ลาว...หรือชื่ออย่างเป็นทางการ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล สำหรับเราที่นี่เป็นอีกประเทศที่เราอยากไปสัมผัสบรรยากาศ จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทางครั้งนี้

เราอ่านรีวิวมาอย่างเยอะ และเตรียมตัวอย่างดีเพื่อทริปต่างประเทศครั้งนี้ (ต่างประเทศเลยเหรอ) 555

และนี่คือแพลนที่เราเตรียมไว้คร่าวๆทั้งเรื่องสถานที่ และเรื่องเงินนนนนนนน !!!

LOOP การเดินทางของเรา => กทม.->หนองคาย->เวียงจันทน์->หลวงพระบาง->วังเวียง->อุดรฯ->กทม.

ครั้งนี้เราเลือกเดินทางโดยรถทัวร์กรุงเทพฯ-นครเวียงจันทน์ ของ บขส. (จองผ่านเว็ปของบขส.ได้เลยค่ะ)

DAY 0 : กทม. -> นครเวียงจันทน์

เริ่มต้นการเดินทางด้วยการไปขึ้นรถทัวร์ที่หมอชิต 2 เราจองรถ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชม.กว่าๆ ก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่จ.หนองคาย อ้อ! เราลืมบอกไปว่าบนรถจะมีพนักงานแจกบัตรแจ้งเข้าเมือง (ให้เราเขียนเตรียมไว้พอถึงด่านก็แลกตั๋วได้เลย) + บัตรแจ้งออกเมือง (อันนี้ต้องเก็บไว้ที่เราสำหรับยื่นตอนเราจะกลับเข้าไทย ห้ามหายนะทุกคน)

ที่นั่งกว้างยืดขาได้วางของได้ และมีขนม+นม+น้ำให้ค่ะ

เราก็หลับๆตื่นๆ จนมาถึงด่านตรวจประมาณ 6 โมงครึ่ง



พอมาถึงเราก็ต้องนำสัมภาระลงจากรถเพื่อตรวจ และออกมาซื้อตั๋ว ONE WAY TICKET สำหรับเข้าประเทศ ราคาประมาณ 50 บาท

และเราก็มาหยอดใส่ตรงนี้ คือเหมือนกับเราขึ้น bts เลยค่ะ

DAY 1 : นครเวียงจันทน์

พอเริ่มเข้าประเทศลาว พนักงานบนรถจะสอบถามว่าแต่ละคนจะลงที่ไหนกันบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะลงตลาดเช้า แต่ทางเรานั้นนนน...ขอไปลงที่ขนส่งสายเหนือเพราะเราต้องซื้อตั๋วรถนอนสำหรับเดินทางไปหลวงพระบางอีกจ้า (ทุกคนไปจองไว้แบบเราก่อนดีกว่าเนาะ ไม่งั้นที่จะเต็มน้า) >> บอกก่อนนะ ทริปนี้เราจัดตารางเวลาไว้แน่นจริงๆกะจะไปให้ได้ทุกที่ที่อยากไป

เราแลกเงินจากที่นี่เลยนะทุกคน ไม่ได้แลกเตรียมไว้ (แลกหลักพัน ได้กลับมาหลักล้านจ้า รวยๆ 555)


มีเงินแล้วจองตั๋วรถได้ เราเลือกรถแบบนอน 150,000 กีบ ตอนเวลา สองทุ่ม เท่ากับว่าเรามีเวลาเที่ยวทั้งวัน เอ้า!!! ก็ไปสิค้าบบ (ที่นี่มีที่ให้อาบน้ำนะคะ ราคา 5,000 กีบ) อาบน้ำดีกว่าเนาะจะได้ไม่เป็นภาระจมูกคนอื่น หลังจากนั้น เราก็หารถโดยสารจากขนส่งไปลงที่ตลาดเช้า (5,000 กีบ)

Major ก็มี Platinum ก็มาค่ะคุ๊ณ

เราซื้อซิมจากที่นี่แหละค่ะของ ลาวเทเลคอม 10,000 กีบ + เน็ต 10,000 กีบ (ปล.ไม่จำเป็นต้องซื้อเลยนะทุกคน จริงจริ๊ง)

จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไป " ประตูไซ หรือ ประตูชัย " นั่นเองค่ะ


เราใช้วิธีการเดิน เดิน เดิน และเดินค่ะ ท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ พอมาถึงเท่านั้นแหละค่ะสวย แค่เห็นจากมุมนี้เราก็ตลึงมาก

เราขึ้นไปด้านบนของประตูไซ (ค่าขึ้น 15 บาท) เราจำไม่ได้ว่ามีกี่ชั้น แต่ที่จำได้แม่น คือ เหนื่อยมากกกก 555 แต่เราก็เดินขึ้นไปจนสุดนะ






แดดแรงแต่สู้ไม่ถอย













แต่ด้วยอากาศที่ร้อนมากๆจริง เราไม่สามารถเดินไปได้แล้ว 555 เราจึงเลือก...รถสามล้อเหมาเลยจ้า ให้พาเราไปเที่ยวทั้งวัน







สถานที่ต่อไป คือ " พระธาตุหลวง หรือ พระเจดีย์โลกะจุฬามณี " สีทองสะท้อนกับแดดเลยค่ะ สวยมาก (ค่าเข้า 10,000 กีบ)

เมื่อเราเดินชม และสักการะเรียบร้อยแล้วนั้น กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง หิวมากแม่!!!

เราสั่งเฝอไก่ และเฝอเนื้อไป ทุกอย่างเลยอร่อยค่ะ 555 (จบรีวิวอาหารมือแรก สั้นๆง่ายๆ หิวนั่นเอง)

จากนั้นเราก็ออกเดินทางกันต่อคนขับรถสามล้อที่เราเหมาเค้าแนะนำเราให้ไปที่นี่ ซึ่งไม่มีอยู่ในแพลนของเราเลยค่ะ นั่นคือ " วัดศรีเมือง " เค้าบอกว่าที่นี่เป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองประจำนครเวียงจันทน์ และๆๆๆๆเป็นวัดแห่งโชคลาภด้วยค่ะทุกคน

" วัดสีสะเกด " เป็นวัดหลวง สำหรับเราเรารู้สึกว่าที่นี่มีความสงบมาก (ค่าเข้า 10,000 กีบ)

ต่อมาอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน คือ " หอพระแก้ว " สถานที่นี้เดิมเคยประดิษฐานพระแก้วมรกต ปัจจุบันเหลือเพียงแท่นที่ประดิษฐานเท่านั้นค่ะ และที่เราไปเราทราบว่าได้มีการบูรณะที่แห่งนี้แล้ว บอกได้คำเดียวนะว่าเห็นในรูปสวยแล้ว ของจริงตรงหน้าสวยมากกว่า (ค่าเข้า 10,000 กีบ)

อากาศร้อนมากๆเลยค่ะ เราเลยให้พี่คนขับรถพาเราแวะห้างใกล้ และเดินเล่นชมเมืองนครเวียงจันทน์ และเราสะดุดตาที่นี่ค่ะ ทะนาคานกะสิกอนไท หรือ ธนาคารกสิกรไทย นี่แหละค่ะ สวยมากกกกมีความโบราณในความทันสมัยยังไงก็บอกไม่ถูก (เอ๊ะ!หรือเราคิดไปเอง 55)

พอตกเย็นเลยให้พี่คนขับรถพาเราไปส่งขนส่งสายเหนือค่ะ เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปหลวงพระบาง...





นี่ค่ะโฉมหน้ารถนอนของเรา มี 2 ชั้นนะคะ อารมณ์เหมือนเตียงนอน 2 ชั้น เลยค่ะ ** ก่อนจะขึ้นรถแนะนำให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารับประทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนนะคะ




ขนมนี้มีขายเยอะมากเลยนะคะ ชื่อ ปาเต้ ต้องลองนะทุกคน

*** ปล. ถ้าใครอยากไปหลวงพระบาง แนะนำขึ้นเครื่องเถอะค่ะ ถือว่าเราขอร้องละ 555 สุดจริงๆค่ะเพื่อนๆ ด้วยเรื่องระยะทาง,ด้วยเรื่องถนนหนทางของเค้า อื้อหือมากค่ะ ฉวัดเฉวียนกลิ้งไปกลิ้งมาขึ้นเขาลงเขากลิ้งแล้วกลิ้งอีก

แต่เราก็มาถึงสถานีขนส่งหลวงพระบางอย่างปลอดภัยนะคะ 555 ขอบคุณความชำนาญของพี่โชเฟอร์นะคะ

DAY 2 : หลวงพระบาง
เรามาถึงประมาณ 7 โมงครึ่ง ลงจากรถมาลมตีหน้าเลยค่ะ สัมผัสได้ถึงความหนาว รีบเปิดโทรศัพท์ที่ซื้อซิมเน็ตมาใช้ประโยชน์หน่อยค่ะ ตอนนั้นอากาศ 19 องศา หนาวค่ะ เราเลยหารถแถวนั้นเพื่อจะไปที่พักที่เราจองไว้ค่ะ Orchid guest house (207,050 กีบ) เราจองผ่าน Agoda ค่ะ จองแบบไปจ่ายที่พัก

นี่ค่ะภาพที่พักเรา ราคาไม่แรง และไม่หลอกดาวค่ะ เราเลยลองคุยกับพี่ที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์เพราะเราจะขอเช็คอินก่อนเที่ยง พี่เค้าใจดีมากเลยนะ ให้เราสามารถเข้าพักได้ก่อนเวลา (หรือสภาพเราตอนนั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ สะบักสะบอม 555) จากนั้นเราก็อาบน้ำแต่งตัวนอนเล่นสักแปบ เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราเลยออกไปใช้ชีวิต ให้มีชีวิตสิคะ

เราเดินเล่นชมเมืองไปเรื่อยอะค่ะ เราชอบที่นี่มากนะ หลวงพระบาง ถ้าถามเราว่าทั้งสามที่ในลาวที่เราไปมาชอบที่ไหนมากที่สุด ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยค่ะ หลวงพระบางงงง ฉันรักเธอ ทั้งบรรยากาศ ทั้งความเป็นอยู่ ทั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัย สุดจริงค่ะ

แต่เป้าหมายของเรานั้น ก็คือ ! ร้าน " ประชานิยม " ค่ะ (ตามตรงคือเห็นรีวิวมาเยอะเลยอยากลองเอง)

พอได้ลองเลยรู้ว่า อ๋อ! มันก็คือข้าวต้มใส่ไข่ ปาท่องโก๋ และน้ำชาค่ะ สำหรับเรา (เฉยๆนะคะ)

อะ ถ่ายรูปสักหน่อยเดี๋ยวเหมือนมาไม่ถึง

บรรยากาศที่นี่ดีมากเลยนะคะ เราเดินเล่นสมัผัสบรรยากาศไปเรื่อยไปทุกที่ ที่เราเดินไปได้





เจอใครก็ทักทายไปหมด คุยกับเค้าไปทั่ว นี่แหละการสัมผัสประสบการณ์จริงๆ 555





หลังจากนั้นเรากับแฟนเลยคุยกันว่าจะไป " น้ำตกตาดกวางสี " ยังไงดี สำหรับที่เราลองศึกษามา (โอ้โห! ดูจริงจังมาก 555) คือไปได้สองแบบนะ คือ เช่ามอเตอร์ไซต์ (100,000 กีบ) กับเหมารถ (200,000 กีบ) ค่ะ แต่ๆๆๆๆ สำหรับเรานั้น เช่ามอเตอร์ไซต์สิคะคุ๊ณ อะไรที่ลำบาก (คนอื่น) ทางนี้ช้อบชอบ เพราะคุณแฟนขับค่ะ 555

เราออกเดินทางประมาณเที่ยงกว่าๆ (ร้อนค่ะ ไม่ต้องสืบ) กว่าจะถึงน้ำตกตาดกวางสีก็ บ่ายสองค่ะ (ตลอดทางได้แต่คิดว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่ 555) และเราก็มาถึงทางเข้าค่ะ (ค่าเข้า 20,000 กีบ) แต่...

ยังไม่ถึงน้ำตกค่ะ แวะดูหมีก่อนค่ะ และเดินเข้ามาเรื่อยๆก็จะเจอน้ำตก เอ่อ! ใช่ค่ะเรามาน้ำตกก็ต้องเจอน้ำตก

Point อยู่ตรงนี้ค่ะ นี่เป็นหนึ่งอย่างที่ทำให้เราตัดสินใจมาหลวงพระบางนะคะ พูดตรงๆเลย สวยค่ะของจริงสวยมาก

ไม่พลาดที่จะเอาตัวเองเข้าไปในเฟรมแน่นอนค่ะ

จากนั้นเราก็ขับรถกลับ รู้สึกว่าขากลับมามันใกล้ค่ะ หรือคิดไปเองก็ไม่รู้นะคะ เรากลับมาอาบน้ำแต่งตัว และไปเตรียมตัวไปตลาดมืด หรือถนนคนเดินต่อค่ะ

ที่นี่เป็น " พระราชวังเก่าหลวงพระบาง " เรามาเย็นเกินไป (รู้สึกจะปิดประมาณ 4 โมงเย็น) เลยไม่ได้เข้าไปด้านใน แต่ดูจากด้านนอกคือสวยมากจริงๆค่ะ

จากนั้นเราเลยไปฝั่งตรงข้ามค่ะ " พระธาตุพูสี " ที่เราตั้งใจจะมาดูพระอาทิตย์ตก (ค่าเข้า 20,000 กีบ) ทางขึ้นไปนั้น ไม่ธรรมดา อื้อหือ ไม่ธรรมดา (328 ขั้นค่ะคุณ สบ๊าย)

แต่ตลอดทางร่มรื่น และเย็นสบายเพราะมีแต่ *ต้นจำปา (ดอกไม้ประจำชาติลาว) ตลอดทางเลยค่ะ


และพอถึงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินนั้น ก้อนเมฆบังค่ะ เราเลยอดเห็นพระอาทิตย์ตกดิน จากประเทศลาว ขอบอกว่าทุกคนต้องขึ้นไปบนพระธาตุนะคะ ขีดเส้นใต้เลยค่ะ

จากนั้นเราก็เดินลงมาแบบขาสั่นๆ เพราะหิวด้วยเพลียด้วย 555 ลงมาหาของกินที่ตลาดมืดค่ะ อยู่ด้านถนนหน้าทางขึ้นพระธาตุเลยค่ะ

ของกิน เสื้อผ้า ของฝากระรานตาไปหมดเลยค่ะ จากนั้นก็กลับห้องนอนด้วยความเหนื่อยล้า และพรุ่งนี้เราต้องตื่นเช้าเพื่อ...

ใส่บาตรข้าวเหนียว (20,000 กีบ) และกลับที่พักเพื่ออาบน้ำเก็บของและทานอาหารเช้า อ้อ! เราลืมบอกไปค่ะว่าที่พักมีอาหารเช้าให้ด้วยนะคะ

หลังจากนั้นเราก็นำรถไปคืนค่ะ พี่เค้าใจดีเห็นเราสัมภาระเยอะ (น่าจะสงสารอะค่ะ) เลยพาเราไปส่งที่คิวรถตู้ เพราะเราจะไปวังเวียงต่อค่ะ

DAY 3 : วังเวียง

เราจองรถตู้หลวงพระบาง-วังเวียง (105,000 กีบ) ไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ เพราะกลัวที่นั่งจะเต็ม พี่เค้าบอกว่าใช้เวลาประมาณ 5 ชม. จะถึงวังเวียง เราเลยคำนวณเวลาเลยจองรอบ 8 ครึ่งไว้จะได้ไปถึงวังเวียงไม่เกินบ่าย แต่สิ่งที่เราคิดไว้นั้นก็มลายหายไป


เมื่อ 11 โมงแล้วยังอยู่ในหุบเขา เที่ยงก็แล้วยังไม่เห็นวี่แวว บ่ายโมงก็แล้วชุมชนอยู่ไหน

จนกระทั่งบ่ายสองโมงนิดๆ เราถึงคิวรถวังเวียง ถึงแล้ววังเวียง ที่เกือบจะวังเวง เราไม่รอช้าเลยค่ะสอบถามหารถที่จะไปส่งที่พัก เพราะเราเลยเวลามามากแล้ว เราต้องเก็บอีกหลายที่ รอบนี้เราพักที่ " Sabaidee Hotel " (905 บาท)

ที่พักดีมากค่ะ 10/10 อยู่กลางเมืองเดินไปไหนมาไหนสะดวก

เรามาถึงช้าเลยต้องตัดสินว่าจะไปที่ไหนต่อดี ระหว่าง ถ้ำจัง หรือ บลูลากูน เลยลองถามระยะทางจากพี่หน้าเคาน์เตอร์ เค้าแนะนำว่าควรจะไปถ้ำจังดีกว่า เพราะไม่ไกลจากนี่มาก เลยออกเดินเท้า ใช่ค่ะเดินต่อไปโดยถามทางไปเรื่อยค่ะ จนคิดว่าวันนี้ไม่จะถึงแล้วถ้าเดินไป 555 เลยเหมารถค่ะ (ใช้เงินแก้ปัญหาอีกแล้ว) (40,000 กีบ) ไป-กลับ

" ถ้ำจัง - สะพานส้ม " ที่เดียวกันนะคะ (ค่าเข้า 20,000 กีบ)

เราเห็นคนไปที่นี่เยอะมาก เราเลยอยากลองไปบ้าง แต่พอไปถึงจริงๆ ก็ไม่ว้าวเท่าไหร่นะคะ ก็สะพานส้มนี่แหละค่ะ

หลังจากนั้นเราก็กลับมาเดินเล่นแม่น้ำซอง และในเมืองไปเรื่อยค่ะ

จนกระทั่งเจอร้านหมูกะทะ อะก็ต้องลองสิค้าบ

เด็ดมากค่ะ หมูเบค่อน คือดีย์ ไม่เว่อร์ดีย์จริง

ที่นี่มีตลาดมืดด้วยนะคะ แต่ของไม่เยอะเท่าที่หลวงพระบาง และเราก็ตามหาร้าน ร้านนึงค่ะ นั่นคือ " Sakura Bar "

ตอนเราไปจะมีเหล้าบุฟเฟ่นะคะ ถึงกี่โมงเราก็จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่สนุกมากคะ และคุ้มมากค่ะ 555

ตื่นเช้ามาด้วยความมึนงง ว่าเมื่อคืน ฉันทำอะไรลงไป๊ 555 แต่เพื่ออาหารบุฟเฟ่ฟรี ต้องลากตัวเองมาจากที่นอนค่ะ

จากนั้นเราก็เตรียมตัวเดินทางกลับกันค่ะ โดยเราแจ้งทางโรงแรมไปตั้งแต่เมื่อวานว่าเราจะกลับเวียงจันทน์เวลาประมาณนี้พอจะหารถให้เราได้มั้ย จะมีรถมาส่งจากวังเวียง-บขส.เวียงจันทน์ จากนั้นเราก็นั่งจากบขส.เวียงจันทน์มาลงตลาดเช้า (5,000 กีบ)

และเราก็มาจองรถจากตลาดเช้ากลับไปอุดรฯ เพราะเราจองเครื่องบินที่อุดรฯไว้ แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆ ทุกคนอย่าลืมจองตั๋วรถทัวร์ก่อนนะคะ ของเราเต็ม และต้องรอรอบประมาญสี่โมงครึ่ง แต่เราจองเครื่องไว้สองทุ่ม ลุ้นมากค่ะว่าจะตกเครื่องไหม


เรากลับรถคันนี้ค่ะ ใหม่มาก (ค่ารถ 24,000 บาท) และอย่าลืมยื่นบัตรแจ้งออกเมือง และซื้อบัตรออกนอกประเทศลาวด้วยนะคะ ( 50 บาท)

และแล้วเราก็มาถึงสนามบินทันเวลาค่ะ ขอบคุณนะคะที่อ่านรีวิวของเรามาจนจบนี้ สำหรับเราลาวเป็นประเทศนึงที่อยากให้ทุกคนได้ลองไปสัมผัสวิถีชีวิต ธรรมชาติ และวัฒนธรรมของคนที่นี่ดูค่ะ

... เพราะนี่คือเรื่องของลาว ที่เราได้ไปสัมผัส

สรุปค่าใช้จ่าโดยประมาณ

Day 0

- ค่ารถนอน กทม.-เวียงจันทน์ = 900 บาท/คน

Day 1

- รายละเอียดตามที่วงเล็บแนบ + ค่าอาหาร = 1,000 บาท/คน

Day 2

- รายละเอียดตามที่วงเล็บแนบ + ค่าอาหาร = 1,170 บาท/คน

Day 3

- รายละเอียดตามที่วงเล็บแนบ + ค่าอาหาร = 550 บาท/คน

Day 4

- รายละเอียดตามที่วงเล็บแนบ + ค่าอาหาร =500 บาท/คน

- ค่าเครื่องบิน อุดรธานี-ลาว = 720 บาท/คน

รวมทั้งสิ้นประมาณ 5,000 บาท / คน

ชีวิตติด_เที่ยว

 วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 23.06 น.

ความคิดเห็น