Korea Winter 2018

สวัสดีเพื่อนๆในห้อง Readme.me และมิตรรักนักอ่านบทความทุกคนนะครับ พบกับผม (เขียดคุง) เป็นประจำ เกี่ยวกับบทความท่องเที่ยวแบบสไตส์ของผม ยินดีต้อนรับสำหรับเพื่อนๆที่กำลังอ่านบทความของผมครั้งนี้เป็นครั้งแรก และสามารถอ่านบทความรีวิว ที่ผมเคยเขียนไว้ในบล๊อกทั้งหมดก่อนหน้านี้ ได้จากลิ้งค์นี้เลยครับ : https://th.readme.me/u/5cca9c6de6046424136e4f9d




#ทำไมถึงไปเกาหลี

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว กระแสการเที่ยวเกาหลีมาแรงมาก ทำให้หน้า Facebook เจอแต่คนรีวิวเที่ยวเกาหลี เลยนั่งคุยกับเพื่อนเล่นๆว่าถ้ามีโปรตั๋วเครื่องบินถูกๆเดี่ยวเราจองไปกัน หลังจากนั้นไม่นานประมาณช่วงธันวาของปี 60 เจ้า Airasia เขาออกโปรโมชั่นแรงสะเทือนโลก ด้วยโปร BigSale 0 บาท ทำให้ผมซึ่งเป็นคนชอบของฟรี ของลดราคาอยู่แล้ว จะพลาดได้ยังไง 55555

ไม่รอช้ากดจองสิครับ กับเพื่อนอีกคน รวมแล้ว 2 คน ได้ราคาไปกลับคนละ 5,500 บาท / คน จองกันข้ามปีเลยทีเดียว เข้ามาดูตารางบินอีกทีคือวันที่ 19-23 ธันวาคม 2561 เอาเป็นว่าจองทิ้งไว้ก่อนละกัน 3 เดือนก่อนเดินทางค่อยมาปัดฝุ่นเขียนแพลน (ใครอยากจะบินกับโปรดีๆแนะนำติดตาม www.airasia.com ) ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ อันนี้ไม่ได้ค่ารีวิวนะ 55555


#โดนเพื่อนเทก่อนบิน 3 เดือน

เริ่มเขียนแพลนการเดินทาง เพราะเหลือเวลาก่อนเดินทางอีกแค่ประมาณ 3 เดือน จำได้เลยตอนนั้นเพื่อนที่จะไปเกาหลีด้วยกันนางโทรมาบอกว่า ฉันคงจะไปกับแกไม่ได้แล้ว ..... เอาแล้วไงนางก็เล่าเหตุผลบลาๆๆๆ ทำให้ผมเข้าใจและโอเคครับสรุปกูไปคนเดียว นั่งคิดอยู่ในหัว 2-3 วัน ว่าเอายังไงจะไปดีไหมคนเดียว หรือจะทิ้งตั๋วก็โคตรเสียดายจองมาเป็นปี โอเคสรุปคนเดียวก็ไปจ้า ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว เรามัยสายBackpacker อยู่แล้ว


#เริ่มวางแผนท่องเที่ยวในเกาหลี Seoul

จริงๆแล้วการไปเที่ยวคนเดียว หรือการไปเที่ยวด้วยตัวเอง เราจำเป็นต้องเตรียมตัวหลายสิ่งหลายอย่างมาก ไม่ใช่แค่จองตั๋วเสร็จแล้วรอบินสวยๆได้เลย เราต้องจองที่พัก วางแผนว่าจะเดินทางไปแต่ละที่ยังไง การพูดคุยกับเจ้าหน้าที่เมื่อขอความช่วยเหลือ รวมถึงอื่นๆอีกมากมาย เลยขอสรุปให้คร่าวๆสิ่งที่เราต้องเตรียมตัวก่อนเดินทางมีดังนี้

  1. ตั๋วเครื่องบิน ทั้งขาไป-กลับ จะได้ไม่พลาดเที่ยวบิน
  2. เช็คหนังสือเดินทาง หรือ Passport มั่นใจว่ายังไม่หมดอายุมากกว่า 6 เดือนนับตั้งแต่วันเดินทาง
  3. เช็คสภาพอากาศช่วงที่ไป จะได้เตรียมชุดให้ถูกฤดูท่องเที่ยว
  4. จองที่พัก และปริ้นเอกสารให้เรียบร้อย
  5. ทำแผนท่องเที่ยวคร่าวๆแต่ละวัน รวมถึงวิธีการเดินทาง
  6. แลกเงินสกุลวอน ให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในเกาหลี
  7. แพ๊คกระเป๋า และเตรียมบินได้เลยครับ


#ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประเทศเกาหลี

สาธารณรัฐเกาหลี (Republic of Korea) หรือ เกาหลีใต้ (South Korea) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออก มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี พรมแดนทางเหนือติดกับประเทศเกาหลีเหนือ มีประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้โดยมีทะเลญี่ปุ่นและช่องแคบเกาหลีกั้นไว้

เมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้ คือ กรุงโซล จัดเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีจำนวนประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดของประเทศ มีจำนวนประชากร 48,482,000 คน มากเป็นอันดับที่ 26 ของโลก ซึ่งข้อมูลนี้สำรวจโดย United States Census Bureau ประจำปี 2550

ประเทศ เกาหลีใต้มีสภาพอากาศอยู่ในเขตอบอุ่น และมีฤดูกาลหรือในภาษาเกาหลีที่เรียกว่า “คเยจอล( )” ทั้งหมด 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูหนาว (Winter), ฤดูใบไม้ผลิ (Spring), ฤดูร้อน (Summer) และฤดูใบไม้ร่วง (Autumn / Fall)

( อ้างอิง : ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ : http://lovekriswu.blogspot.com ด้วยนะครับ )


#พูดถึงการผ่าน ตม.เกาหลี

ตม. เกาหลีสำหรับหลายๆคนเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะมีโอกาสสูงมากที่หลายคนจะโดนปฎิเสธการเข้าประเทศอาจด้วยปัจจัยหลายๆอย่างที่ ตม.เขาจะเข้มงวดกับผู้ที่ถือหนังสือเดินทางไทย เพราะช่วงหลังๆที่ผ่านมา คนไทยนี่แหละไปสร้างวีรกรรมอันเลี่ยงชื่อมากมาย อีกทั้งลักลอบเข้าทำงานผิดกฎหมายต่างๆ จนนทำให้พี่ ตม.เขาเข้มงวดเป็นพิเศษ แต่ก็นะ พลอยทำให้คนที่จะเข้ามาเที่ยวอย่างเราๆต้องคอยระแวงไปด้วยเลย แต่ผมก็มีทริกเล็กๆที่จะทำให้ผ่านง่ายๆ ดังนี้

  1. แต่งตัวดี มีชัยไปกว่าครึ่ง : แต่งชุดสุภาพว่าเราตั้งใจมาเที่ยวจริงๆ
  2. เอกสารการเดินทาง : ไม่ว่าจะเป็นแพลนเทรายว ใบจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก หรือเอกสารการทำงาน
  3. อย่าตื่นเต้น : เมื่อลงจากเครื่อง ทำตัวปกติ อย่ามีพิรุด เพราะเขาจะจับตามองตั้งแต่คุณลงเครื่อง

ถ้าผ่าน ตม.ออกมาได้ ก็เป็นอันว่าคุณได้ก้าวขาเข้าประเทศเกาหลีแบบจริงๆแล้ว กรี๊ดได้ 5555 แต่ถ้าโดนเรียกเข้าห้องดำละก็ขอให้ใจเย็นๆ และหวังว่าจะมีชีวิตรอดออกมาโดยปลอดอภัยนะครับ อิอิ



#บัตร T-money

บัตร T-money : เป็นบัตรที่คอยอำนวยความสะดวกของเราในการใช้จ่ายในเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่ารถไฟฟ้า รถเมลล์ หรือแม้จ่ายค่าขนมในร้านสะดวกซื้อก็ยังได้ สามารถซื้อและเติมเงินในบัตร T-money ได้จากร้าน Family Mart – หรือร้าน GS2 ในสนามบิน ราคาใบละ 2,500W ประมาณ (80) บาท

และสามารถเติมเงินเข้าได้เรื่อยๆ ทริปนี้คิดไว้ว่าจะเติมประมาณ 2,000 บาท สำหรับค่าเดินทางทั้งหมด ถ้าเหลือก็ค่อยซื้อของหรือแลกคืน รับรองมีไว้ติดตัวสักใบจะสะดวกขึ้นเมื่อเดินทางเที่ยวในเกาหลีครับ


#อินเตอร์เน็ต

การมาเที่ยวครั้งนี้ จริงๆถ้าเพื่อนๆไม่อยากเปลี่ยนซิม ก็สามารถเปิดโรมมิ่งจากไทยมาได้เลย แต่ค่าใช้จ่ายก็จะแพงหน่อยตามโปรโมชั่นของเราที่ใช้งาน ถ้ามาเป็นกรุ๊บก็แนะนำเป็น Pocket wifi สามารถค้นหาร้านเช่าได้จากเอเจนซี่ทั่วไป ซึ่งนัดรับได้ที่สนามบิน แต่บินเดี่ยวอย่างเราแนะนำเป็น Sim 2 Fly ของค่าย AIS ราคาเพียง 399 สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ต 4G ได้แบบ Unlimited นานถึง 8 วัน



#รถไฟฟ้าเกาหลี

การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเกาหลี มีการคมนาคมที่สะดวกสบาย เพราะมีเส้นทางรถไฟที่เชื่อมต่อทั่วทั้งเกาหลี ไม่ใช่แค่ในกรุงโซลเท่านั้น แต่ในเมืองใหญ่ๆอย่าง ปูซาน แดกู ควางจู ต่างก็มีรถไฟฟ้าใต้ดินไว้คอยอำนวยความสะดวกในการเดินทางเช่นกัน การต่อหรือเปลี่ยนขบวนก็ไม่ยากครับ คล้ายๆกับ BTS บ้านเราสามารถตรวจสอบตารางการเดินรถไฟในเกาหลีได้จากแอปพลิเคชั่น : Subway



เริ่มออกเดินทาง

วันที่ 1 ของการเดินทาง 19 ธันวาคม 2561

เริ่มต้นออกเดินทางด้วยสายการบิน Thai Airasia X ใครๆก็บินได้ จากสนามบินดอนเมือง DMK สามารถเช็คอิน และโหลดสำภาระได้ที่อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ (อาคาร1) ได้เลยครับ สำหรับไฟท์บินต่างประเทศ แนะนำให้มาเช็คอินที่เคาเตอร์ก่อนเวลาเครื่องออกประมาณ 3 ชั่วโมงนะครับ กันพลาด เผื่อคิวเยอะ


หลังจากได้ Borading Pass จากนั้นเดินเข้าเกท โดยเที่ยวบินระหว่างประเทศเราจะต้องผ่าน ตม.ขาออกจากประเทศไทยก่อน เนื่องจากยังเป็นไฟท์เช้ามาก เลยยังไม่มีอาการหิวอะไรทั้งสิ้น อาจจะตื่นเต้นที่ได้ไปเที่ยวด้วย ก็เลยยังไม่หาอะไรกินก่อน เดี่ยวค่อยกินบนเครื่อง


ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง หรือ Borading time ตามกำหนดเวลา ไฟท์บินวันนี้ XJ708 ซึ่งออกเวลา 08:05 น. ถึงเกาหลี กรุงโซล เวลาประมาณ 15:20 น. ใช้เวลาบินทั้งหมดประมาณ 5.20 ชม. เป็นเครื่องบินลำใหญ่ Airbus รุ่น A330-300 จัดที่นั่งเป็นแบบ 3-3-3 สำหรับชั้นประหยัด และจะมีที่นั่งสำหรับชั้นพรีเมี่ยมประมาณ 18 ที่นั่งที่พึ่งนำมาบินเส้นทาง เกาหลี ญี่ปุ่น เมื่อปีที่ผ่านมานี่เอง ตื่นเต้นมากๆ


เครื่องออกตามกำหนดเวลา เมื่อเครื่องบินขึ้นได้ประมาณ 30 นาที และสัญญาณรัดเข็มขัดก็ดับลง พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน หรือ ลูกเรือ ก็ทำการบริการอาหารบนเครื่องบิน ซึ่งจะบริการอาหารให้สำหรับผู้ที่สำรองล่วงหน้าเป็นอันดับแรก ส่วนผมก็รอเป็นคิวถัดไป เริ่มหิวแล้วก็เลยจัดมา 1 Set มีน้ำเปล่าฟรีให้ 1 ขวด และสั่งชาร้อนๆมา1 แก้วหลังมื้ออาหารด้วย สามารถจ่ายเงินได้ทุกสกุลเงิน แต่จะทอนเป็นไงเท่านั้น อิ่มหนำสำราญและได้เวลางีบพักผ่อนเจอกันอีกทีตอนเครื่องลงนะครับ


สัญญาณรัดเข็มขัดดังขึ้น กัปตันเริ่มลดระดับเครื่องบินลงสู่สนามบินอินชอน หรือ Inchon In't Airport ประเทศเกาหลี ในเวลาท้องถิ่นประมาณ 15:20 น. ตามกำหนดเวลา ซึ่งเวลาจะเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง (อย่าลืมปรับนาฬิกา) หลังจากลงเครื่องก็เดินตามๆผู้โดยสารคนอื่นเพื่อ ผ่าน ตม. หรือ Immigration

ถ้าจำไม่ผิด Airasia จะไม่จอดเครื่องบินที่อาคารผู้โดยสารหลัก จะต้องนั่งรถไฟ Monorail ไปยังอาคารหลักอีกที แต่ไม่ยากครับ เดินตามๆกันไป


ผ่าน ตม. เรียบร้อย ใช้เวลาหลังจากเครื่องลงประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เดินทางเข้าในเมืองด้วยรถไฟฟ้า เพื่อไปยังที่พัก ทริปนี้ผมอยู่เกาหลีทั้งหมด 5 วัน 4 คืน พักกันที่ย่าน ฮงแด ใจกลางกรุงโซล เป็นที่พักแบบ Hostel ใกล้รถไฟฟ้าสถานี Hongik University ที่สำคัญไม่แพงด้วย ราคาแค่ประมาณ คืนละ 500 บาท ถ้าเพื่อนๆชอบอารมณ์แบบ Backpacker ก็มีให้เลือกเยอะมาก สามารถค้นหาที่พักจากเว็บไซต์ www.booking.com


เช็คอินห้องพักเรียบร้อย ก็ออกมาเดินเล่นข้างนอก เนื่องจากช่วงที่มาเป็นเดือน ธันวาคม เริ่มเข้าหน้าหนาว แต่ก็ยังไม่ได้หนาวมาก ประมาณ 2-10 องศา ในเมืองก็ยังไม่มีหิมะตกในช่วงนี้ เดี่ยวรอลุ้นวันไปเกาะนามิว่าจะมีตกให้เห็นกันไหมเนาะ ผมเลือกมาเดินเล่นที่ คลองชองกเยชอน และอนุสาวรีย์แม่ทัพยี ซุนซิน ในช่วงค่ำวันแรก


คลองชองกเยชอน : เป็นคลองที่มีการตั้งแต่สมัยโบราณ ในยุค โชชอน มีอายุมากกว่า600 ปี มีความยาวของคลองประมาณ 11 กิโลเมตร มีการบูรณะคลองแห่งนี้ในปี 2003 เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงาม ประดับตกแต่งด้วยไฟยามค่ำคืน ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้ปีใหม่ เลยจะถูกตกแต่งเต็มไปด้วยต้นคริสมากและไฟปีใหม่ตลอดเส้นทาง สามารถเดินเล่นเพลินๆได้ไม่เหนื่อยเลยครับ
การเดินทาง : จากรถไฟฟ้าสถานี Hongik University นั่งมาลงสถานี Gwanghwamun ทางออก 5


หลังจากนั้นก็หาอะไรกิน จะเป็นร้านเล็กๆ ขายอาหารพวกต๊อกบ๊อกกี กับโซจู (แอลกอฮอล) ให้ได้ลองลิ้มชิม แต่ผมยังไม่ได้ลองนะครับ คืนนี้ขอกินแค่ข้าวก่อน เดี่ยวถ้าเมาพรุ่งนี้จะเที่ยวต่อไม่ไหว 5555 และนั่งรถไฟฟ้ากลับห้องพักผ่อน ในคืนแรก


วันที่ 2 ของการเดินทาง 20 ธันวาคม 2561

วันนี้ตื่นเช้ามาด้วยอากาศที่หนาวมาก ประมาณ 0 องศา แต่เนื่องจากที่ห้องพักมี ฮีสเตอร์ ปรับอุณภูมิทำให้ไม่หนาวมาก กินอาหารเช้าในที่พัก เป็นขนมปังและกาแฟ พออยู่ท้อง พร้อมออกเที่ยวเต็มวันกันแล้วครับ

ประมาณ 09:00 น. วันนี้ไปเที่ยวเกาะนามิกัน (Namiseom Island) เกาะนามิ เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวหลักที่ห้ามพลาดของประเทศเกาหลี อยู่ห่างจากกรุงโซลในเมือง ประมาณ 60 Km. โด่งดังจากซีรี่ย์เกาหลียอดฮิตเรื่อง Winter Love Song หรือ เพลงรักในสายลมหนาว (ซึ่งผมก็ไม่ได้ดูหรอกนะ) 555


การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าลงสถานี Cheongnyangni และเปลี่ยนขึ้นรถไฟ ITX ลงสถานี Gapyeong และต่อรถ Taxi ไปยังท่าเรือเกาะนามิอีกที ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงจากที่พัก

เมื่อถึงท่าเรือเกาะนามิ ก็ซื้อตั๋วเพื่อนั่งเฟอรี่ข้ามไปยังเกาะ ค่าโดยสาร 8,000W ประมาณ (250) บาท เรือจะออกเป็นรอบๆ ผมได้รอบเรือเวลาประมาณ 11 โมง ในระหว่างนั้นก็สามารถเดินเล่นบริเวณท่าเรือ และวันนี้อากาศหนาวมาก หมอกลงตลอดเวลา มีจุดให้นั่งผิงไฟรอ ทำให้อุ่นขึ้นมานิดนึง

ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 15 นาทีเองครับ เพราะอยู่ใก้ลมาก ถ้าใครชอบดูวิวคือมองไปรอบๆก็สะสวยมากครับ ผมเคยอ่านเจอ มีคนเคยบอกว่าช่วงหนาวมากๆ น้ำที่อยู่ในทะเลสาบนี้จะกลายเป้นน้ำแข็ง อื้อหือ นี่แค่ 0 องศายังหนาวขนาดนี้ ...... ไม่อยากคิดภาพ


ลงเรือและเดินเข้ามาบนเกาะ จะเจอกับ Informations สามารถขอแผนที่เดินเที่ยวตามจุดต่างๆของเกาะนามิได้จากตรงนี้ อ้อ มีช่องใบปลิวภาษาไทยด้วยนะ แต่หมดครับ 5555 ไม่รอดีกว่าเดินมั่วๆไปละกัน

เขาบอกว่าไฮไลท์ของเกาะนามิก็คือ การต้องได้มาตรงจุดนี้ครับ ต้นสนสูงใหญ่ที่ขึ้นเรียงรายเป็นแนวยาว สัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ต้องมาถ่ายภาพเพื่อเก็บความทรงจำ ถ้าหิมะตกก็คงจะดี แต่วันนี้มันไม่ตก เพราะหากมีหิมะจะได้มีพื้นสีขาวๆตัดกับต้นไม้สีน้ำตาล คงจะสวยน่าดู



และที่พลาดไม่ได้ก็คือ การได้มาถ่ายรูปกับแบยองจูน ดาราเกาหลีชื่อดังจากซีรี่ดังกล่าว เพราะใช้เกาะนามิแห่งนี้ถ่ายทำฉากหนังโรแมนติกหลายๆฉาก ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คู่รักนิยมมาเที่ยวกันมาก สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี


จากนั้นก็เดินเล่นตามจุดต่างๆจนทั่วเกาะนามิ รวมถึงมีร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยงที่นี่ได้เลย ใช้เวลาบนเกาะเต็มที่ประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง อากาศหนาวมากจริงๆ ทำเอาเย็นไปทั้งตัวเลยครับ เสียดายที่ไม่เจอหิมะตก ตามพยากรอากาศมันพึ่งตกไปเมื่อ 2 วันที่ผ่านมานี่เอง แต่แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มสุดแล้วครับ


จากนั้นก็โบกมือลาเกาะนามิ ด้วยความประทับใจว่าใครมาเกาหลีก็ต้องมาที่นี่ ก่อนกลับแวะจุดสำคัญ เห็นเขามีป้ายกระดาษรูปหัวใจห้อยๆไว้ตามทาง ด้วยความที่คิดถึงคนๆนึง เลยเขียนชื่อเขาไว้ในกระดาษใบนี้ เขียนไปสั่นไปความหนาวทำให้น้ำหมึกปากกาไม่ไหลอีก โอ้ยยยขำ....... ถ้ามีโอกาสคงได้กลับมาที่นี่อีกครั้งกับเธอ


ช่วงเย็นประมาณบ่าย 4 โมง เราไปเที่ยวต่อกันที่ โซลทาวเวอร์ หรือ N Seoul Tower ตั้งอยู่บนยอดเขานัมซัง มีความสูง 236 เมตร สามารถชมวิวเมืองโซลปละบริเวณรอบๆได้แบบ 360 องศา จุดเด่นของที่นี่ คือการมาคล้องกุญแจคู่รัก มีความเชื่อกันว่า หากคู่รักที่มาคล้องกุญแจที่นี่ จะมีความรักที่ยืนยาวตลอดไป

การเดินทาง1 : รถไฟฟ้าลงสถานี Chungmuro ทางออก 2 มองหาป้ายรถบัส หมายเลข 2,5 นั่งยาวๆลงสุดสาย ค่ารถบัส 1,000 วอน ปล.ไปช่วงเย็นคนแน่นแน่นอน ทำใจไว้เลยครับ สำหรับการอัดแน่นในรถบัส แต่ก็ไม่นาน ยืนไปชมวิวไป บัสจะวิ่งขึ้นเขาชันเล็กน้อย ประมาณ 20 นาทีก็ถึงครับ

การเดินทาง2 : สามารถเดินทางมาที่ N Seoul Tower โดยขึ้นกระเช้าลอยฟ้าได้เช่นกัน แต่ผมไม่ขออธิบายในรีวิวนี้นะครับเพราะผมเลือกไปวิธีที่ 1 คราบบบ


หลังจากลงรถบัส เดินตามทางต่อไปเรื่อยๆ ช่วงนี้เวลาประมาณ 5 โมงเย็น พระอาทิตย์ก็กำลังสวยเลยครับ เดินไปชิวๆ แต่ก็แอบเหงาหน่อยเพราะเดินคนเดียว ไอยา .... 5555 บวกกับความหนาวประมาณ 0 หรือ 1 องศา แต่ก็เริ่มชินกับสภาพอากาศหนาวของที่นี่ได้แล้ว


ไฮไลท์ของ โซลทาวน์เวอร์ คือการขึ้นไปชมวิวด้านบนหอคอย ...... แต่รอบนี้ขออนุญาตไม่ขึ้นไปละกันนะครับ ขออยู่ชมวิวจากจุดนี้ก็สวยไม่ต่างกันเลยสามารถมองเห็นวิวเมือง โซลได้ไกลๆ อย่างที่บอกกิจกรรมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ของที่นี่คือการล๊อคกุญแจคู่รัก บอกเลยว่าต้องขอผ่านเช่นกันครับ เพราะแฟนไม่ได้มาด้วย ถ้ามากับแฟนรอบหน้าเดี่ยวจะแก้มือแน่นอนครับเอารูปถ่ายรอบๆไปก่อนละกันนะ อิอิ


หลังจากฟ้ามืดแล้วก็ลงจาก โซลทาวเวอร์ ขึ้นบัสตรงจุดเดิมที่ลงรถตอนแรก และไปเที่ยวกันต่อที่ ตลาดเมียงดง ละลายเงินวอนและหาของกินมื้อค่ำ แต่วันนี้ยังคงไม่ซื้อของฝากหรือซื้อของอะไรมากมาย กลัวว่าเงินที่แลกมาจะหมดเสียก่อน 5555 ต้องอยู่เที่ยวอีก 3 วันค่อยมาจัดหนักอีกทีก่อนวันกลับ


วันที่ 3 ของการเดินทาง 21 ธันวาคม 2561

วันนี้ตื่นสายๆประมาณ 9 โมงเช้า และแพลนการเดินทางของเราชิวๆ วันนี้ อาหารเช้าแบบง่ายๆในโรงแรมเหมือนเดิม แต่งตัวพร้อมออกเที่ยวในวันนี้ แอบเซงนิดหน่อย เพราะวันนี้ฝนตกด้วยตั้งแต่เช้า คาดว่าฟ้าปิดน่าจะถ่ายรูปออกมาไม่สวยแน่ๆ


ประมาณ 10:00 น. ไปพระราชวังเคียงบ๊อกกุง : (Gyeongbokgung Palace) เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยอดฮิตของกรุงโซล เป็นพระราชวังที่มีขนาดใหญ่และเก่าที่สุดในโซล สร้างขึ้นในปี 1394 ภายในพระราชวังมีอาคารและพระตำหนักต่างๆมากกว่า 200 หลัง แต่เมื่อมีการรุกรานของญี่ปุ่น ทำให้ถูกทำลายเหลือเพียงแค่ 10 หลังเท่านั้นเอง รายละเอียดเพอ่มเติมสามารถอ่านเพิ่มได้จาก www.Chilloutkorea.com
การเดินทาง : จากสถานี Hongik University นั่งมาลงสถานี Gyeongbok gung ทางออก 5 เดินต่ออีกนิดเดียวก็ถึงทางเข้าแล้ว


เมื่อมาถึงก็เจอฝนจริงๆด้วยครับ เป็นอุปสรรค์กับการเดินเที่ยวจริงๆ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ จับกล้องขึ้นมาเซลฟี่ไม่กลัวไข้ขึ้นเลย ไหนๆก็มาแล้ว เอาวะต้องได้รูปสวยๆกลับไปแน่นอน อิอิ แต่มาครั้งนี้ไม่ได้เข้าไปข้างในนะครับ เคยอ่านรีวิวบอกว่าข้างในเป็นพิพิธพันธ์เกี่ยวกับวัฒธรรมเกาหลี และสำหรับผมไม่ค่อยอินกับที่นี่เท่าไหร่ เลยขอไม่เข้าไปข้างใน ไว้เดี่ยวถ้ามารอบหน้ามีโอกาสคงได้เข้าชมครับ

(ขอบคุณรูปภาพด้านในพระราชวัง ที่ผมไม่ได้เข้าไป จาก : tripadvisor.com ด้วยนะครับ)



หลังจากนั้นก็ไปเดินเล่นย่าน หาลัยสตรีอีฮวา : (Ewha Woman's University) เป็นมหาวิทยาลัยหญิงล้วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในย่านซอแดงมุน กรุงโซล ก่อตั้งขึ้นในปี 1866 บริเวณมหาลัยจะเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม และมีอาคารที่สร้างด้วยอิฐ ทำให้เกิดความคลาสสิคทันสมัย โดยเฉพาะบริเวณห้องสมุดที่เป็นทางลาดลงไป เป็นไฮไลท์ให้ต้องมาถ่ายรุปที่นี่ให้ได้

การเดินทาง : จากสถานี Gyeongbok gung นั่งมาลงสถานี Ewha Womans Univ ทางออก 2-3 เดินต่ออีกนิดหน่อยก็ถึงแล้วจ้า

(ขอบคุณรูปภาพจาก : kidjapak.com เนื่องจกแบตผมหมดเลยไม่มีภาพ)


หลังจากเดินเล่นมาจนเหนื่อยและรู้สึกว่าตัวเริ่มเปียกแล้ว เพราะฝนตกตลอดทั้งวันเลยวันนี้ เลยกลับมาพักที่ห้องก่อน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หอมๆ เย็นวันนี้เรามีนัดกิน บุฟเฟ่ซูชิ กันที่ร้าน Sushi'O Black Container แต่ก็กินคนเดียวนะ ไม่ได้นัดกับใคร 5555


ร้าน Sushi'O Black Container : เป็นร้านบุฟเฟ่ซูชิ แบบสายพาน ราคาประหยัดตั้งอยู่ในย่านกังนัม ราคาประมาณ 500 บาทไทย หน้าตาของซูชิจะเป็นสไตเกาหลี สำหรับคุณภาพก็มาตรฐานสมราคาต้องมาลองครับ
การเดินทาง : จากสถานี Hongik Univer ลงสถานี Gangnam ทางออก 11 (เดินตรงไปไม่เกิน 2 นาที)


วันที่ 4 ของการเดินทาง 22 ธันวาคม 2561

วันนี้ตื่นเช้ามากๆ หลังจากเพลียๆมาหลายวันทำเอาไม่อยากตื่น แต่เราก็ไม่ย่อท้อต่อการเที่ยวครับ เพราะวันนี้แผนเที่ยวคือ เราจะไปเล่นสกีกันครับ ที่ Jisan SkiResort : การมาเล่นสกีของที่นี่เราจะต้องให้พนักงานที่โรงแรมโทรไปจองบัสขาไปก่อนล่วงหน้า 1 วัน พร้อมระบุจุดขึ้นรถเพราะรถบัสจะวนรับคนหลายจุดในโซล ถ้าไม่มีชื่อก็ไม่สามารถขึ้นบัสฟรีมาเล่นสกีที่นี่ได้นะครับ

การเดินทาง : จากสถานี Hongik Univer ลงสถานี Sinchen ทางออก 8 และเดินมาขึ้นรถบัสบริเวณป้าย หน้าร้าน Lotte Market999 รอบรถบัสตรวจสอบได้จากหน้าเว็บไซต์ของ Jisan SkiResort อีกที


เมื่อมาถึงบริเวณลานจอดรถบัส รับ-ส่ง ลูกค้าที่มาใช้บริการลานสกีที่นี่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกรุ๊ปทัวร์ที่มาเล่นสกีกัน ส่วนผมมาคนเดียวครับ ตอนแรกได้รับคำแนะนำจากหัวหน้าทัวร์คนนึง ถามว่าจะเข้าร่วมจอยทริปในวันนี้หรือไม่ ซึ่งนางก็พยายามอธิบายแพกเกจนู่นี่นั่น สรุปแล้วขอบายครับ มาครั้งแรกเลยขอลองเดินเล่นสกีง่ายๆ แบบผู้เล่นทั่วไปก่อนครับ


Packet การเล่นสกีของที่นี่ จะมีให้เลือก 2 แบบ คือลานสกีธรรมดาและแบบนั่งกระเช้าเคเบิ้ลคาร์ สไลท์จากที่สูงลงมาข้างล่าง ผมเลือกการเล่นแบบธรรมดา ซึ่งจะมีช่วงเวลาสำหรับการเล่นชัดเจน คือ 10:30 น. - 15:30 น. ประมาณ 5 ชั่วโมง ในราคา 21,000 วอน รวมค่าอุปกรณ์ ตามที่เห็นครับ

หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย ก็สามารถไปเช่าอุปกรณ์ทั้งหมดได้เลย เลือกรองเท้าสกีที่เหมาะพอดี สามารถเก็บของที่สำคัญๆไว้ในล๊อคเกอร์ เช่าเป็นรายครั้ง ราคาจำไม่ได้จริงๆครับ ประมาณ 500 วอน / ช่อง


ได้อุปกรณ์มาแล้วไม่รอช้าครับ เริ่มลงสนามกันเลย เป็นอะไรที่ประทับใจมากๆ สำหรับการมาเล่นสกีที่นี่ ตั้งแต่นั่งบัสฟรี ไป-กลับ รวมถึงถ้าใครไม่เล่นก็ไม่ต้องเสียค่าเข้าใดทั้งนั้น ถ้าอยากถ่ายรูปกับหิมะเฉยๆก็มาได้เลย การเดินทางก้ไม่ยากเลย

เข้าโหมดแบบลองสไลท์บนพื้นที่ราบๆก่อนครับ ค่อยๆคลานขึ้นที่สูงทีละนิดๆ เอาจริงล้มไปหลายรอบมาก สรุปเล่นกันอยู่เพลินๆ 4 ชั่วโมง



มันดีมากแกร มาเกาหลีต้องมาเล่นสกี นี่ถ้ามีเพื่อนเล่นด้วยก็คงจะสนุกกว่านี้มาก ตอนนั้นจำได้ ไปเล่นกับเด็กๆเกาหลีที่พึ่งหัดเล่นสกี สนุกไปอีกแบบเหมือนเป็นเด็กอีกครั้ง ใครหิวก็สามารถซื้อของกินได้จากร้านค้า ที่นี่มี Food แบบหลากหลายให้เลือก และโค๊กกระป๋องแบบไม่ต้องแช่ก็เย็น สามารถลองได้ครับ 5555



ถึงเวลาคืนอุปกรณ์ทั้งหมด อย่าลืมของที่ฝากไว้ในลีอกเกอร์ และรอรถบัสเพื่อกลับเข้าในโซลกันตอนเย็น ซึ่งสามารถติดต่อสอบถามรอบรถบัสได้จากประชาสัมพันธ์ หรือ Informations บริเวณข้างช่องจำหน่ายตั๋ว พี่เขาก็จะบอกว่าบัสออกเวลาไหน จอดบริเวณไหน การเดินทางง่ายมากๆ


มาถึงในเมืองโซล วันนี้เลือกลงรถใกล้กับย่านเมียงดง เป็นแหล่งช๊อปปิ้งนั่นเอง วันก่อนมาเล็งเอาไว้แล้ว วันนี้ก็เลยจัดเต็มกันเลยครับ บอกเลยว่าจะลายเงินวอนจนหมด รูดบัตรเดบิตในบัญชีเกือบหมด ไม่เป็นไรมานานๆครั้งก็ช๊อปปิ้งกันไปให้หนำใจ


เริ่มดึกเวลาประมาณ 4 ทุ่ม พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว แต่ยังไม่เคยลองชิมรสชาสของเหล้าเกาหลีเลยสักครั้ง ไหนๆก็มาแล้วขอลองหน่อยละกัน ไอที่ว่า โซจู นี่มันเป็นยังไง ถ้าใครเคยดุซีรี่เกาหลีก็คงจะพอนึกภาพออก ร้านที่ผมไปนั่งกินก็คืดร้านริมถนนทั่วไป

ส่วนใหญ่จะเป็นของลวก อย่างเช่นปลาหมึกลวก ต๊อกบ๊อกกี และที่ขาดไปไม่ได้คือซดโซจู เพื่อคลายความหนาวออกมา คืนนี้เลยจัดไปเต็มๆ 3 ขวดครับ ก็ยังไหมสามารถเดินกลับที่พักได้อย่างสบาย

ช่วงระหว่างที่เดินทางกลับ เจอสิ่งที่ไม่คาดคิดจ้า คืนนี้มีหิมะโปรยปรายมาให้ได้สัมผัสกันถึงในเมืองเลยครับ เอาจริงตั้งแต่มานี่คาดหวังเอาไว้มากว่าอยากเจอหิมะตกใส่หัวสักครั้ง และฝันก็เป็นจริงจ้า เวลาประมาณเที่ยงคืนพอดี กลับห้องพักผ่อนนอนหลับฝันดีแน่นอนคืนนี้ 55555


วันที่ 5 ของการเดินทาง 23 ธันวาคม 2561

วันนี้เป็นวันที่ 5 ของการอยู่เกาหลี แพลนวันนี้ไม่ได้ไปไหนเลยครับ เพราะวันนี้เราต้องเดินทางกลับประเทศไทยกันแล้ว ออกจากที่พักประมาณ 8 โมงเช้า เพื่อนั่งรถไฟฟ้าไปยังสนามบินอินชอน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง มาถึงสนามบิน ก้ไปเคาเตอร์เช็คอินของสายการบินเดิมครับ AA ใครๆก็บินได้นั่นเอง ไฟท์บินวันนี้ Fight XJ 701 ICN-DMK


เช็คอิน ผ่าน ตม.ขาออกจากเกาหลีเรียบร้อย มีสิ่งที่ต้องทำอย่างหนึ่งคือการรีฟัน TAX ที่เราช๊อปปิ้งกันเมื่อคืนนั่นเอง สำหรับเคาเตอร์รีฟัน TAX คืนภาษี จะอยู่ใน Gate ของสนามบิน ตรงนี้ไม่ขออธิบายเพิ่มเติมจากตรงนี้ สามารถเข้าอ่านรายละเอียดและขั้นตอนทั้งหมดได้จากลิ้งค์นี้ครับ : https://bit.ly/33ZwcJG จะละเอียดมากกว่าผมอธิบายแน่นอน

ได้เวลาเรียกขึ้นเครื่อง หรือ Borading time กันแล้ว ผู้โดยสารก็เริ่มทยอยเดินขึ้นเครื่อง ขากลับได้นั่งบริเวณ Quite Zone หรือโซนเงียบนั่นเอง ไม่รู้โชคดีหรือว่ายังไง 5555 โซนนี้จะอยู่บริเวณหน้าเครื่อง ติดกับชั้นพรีเมี่ยม จะเงียบมาก และเบาะจะเป็น Hot seat ทั้งหมด ถ้าซื้อเพิ่มประมาณ 400 ละคุณ

เครื่องบินขึ้นตามกำหนดเวลาเกาหลี และพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็เริ่มเสริฟอาหารให้ผู้โดยสารที่สั่งไว้ล่วงหน้าเป็นอันดับแรก ตมด้วยบริการจำหน่ายอาหารสำหรับผู้โดยสารทั่วไปที่ไม่ได้สำรองล่วงหน้า ซึ่งผมก้ไม่ได้สั่งล่วงหน้ามาแต่อย่างใด สามารถใช้เงินวอนที่เหลืออยู่ซื้อของกินบนเครื่องได้ จะได้ไม่ต้องแลกคืนซึ่งเราจะขาดทุนยับครับบอกเลย แนะนำตัวย่าง ถ้าแลกมา 4 หมื่นก็ใช้ให้หมด 4 หมื่นเลยครับ 55555


ใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมงนิดๆ เครื่องก็ลดระดับลงจอด ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ประเทศไทย ตามกำหนดเวลาประเทศไทย 15:10 น. ลงเครื่อง เดินเข้าอาคารผู้โดยสารอาคาร 1 ผ่าน ตม.ขาเข้าประเทศ เป็นอันว่าจบทริปการเดินทางในครั้งนี้ครับ


มาเที่ยวเกาหลีรอบนี้คิดว่าได้อะไรเยอะมากเกี่ยวกับ ประเทศเกาหลี ก่อนมานี่สิ่งที่กลัวที่สุดเลยคือ ตม. 5555 เพราะเสพข่าวเกี่ยวกับการกักตัวนักท่องเที่ยวเยอะมาก แต่ก็โชคดีที่ผ่านเข้าไปได้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าเราเข้ามาเที่ยวจริงๆ ก้ไม่มีอะไรต้องกลัวครับ ยังมีที่เที่ยวอีกหลายที่เลยที่ยังไม่ได้ไป บวกกับมาคนเดียวด้วย

ถ้ามีโอกาสมารอบหน้า จะพาแฟนมาด้วยและจะไปให้ครบทุกที่ อิอิ หนาววววววจริงๆๆ หนาวมาก แต่กลับมาไทยก็ร้อนเหมือนเดิมเลยจ้าาา


ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านจนจบ มีโอกาสอยากให้ลองไปเที่ยวดูสักครั้ง เกาหลีไม่ได้มีแค่ผู้ชายหล่อ 5555 สำหรับรีวิวการเดินทางในครั้งหน้า จะเขียนให้อ่านกันที่ไหนโปรดติดตามนะครับ


#เขียดคุง


ขอบคุณและสวัสดีคราบบ ....... ><


ความคิดเห็น