วันนี้มีร้านอาหาร Chic Chic Cool Cool เปิดใหม่ ที่พัทยา มาแนะนำครับ ชื่อร้าน กิน Kiin Original Thai Taste ร้านนี้อยู่ในโรงแรม The Monttra Pattaya ซึ่งไม่ต้องเป็นแขกโรงแรมก็สามารถมาทานได้นะครับ ร้าน Kiinเป็นร้านอาหารที่เพิ่งเปิดไม่นานครับ แน่นอนว่าไม่ค่อยจะมีรีวิวอะไรมากนัก ผมก็เลยต้องให้ทางร้านแนะนำเมนูเด็ด ๆ มาให้

ในวันนั้นที่เรากินก็มีตั้งแต่ อาหารเบา ๆ อาหารหนัก ยันขนม เอาละตามพวกเราไปกินกันครับ โดยพวกผมกินที่นี่กัน 2 มื้อนะครับ มาดูมิ้อแรกกันนะครับ เราจัดกันไป 4 เมนูด้วยกัน

เมนูแรกที่นำเสนอคือ

ม้าฮ่อ

นี่ถ้าเมนูไม่มีรูปผมคงนึกว่า ม้าฮ่อ น่าจะเป็นเนื้อม้า อะไรแบบนั้น พาลไปนึกถึง บีทบอลของอีเกีย ซึ่งจริง ๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อม้าครับ เป็นเพียงแค่สมัยก่อนทรงอาหาร เหมือนม้าโยกเท่านั้นเอง สำหรับม้าฮ่อเป็นหนึ่งในอาหารที่หากินได้ยาก ผมก็เพิ่งเคยคิดครั้งนี้ครั้งแรกในชีวิต ( มองตอนแรกนึกว่า หมูอยู่บนไข่ญี่ปุ่น ) เป็นอาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรมของ 3 ชาติด้วยกัน ไทย+ญวน+จีนเมื่อก่อนนี้เขาจะเอาใส้ที่เห็นอยู่ด้านบนเขาจะเอาไปยัดกับกลีบส้มเขียวหวาน

แต่ต่อมาก็เปลี่ยนมาวางเป็นสับปะรด ซึ่งที่นี่ใช้ สับปะรด ภูเก็ตหั่นเต๋าพอดีคำมีความเปรี้ยวหวานกรอบ ไม่แข็งนะครับกัดได้พอดี ๆ ด้านบนเป็นใส้หมู ผัดกับไชโป้หวาน กระเทียม น้ำตาลมะพร้าวผสมกัน ถ้านึกรสไม่ออกก็จะเหมือนด้านในสาคูใส้หมูครับ แล้วด้านบนมีพริกเล็กน้อย ด้วยความเปรี้ยว หวาน และเผ็ดปลายลิ้น มันผสมกัน มันก็ลงตัวสิครับ


เมนูนี้ทางร้านจะเสริฟเป็นเมนูแรก เพราะว่าเมนูนี้จะช่วยเปิดโสตประสาทการรับรสทางอาหารของเราครับผมแอบไปดูโต๊ะข้าง ๆ ก็มีสั่งเมนูนี้เหมือนกัน ฉะนั้นไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

มาต่อจานที่ 2 กัน ก้บ

ข้าวตังหน้าตั้ง

ข้างตังกรอบชิ้นไม่ค่อยพอดีคำนัก เพราะให้มาใหญ่เชียว ต้องกัดประมาณ2-3 ครั้งถึงจะหมด โดยมีน้ำราดที่ทำมาจาก มันกุ้งผัดกับไก่กะทิถั่ว เวลากินก็ราดใส่ในแอ่งข้าวตังซึ่งเขาทำแอ่งไว้ให้แล้ว ก็สะดวกดีเพราะบางทีเจอข้าวตังแบบแผ่นเรียบเวลาราดน้ำแล้ว มันก็จะหยดเลอะเทอะ

รสจะออกมัน ๆ หน่อยครับ อันนี้เน้นรสมันจริง ๆจะกินเป็นอาหารจานหลักหรือเป็นออเดิฟ ก็ได้

มีข้าวตังชิ้นใหญ่ 8 ชิ้นเอาจริง ๆ กินคนละ 2-3 ชิ้นก็จะอิ่มแล้วครับ ส่วนน้ำราดนั้นก็ให้มาพอดีครับ บางร้านจะให้น้อยมากน้อยจน กินชิ้นสุดท้ายแล้วไม่มีน้ำราด

จานที่ 3 เพิ่มความหนักเข้ามาอีกหน่อยกับ

ยำส้มโอโบราณ

แน่นอนว่าต้องมีส้มโอ แต่เครื่องยำที่เห็นนี้จะไม่แฉะเป็นน้ำครับ เพราะมันเป็นยำแบบแห้งนั้นเอง เครื่องยำลองเขี่ย ๆ ดูก็ จะมี พริก หอมเจียว กระเทียมเจียวและมะพร้่าวคั่ว คิดว่าคงมีมะขามเปียกด้วยนะ

ผมลองกินเครื่องยำแยกนี้ก็แบบอร่อยอยู่ โดยยำนี้จะใช้เนื้อปลาเ มาแบบเสต็กเลยครับเป็นก้อนเลย ชิ้นแบบใหญ่พอสมควร ไม่ต้องไปควานหาเศษ ๆ ปลากันให้เสียเวลา เวลากิน ก็ตักปลากินพร้อม ๆ กับเครื่อง กันเลย ปลาไม่คาวเลยครับ ถามพนักงานแล้วเขาบอกว่าเป็นปลาอินทรีย์เพราะต้องการไม่ให้คาว

ให้ดูภาพเมื่อเทียบกับมือของทีมงานของเรา จะเห็นว่าชิ้นปลานี่ไม่ได้เล็กเลยนะครับ แต่พอถ่ายใกล้ ๆ อาจจะดูว่าชิ้นเล็ก

รสของเมนูนี้ จะออกเปรี้ยวหวาน แล้วบวกกับเนื้อปลาก็ถือว่าเข้ากันได้ดีครับ เป็นเมนูสุขภาพ กินแลวพุงไม่ออกเวลาจะไปเล่นน้ำทะเลต่อแน่นอน

จานที่ 4

ข้าวผัดปลาเค็ม

ข้าวผัดปลาเค็มพร้อมไข่ดาว ตอนแรกคิดว่ารสปลากต้องเค็มปี้แน่นอน แต่กัดไปแล้วปลาก็ไม่ได้เค็มขนาดนั้นครับ โดยที่นี่จะใช้ปลากุเลา (ราคาปลากุเลา เนียไม่ใช่ถูก ๆ นะ ผมเคยดูราคาที่ตลาด โลนึงเกือบ 2,000 เข้าไปแล้ว )

ทางร้านนำเสนอว่าปลานี้ไม่ได้เอามาผัด ๆ แต่จะมีการไปห่อใบตองแล้วปิ้งจากเตาถ่านด้วย ซึ่งในจานก็จะแยกปลาออกมาด้านข้างครับ ส่วนข้าวผัดนั้นจะเป็นแบบข้าวผัดที่สีค่อนข้างเข้มดูเผิน ๆ นึกว่าข้าวผัดกระเพราคลุกใช่มะ แต่รสก็เป็นข้าวผัดปกตินี่แหละครับ

แต่พิเศษตรงที่ เขาไม่ได้ใส่ พวกหอมหัวใหญ่ในข้าวผัด แต่จะใส่ดอกโสนแทน เวลาเคี้ยว ๆ ก็มีผักอยู่ แต่ก็ไม่ขม รสจะออกเหมือนเรากินข้าวยำปักษ์ใต้นิด ๆ

มื้อสาย ก็จัดไปครับ 4 จานนี้ก็กินแบบจริง ๆ จัง ๆ 2 คน กำลังพอดีครับ

มามื้อบ่ายกันบ้าง เมนูจริง ๆ จัง ๆ ก่อนจะเดินทางกลับ

จานที่ 1 เป็นซุปกันบ้าง กับต้มข่าไก่ เอ่ยไม่ใช่ ถ้ากินต้มข่าไก่ เดี๋ยวจะไล่ไปกินกรุงเทพ มาทะเลก็ต้องเป็นอะไรทะเล ๆ ที่นี้เขามี

ต้มข่าหอยตลับ

เป็นเมนูซุปที่ทางร้านแนะนำ รสก็เหมือนซุปหอยครับ แต่มาเป็นไทย ๆ ก็เป็นชุปแบบต้นข่า โดยจะใช้ส่วนผสมหลักเป็นหอยตลับ ซึ่งรสหอยตลับก็รู้อยู่แล้วว่าหวาน

ในภาพจะเห็นว่ามีการใส่พริกแห้งเม็ดโต แต่เมนูนี้รสไม่เผ็ดนะครับ ออกหวานมัน สามารถซดน้ำซุปได้ โดยควรสั่งคู่กับข้าวผัด หรืออาหารอื่น ๆ ที่มีรสจัด เพื่อให้รสสมดุลย์กัน

จานที่ 2

แกงกะหรี่ประกระพง

ที่นี่จะทำเป็นแกงกะหรี่ไทยนะครับเพราะมีรสครบ หวาน-เปรี้ยว-เผ็ด โดยความหวานมาจากมันเทศเครื่องแกงจะมีส่วนผสมเป็น ดอกเทียนข้าวเปลือก เพื่อให้มีกลิ่นหอมเครื่องเทศ

ส่วนตัวผมชอบเมนูนี้ที่สุด เพราะเป็นคนชอบทานแกงกะหรี่อยู่แล้วด้วย รสก็เข้มข้นครับ และมีอาจาดมากินคู่กันเพิ่มความเปรี้ยวหวานโดย

เราสามารถสั่งกินคู่กับ ข้าว หรือ ขนมจีน หรือ โรตีก็ได้ แต่แกงกะหรี่ก็จะรสเดิมนะ ไม่ใช่ว่าสั่งโรตีแล้วจะกลายเป็นแกงกะหรี่แขก

จานที่ 3

พัดเห็ดสามอย่าง

ก็จะมี เห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ด หิเมจิ ผัดกับ กุ้งแห้งซึ่งคงเป็นกุ้งแห้งจืด เพราะถ้ามันเค็มก็คงจะโดดแปลก ๆ รสจะบาง ๆเพื่อให้ซึมซับความเป็นเห็ด โดยเห็ดก็ไม่ได้มีกลิ่นเหม็นนะครับ จานนี้มาในปริมาณที่เยอะมากครับ ถ้ากิน 3 เมนูนี้ อิ่มแน่นอนครับ และได้ครบรส

จบ 3 เมนูของมื้อบ่ายแล้ว กินคาว ต้องกินหวานจริงไหมครับ

ตบท้ายด้วย เมนู ขนมหวาน

แครอทเค้ก

ดูหน้าก็แบบเหมือนเค้กโบราณ เนื้อเค้กไม่ได้หวานเลี่ยน ด้านในเนื้อเค้กผสม มะพร้าวคั่ว แครอท เม็ดมะม่วงหิมพาน และลูกเกด ราดด้วยข้าวพองบัดเตอร์ครีม ขิงเชื่อม ขิงเชื่อมนี่ก็มีรสขิงครบนะครับ แต่หวานกรอบ เวลากินให้ตักทุกส่วนพร้อมกัน

จะได้ครบทุกรส เวลากินก็จะมีผิวสัมผัสของข้าวพองและขิงผสมรวนอยู่ในปาก อันนี้ชอบรสไม่ได้หวานจัด แต่ที่จะรู้สึกหวานจัดคือ ตัวขิงนี่แหละครับ

และที่นี้ก็ยังมีเครื่องดื่มแบบ ม็อกเทล และ ค็อกเทล ให้เลือก ดื่มด้วยนะครับ

บรรยากาศของร้าน

มีให้เลือกจะกินในห้องแอร์ ซึ่งก็สามารถมองวิวทะเลได้ หรือจะออกไปกินด้านนอกก็ได้ถึงแม้จะเป็นด้านนอก ก็ไม่ต้องห่วง เพราะมีต้นไม้ให้ร่มเงาครับ ในรูปจะเห็นว่าเหมือนเราไปนั่งกินในป่า ถึงแม้ตัวร้านจะเป็นกระจก แต่ก็ไม่โดนแสงแดดส่องมาโดยตรงแค่อย่างใด

สรุป

จาก ที่กินมา 2 มื้อ เขาก็ทำการผสมผสานอาหารแบบโบราณกับสมัยปัจจุบันได้ดี มีการนำวัตถุดิบที่ให้ความรู้สึว่ามากินอาหารริมทะเล รวมทั้งการใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ เช่นการ ดิสเพลย์ของจานด้วยการรองใบตอง การฝานมะนาวที่มีรอยบาก รสอาหารก็ไม่ปรับรสเอาใจฝรั่งต่างชาติจนเกินไป เป็นอีกร้านหนึ่งที่ Kintiew360 ขอแนะนำใ้มาทาน สำหรับราคาก็เฉลี่ยประมาณ ร้อยกว่าบาทถึงสามร้อย เพราะขายบรรยากาศกับความพิถีพิถันของอาหาร


Kiin (กิน) Original Thai Taste

เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ เวลา 11.00 - 22.30 น.

สามารถติดต่อห้องอาหาร Kiin (กิน) Original Thai Taste ได้ที่ https://www.themonttra.com/dining.html

หรือโทร +66 (0) 38 306 333 หรือคลิกจิ้มใน Google map ตามแผนที่ด้านล่างนี้



กินเที่ยว360

 วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 20.22 น.

ความคิดเห็น