลื่อน จึงทำให้ห้องดูโปร่งและกว้างครับ

ภายในห้องนอน จะมีเพียงเตียงนอน โคมไฟ ตู้เสื้อผ้าและเครื่องปรับอากาศครับ

ห้องนอนอีกห้องก็เช่นกัน มีเพียงเตียงนอน โคมไฟ ตู้เสื้อผ้าและเครื่องปรับอากาศเท่านั้น

มาดูห้อง Suite อีกแบบหนึ่งครับ

เปิดประตูมาก็จะเป็นพื้นที่ในส่วนของห้องน้ำเช่นเดียวกัน แต่ห้องนี้แตกต่างจากห้องแบบแรกคือ ไม่มีพื้นที่ส่วนกลาง และผนังห้องจะเป็นกำแพงทึบครับ

ภายในห้องนอนหลัก จะกว้างขวางมาก มีพื้นที่สำหรับนั่งทำกิจกรรมโดยมีชุดโซฟาขนาดใหญ่พร้อมทีวีครับ

ห้องนอนที่สองมีขนาดเล็กกว่าห้องนอนแรกค่อนข้างมาก ภายในห้องมีเพียงทีวี เก้าอี้นั่งเล่นและโคมไฟที่หัวเตียงเท่านั้น ทั้งสองห้องไม่มีตู้เสื้อผ้า แต่จะมีพื้นที่สำหรับแขวนเสื้อในพื้นที่ห้องน้ำครับ

ห้องพักที่อัมพวาน่านอน มีทั้งหมด 36 ห้อง โดยแบ่งเป็นห้อง Deluxe 24 ห้อง และห้อง Suite อีก 6 ห้อง (แต่ละห้องจะมี 2 ห้องนอน)

ดูห้องแต่ละประเภทกันครบแล้ว ไปดูพื้นที่ส่วนอื่นกันบ้างครับ

เริ่มที่ชั้น 5 เป็นลานนั่งเล่นชั้นดาดฟ้า สามารถสั่งอาหารขึ้นมาทานได้ด้วย บนนี้สามารถมองเห็นอัมพวามุมสูงได้ ติดกับลานนั่งเล่น เป็นห้องสัมมนาครับ

ภาพเขียนลายเส้นบอกเล่าเรื่องราวอัมพวา พบเห็นทั่วทั้งโรงแรม รวมถึงห้องพักทุกห้องครับ

มีจักรยานให้ปั่นไปชิวๆ ที่ตลาดอัมพวาด้วย บริการฟรีครับ

มาดูบรรยากาศยามพลบค่ำกันบ้างดีกว่าครับ

บริเวณหน้าโรงแรมครับ

บรรยากาศแต่ละชั้น จะมีพื้นที่ส่วนกลางไว้ให้นั่งเล่น ประดับไฟค่อนข้างสว่าง แต่บริเวณโถงทางเดินจะออกแบบให้ไฟไม่สว่างจนเกินไป ให้อารมณ์อยากนอนครับ

พื้นที่ส่วนกลางชั้น 2 ครับ

ชั้น 3 เป็นรูปหัวใจ ส่วนชั้น 4 ลืมถ่ายมาให้ชมครับ

Rooftop ยามค่ำ บรรยากาศดีมากๆ ครับ

มาดูในส่วนของห้องอาหารกันบ้างดีกว่าครับ

เมื่อหันหน้าเข้าหาลอบบี้ พื้นที่ของห้องอาหาร จะอยู่ทางด้านซ้ายของลอบบี้ โต๊ะสำหรับทานอาหารมีทั้งแบบนั่งทานได้ 2 คน 4 คน และโต๊ะยาวสำหรับ 6 คนครับ ห้องอาหารตกแต่งแนวปูนเปลือย มีไม้เข้ามาเป็นองค์ประกอบร่วม ตกแต่งได้น่านั่งดีครับ

สำหรับจุดเด่นของโรงแรมอัมพวาน่านอน เท่าที่ผมสัมผัสได้ตลอด 5 วัน 4 คืน ที่ผมเข้าพักที่นี่

- ทำเลที่ตั้งดีมากๆ ใกล้ตลาดน้ำ ใช้เวลาเดินไม่ถึง 3 นาที

- มี 7-11 อยู่ด้านหน้าโรงแรม ทำให้สะดวกต่อการหาซื้อของ

- ที่จอดรถมีทั้งด้านหน้าและด้านหลังโรงแรม

- free wifi สัญญาณแรงมากๆ เข้าเน็ตได้อย่างง่ายดาย

- ที่นอน นุ่มมากๆ นอนหลับสบายมากๆ

จุดด้อย ที่พบจะมีเรื่องเดียวคือ ห้องน้ำไม่แยกส่วนเปียกส่วนแห้ง เวลาอาบน้ำ น้ำกระเด็นทั่วห้องน้ำเลยครั

บระหว่างวัน ผมจะมีเวลาเพียงช่วงเช้า ตั้งแต่เวลาประมาณ 06.00-07.30 น. และช่วงเย็น ตั้งแต่เวลาประมาณ 17.30-19.00 น.เท่านั้นที่พอจะมีเวลาไปชมบรรยากาศรอบๆ อัมพวาได้ครับ

โดยช่วงเช้า จุดหมายแรกอยู่ที่อาสนวิหารแม่พระบังเกิด หรือที่รู้จักกันดีในนาม โบสถ์บางนกแขวกครับ โบสถ์แห่งนี้มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง เดิมเคยเป็นศูนย์กลางของชาวคริสต์นิกายคาทอลิกภาคตะวันตกและภาคใต้ จึงมีการตกแต่งอย่างสวยงามกว่าโบสถ์คริสต์ของนิกายอื่น โบสถ์มีขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบกอทิก (Gothic) มียอดแหลมของอาคารพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

ผมมาถึงเช้าเกินไป และไม่สามารถอยู่รอเวลาจนโบสถ์เปิดได้ จึงทำได้แค่เดินสำรวจบริเวณรอบๆ โบสถ์เท่านั้น แค่เพียงด้านนอกก็เห็นความงดงามมากๆ ครับ สำหรับการเดินทางมายังโบสถ์บางนกแขวกก็ไม่ยากเลย จากตลาดอัมพวา ให้ขับรถตรงมาเรื่อยๆ ประมาณ 7 กิโลเมตร สังเกตทางซ้ายมือก็จะพบโบสถ์อยู่ติดถนนเลยครับ

สำหรับช่วงเย็น จุดหมายของผมอยู่ที่วัดบางกุ้งครับ

วัดบางกุ้งอยู่ในเขตอำเภอบางคนที ในเขตพื้นที่ค่ายบางกุ้ง ที่นี่มีความมหัศจรรย์อยู่ที่โบสถ์ของวัดถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ ทำให้โบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน Unseen Thailand ครับ

ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพุทธมณีนิล พระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นที่เคารพบูชาของคนในละแวกนั้น นอกจากนี้ภายในโบสถ์ยังมีภาพจิตกรรมฝาผนังสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ เป็นภาพพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมและภาพพระพุทธเจ้านั่งอยู่ในซุ้มขนาบข้างด้วยอัครสาวกนั่งพนมมือครับ

ปัจจุบันผู้ดูแลได้ทำการล้อมเชือกไว้โดยรอบวิหาร และมีการติดป้ายห้ามนักท่องเที่ยวปีนเข้าไปถ่ายรูปบริเวณหน้าต่างของโบสถ์ ผมว่าการทำแบบนี้มันทำให้โบสถ์หมดเสน่ห์ไปเยอะเลยครับ ผู้ดูแลน่าจะหาวิธีที่ป้องกันนักท่องเที่ยวได้ดีกว่านี้ แต่ผมก็เข้าใจผู้ดูแลนะครับ ว่าต้องการให้โบราณสถานแห่งนี้อยู่คู่กับบางคนทีไปนานๆ นี่ถ้านักท่องเที่ยวไม่ขึ้นไปปีนป่ายบริเวณขอบหน้าต่างโบสถ์ ผู้ดูแลก็คงไม่ต้องหาวิธีป้องกันด้วยวิธีแบบนี้

สำหรับการเดินทางมาที่วัดบางกุ้ง ใช้เส้นทางเดียวกับการเดินทางมาที่โบสถ์บางนกแขวกครับ แต่ก่อนที่จะถึงโบสถ์ ให้เลี้ยวซ้ายขึ้นสะพานสมเด็จพระอัมรินทร์ แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง จากนั้นให้ตรงไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ก็จะถึงวัดบางกุ้งครับ

สำหรับเช้าวันต่อมา ผมมาเดินเก็บบรรยากาศของตลาดอัมพวา ชมวิถีชีวิตแบบไม่เร่งรีบของชาวอัมพวาครับ

บรรยากาศช่วงเช้าที่นี่เงียบสงบมากๆ ผมไม่มีโอกาสได้เห็นการใช้ชีวิตช้าๆ แบบนี้มานานมากแล้ว พระออกบิณฑบาตกันแต่เช้าบางรูปพายเรือ บางรูปออกเดินบิณฑบาตไปตามทางเดินเล็กๆ ที่ขนานกับคลองอัมพวา บรรยากาศยามนี้มันช่างแตกต่างจากอัมพวาช่วงเย็นๆ ในวันที่ตลาดเปิดอย่างสิ้นเชิงครับ

สำหรับช่วงเย็น ผมกลับมาเดินที่ตลาดอัมพวาอีกครั้งครับ

ติดกับตลาดน้ำ เป็นที่ตั้งของวัดอัมพวันเจติยาราม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นโท พระอุโบสถรวมถึงถาวรวัตถุในวัดส่วนใหญ่เป็นศิลปะและสถาปัตยกรรมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น นอกจากนี้ยังมีพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยประดิษฐานอยู่ด้วยครับ

จากนั้นผมเดินกลับมายังตลาดน้ำอัมพวาอีกครั้ง บรรยากาศยามเช้ากับยามเย็นในวันธรรมดา ไม่แตกต่างกันเลยครับ ได้เห็นวิถีชีวิตที่แท้จริงของชาวอัมพวา ชีวิตที่เวลาเดินช้าๆ ที่หาได้ยากในสังคมปัจจุบัน สังคมที่ต้องทำอะไรแข่งกับเวลาไปซะทุกอย่าง ผมอยากให้ชีวิตช้าๆ อยู่คู่กับอัมพวาไปอีกนานๆ ครับ

ผมมารอเก็บแสงเย็นที่ตลาดน้ำครับ ยิ่งค่ำ อัมพวายิ่งมีเสน่ห์ แสงสีบนฟากฟ้าต่างพากันระบายสี เพิ่มสีสันให้กับอัมพวาเป็นอย่างมาก

ใครอยากมาใช้ชีวิตช้าๆ ที่อัมพวา ลองมาเที่ยวอัมพวาในวันธรรมดาดูนะครับ แล้วคุณจะได้รู้จักความเป็นอัมพวาที่แท้จริง

ลุงเสื้อเขียว

 วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 14.01 น.

ความคิดเห็น