ออกไปท่องโลกกว้าง เย้ยยุทธจักรที่เมืองจีนมาจ้า เห็นเค้าว่ากันว่า เส้นทางจาก แชงกรีล่า - ย่าติง นั้นช่างโหดแสนโหด
เราคงไม่รู้หรอกว่าจะลำบากจริงมั้ย นอกจากต้องออกเดินทางไปพิสูจน์กันสักครั้งหนึ่ง
ว่าแล้วเราก็ออกเดินทาง เริ่มต้นจากมหานครบางกอก สู่เมืองคุณหมิง ด้วยสายการบินคู่บุญ airasia ที่จองกันมาข้ามปี
เดินทางเมื่อวันที่ 15 - 24 ตุลาคม 2558 ค่ะ ซึ่งเป็นช่วงที่ย่าติงใบไม้เปลี่ยนสีพอดี
มาถึงคุณหมิงแล้วก็ต้องปรับตัว ปรับเวลากันสักเล็กน้อย ที่นี่เวลาจะเร็วกว่าไทยประมาณ 1 ชั่วโมง
และอากาศค่อนข้างเย็น คว้าเสื้อกันหนาวมาใส่แทบไม่ทัน จากสนามบินคุณหมิงเราต่อรถไปยังสถานีขนส่ง
คืนวันนั้นเราเดินทางกับแบบมาราธอนประมาณ 13 ชั่วโมง ด้วยรถบัสนอน ... นอนกันไปยาวๆเลยจ้า
พอถึงแชงกรีล่าแล้วเราก็หาที่พักแถวๆตัวเมืองเก่า ช่วงนี้นักท่องเที่ยวน้อย walk in เข้าไปถามที่พักกันได้เลย มีให้เลือกเพียบ
เป้าหมายสำหรับการเดินทางมาแชงกรีล่าคงหนีไม่พ้นแลนด์มาร์คของที่นี่ " วัดซงจ้านหลินซื่อ "
จงเตี้ยน หรือ แชงกรีล่า ดินแดนแห่งสวรรค์ที่ใครต่อใครอยากมาเยือนสักครั้ง
มนต์เสน่ห์และกลิ่นอายความเป็นทิเบตที่นี่มีอยู่เต็มเปี่ยม จนได้รับการขนานนามว่าที่นี่คือทิเบตน้อย
" วัดซงจ้านหลินซื่อ " หรือวัดโปตาลาน้อย ตั้งอยู่ในเมือง แชงกรีลา วัดแห่งนี้ เป็นวัดสไตล์ธิเบต
ซึ่งสร้างลอกแบบมาจาก พระราชวังโปตาลา ซึ่งเป็นทั้งพระราชวังและวัดสำคัญสูงสุดของธิเบต
การเดินทางไปนั้นไม่ยากเลย นั่งรถเมล์สาย 3 จากในเมืองเข้ามารถจะมาจอดสุดสายที่ทางเข้าวัด
ค่ารถเมล์ทุกสายราคาแค่ 1 หยวนเท่านั้น แต่สำหรับค่าเข้าชมวัดซงจ้านหลินซื่อ คนละ 115 หยวน
เราไปถึงก็ตอนบ่ายแล้วไม่ได้ขึ้นไปด้านบนวัด เก็บภาพบริเวณรอบๆมาฝากกันค่ะ
ไปเดินเล่นกันในตัวเมืองเก่าของแชงกรีล่ากันบ้างค่ะ
หมู่บ้านตู๋เค่อจง (独克宗古城) มีความหมายว่า “ ดินแดนแห่งจันทรา " ในภาษาทิเบต
เป็นย่านที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างขึ้นในยุคราชวงศ์ถัง มีอายุเก่าแก่กว่า 1,300 ปี
ในฐานะเมืองที่สามารถอนุรักษ์วัฒนธรรมโบราณไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
แต่เป็นที่น่าเสียดายเมื่อต้นปีก่อนโน้นเมืองเก่าแห่งนี้ได้ถูกไฟไหม้อย่างหนัก บ้านเรือนถูกไฟไหม้ไปมากกว่าครึ่ง
ตอนที่เราไปเยือนมานี้กำลังทำการก่อสร้างใหม่ มีร้านค้าและโรงแรมยังเปิดให้บริการไม่มากนัก เรียกว่าสร้างเมืองใหม่เกือบหมดเลยก็ว่าได้
นักท่องเที่ยวยังคงบางตา ก็ได้แต่หวังว่าเมื่อสร้างเมืองเสร็จแล้ว เสน่ห์ของที่นี่จะไม่จางหาย
สามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศที่คล้ายกับเมืองเก่าได้อีกครั้งหนึ่ง
จากแชงกรีล่า ถ้าจะไปย่าติง เราต้องแวะที่เมืองเต้าเฉิงกันก่อนค่ะ
นั่งรถบัสจากแชงกรีล่าไปที่เมืองเต้าเฉิง ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า ค่ารถบัสคนละ 109 หยวน
ทางโหดมาก ขึ้นเขาลงเขา ซ้ายเหว ขวาเหว แต่วิวระหว่างทางสวยมากๆ ทำให้หายเบื่อกับการนั่งรถไปพอสมควร
กว่าจะถึงเต้าเฉิงก็เกือบค่ำพอดี คืนวันนั้นเราหาโฮสเทลนอนพักเอาแรงก่อน แล้วเช้าวันต่อมาค่อยหารถไปอุทยานแห่งชาติย่าติง
ค่ารถจากเต้าเฉิงไปที่ย่าติงคนละประมาณ 50 หยวนนะคะ ส่วนมากจะเป็นรถตู้ จะเหมาทั้งคันเลยก็ได้ค่ะ ราคา 350 หยวน
วิวระหว่างทางก่อนถึงอุทยานแห่งชาติย่าติง คนขับรถใจดีจอดให้ถ่ายด้วยค่ะ จำได้ว่าเช้าวันนั้นหนาวมากกกกก
กว่าจะมาถึงย่าติงก็เกือบสิบโมงแล้ว รถตู้ส่งเราถึงแค่ yading center
หลังจากนั้นก็เราไปซื้อตั๋วเข้าอุทยาน และนั่งรถบัสขึ้นไปยังหมู่บ้านย่าติงกันค่ะ ค่ารถรวมค่าเข้าคนละ 150 หยวน
ทริปนี้เป็นทริปที่แทบไม่ได้จองที่พักมาล่วงหน้า เพราะหาข้อมูลจองที่นี่ยากมากๆ ไปหาเอาข้างหน้า
จาก yading center ไปถึงหมู่บ้านย่าติงใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ
พอถึงแล้วก็จะมีคนมาถามว่ามีที่พักรึยัง ถ้ายังจะพาไปดู สื่อสารกันยากมากค่ะเพราะเค้าพูดแต่ภาษาจีน
ใช้ภาษามือบ้าง ใช้กูเกิ้ลแปลภาษาบ้าง (โหลดแบบออฟไลน์ไปนะคะ)
เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงพีคของที่นี่ค่ะ ที่พักหายากมากๆ กว่าเราจะหาที่พักได้เกือบสองชั่วโมง
นอนที่ย่าติงสองคืนค่ะ แต่นอนที่ละคืน อย่างที่บอกไปค่ะว่าเป็นช่วงพีคนักท่องเที่ยวเยอะ ที่พักหายากพอสมควร
ภาพนี้เป็นที่พักของเราในคืนแรกค่ะ
ที่อุทยานแห่งชาติย่าติงนั้น มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติหลักๆอยู่ 2 เส้นทาง
คือเส้นทางเดินไปทะเลสาปไข่มุก และเส้นทางเดินไปทะเลสาปน้ำนมกับทะเลสาปห้าสี
ซึ่งเส้นทางเดินที่ใช้เวลาสั้นที่สุดประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆก็คือเส้นทางเดินไปทะเลสาปไข่มุก
ทางเป็นบันได เดินง่าย แต่ค่อนข้างชัน ทำให้เหนื่อยง่ายมาก ขึ้นไปได้ทีละสิบขั้นต้องหยุดพักหายใจ
ให้หัวใจเต้นช้าลงหน่อยค่อยเดินต่อเพราะสภาพอากาศเบาบางมาก
ไม่แน่ใจว่าที่นี่สูงจากระดับน้ำทะเลเท่าไหร่น่าจะสักสามพันกว่าเกือบสี่พันได้ละมั้ง
เราเริ่มเดินกันประมาณบ่ายโมงนิด ๆ ในวันนั้นฟ้าเปิดบ้างปิดบ้างสลับกันไป
ช่วงที่เดินใกล้ถึงทะเลสาปนั้นมีสภาพอากาศปิดสักพักหิมะก็ตกอย่างแรงน่าจะประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงได้
แต่หลังจากหิมะตกหนักฟ้าก็เปิด นักท่องเที่ยวต่างร้อง เฮ... กับภาพที่ปรากฏตรงหน้า
ฟ้าใสๆกับภูเขาหิมะที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า มันช่างสะกดใจยิ่งนัก
เก็บบันทึกภาพมาฝากกันเล็กน้อยค่ะ ถ้ามีโอกาสลองไปดูด้วยตาของตัวเองให้ได้นะคะ มันสวยมากจริงๆ
ยามเช้าที่อุทยานแห่งชาติย่าติง บริเวณทุ่งหญ้าลั่วหรง หากเรามาแต่เช้าโอกาสที่จะได้เจอหิมะค่อนข้างสูงมาก
การเดินทางไปไม่ยากสามารถนั่งรถกอล์ฟจากวัดชงกู่มาได้เลย ราคาค่ารถไปกลับ 80 หยวน ใช้เวลานั่งรถประมาณครึ่งชั่วโมง
รถเริ่มออกเที่ยวแรกประมาณเจ็ดโมงเช้า และเที่ยวกลับเที่ยวสุดท้ายประมาณ 18.30 น.
แนะนำว่าให้รีบมาแต่เช้าเพราะคนจะเข้าแถวรอคิวยาวมากๆ และโอกาสจะโดนพี่จีนแซงหน้าก็สูงมากเช่นกัน
หากมาสายจะหงุดหงิดเอาเปล่าๆ เช้าวันนั้นเราไปถึงสายแล้วประมาณเก้าโมงกว่าๆได้เพราะกว่าจะต่อแถวและฝ่าดงพี่จีนมาได้ก็ใช้เวลาพอสมควร
แต่ยังโชคดีที่หิมะยังละลายไม่หมด วิวที่นี่สวยจริงๆเลยค่ะ มีเส้นทางให้เดิน
ถ้านักท่องเที่ยวออกจากทางเดินลงไปอยู่ในเขตที่เค้าปักป้ายเตือนไว้ ก็จะมีเสียงกดโทรโข่งเตือนมาเป็นระยะ ๆ
แต่พี่จีนของเราแคร์ซะที่ไหน ลงกันไปเหยียบหญ้ากันสนุกไปเลย ^ ^"
ทุ่งหญ้าลั่วหรง ที่ย่าติง บริเวณนี้ถ่ายรูปได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ
ฉากหน้าเป็นแอ่งน้ำเล็กๆฉากหลังเป็นภูเขาสูงใหญ่ ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ช่วงที่ไปยังไม่หนาวมากนัก หิมะเลยตกไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
แต่เคยเห็นภาพตอนหิมะตกเยอะๆ บริเวณทุ่งหญ้าจะขาวโพลนไปหมด น้ำในลำธารแทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง
เราเสียเวลาอยู่ที่นี่นานพอสมควร เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็สวยถ่ายรูปเพลินจนลืมเวลาไปเลย
เวลาเปลี่ยนแสงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อยากจะขลุกอยู่ที่นี่ทั้งวัน แต่เราต้องเดินขึ้นเขากันต่อ
กะว่าช่วงเย็นค่อยกลับมาถ่ายแสงเย็นที่นี่อีกครั้งเพราะยังไงก็ต้องผ่านตอนขากลับ
นักท่องเที่ยวชาวจีนเยอะมากๆแต่เราแทบไม่เจอนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเลยสักคน
สงสัยเราจะเป็นต่างชาติที่หน้าเหมือนคนจีนละมั้งไปไหนคนจีนก็ชวนคุยด้วยตลอด
เหมือนกับว่าจะพูดภาษาเดียวกันได้ จริงๆแล้วคนจีนน่ารักๆก็เยอะนะ
เสียอย่างเดียวสูบบุหรี่จัดกันทั้งเมือง แล้วก็ชอบแซงคิวกันเป็นเรื่องปกติ
จุดหมายปลายทางฝันของคนที่มาที่เยือน " ย่าติง " ก็คือ ทะเลสาปน้ำนม และ ทะเลสาปห้าสี
เราพยายามหาข้อมูลว่าระยะทางเดินไกลขนาดไหน ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะไปถึงที่หมาย
น่าเสียดายที่เราเดินไปไม่ถึงฝัน สาเหตุหลักๆคือเดินไม่ไหว เหนื่อยและล้าเกินจะก้าวขาปีนเขาที่สูงชัน
และตอนนั้นมีหิมะตกหนัก และเราไปถึงกลางทางสายเกินไปจึงต้องยอมถอดใจเดินกลับทางเดิม
เพราะถ้าไม่ได้ออกเดินเท้าตั้งแต่เช้ารับรองว่าเดินไปไม่ถึงแน่นอนเพราะต้องรีบกลับมาขึ้นรถเที่ยวสุดท้ายให้ทันในเวลาหกโมงเย็น
ยิ่งถ่ายรูปไปด้วยยังไงก็เดินไปไม่ทันแน่นอน นอกจากเดินตัวเปล่า ไม่ถ่ายรูปจริงจังก็อาจไปถึงและกลับมาทันรถเที่ยวสุดท้าย
แต่มีอีกหนึ่งทางเลือกที่ยังไงก็ไปถึงแน่ๆ คือเราสามารถขี่ม้าไปได้ โดยค่าขี่ม้าตัวละ 300 หยวน
แต่ใช่ว่าจะได้นั่งม้าไปตลอด ตรงที่ชันมากๆก็ต้องลงเดินเหมือนกัน และยิ่งเดินตามม้ายิ่งกดดันเพราะม้าและคนจูงจะเดินไวมาก
เพราะเค้าต้องเร่งทำรอบเพราะมีคนรอคิวขี่ม้าเพียบ เราอาจจะโบกม้าตรงกลางทางได้แต่ค่าขี่เค้าก็คิดเหมือนเริ่มต้นเดิน
เราคิดในใจค่าขี่ม้าแพงไป เดินเอาดีกว่าจะได้เก็บบรรยากาศระหว่างทางไปด้วย
เราไม่รู้ว่าตัดสินใจผิดหรือถูกที่ไม่ขี่ม้าไปตั้งแต่แรกเพราะเราไปไม่ถึงที่หมายอย่างที่ตั้งใจไว้
แต่อย่างน้อยสิ่งที่ปลอบใจให้เราไม่รู้สึกผิดหวังมากนักคือวิวระหว่างทางที่เดินผ่าน
แม้หนทางจะสูงชันแต่มันเป็นสิ่งวัดใจเราได้อย่างดีว่าเราจะไปต่อหรือถอยกลับ
แม้เราไปไม่ถึงที่หมายก็ได้แต่บอกตัวเองเบาๆว่า ระหว่างทางที่เราได้พบเจอมาก็สวยมากๆแล้ว ...
เช้าวันก่อนกลับจากย่าติง เรามีเวลาเหลืออีกครึ่งวัน จึงขึ้นไปเก็บภาพบริเวณด้านหน้าวัดชงกู่อีกครั้ง
ถ้ามีโอกาส ก็อยากจะกลับมาอีกสักครั้ง และใช้เวลาที่นี่หลายๆวันเลยค่ะ
ปิดท้ายด้วยทุ่งหญ้าแดงจากเมืองเต้าเฉิงนะคะ เราเหมารถครึ่งวันจากเต้าเฉิงมาเที่ยวกันค่ะ ค่ารถคันละ 300 หยวน
มาเที่ยวจีนครั้งนี้ประทับใจกับวิวสวยๆระหว่างทางมาก แม้การเดินทางจะค่อนข้างไกลและลำบาก ใช้เวลาเดินทางหลายวัน
แต่การได้เพื่อนร่วมทางดีมีชัยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ ทำให้การเดินทางสนุกและมีความทรงจำดีๆไว้ให้เรานึกถึง
การเดินทางท่องเที่ยวในจีนไม่ยากเลย ถ้าพูดภาษาจีนหรือพาเพื่อนที่พูดภาษาจีนได้มาด้วย
สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณที่เข้ามาชมภาพกันนะคะ ออกเดินทางเพื่อพบเจอสิ่งใหม่ๆกันค่ะ
Jiratraveler
วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 12.01 น.