หากมาท่องเที่ยวทางภาคใต้หลายคนคงนึกถึงกิจกรรมการดำน้ำชมปะการัง ซึ่งแหล่งดำน้ำตื้นที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นจุดดำน้ำฝั่งอันดามัน แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า เมืองที่หลายคนคิดว่าเป็นเมืองผ่านอย่างชุมพร แท้จริงแล้วชุมพรยังมีของดีที่ซ่อนตัวอยู่ ชุมพรมีอะไรดี ลองตามผมไปเที่ยวด้วยกันครับ

โดยปกติแล้วผมจะวางแผนท่องเที่ยวและเดินทางกันเองเพราะสามารถเลือกไปเที่ยวในที่ที่อยากไปได้ อยากจะใช้เวลาที่จุดไหน นานเท่าไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ หากไปกับกรุ๊ปใหญ่จะทำให้ไม่ค่อยคล่องตัว และมีข้อจำกัดในเรื่องเวลา ผมจึงไม่นิยมใช้บริการจากบริษัททัวร์ แต่ครั้งนี้มีเหตุให้ต้องไปกับบริษัททัวร์ ก็ถือว่าทริปนี้ไปเที่ยวแบบสบายๆ ไม่ต้องวางแผนเรื่องการเดินทางแต่อย่างใด

ผมออกเดินทางกันแต่เช้า แต่เนื่องจากไปกันกรุ๊ปใหญ่ ทำให้เสียเวลาในการเดินทางพอสมควร เริ่มเสียเวลากันตั้งแต่ออกเดินทาง เพราะต้องรอจนกว่าสมาชิกครบจึงจะออกเดินทางกันได้ หรือไม่ว่าจะเป็นการเข้าห้องน้ำในปั๊มน้ำมัน ซึ่งการจอดแต่ละครั้งก็เสียเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ทำให้การเที่ยวในวันแรกของผมไปเที่ยวได้แค่จุดเดียวคือ อุทยานราชภักดิ์ ในเขต อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ครับ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กองทัพบกจัดสร้าง "พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบุรพกษัตริย์แห่งสยาม" พร้อมจัดสร้างอุทยานประวัติศาสตร์ โดยพระราชทานชื่อให้ว่า "อุทยานราชภักดิ์" ซึ่งเป็นอุทยานที่สร้างขึ้นด้วยความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และเพื่อเป็นการเทิดทูนและประกาศเกียรติคุณสมเด็จพระมหากษัตริย์แห่งสยาม 7 พระองค์

สำหรับพระมหากษัตริย์แห่งสยาม 7 พระองค์ ประกอบด้วย พ่อขุนรามคำแหง (สมัยกรุงสุโขทัย), สมเด็จพระนเรศวร (สมัยกรุงศรีอยุธยา), สมเด็จพระนารายณ์ (สมัยกรุงศรีอยุธยา), สมเด็จพระเจ้าตากสิน (สมัยกรุงธนบุรี)

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชการที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์), พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชการที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชการที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)ครับ

อุทยานราชภักดิ์ก่อสร้างขึ้นในพื้นที่ 222 ไร่เศษ ตั้งอยู่เยื้องๆ กับสถานพักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบก สวนสนประดิพัทธ์ เข้าชมฟรี หากใครจะมาแวะชมที่นี่เตรียมร่มหรือหมวกติดมือมาด้วยก็ดีนะครับ เพราะแดดค่อนข้างแรงครับ

จากนั้นผมมุ่งหน้าสู่ อ.กุยบุรี เพื่อเข้าที่พักที่ วาฏิกา รีโซวิลล่า ครับ

การเดินทางมายัง วาฏิกา รีโซวิลล่าก็ไม่ยากครับ โดยให้สังเกตวัดกุยบุรีซึ่งอยู่ทางขวามือเป็นหลัก จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกกุยบุรี ขับไปเรื่อยๆ สู่ชายหาด ประมาณ 10 กม. จะผ่านสถานีรถไฟกุยบุรี ขับรถต่อไปเรื่อยๆ จนสุดชายหาดและให้เลี้ยวขวา จากนั้นขับตรงไปอีกประมาณ 4 กม. จะพบวาฏิกา รีโซวิลล่าอยู่ด้านซ้ายมือครับ

แล้วก็มาถึงวาฏิกา รีโซลลล่า มีพื้นที่จอดรถอยู่ด้านหน้า และฝั่งตรงข้ามถนนครับ

บริเวณ Reception ตั้งอยู่ด้านหน้าเลยครับ

เมื่อหันหน้าเข้าอาคาร ชั้นล่างด้านซ้ายและขวา จะเป็น Lobby ครับ เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถทำการ Check in/Check out ได้ทั้ง 2 ด้าน ทางด้านซ้ายจะมีมุมให้ใช้ internet ด้วยครับ

Welcome Drink เป็นน้ำผลไม้ บริการพร้อมผ้าเย็นครับ

ติดกับ Reception จะเป็นห้อง Fitness ครับ

การตกแต่งภายในรีสอร์ทดูร่มรื่นเลยทีเดียว มีมุมเก๋ๆ ให้แขกได้ถ่ายภาพอยู่หลายมุมครับ

Concept ของ วาฏิกา รีโซวิลล่าคือ สัมผัสความแตกต่างทุกครั้งที่มาเยือน ดังนั้น สไตล์การตกแต่งห้องพักของที่นี่จึงเน้นความแตกต่างของห้องพัก ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าพักไม่รู้สึกจำเจ ถ้าหากกลับมาใช้บริการที่นี่อีก เพราะจะได้อารมณ์ของแต่ละห้องที่ไม่ซ้ำกันครับ

มาดูในส่วนของห้องพักกันบ้าง คืนนี้ผมเข้าพักในห้องแบบ Country Family ครับ

ห้องพักแบบ Country Family ตกแต่งสไตล์คันทรี ตั้งอยู่ด้านหน้าสุด อยู่ถัดจาก Reception อยู่ตรงข้ามกับ Fitness ครับ ห้องพักจะแบ่งเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น และมีระเบียงให้นั่งเล่นด้านหน้าห้องพักด้วย เหมาะกับการเข้าพักเป็นครอบครัวครับ

ชั้นล่างมี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ และพื้นที่นั่งเล่นครับ

ภายในห้องนอนแรกเป็นแบบเตียงเดี่ยว จะมีห้องน้ำในตัว แต่ห้องน้ำนี้จะใช้ร่วมกับห้องนอนอีกห้องนึงครับ

ห้องน้ำจะมี 2 ประตู เพราะจะเป็นห้องน้ำแบบใช้ร่วมกัน ภายในแยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน

บรรยากาศในห้องนอนที่สองเป็นแบบเตียงเดี่ยวเช่นกัน ห้องนี้จะไม่มีห้องน้ำในตัว ต้องเดินออกไปเข้าร่วมกับห้องนอนอีกห้องครับ

ไปดูในส่วนของชั้นที่ 2 กันบ้างครับ

เมื่อเดินขึ้นบันไดมา ด้านซ้ายมือจะมีพื้นที่ว่างให้นั่งทำกิจกรรม ส่วนด้านขวามือจะเป็นห้องนอนครับ

ห้องนี้เป็นแบบเตียงคู่ พื้นที่ภายในห้องกว้างขวางเลยทีเดียว ดูไม่อึดอัดเหมือนห้องนอนที่อยู่ด้านล่างครับ

ห้องน้ำก็กว้างขวางเช่นเดียวกัน พื้นที่ส่วนเปียกและส่วนแห้งอยู่ติดกัน เวลาอาบน้ำ น้ำจากส่วนเปียกจะกระเด็นเข้ามาในส่วนแห้งครับ

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้ จะมีโทรทัศน์ LCD พร้อมสัญญาณดาวเทียม เครื่องเล่นซีดี DVD Free Wifi ตู้นิรภัย ตู้เย็น ชาและกาแฟ นอกจากนี้ยังมี Welcome Coconut Cake ใส่ไว้ในตู้เย็นทุกห้องเลยครับ เค๊กมะพร้าวน้ำหอมที่นี่เป็นเค๊กโฮมเมด ที่จะนำมะพร้าวน้ำหอมจากสวนใกล้ๆ รีสอร์ท นมสดจากฟาร์มวัวในท้องถิ่น ไม่ผสมครีมเทียม ไม่ใส่สารกันบูด ดังนั้นเมื่อทำเสร็จจึงต้องแช่ตู้เย็นเพื่อรอต้อนรับแขกทุกท่านครับ

ไปดูห้องพักแบบอื่นๆ กันบ้างดีกว่าครับ เนื่องจากทริปนี้ผมไปกับคณะที่ทำงาน จึงสามารถเข้าไปขอดูห้องพักที่เพื่อนเข้าพักได้ แต่บางห้องก็ถ่ายมาได้เฉพาะด้านนอกครับ

ห้องนี้เป็นแบบ Villa Siam ภายในห้องค่อนข้างกว้างขวาง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ไม่แตกต่างจากห้องที่ผมพักครับ

ภายในห้องน้ำก็ค่อนข้างกว้างขวาง แยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจนครับ

ไปดูหลังอื่นกันบ้าง เห็นด้านนอกก็พอเดาออกว่าเป็น Villa Japan ครับ

Villa Japan ประกอบด้วย 3 วิลล่าอยู่ในบริเวณสวนเชนแบบญี่ปุ่นครับ

Villa Bohemian จะเป็นวิลล่าสดใสสไตล์โบฮีเมียน ให้อารมณ์คล้ายบ้านที่สร้างจากดิน มีบันไดเพื่อเดินขึ้นไปยังบนชั้นดาดฟ้าได้ด้วยครับ

Villa India เป็นวิลล่าแฝด 2 หลัง หลังหนึ่งเป็นเตียงเดียว อีกหลังเป็นเตียงคู่ครับ

มาดูห้องพักที่อยู่ในส่วนอาคารของ Vartika Resovilla กันบ้างครับ

ห้องนี้เป็นแบบ Junior Suite Sea View จะมีโซฟาอยู่ที่ปลายเตียง เพื่อให้แขกได้นั่งชมวิวทะเลด้วย

ห้องน้ำแยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยผนังกระจกครับ

และห้องสุดท้าย เห็นจะเป็นห้องที่ดีที่สุดของที่นี่แล้ว นั่นคือห้อง Penthouse ครับ

ห้องนี้ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น พื้นที่ในห้องกว้างขวางเลยทีเดียว เตียงจะใหญ่กว่าทุกห้องที่ผมได้ไปสำรวจมา ผนังหนึ่งด้านเป็นกระจก ทำให้สามารถชมวิวทะเลได้ตลอดเวลาแถมยังมีระเบียงส่วนตัวอีกด้วย

ห้องน้ำจะอยู่ด้านนอกห้องพัก ลักษณะกึ่ง outdoor มี Jacuzzi ให้นอนแช่ไปดูวิวทะเลไปครับ

มาดู Facilities ที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้กับแขกที่เข้าพักกันบ้างครับ

เริ่มกันที่ Salt-Treated Jacuzzi pool ซึ่งตั้งอยู่ติดกับห้องอาหาร เป็นสระจาคุซซี่เกลือบำบัด ที่สามารถว่ายน้ำไป ชมวิวทะลบ่อนอกไปพร้อมๆ กัน สระว่ายน้ำอาจจะดูเล็กไปสักนิด

The Traveller's Restaurant ห้องอาหารริมทะเลแบบ Open air รับลมทะเลแบบเต็มๆ พื้นที่ห้องอาหารอาจจะคับแคบไปสักนิด หากมีแขกมาใช้บริการพร้อมๆ กัน

บริเวณชายหาด ทางรีสอร์ทจัดเตรียมโต๊ะให้แขกได้มานั่งทานอาหารด้วย แต่ดูจากสภาพของโต๊ะแล้วอาจจะไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการสักเท่าไรครับ

บรรยากาศยามค่ำครับ

ช่วงเช้าผมออกมาเดินเก็บบรรยากาศของชายทะเลบ่อนอกยามเช้าครับ

ช่วงเช้าน้ำทะเลลงค่อนข้างเยอะ ผมเลยเดินไปได้ไกลพอสมควร สักพักก็กลับมาเก็บกระเป๋า อาบน้ำอาบท่า และเตรียมทานอาหารเช้าครับ

The Traveller's Restaurant เปิดให้บริการในช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 06.30 – 10.00 น. ครับ

ไลน์อาหารเช้ามีทั้งอาหารไทยและแนว ABF อาหารจะปรุงด้วยผักปลอดสารพิษ ปลอดเนื้อวัวครับ

Eggs Station

มุมขนมปัง

มุมผลไม้ครับ

หากขับรถเลยจาก วาฏิกา รีโซวิลล่า ไปสักหนึ่งกิโลเมตร ก็จะพบกับ วาฏิกา แอดเวนเจอร์ ซึ่งเป็นสาขาใหม่ของที่นี่ ที่พักที่ วาฏิกา แอดเวนเจอร์ มีทั้งแบบตึกและแบบเป็นหลัง แบบเป็นหลังจะออกแบบในแนวแอดเวนเจอร์ และแบบตึกก็จะมีการการตกแต่งภายในห้องไม่เหมือนกันเลยสักห้อง ผมไปแอบดูมาแล้ว ชั้นล่างของห้องพักที่เป็นตึกทุกห้องจะออกแบบแนวเวนิส เมื่อเปิดกระจกบานเลื่อนที่อยู่ข้างเตียงนอน ก็จะพบกับสระ Jacuzzi ส่วนตัว ซึ่งเมื่อก้าวเท้าออกจากสระ Jacuzzi ก็จะเป็นสระว่ายน้ำส่วนกลางเชื่อมต่อกันทุกห้อง ตามคอนเซปเวนิสครับ

ในโซนของ วาฏิกา แอดเวนเจอร์ ไม่ติดทะเลนะครับ จะมีถนนกั้นระหว่างโรงแรมและทะเลครับ

หลังอาหารเช้า เราออกเดินทางกันต่อสู่ชุมพร จุดหมายแรกในชุมพรอยู่ที่สวนนายดำครับ

สวนนายดำเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรของ จ.ชุมพร ภายในเป็นสวนผลไม้ เช่น มะละกอทุ่งตะโก มังคุด ลองกอง ทุเรียน ส้มโชกุนครับ

ภายในสวน มีร้านค้าสำหรับขายของฝาก ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์โอทอปจากสวนนายดำ ผลไม้สดขาย และยังมีต้นไม้จำหน่ายอีกด้วย

การตกแต่งสวนที่นี่สวยเชียวครับ มีเส้นทางเพื่อศึกษาพืชพรรณไม้ท่ามกลางบรรยากาศที่ร่มรื่นครับ

จุดเด่นของสวนนายดำอีกอย่างที่แปลกไม่เหมือนใครเห็นจะเป็นส้วมในรูปแบบต่างๆ หลากหลายจินตนาการครับ ทำไมที่นี่ถึงเต็มไปด้วยส้วมในรูปแบบต่างๆ นะเหรอครับ เพราะที่นี่เป็นศูนย์เรียนรู้ส้วมสาธารณะไทยครับ

ส้วมรูปแบบต่างๆ จะสร้างให้กลมกลืนกับการตกแต่งสวนภายในสวนนายดำ และจะมีป้ายแนะนำถึงความหมายของส้วมในจินตนาการแต่ละประเภทด้วย ส้วมแต่ละประเภทที่สร้างขึ้นนั้นสามารถใช้งานได้จริงนะครับ

ภายนอกและภายในของส้วมนอกกะลา

ส้วมลอยฟ้า

ส้วมทองก้อน สร้างขึ้นจากจินตนาการสำนวนไทย ขี้ก้อนใหญ่ ให้เด็กเห็น ซึ่งหมายถึง ทำสิ่งที่ไม่สมควรให้เด็กเห็น

ส้วมทาซาน เกิดจากจินตนาการ ทาร์ซาน(มนุษย์) ซึ่งอาศัยอยู่ในป่ากับลิงตั้งแต่เล็กจนโต ผูกพันอยู่กับคนป่าเผ่า "เค็นมี๊ " (ขี้เหม็น) ซึ่งเกิดโรคระบาดล้มตาย เนื่องจากขับถ่ายลงบนพื้นดิน หลังจากทาร์ซานได้พบกับ เจน สาวสวยคนเมือง ซึ่งรู้เรื่อง สุขาภิบาล ทั้งสองได้ร่วมกันสร้างส้วมบนต้นไม้ เพื่อใช้ขับถ่ายอย่างถูกวิธีครับ

ส้วมตูดหมู มีที่มาจากคนไทยในอดีตมีอารมณ์ขัน สามารถเอาสิ่งสกปรกโดยเฉพาะขี้ของสัตว์ มาร้อยเรียงเป็นสุภาษิต สำนวน โวหาร ใช้สอนลูกหลานอย่างสร้างสรรค์ เช่นฝนตก ขี้หมูไหล ขี้หมูรา ขี้หมาแห้งจึงเป็นที่มาของส้วมตูดหมู

ส้วมรู ส้วมแย้ ต่อยอดจินตนาการจาก "ส้วมทาร์ซาน" ซึ่งต้องปีนบันไดลิง ขึ้นไปขี้บนต้นไม้ ส่วน ส้วมรู เมื่อขี้แล้ว ปีนออกทางคอห่าน (รูชักโครก) เป็นที่มาของส้วมรูเพื่อสร้างทัศนคติเชิงบวกกับส้วม ซึ่งเป็นที่ปลดทุกข์ ไม่ใช่สถานที่น่ารังเกียจครับ

มองไปทางไหนก็เจอแต่ส้วม ขนาดถังขยะยังเป็นรูปโถส้วมเลยครับ

ภายในสวนนายดำ นอกจากมีร้านของฝาก และส้วมนานาชนิดแล้ว ที่นี่ยังมีร้านอาหารอีกด้วย เที่ยงนี้ผมก็มาฝากท้องที่ร้านอาหารสวนนายดำครับ

เริ่มที่คั่วกลิ้งหมู รสชาติจัดจ้านตามแบบฉบับคนใต้ครับ

ปลาจาระเม็ดทอดกระเทียม เห็นเต็มตัวอยู่แว๊บเดียว เหลือแต่ก้างภายในพริบตาครับ

ทะเลผัดฉ่า ยกทะเลมาทั้งกุ้ง ปลาหมึก หอยเชลล์ รสชาติจัดจ้าน หอมกลิ่นพริกไทยสดและกระชายครับ เมนูนี้เรียกเหงื่อได้เป็นอย่างดีครับ

ผักกูดผัดน้ำมันหอย รสชาติกำลังดี ทานแก้เผ็ดจากคั่วกลิ้งและผัดฉ่าครับ

แกงเรียงกุ้งสด เมนูนี้ก็อร่อยครับ

และที่เด็ดสุด เห็นจะเป็นเมนูน้ำพริก ผมไม่รู้ชื่อว่าเป็นน้ำพริกอะไร ลักษณะเป็นน้ำพริกกะปิใส่กุ้งสดครับ เมนูนี้หมดถ้วยอย่างรวดเร็ว

ตบท้ายด้วยมะละกอทุ่งตะโก ที่หวานอร่อยมาก รวมถึงมังคุดและเงาะครับ โดยรวมแล้วอาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างเลยครับ ไม่ใช่เฉพาะลิ้นผมนะครับ เพื่อนๆ ในทริปยังบอกว่า มื้อที่สวนนายดำอร่อยที่สุดในบรรดาอาหารทุกมื้อของทริปนี้เลยครับ

หลังอาหาร ใครใคร่กาแฟก็มีให้บริการครับ

หน้าเคาเตอร์กาแฟ ออกแบบได้เก๋ไก๋เลยทีเดียว

บริเวณที่นั่งสำหรับจิบกาแฟครับ ทุกอย่างยังคงคอนเซป "ส้วม" ครับ

กาแฟที่ขึ้นชื่อที่นี่เห็นจะเป็นกาแฟขี้ชะมด คอกาแฟไม่ควรพลาด ถ้วยละ 199/209 บาทครับ

ผมชอบถ้วยกาแฟและถ้วยน้ำชาที่นี่จัง ออกแบบได้โดนใจมากๆ ครับ

ขนาดคุกกี้ ยังเขียนเป็น "คุกขี้" เลย เขียนแบบนี้ไม่รู้ว่าจะขายออกหรือเปล่านะครับ

มีของที่ระลึกขายด้วยนะครับ ราคาไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

คำคมดีๆ ที่เกี่ยวกับขี้ อ่านแล้วโดนใจครับ

สำหรับผู้ที่ใช้เส้นทางที่จะลงใต้ หากมาถึง อ.ทุ่งตะโกช่วงเที่ยงหรือช่วงเย็น แล้วกำลังหาที่ทานอาหาร ผมแนะนำให้มาทานที่สวนนายดำเลยครับ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน ทางเข้าสวนนายดำอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 41 บริเวณ กม.ที่ 54 ฝั่งขาเข้ากรุงเทพครับ

หลังมื้อเที่ยง เราย้อนกลับเพื่อมุ่งหน้าสู่ชุมพร ระหว่างทางแวะชมวัดถ้ำขวัญเมืองครับ

วัดแห่งนี้เป็นวัดปฏิบัติกรรมฐานครับ จุดเด่นของวัดนี้เห็นจะมี 3 จุดครับ

จุดแรกเป็นพระวิหารที่สร้างขึ้นจากหินอ่อนครับ

ฝั่งตรงข้ามของพระวิหาร จะมีบันไดที่เดินขึ้นไปบนเนินเขาบริเวณกึ่งกลางความสูงของเนินเขาจะมีถ้ำซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ครับ

หากเดินต่อขึ้นไปอีก ด้านบนจะเป็นองค์เจดีย์ ซึ่งจุดนี้สามารถชมทิวทัศน์มุมสูงได้ 360 องศาเลยครับ

จากบริเวณองค์เจดีย์ จะมองเห็นสวนปาล์มอยู่เต็มไปหมด ด้านหลังมองเห็นภูเขาสูงลดหลั่นกันไป คาดว่าช่วงเช้าๆ หากมีหมอก ที่นี่น่าจะสวยไม่เบาครับ

ผมไม่มีรายละเอียดของวัดแห่งนี้เลยครับ ไกด์เองก็ไม่มีข้อมูลมาให้กับลูกทัวร์ด้วย

จากวัดถ้ำขวัญเมืองมุ่งสู่หาดทรายรี เพื่อไปสักการะกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์กันครับ

บริเวณหน้าหาดทรายรี จะเห็นลักษณะคล้ายเป็นเนิน ซึ่งบริเวณเนินแห่งนี้ได้ถูกจำลองเป็นรูปเรือรบหลวงพระร่วง มีปืนใหญ่หันกระบอกปืนไปยังทะเล บริเวณหัวเรือรบหลวงพระร่วงเป็นที่ตั้งของศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด์ครับ

ศาลกรมหลวงชุมพร สร้างขึ้นจากหินอ่อน ภายในเป็นที่ตั้งอนุสรณ์สถานของ พลเรือเอก พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ผู้ทรงสถาปนากองทัพเรือสมัยใหม่ให้กับประเทศไทยทรงเป็นเสด็จเตี่ย ของชาวเรือ ทั้งปวงและ เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป ด้านในศาลจะไม่อนุญาตให้จุดธูปเทียนนะครับ แต่จะมีบริเวณที่จุดธูปเทียนอยู่ด้านหน้าศาลครับ

ใกล้ๆ กับศาลกรมหลวงชุมพร เป็นที่ตั้งของเรือรบหลวงชุมพร ซึ่งปลดประจำการไปเมื่อปี 2518 และปี 2522 ทางกองทัพเรือก็นำมาตั้งไว้ที่หาดทรายรีแห่งนี้ โดยหันหัวเรือออกสู่ทะเล เรือรบหลวงชุมพรเป็นเรือตอร์ปิโดขนาดใหญ่ มีความยาว 68 เมตร กว้าง 6.55 เมตรครับ

จากบริเวณหัวเรือจำลอง สามารถชมทิวทัศน์ของหาดทรายรีมุมสูงได้อย่างสวยงามครับ

เมื่อแวะสักการะกรมหลวงชุมพรเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ที่พักกันครับ ก่อนจะเข้าที่พักแวะทานมื้อเย็นกันที่ร้านนายเล็ก ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของผมเมื่อรถบัสมาถึงร้าน อาหารก็ตั้งไว้พร้อมแล้ว เมื่อสมาชิกนั่งครบองค์ประชุม ก็เริ่มบรรเลงกันแบบไม่ยั้ง ผมงี้ถ่ายภาพอาหารแทบไม่ทันครับ

มื้อนี้มีทอดมันครับ

ตามมาด้วยไข่เจียว

ปูนิ่มผัดพริกไทยดำ

ปลากระพงทอด

หน้าตาคล้ายปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นปลาเนื้ออ่อนหรือเปล่า

ปลาหมึกผัดอะไรสักอย่าง

แกงส้มชะอมทอดกุ้งสด

ต้มยำรวมมิตรทะเล

ร้านนายเล็กดูเหมือนเป็นร้านเล็กๆ แต่รองรับแขก 2 รถบัสได้อย่างสบายครับ บรรยากาศของร้านจะอยู่ติดริมทะเลเลย รสชาติอาหารก็พอได้ครับ

ทานเสร็จ ฟ้าก็เริ่มมืดพอดีครับ เห็นทีได้เวลาเข้าที่พักกันแล้ว

คืนนี้ผมพักที่ Novotel Resotrs Chumphon Beach Resort & Golf ครับ แล้วจะต้องพักที่นี่ถึง 3 คืนกันเลยทีเดียว

บริเวณด้านหน้าของรีสอร์ทครับ

บริเวณ Lobby กว้างขวางเลยทีเดียว มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนด้วยครับ

จาก Lobby หากจะเดินไปยังห้องพัก จะผ่านห้องอาหาร The Square ครับ

มีมุมสันทนาการให้ด้วยครับ

มาดูในห้องพักกันบ้างดีกว่าครับ

ห้องพักตกแต่งสไตล์โมเดิร์นมีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างกว้าง มีโต๊ะทำงานให้ด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้มีทีวี LCD พร้อมสัญญาณดาวเทียม free wifi แต่... ทุกอย่างในห้องดูค่อนข้างเก่าครับ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า

ดูสภาพตู้ซิครับ ผนังตู้กระดำกระด่างเลยทีเดียว


ลักษณะห้องน้ำเป็นแบบซีทรู สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ ปกติมู่ลี่ที่ปิดตรงกระจกจะอยู่ภายในห้องน้ำ แต่ที่นี่ มู่ลี่จะอยู่ด้านนอกห้องน้ำครับ ภายในห้องน้ำจะมีอ่างอาบน้ำ รูปลักษณ์เป็น ¼ ของวงกลม เวลายืนอาบน้ำในอ่าง น้ำจะกระเด็นนองเต็มพื้นเลยครับ

หลังอาบน้ำเสร็จ ก็ถือโอกาสนอนแผ่เลยครับ เพราะพรุ่งนี้ผมต้องออกเดินทางกันตั้งแต่ 05.30 น. เพื่อเตรียมตัวไปดำน้ำที่เกาะนางยวนครับ

เช้าวันใหม่ผมมีโปรแกรมนั่งเรือเพื่อข้ามไปยังเกาะนางยวน แล้วไปดำน้ำรอบๆ เกาะ โดยเช้านี้รวมพลกันเวลา 05.30 น. ล้อหมุน 06.00 น. ขึ้นรถปุ๊บก็ทานข้าวกล่องที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้ครับ

ท่าเรือลมพระยาตั้งอยู่ที่หาดทุ่งมะขามน้อย จริงๆ แล้วระยะทางจากรีสอร์ทมายังท่าเรือลมพระยานั้นไม่ไกลเลย แต่เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้เป็นแบบเรือใหญ่ (เรือลมพระยา) ที่ต้องเดินทางรวมกับคนอื่นๆ ทำให้เราต้องมาถึงท่าเรือกันแต่เช้าเพื่อรอคิวขึ้นเรือครับ ผมว่าผมมาถึงท่าเรือเช้าแล้ว แต่ยังมีนักท่องเที่ยวคณะอื่นมาเช้ากว่าผมอีก ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ

ราว 07.20 น. เรือเริ่มออกเดินทางครับ เรือที่บริษัทลมพระยานำมาใช้เป็นเรือคาตามาราน ลักษณะเด่นของเรือคาตามารานคือเป็นเรือสองท้อง ซึ่งจะวิ่งในทะเลได้ด้วยความเร็วสูง ภายในเรือลมพระยา จะมีที่นั่ง 3 ชั้น ตั๋วที่เราซื้อมา จะนั่งได้บริเวณชั้นล่าง และชั้นที่สองบริเวณท้ายเรือ ส่วนชั้นบนจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการอาบแดดครับ เพราะชั้นบนสุดจะเปิดโล่ง ไม่มีหลังคาครับ

บริเวณชั้นล่าง มีเคาท์เตอร์ขายอาหารว่างและเครื่องดื่มด้วย ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะหิวระหว่างอยู่บนเรือครับ ตั๋วโดยสารไม่มีระบุที่นั่งนะครับ ดังนั้นหากขึ้นเรือเร็วก็จะสามารถเลือกที่นั่งได้ แต่ถ้ามาช้า คงต้องขึ้นไปนั่งตากแดดบนชั้นบนสุดครับ หรือไม่ก็ต้องยืนไปตลอดเส้นทาง เพราะนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ขนาดวันที่ผมไปยังแทบจะไม่มีที่นั่งเลย อ้อ หางบัตร สามารถแลกเครื่องดื่มได้ 1 แก้วครับ

บริเวณชั้นสอง ช่วงหัวเรือ จะแบ่งเป็นห้อง VIP ผู้โดยสารที่ต้องการนั่งโซน VIP จะต้องตีตั๋วเพิ่ม ซึ่งสามารถตีตั๋วเพิ่มได้บนเรือเลยครับ

ราว 2 ชั่วโมง ก็มาถึงเกาะนางยวนแล้วครับ

จากบนเรือ มองเห็นหาดทรายขาว (จั๊วะ) เชื่อมกันระหว่างเกาะสองเกาะครับ

เรือมาจอดแนบสนิทที่ท่าเรือ การมาเกาะนางยวนครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของผม ครั้งแรกผมก็ใช้บริการของบริษัทลมพระยานี่แหล่ะครับ แต่เรือจะไปจอดที่เกาะเต่า จากนั้นจะนั่งเรืออีกลำเพื่อมายังเกาะนางยวน แต่รอบนี้ เรือลมพระยาจะตรงมาที่เกาะนางยวนก่อน แล้วถึงจะไปส่งนักท่องเที่ยวที่เกาะเต่าและเกาะสมุยต่อไปครับ

บนเกาะนางยวนไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวนำขวดน้ำพลาสติกขึ้นไปบนเกาะครับ หากนักท่องเที่ยวมีขวดน้ำพลาสติกติดตัวมาด้วยสามารถฝากไว้บริเวณป้อมที่อยู่ใกล้ๆ กับท่าเรือได้ครับ

จากท่าเรือ มองไปด้านซ้าย เห็นน้ำใสมากๆ มองเห็นเศษปะการังรวมถึงปลาทะเลที่ออกมาทักทายนักท่องเที่ยวครับ

ส่วนด้านขวา น้ำน่าจะลึกกว่าทางด้านซ้าย เพราะน้ำดูเป็นสีเขียวมรกตเลยครับ

จากท่าเรือเราเดินตามสะพานไม้มาเรื่อยๆ ก็จะพบกับจุดที่พักของนักท่องเที่ยว ซึ่งก่อสร้างเป็นศาลาขนาดใหญ่ครับ

ผมมาถึงเกาะนางยวนรอบเช้าสุด นักท่องเที่ยวเลยยังไม่ค่อยเยอะครับ

หลังจากฟังไกด์นัดแนะเวลา และปล่อยให้สมาชิกใช้เวลาตามอัธยาศัยแล้ว ผมเลยเดินขึ้นไปยังจุดชมวิว ซึ่งถือเป็นอีกกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดถ้าหากมาถึงเกาะนางยวนครับ

จากศาลาที่พัก เราเดินเลาะเลียบมาตามชายหาดเพื่อไปทางเกาะทางด้านซ้ายมือ เมื่อสิ้นสุดหาดทราย จะมีสะพานไม้ทอดยาวอยู่บนโขดหิน ซึ่งจะพาไปด้านหลังเกาะ


เมื่อสิ้นสุดสะพาน เราจะต้องเดินขึ้นเขากันแล้วครับ สภาพเส้นทางสูงชันพอสมควร จากด้านล่างเดินขึ้นไปด้านบน แบบไม่พักเลย จะใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที แนะนำว่าค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ครับ จะได้ไม่เหนื่อยมาก

เพียงอึดใจเดียว เราก็มาถึงยังจุดชมวิวของเกาะนางยวนครับ เบื้องหน้าผมมองเห็นหมู่เกาะเล็กๆ สามเกาะ เชื่อมต่อกันโดยสันทรายสีขาวสะอาดสวยงามตัดกับสีฟ้าครามของน้ำทะเล ถึงแม้ว่าวันที่ผมไปฟ้าจะปิด แต่ก็ยังเห็นสีครามของน้ำทะเลได้ นี่ถ้าเป็นวันที่ฟ้าเปิด ความสวยงามคงเพิ่มมากกว่านี้

มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตมีหญิงสาวชาวญวนผู้หนึ่งถูกคลื่นลมทะเลพัดมาติดบนเกาะแห่งนี้ จึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อเกาะนางยวนนั่นเองครับ

หลังจากดื่มด่ำความงามบนจุดชมวิวเกาะนางยวนแล้ว ก็คงต้องรีบลงมายังศาลาที่พักนักท่องเที่ยวอีกครั้งเพื่อทานอาหารเที่ยงครับ มื้อนี้เป็น buffet ซึ่งทานร่วมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ผมเองไม่ได้ถ่ายภาพบรรยากาศมาให้ชมนะครับ

เมื่ออิ่มท้องแล้ว ก็เดินเก็บบรรยากาศในมุมอื่นบ้าง รอบนี้ผมเดินมาทางด้านขวาของเกาะครับ

มองเห็นอะไรสีดำๆ อยู่ในน้ำ เลยเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นฝูงลูกปลาฝูงใหญ่ที่แหวกว่ายหากินอยู่ริมชายหาด นึกเล่นๆ ว่าหากเราอยู่ท่ามกลางฝูงปลาแล้วปลามันมาตอดเหมือนการทำสปาเท้า เราคงจั๊กกะจี๋ไม่เบา แต่ผิดครับ ฝูงปลาจะว่ายวนรอบอยู่รอบๆ ตัวเราเท่านั้น

เมื่อถึงเวลานัดหมาย ก็เตรียมขึ้นเรือใหญ่อีกลำเพื่อไปดำน้ำที่อ่าวห้วยเดือด บรรยากาศรอบๆ อ่าวมองเห็นก้อนหินขนาดใหญ่สวยงามมากครับ ณ จุดนี้ผมไม่ได้ลงไปดำน้ำชมปะการังครับ หลังจากสมาชิกดำน้ำกันเสร็จแล้ว ก็กลับมายังเกาะนางยวนอีกครั้งเพื่อเตรียมเดินทางกลับฝั่งชุมพรครับ

การเดินทางมาเที่ยวยังเกาะนางยวน สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่เหมาะที่สุดน่าจะเป็นช่วงกุมภาพันธ์ - เมษายน เพราะช่วงสิงหาคม - กันยายน จะเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเป็นจำนวนมาก ส่วนช่วงมรสุมของที่นี่จะอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - มกราคม แต่ก็พอไปได้เที่ยวบ้าง ทั้งนี้ก่อนเดินทางคงต้องเช็คสภาพอากาศกันก่อนเดินทางครับ

ผมแอบสอบถามราคาแพ็คเกจทัวร์มา ถ้าหากว่าเราจะมาเที่ยวกันเองโดยไม่ผ่านบริษัททัวร์ จะตกอยู่ที่หัวละ 1,900 บาท โดยราคานี้จะรวมค่าตั๋วเรือลมพระยาไป-กลับ ชุมพร-เกาะนางยวน อาหารกลางวันบนเกาะนางยวน และเรือที่พาไปดำน้ำรวมทั้งอุปกรณ์ดำน้ำครับ ส่วนถ้าหากจะนั่งเรือจากชุมพรมาเที่ยวแค่เกาะนางยวน หรือจากเกาะนางยวนกลับไปยังชุมพร ค่าเรือจะอยู่ที่ประมาณ 600 บาทต่อ 1 ขาครับ

ราว 17.00 น. ก็เดินทางกลับมาถึงที่พัก วันนี้ถึงที่พักเร็ว จริงๆ แล้วใจผมอยากจะไปชมวิวบริเวณจุดชมวิวเขามัทรี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเลย แต่เนื่องเส้นทางที่จะไปยังเขามัทรี ค่อนข้างสูงชัน และผมเองก็ไม่มีรถพาไป จะเดินไปก็คงไม่ไหวเพราะต้องเดินขึ้นเขาเป็นระยะทางไกล เลยขอเดินสำรวจรอบๆ รีสอร์ทแทนครับ

บริเวณด้านหน้าของรีสอร์ทครับ

บริเวณด้านหน้า เป็นจุดที่รถจะจอดรับ-ส่งคน เพื่อที่จะเดินไปยัง Lobby ครับ

พื้นที่นั่งพักผ่อน บริเวณด้านหน้า Lobby ครับ

สระว่ายน้ำที่นี่มี 2 ส่วน ส่วนแรกอยู่ด้านหน้าของห้องอาหาร

ส่วนอีกจุดหนึ่งอยู่ติดๆ กันนั่นแหล่ะครับ แต่สระนี้จะอยู่ด้านหน้าตึกที่พักครับ

บริเวณตัวตึกอาคารที่พักครับ

ตัวอาคารที่เห็นอยู่ด้านซ้ายมือ ลักษณะเหมือนจมอยู่ในดินนั้น จะแบ่งเป็น 2 ส่วน

ส่วนแรกเป็นห้องออกกำลังกาย ซึ่งมีอุปกรณ์ออกกำลังกายและโต๊ะปิงปอง

ส่วนที่ 2 จะเป็น Kid club ครับ

กลับมาดูที่ด้านหน้าโรงแรมกันอีกทีครับ เพียงข้ามถนน ก็จะมองเห็นหาดภารดรภาพครับ

บรรยากาศหาดภารดรภาพ หาดทรายไม่ค่อยสวยซักเท่าไรครับ

บรรยากาศยามค่ำก็สวยดีครับ ค่ำนี้มีงานปาร์ตี้กันนิดหน่อย ผมมัวแต่รอถ่ายภาพบรรยากาศโรงแรมช่วงทไวไลท์ เลยขึ้นไปเก็บบรรยากาศไลน์อาหาร Buffet ไม่ทันครับ

เช้าวันนี้ผมได้ไปใช้บริการของห้องอาหาร The Square แล้วครับ

ห้องอาหาร The Square แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะอยู่ในห้องกระจก ติดแอร์ อีกส่วนหนึ่งคือบริเวณด้านหน้าห้องอาหาร ซึ่งอยู่ติดกับ Lobby นั่นเอง ส่วนนี้จะเป็นแบบรับลมธรรมชาติครับ

ไลน์อาหาร ประกอบด้วยประเภทฮอทดอก แฮม

มุมข้าวต้ม

Eggs Station

มุมสลัด

มุมอาหารไทย จะอยู่บริเวณเสาของห้องอาหาร มีให้เลือก 2 เมนูครับ

มุมขนมปังนานาชนิด

มุมผลไม้ น้ำผลไม้ นมสด

ผมว่าอาหารยังไม่ค่อยหลากหลายสักเท่าไร แต่ละสัญชาติก็มีอย่างละไม่กี่ชนิด เช่น กับข้าวที่เป็นอาหารไทยมีให้เลือก 2 อย่างเองครับ อาหารเช้าสำหรับผมยังไม่ค่อยปลื้มสักเท่าไร คือขึ้นชื่อว่า Novotel ผมว่าอาหารน่าจะอลังการกว่านี้ครับ

โดยภาพรวมของ Novotel Resotrs Chumphon Beach Resort & Golf แล้ว ผิดจากที่ผมคาดหวังไว้มากเลยครับ ผมเชื่อมั่นในความเป็น Novotel แต่สิ่งที่ผมสัมผัสตลอด 3 วันที่เข้าพักที่นี่ ผมว่ารีสอร์ทดูค่อนข้างเก่า อาหารก็ไม่ค่อยหลากหลายนัก ถ้าหากมีโอกาสได้กลับมาที่ชุมพรอีก ผมคงจะหาตัวเลือกในการเข้าพักที่อื่นครับ

โปรแกรมสำหรับเช้านี้คือการได้ไปสัมผัสโลกใต้ทะเลของ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพรครับ โดยบริษัททัวร์ที่ผมไปด้วยนั้นก็ไปซื้อทัวร์กับบริษัท สยาม คาตามารัน อีกทีครับ เช่นเดียวกับที่ไปเกาะนางยวนเมื่อวาน

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพรประกอบด้วยเกาะเรียงรายกว่า 40 เกาะ แต่ละเกาะมีความงามของธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป บางเกาะมีหาดทรายขาว บางเกาะก็เป็นภูเขาหินปูนที่มีรูปทรงแปลกตา และรอบๆ เกาะยังมีแนวปะการังที่สมบูรณ์ และฝูงปลาหลากหลายสายพันธุ์ด้วยครับ

เมื่อมาถึง ก็มาฟังคำบรรยายจากเจ้าหน้าที่ แนะนำจุดที่เราจะไปเที่ยวกัน และหากใครต้องการเช่าฟิน ก็สามารถเช่าจากที่นี่ไปได้เลยครับ

ระหว่างที่เดินไปขึ้นเรือ ก็เจอเจ้าตัวแสบตัวนี้ครับ เมื่อผมไปยืนดูมัน มันกลับโก้งโค้งโชว์ตูดแดงใส่ผมซะงั้น แถมมันยังหยิบก้อนหินแล้วเขวี้ยงมาทางผมซะอีก ให้มันได้อย่างนี้ซิ

เรือที่จะนำพาคณะของผมไปสำรวจโลกใต้ทะเลอ่าวไทย คือเรือลำซ้ายครับ เป็นเรือสองท้อง 3 ชั้น มีห้องน้ำ 2 ห้อง สามารถบรรทุกนักท่องเที่ยวได้ถึง 150 คนครับ

เมื่อสมาชิกพร้อม ก็เริ่มออกเดินทางครับ ระหว่างเส้นทางผ่านหมู่บ้านประมงขนาดใหญ่ มีเรือประมงพร้อมลูกเรือหลากหลายสัญชาติอยู่เต็มไปหมด ด้านหลังของหมู่บ้านชาวประมง มองเห็นจุดชมวิวด้านบนของเขามัทรีด้วยครับ

พ้นจากหมู่บ้านชาวประมงมาไม่นาน ก็ถึงปากอ่าวชุมพรแล้วครับ

เรานั่งเรือมาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงจุดหมายแรกของวันนี้ครับ

เกาะแรกที่เรามาดำน้ำกันคือเกาะมาตรา มองไปบนเกาะเห็นหาดทรายสีขาวสะอาด สลับกับโขดหินอยู่หน้าเกาะ น้ำที่นี่ใสมากๆ จนมองเห็นแนวปะการังอยู่ด้านหน้าเกาะเต็มไปหมดเลยครับ ด้านบนเกาะมาตรามีที่พักเพียงแห่งเดียวคือบังกะโลบ้านลุงขาว และตอนที่เรือเราจอดเพื่อให้สมาชิกลงดำน้ำ ลุงขาวก็พายเรือมาทักทายพวกเราครับ

แนวปะการังเป็นแบบแนวปะการังชายฝั่งก่อตัว สภาพสมบูรณ์ดีถึงดีมากเลยทีเดียว ปะการังมีทั้งขึ้นอยู่ในก้นทะเล บางจุดก็ขึ้นอยู่ตามโขดหิน ช่วงเวลาที่ผมดำน้ำเป็นช่วงที่น้ำลง ทำให้ว่ายน้ำไปต้องระวังเท้าจะไปเหยียบปะการังที่ขึ้นบนโขดหินไปครับ

จากนั้นมุ่งหน้าสู่เกาะยาวน้อยและยาวใหญ่ครับ

เกาะด้านซ้ายมือ คือเกาะง่ามใหญ่ ส่วนด้านขวามือคือเกาะง่ามน้อยครับ

เกาะง่ามน้อย เป็นเกาะที่มีความหลากหลายของสัตว์ทะเล ลักษณะของเก่าจะเป็นเขาหินปูน ที่มีความคมของแง่งหิน เกาะนี้มีการสัมปทานทำรังนกด้วยครับ


เกาะง่ามน้อยมีจุดเด่นอยู่ตรงดงปะการังและดอกไม้ทะเล นอกจากนี้ยังสามารถพบปลาไหลมอร์เรย์ ปลาเก๋า ปลาหูช้าง ปลาผีเสื้อหลายชนิดเลยครับ

ขึ้นจากการดำน้ำจุดนี้ ก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน ช่วงกลางวันทางบริษัททัวร์ได้จัดอาหารเป็นแบบ Buffetมื้อนี้ไม่อยากทานมาก เพราะผมไม่อยากไปให้อาหารปลาในทะเลครับ

ถัดจากเกาะง่ามเล็ก จะเป็นเกาะง่ามใหญ่ครับ

เกาะง่ามใหญ่เป็นหน้าผาสูงชัน ไม่มีชายหาด จะมีหน้าผาอยู่หนึ่งจุดที่มีลักษณะคล้าย ฝ่ามือพระพุทธเจ้า ถือเป็นพระเอกของเกาะง่ามใหญ่เลยครับ

เรือพาร่องชมรอบๆ เกาะไปเรื่อยๆ มองเห็นบ้านของคนเฝ้ารังนกสร้างอยู่ริมหน้าผา ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ สวยงามมากๆ ครับ

เรือพามาจอดที่ด้านตะวันตกของเกาะ และปล่อยให้พวกเราดำน้ำที่จุดนี้อีกหนึ่งจุด


บริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยดอกไม้ทะเลขึ้นกันอย่างหนาแน่นเลยครับ บางจุดกินอาณาเขตกว้าง บางจุดก็ขึ้นเต็มโขดหินเลยครับ

และจุดหมายสุดท้ายของทริป มองเห็นอยู่ไกลๆ นั่นคือเกาะทะลุ

เกาะทะลุเป็นเกาะหินปูนขนาดเล็ก มีโพรงถ้ำขนาดใหญ่หลายถ้ำอยู่คร่อมผิวน้ำ สามารถว่ายน้ำลอดทะลุไปยังอีกฝั่งได้ครับ

ผมว่าปะการังที่เกาะนี้สวยไม่เท่าเกาะที่ผมไปดำมาในช่วงเช้า แต่ที่นี่เด่นในเรื่องฝูงปลาเล็กปลาน้อยครับ ไกด์และฝูงปลาฝูงใหญ่พาเราว่ายน้ำลอดทะลุไปยังอีกฝั่ง ตื่นตาตื่นใจผมมากๆ เลยครับ ให้ความรู้สึกเหมือนผมเป็นฉลามวาฬ และมีฝูงปลาฝูงใหญ่เวียนว่ายรอบๆ ฉลามวาฬ เหมือนที่เคยเห็นในสารคดีครับ

ปล.ขอบคุณรูปถ่ายใต้น้ำทุกภาพในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพรจากน้องร่วมทริปครับ

สำหรับ Package tour 1 day trip ที่ผมไปนั้น สามารถติดต่อซื้อทัวร์ได้จาก บริษัท สยาม คาตามารัน จำกัดได้เลยครับ โดยทริปที่ผมไป ตกหัวละ 1,250 บาท ราคานี้รวมค่าเรือ อุปกรณ์ดำน้ำ (ไม่รวมฟิน) อาหารกลางวันและเครื่องดื่มตลอดการเดินทาง นอกจากนี้ที่นี่ยังนำเที่ยวเกาะอื่นๆ อีกด้วย สามารถหาข้อมูลผ่านเวปของบริษัท สยาม คาตามารันได้เลยครับ

ขึ้นฝั่งปุ๊บ ก็เข้าร้านอาหารปั๊บ มื้อเย็นนี้ทางบริษัททัวร์ได้ติดต่อร้านอาหารข้างรีสอร์ทผมอีกเช่นเคย แต่มื้อนี้เปลี่ยนร้าน จากร้านนายเล็ก เป็นร้านอะไร ผมจำชื่อไม่ได้แล้วครับ

เริ่มกันที่เมนูแรก ลักษณะคล้ายยำปลาข้าวสารครับ

ตามมาด้วยปลาหมึกผัดพริกไทยดำ

สะตอผัดกุ้ง

ปลากะพงนึ่งมะนาว

และปิดท้ายด้วยต้มยำทะเล รสชาติโดยรวมถือว่ากลางๆ ครับ หลังอาหารค่ำก็คงต้องแยกย้ายกันไปพักผ่อน เก็บแรงไว้เพื่อเดินทางกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ครับ

เช้าวันใหม่ ผมออกมาเก็บบรรยากาศที่หาดภารดรภาพด้านหน้าโรงแรมอีกครั้ง เช้านี้ฟ้าเปิดกว่าเมื่อวาน พอที่จะได้เห็นแสงเช้าบ้างเล็กน้อยครับ

หลังอาหารเช้า เราก็ล่ำลาจังหวัดชุมพรกันครับ วันเดินทางกลับนี้เราไม่ได้แวะเที่ยวที่ไหนแล้ว จะแวะก็แค่กระจายรายได้ให้คนในพื้นที่อย่างเดียวครับ

ผมมาแวะซื้อของฝากใกล้ศาลเจ้าพ่อตาหินช้างครับ ลงจุดนี้จุดเดียวเหมือนได้ของดีของเด่นของชุมพรครบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นกล้วยเล็บมือนางสด ซึ่งเป็นกล้วยชื่อดังของชุมพร หรือจะเป็นกล้วยเล็บมือนางแปรรูปเป็นกล้วยตาก กล้วยฉาบ ที่มีทั้งรสหวานและรสเค็ม มังคุดกวน ทุเรียนกวน กะปิ สะตอ ผมเองก็หมดเงินไปกับตรงนี้ไม่น้อยเลยครับ

จากนั้นเรามุ่งหน้าสู่อ่าวประจวบ เพื่อแวะทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านเพลินสมุทรครับ

ร้านเพลินสมุทรตั้งอยู่หน้าอ่าวประจวบเลยครับ สามารถนั่งทานอาหารไปชมวิวทะเลไป ช่วงเย็นบรรยากาศคงดีมากๆ ครับ

เริ่มกันที่หอยจ้อปู ที่ไม่ได้มาแค่กลิ่นหรือวิญญาณ แต่มาเป็นเนื้อปูเลยครับ

ตามด้วยออส่วนกระทะร้อน ทานไปฟังเสียงฉี่ๆๆๆไป รสชาติดีด้วยครับ

ผัดผักรวมมิตร

ปลาหมึกไข่นึ่งมะนาว ปลาหมึกชิ้นโตพอดีคำ เปรี้ยวกำลังดี

น้ำพริกอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าอร่อยมาก

ทะเลผัดฉ่า ซึ่งมาทั้งกุ้ง ปลาหมึก ปลา ผัดรวมกัน เผ็ดกำลังดี รสชาติอร่อยด้วยครับ

ดับเผ็ดด้วยต้มจืดเต้าหู้

ปิดท้ายด้วยปลาทับทิมนึ่งมะนาว

มื้อนี้ถือเป็นอีกหนึ่งมื้อที่อร่อยมากๆ สำหรับชาวคณะครับ ระหว่างทานก็ไม่มีเวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศของอ่าวประจวบเลย เนื่องจากกลัวทานไม่ทันเพื่อนครับ

หลังจากทานเสร็จ ถึงจะได้มีโอกาสเงยหน้ามาชมวิวอ่าวประจวบ มองไปข้างหน้าเห็นเขาช่องกระจกอยู่ลิบๆ ครับ

มีสะพานปลาสีแดงทอดยาวลงสู่อ่าวประจวบ

มองเห็นเขาล้อมหมวกด้วยครับ

เมื่อเต็มอิ่มกับอาหารตาและอาหารปากแล้ว ก็หันหน้ากลับมาที่ร้านเพลินสมุทรอีกครั้ง ปรากฏว่าตอนนี้เหล่าสมาชิกทั้งหลายกำลังรุมซื้อของฝากที่มีแม่ค้ามาเร่ขายอยู่หน้าร้านเพลินสมุทรกันใหญ่เลยครับ เพื่อไม่ให้เป็นการน้อยหน้าคนอื่น ผมเลยต้องไปอุดหนุนกับเขาด้วยเช่นกัน หลังจากกระจายรายได้ให้ชาวบ้านแถบชุมพร และประจวบคีรีขันธ์แล้ว หากไม่กระจายรายได้ให้กับชาวเพชรบุรีบ้างเดี๋ยวจะหาว่าลำเอียง ก่อนมุ่งหน้ากลับสู่กรุงเทพ เมื่อเข้าเขตเพชรบุรี ก็มีอันต้องแวะซื้อขนมหม้อแกงฝากคนที่บ้านเป็นจุดสุดท้าย หลังจากนั้นก็ตรงดิ่งกลับกรุงเทพเลยครับ

ผมเองมาเที่ยวทางภาคใต้ก็ถือว่าหลายครั้งมากๆ แต่ละครั้งก็ไม่เคยมีชุมพรอยู่ในใจเลย เคยแวะมาเที่ยวชุมพรเพียงแค่อาศัยเป็นจุดขึ้นเรือไปเกาะเต่าเท่านั้น ครั้งนี้ถือเป็นทริปชุมพรทริปแรกที่ผมตั้งใจจะมาจริงๆ ทำให้รู้เลยว่าชุมพรมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะมาก และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวของชุมพรอีกหลายจุดที่ผมยังไม่เคยมา เช่น เกาะพิทักษ์ การล่องแก่งพะโต๊ะ และอีกหลายๆ เกาะในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร หวังไว้เล็กๆ ว่าไม่นานนี้คงจะได้กลับมาเยือนชุมพรอีกครั้งเป็นแน่ครับ ผมอยากจะให้เพื่อนๆ ลองแวะเที่ยวชุมพรดูสักครั้งนะครับ แล้วเพื่อนๆ จะรู้ว่า ชุมพร ไม่ได้เป็นเพียงเมืองผ่านอีกต่อไป แต่มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างที่ทำให้เราต้องกลับมาเยือนชุมพรอีกหลายๆ ครั้ง

ลุงเสื้อเขียว

 วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 20.11 น.

ความคิดเห็น