สวัสดีค่ะ หลังจากกลับมาจากการปีนภูเขาไฟฟูจิในวันที่ 2-3 สิงหาคม 2562 เป็นเวลา 2 วัน 1 คืน วันนี้เราจะขอมาเล่าประสบการณ์ในการปีนขึ้นภูเขาไฟฟูจิในเส้นทาง Yoshida Trail ในเว่อชั่น ผู้หญิงคนเดียวก็ไปได้ รวมไปทั้งการเตรียมตัว การเตรียมร่างกายและอุปกรณ์ก่อนไป
ภูเขาไฟฟูจิ เป็นภูเขาไฟที่สูงสุดในญี่ปุ่น สูงจากระดับน้ำทะเล 3776 เมตร ตั้งอยู่ตรงรอยต่อระหว่างจังหวัดยะมะนะชิ (Yamanashin) และชิซุโอะกะ (Shizuoka) โดยฤดูร้อนของทุกปี เราจะสามารถเดินขึ้นไปยังปากปล่องภูเขาไฟฟูจิได้ ( กรกฎาคม - ต้นกันยายน )
เส้นทางปีนภูเขาไฟฟูจิมีอยู่ 4 เส้นทางหลักด้วยกัน ได้แก่
1. เส้นทางโยะชิดะงุจิ – คะวะงุชิโกะ (Yoshido-guchi&kawaguchiko)
เส้นทางนี้ได้รับความนิยมจากนักปีนเขามากเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากเดินทางไป-มาสะดวก และมีที่พักเปิดให้บริการมากมาย แต่เพราะเป็นเส้นทางที่นิยมมาก คนจึงหนาแน่นมากโดยเฉพาะช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
2. เส้นทางฟูจิโนะมิยะ (Fujinomiya)
เส้นทางนี้คือเส้นทางที่สั้นที่สุดในการไปถึงยอดภูเขาไฟฟูจิ เหมาะสำหรับนักปีนเขามือใหม่
3. เส้นทางโกเท็นบะ (Gotemba)
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ลำบากที่สุด และใช้เวลาในการปีนมากที่สุดจึงเหมาะสำหรับนักปีนเขาที่แข็งแรงและมีประสบการณ์
4. เส้นทาจิบะชิริ (Chibashiri)
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่เขียวชอุ่มที่สุด เนื่องจากสองข้างทางเป็นป่าไม้ จึงไม่ร้อนมาก นอกจากนี้ เส้นทางนี้ได้รับความนิยมจากนักปีนเขาน้อย การเดินทางจึงเงียบสงบ เหมาะแก่ผู้ชอบความเป็นส่วนตัว
(อ้างอิงข้อมูล : https://www.jnto.or.th/activities/fuji/ )
- ในรายกระทู้นี้จะพูดถึงเส้นทางเดิน Yoshida Trail การจองที่พัก จะเปิดจองช่วงประมาณ เมษายน โดยแต่ระระดับจะมีที่พัก ที่เรียกว่าฮัท บนความสูงของแต่ละชั้น http://www17.plala.or.jp/climb_fujiyama/mountain_huts.html สามารถจองได้ตามเวบไซต์นี้ หรือจะอ่านวิธีการจองได้จากกระทู้นี้ https://pantip.com/topic/38974420/comment8
- การเดินทาง เราเริ่มต้นจากสถานีรถไฟ Kawaguchiko Statiotion และซื้อตั๋วรถบัสไปยังภูเขาไฟฟูจิชั้น 5 แบบไป-กลับ
- การเตรียมตัว ร่างกาย
ตัวเราเองเคยมีประสบการณ์เดินป่า เขา ในประเทศไทยมาบ้างแล้ว สิ่งที่เราเตรียมร่างกายคือ พยายามวิ่งให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที หรือขึ้นลงบันไดที่คอนโด ฃั้น 1 ถึงชั้น 8 ไปกลับ อย่างน้อย 10 รอบต่อวัน มีออกกำลังกายท่าสคอทร์ซบ้างเป็นเซท วันที่ขี้เกียจก็ไม่ทำค่ะ 55555 แต่พยายามทำให้สม่ำเสมอที่สุดก่อนไปสัก 2 เดือน
***การแพ้ความสูง : เนื่องจากภูเขาไฟฟูจิอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล เรากินยา Diamox ก่อนเดินทางค่ะขึ้นค่ะ ส่วนตัวเราเคยใช้ยานี้จากแพทย์จ่ายจากตอนไปเลห์ ลาดักส์ และตอนไปเลห์ เราไม่มีอาการแพ้ความสูงค่ะ แต่ทางที่ดีเราไปคนเดียวเลยป้องกันตรงนี้ไว้ก่อน หากมีอาการปวดหัว จะอ้วก หรือแพ้ความสูงระหว่างทางเราแนะนำให้จิบน้ำไปเรื่อยๆระหว่างเดินทางขึ้นค่ะ***
- อุปกรณ์ที่จำเป็น ที่ต้องมีและเตรียมตัวไป
1. เสื้อผ้าแบบกันลม กันฝน กันแดดกัน UV ตระกูลนี้ควรมีไป เพราะอากาศข้างบน ค่อนข้างแปรปรวน เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวแดดออกค่ะ
2. กางเกงเดินป่า ใส่สบาย กระชับ เดินสบาย
3. กระเป๋า Backpack ที่มี Support ที่ดีกับระบบหลัง
4. รองเท้าเดินป่าที่ดี มีหุ้มข้อ เพราะจะช่วยเซฟข้อเท้าของเรา และป้องกันกรวด ทราย กระเด็นเข้าเท้า
5. แว่นกันแดด
6. หมวก
7. ไม้ Trekking Pole ไม้จะช่วยเราได้เยอะเลยค่ะ ช่วยพยุง ผ่อนแรง
8. ถุงเท้าแบบหนา เพื่อนิ้วจะได้ไม่เกิดการเสียดสี
9. ออกซิเจนกระป๋อง ในช่วงที่ยิ่งสูง ออกซิเจน ยิ่งน้อยค่ะ
10. ไฟฉายคาดหัว เพราะเราเดินขึ้นภูเขาในตอนกลางคืน ไฟฉายจำเป็นมากที่ต้เองมีไปนะค่ะ
11. ทิชชู่เปียกค่ะ เพราะข้างบนไม่มีที่อาบน้ำ มีแต่ห้องน้ำ การมีทิชชู่เปียกไว้เช็ดคราบสกปรกก็ดีไม่ใช่น้อย
12. ครีมกันแดด ข้างบนยูวีแรงมาก พกไปทาค่ะ ลงมาหน้าเราจะได้ไม่เสียโฉม
13. ของใช้ส่วนตัวทั่วไป กล้องถ่ายรูป พาวเว่อแบงค์
14. ยารักษาโรค แก้ปวดหัว แก้แพ้ ยาคลายกล้ามเนื้อ พกไปค่ะ และอย่าลืมหาข้อมูลเรื่องยาต้องห้ามบางชนิดที่เอาเข้าญี่ปุ่นนะค่ะ
15. เงินค่ะ จำเป็นที่สุด
***ขนมและน้ำ แนะนำให้มีติดกระเป๋าตลอด เพราะเส้นทางลงมีเพียงร้านไม่กี่ร้าน แต่ทางขาขึ้น ตามฮัทต่างๆจะมีขายซึ่งราคาก็แพงขึ้นไปเรื่อยๆ ระหว่างทางขึ้นเราอยากพักตรงไหน ก็งัดขนมออกมากินได้เลย ขนมปัง เจลให้พลังงาน ช็อกโกแล็ต เยลลี่ น้ำ แบกเท่าที่แบกไหวและควรจัดการเรื่องอาหารให้เพียงพ่อต่อความหิวค่ะ อย่าลืมนำขยะกลับลงมาทิ้งให้เรียบร้อยนะ***
เริ่มต้นการเดินทาง เราจองที่พักได้ชั้น 7 ค่ะ เพราะเรามาจองช้าแล้ว ที่อื่นก็เต็มหมดแล้วด้วย เริ่มต้นการจากสถานีรถไฟคาวากูจิโกะ และนั่งรถบัสไปยังภูเขาไฟฟูจิชั้น 5 ในใจตอนนั้นคือแอบสั่นๆ เพราะตัวเราเองไม่เคยไปเดินขึ้นเขาที่ไหนคนเดียวมาก่อน แต่แน่นอนครั้งนี้เราตั้งใจไว้แล้ว ด้วยเหตุผลร้อยแปด เพราะอยากจะมีมิชชั่นของแต่ละปีเป็นของตัวเอง ตั้งใจแล้วก็ไปให้สุดค่ะ พอถึงสถานีชั้น 5 ก็จัดการกินข้าว และออกไปซื้อน้ำ ขนม แล้วไม้พลองขนาดสั้นมาเพื่อแสต๊ม ในสถานีชั้น 5 นี้ เราจะมองเห็นนักปีนเขา จากทั่วทุกมุมโลกเลยค่ะ ไม่ว่าจะโซนยุโรปหรือเอเชีย หรือแม้แต่ครอบครัวคนญี่ปุ่นที่พาลูกมาขึ้นกัน มองไปแล้วน่ารักเชียว และนี่ก็ทำให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง แบบว่า เอาวะ แค่ไหนให้มันแค่ ลองดู ครั้งหนึ่งในชีวิต
เราเริ่มเดินจากสถานี ชั้น 5 จากนั้นจะผ่านศูนย์ Tourist Information โดยจะเสียค่าธรรมเนียมเข้า 1000 เยน และได้ของที่ระลึกมา โดยชั้น 5 เนี่ยะ เราถือว่ายังเดินง่าย ระหว่างทางมีป่าไม้เขียวขจีสองข้างทาง เราสวนทางกับนักปีนเขาที่ทำภารกิจของตัวเองสำเร็จหลายคน หลายคู่ หลายคณะ บางคนส่งเสียงทักทายกัน และมากกว่านั้นคือการให้กำลังใจ ว่า You ทำได้แน่นอน เราเดินไป คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หยิบมือถือมาถ่ายภาพวิว เพลินมาก
ระหว่างทางจากชั้น 6 ขึ้นไปชั้น 7 ชั้นนี้เริ่มเสตปการเดินที่เหนื่อยขึ้นมาหน่อย แต่ทว่าการเดินคนเดียว เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หิวก็หยิบขนมขึ้นมากิน วิวสวย ก็แค่หยิบมือถือมาถ่าย อ่อ แล้วระหว่างทางที่นี่ มีสัญญาณอินเตอร์เนตตลอด บางช่วงมีความเหงามาครอบคลุม เราก็แค่โทรหาเพื่อน โทรหาคนที่รัก หรือเล่นโซเชียลไป เป็นการเดินที่ไม่เบื่อเลย ถ้าใครกลัวหลง ก้ทักทายเพื่อนใหม่ไปค่ะ ภาษาอังกฤษ รอยยิ้ม หรือแม้แต่ภาษาญี่ปุ่นที่ท่องมาเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถเติมช่องว่างระหว่างการเดินทางได้ดีทีเดียว เดินไปเรื่อยๆตามเส้นสีเหลือง ที่เขียนว่า Yoshida Trail มีบางช่วงที่ต้องไต่หิน จับเชือก สกิลการใช้ไม้ Trekking Pole จะมาทันทีค่ะ
เมื่อถึงที่พักชั้น 7 เอาเราเหนื่อยทีเดียว จัดการ Check In และรออาหารเย็นจากที่พัก เป็นแกงกะหรี่ที่รสชาติโอเค เพราะความหิวเลยทีเดียว ภายในฮัทจะมีห้องกินข้าวและห้องนอน ห้องนอนที่แออัดกันเป็นปลากระป๋องเลยทีเดียว มีห้องน้ำให้ใช้ทำธุระหนัก-เบา ครั้งละ 100 เยน ช่วงเย็นๆลองออกมามองพระอาทิตย์ตกสิ เป็นอีกที่ที่น่าจดจำในชีวิตเลยทีเดียว ทำธุระส่วนตัว กินข้าวเสร็จ พร้อมนอน เพราะเราจะเริ่มออกเดินต่อตอนเที่ยงคืน..
ตอนเที่ยงคืน เป็นสัญญาณของการก้ามเข้าวันใหม่ เราเตรียมตัวและเดินเท้าจากชั้น 7 เพื่อจะไปชั้น 8 ระหว่างทางที่เดิน มีคนเดินเรื่อยๆทั้งคืน อากาสก็เย็นต้องหยิบเสื้อกันลมกันหนาวในกระเป๋าออกมาใช้ ในช่วงระหว่างทางเดินไปชั้น 8 จะเป้นการไต่หินโดยล้วน เราทำได้แค่ ไปเรื่อยๆไปให้ปลอดภัยที่สุด ปลอบใจตัวเองว่า เรื่อยๆเดี๋ยวก็ถึงเองแหละ ในใจตั้งคำถามว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่ ท่อนนี้จะลอยมาตลอดในสถาณการณ์ที่เหนื่อย อยู่บ้านดีดีไม่ชอบ ทั้งมืด ทั้งหนาว และแน่นอน เหงา ตอนนั้นเราคงทำการคลายเหงาได้แค่ เปิดเพลงฟัง และหยุดนั่งกินขนม เขี่ยโทรศัพท์ แล้วก้เดินต่อ
จ่ากชั้น 8 เราต้องมุ่งไปชั้น 8.5 จำได้ว่าเราคงไม่ถึงพระอาทิตย์ขึ้น ที่ซัมมิตแน่ๆ เพราะเราเดินช้ามาก เอื่อยมาก และเพียงตีสี่กว่าๆพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว ดูจากพยากรณ์ที่มา เราเลยตั้งใจเดินไปเรื่อยๆให้ถึงชั้น 8.5 และรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ชั้นนี้ อากาศก็หนาว ปกคลุมไปด้วยความมืดอีก เหนื่อยและอ่อนล้า ทันใดนั้นก็มีกำลังใจจากทางไกลบอกมาว่า " ทางลงมันไกลกว่ายอดแล้วนะ อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว สู้ๆ " เมื่อหัวใจแข็งแรง แรงกายก็มาค่ะเดินไปเรื่อยๆ และพระอาทิตย์ก็ขึ้น พร้อมกับทะเลหมอกที่สวยที่นึงในความทรงจำเลยทีเดียว
หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นเป็นที่เรียบร้อย เราก็เดิน เดิน เดินไปเรื่อยๆ เดินไปกินไป เปิดเพลงแก้เหงา ทักทายคนที่เดินผ่านไปผ่านมาบ้าง แสงแดดทอดลงมา อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น ทะเลหมอกระหว่างทางเริ่มชัดเจนขึ้น เราก็เอออ สวยแฮะ สวยเหมือนภูทับเบิกบ้านเราเลย ฮ่าๆ มองขึ้นไปบนยอด อีกนิดเดียว ใกล้แล้ว เราใกล้จะถึงแล้ว ใกล้ถึงปากปล่องภูเขาไฟที่สุงสุดในญี่ปุ่นแล้ว
นาฬิกาเข็มตรงเลข 7 เอาเป็นว่าเวลา 7 โมงตรงของประเทศญี่ปุ่น เราได้ไปเยือนถึงปากปล่องภูเขาไฟฟูจิเป็นที่เรียบร้อย ปากปล่องข้างหน้าไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเท่าที่ควร กลับกันความรู้สึก โล่ง ดีใจ ขอบคุณตัวเอง หัวใจ สองขาและร่างกาย ที่พาฝัน พาจุดมุ่งหมายที่แบกไว้ในปี 2019 มาสำเร็จ บริเวณข้างบนมีร้านขายของที่ระลึก มีอาหาร น้ำ ตู้น้ำหยอดเหรียญ มีห้องน้ำให้เราทำธุระก่อนลง ทริคก่อนลง คือกินให้อิ่ม ตุนน้ำไปให้พอเพราะระหว่างลงจะมีร้านขายของเพียงไม่กี่ร้าน การจัดการเรื่องน้ำและอาการสำคัญมาก
ระหว่างทางลงยังคงมีทะเลหมอกให้เราดูตลอดเวลา แต่ช่วงสายแล้วอากาศเริ่มอุ่น แดดเริ่มแรงขึ้น ประกอบกับทางเดินเป็นหินกรวดภูเขาไฟล้วนๆ ทางขึ้นว่าโหดแล้ว บอกเลยทางลงโหดกว่า น้ำตาแทบปริ่ม เดินไปเรื่อยๆ ไปทางป้าย Yoshida Trail เดินแบบไร้จุดหมาย มองไปก็มีแต่ กรวด แดด หมอก ... พอถึงจุดทางแยก อย่าลงทางผิดกันนะ ถ้าลงผิดชีวิตเปลี่ยนเลย ทางแยกให้ไปทางซ้ายค่ะ จะมีป้ายเขียนคือ Gotemba Trail กับ Yoshida Trail ถ้าไม่มั่นใจให้ถามคนตรงนั้นเลย
สำหรับเรา สิ่งที่ได้จากการเดินทางครั้งนี้คือ ความเชื่อ เชื่อที่ว่า ไม่มีอะไรเกินความสามารถของตัวเอง เราสามารถลงมือทำได้ คำนี้ยังใช้ได้กับเราเสมอ ความฝันยังเป็นลมหายใจที่ทำให้แต่ละวันมีน่าดำรงชีวิตอยู่ ทำให้การใช้ชีวิตมีจุดหมาย ความลำบาก ความท้าทายเป็นรสชาติของชีวิต อย่าให้เพียงสิ่งที่ว่าเป็นผู้หญิง มาทำใหห้ความฝันของเราหยุดชะงัก หากเราเตรียมตัวให้พร้อม อ่านให้มาก ศึกษาข้อมูล เตรียมตัวให้พร้อม เราเชื่อว่าใครๆก็ทำได้ : )
Champpy Bobbiexx
วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 20.43 น.