เกริ่นนำ

ขออนุญาตบอกนิดนึงก่อนน๊า เนื่องจากการเขียนบันทึกนี้เป็นการบันทึกกลายๆไดอารี่ส่วนตัว จึงอาจทำให้มีเนื้อหาที่ยาว และอาจมีคำพูดไม่สุภาพบ้างนิดหน่อยซึ่งทางผู้บันทึกก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยและเราขอรับรองว่าผู้ที่หลงเข้ามาอ่านต้องไม่ผิดหวังกับข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงและรูปภาพที่ท่านอาจหาสาระไม่ได้ ถ้าใครไม่ชอบอ่านเนื้อหายาวๆก็ผ่านได้นะจ๊ะ ส่วนใครที่อ่านจนจบหรือสไลด์ดูรูปจนหมดเราคงต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูงเลยจร้า

3วัน2คืน ทริปเมืองกาญฯ เราตั้งใจวางแผนไปเที่ยวและถ่ายรูปที่ทองผาภูมิ วันศุกร์ที่ 8 พย.62 เราเดินทางออกจากกรุงเทพโดยรถยนต์ ใช้เส้นทางสายบรมราชชนนี (338) ขับไปเรื่อยจนบรรจบกับ ถนนเพชรเกษม (4) และเลี้ยวขวาไปทางนครปฐม ขับเลยอำเภอเมืองไปหน่ อยจะเจอเส้นแยกไปจังหวัดกาญจนบุรี(323) เป็นทางยกระดับส่งข้ามไปทางขวาเลย พอเลยบ้านโป่ง ก็เป็นเวลาประมาณบ่ายสอง

เราจึงคิดว่าก่อนจะเข้าที่พักที่จองไว้ (แบมบูย่า ซึ่งเป็นเกสต์เฮาส์น่ารักเล็กๆติดริมน้ำอยู่ใกล้สะพานข้ามแม่น้ำแคว)เราควรจัดมื้อบ่ายสองที่มีนาคาเฟ่น่าจะเหมาะวันนี้เป็นวันศุกร์คงไม่น่ามีนักท่องเที่ยวมากเท่าไหร่นัก เราเลยกดตำแหน่ง GPSร้านมีนาคาเฟ่ โดยทันทีโดยเส้นทางในโทรศัพท์ได้ถูกเปลี่ยนทิศให้เลี้ยวซ้ายฉีกออกจากถนนแสงชูโต (323) ที่ท่ามะกา โดยเราได้เลี้ยวซ้ายเข้าถนน(3209) ที่ตำแหน่งเลยปั๊ม ปตท.ท่ามะกามานิดเดียว

หลังจากนั้นเราก็ขับรถมาตามตำแหน่ง GPS เมื่อถึงจุดหมายสิ่งที่คาดคิดไว้ผิดหมด ร้านมีนาคาเฟ่ (N13.949085,E99.600108) ไม่ได้มีคนน้อยอย่างที่คิด และแถวนั้นมีร้านอาหารคาเฟ่เกิดใหม่อีกเพียบ ก็จัดว่าผู้บริโภคได้เปรียบหน่อย กรณีถ้าร้านใดร้านนึงเต็มเราก็จะได้มีทางเลือกอีกหลายๆร้านให้เลือก โดยมีบรรยากาศวิวทิวทัศน์เดียวกันกับร้านมีนาฯ แต่เราก็เลือกที่จะทานร้านเดิม เพราะยังพอมีที่นั่งด้านนอกที่เจ้าของร้านต่อเติมมาเพื่อรองรับนทท.อีกเยอะมาก

เมื่อมาถึงปรากฎว่าไม่มีข้าวกินฮะ มีแต่พิซซ่า กับเครื่องดื่ม เราจึงสั่งพิซซ่าหน้าซีฟู้ด ถาดขนาดประมาณ 8" ชิ้นบางๆ กับอเมริกาโน่เย็น 2แก้ว แก้วละ 55บาท ส่วนพิซซ่าถาดละ 159บาท เอ้าลองแดกดู.. เฮ๊ย.. เข้าท่า แต่เราก็ยังไม่รู้ว่ามันเกิ ดจากอาการหิวหรือว่าพิซซ่ามันอร่อย เราจึงตัดสินใจเดินไปสั่งมาเพิ่มอีกถาดโดยทันที แม่มนี่มันรสบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชัดๆ มิน่ามันถึงอร่อย และเราก็จัดพิซซ่าพร้อมกาแฟดับกระหายไปพลางๆ

สักพักเพื่อนโทรมา (มันยังไม่เลิกงาน)"มึงไปดูต้นจามจุรียักษ์ให้กูที กูอยากรู้ว่าวันธรรมดาคนจะเยอะมั๊ย" เราเลยตอบรับคำพร้อมเก็บกล้องรีบจ้วงพิซซ่าที่เหลือเข้าปากโดยทันควันต้นจามจุรียักษ์(N13.954550,E99.527284) อยู่ห่างจากร้านมีนาคาเฟ่ ประมาณ10กิโล ขับรถผ่านหมู่บ้านชุมชนเล็กๆ และไร่ข้าวโพด ทุ่งนาเขียวขจีในเดือนพฤศจิกายน วันศุกร์บ่ายสามนักท่องเที่ยวที่ นี่จัดว่ามาน้อยพอสมควร ส่วนใหญ่คงไปออกันอยู่ที่วัดถ้ำเสือกับมีนาคาเฟ่

หลังจากออกจากต้นจามจุรียักษ์มาแล้วเราก็มุ่งหน้าที่พักแบมบูย่า (N14.039510 ,E99.507333) ถ้าดูจากแผนที่ก็อยู่ไม่ไกลจากสะพานข้ามแม่น้ำแควมากนัก ทีแรกเรากะว่าจะนั่งรถไฟมาเที่ยว แต่เนื่องจากติดขัดเรื่องเวลา และความไม่สะดวกในการใช้บริการรถไฟ เราจึงเปลี่ยนเป็นขับรถยนต์มาแทนซึ่งทำให้การเที่ยววันนี้สะดวกมากยิ่งขึ้น หลังจาก check in เรียบร้อยเราจึงไปถ่ายรูปแสงเย็นเล่นๆที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว สามารถหาที่จอดรถได้สะดวกสบายตามข้างทาง


เสร็จจากแสงเย็นวันนี้เราจึงขับรถไปทิ้งไว้บ้านเพื่อนในตัวเมือง และไปทานข้าวเย็นที่ โรงแรมไทยเสรี ( N14.016270, E99.534302) เมื่อสมัยก่อนก็คงเป็นโรงแรมดังริมถนนแสงชูโต แต่ยุคสมัยเปลี่ยนที่นี่ยังคงรักษาสภาพโรงแรมเก่าซึ่งเป็นตึก3ชั้นแต่ปรับปรุงชั้นล่างเป็นร้านอาหารเหลาชั้นเยี่ยมรสชาดอร่อยถูกปากเรามากๆ กับข้าว4อย่าง 3คน ก็ปิดมื้อเย็นเบาๆเพียง700กว่าบาท (แนะนำควรมาทาน) สามารถจอดรถได้ข้างทางสบายๆ




6โมงเช้าของวันเสาร์ที่ 9 พย.62 ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเพราะเพื่อนlineมาปลุกแต่เช้า เป้าหมายแรก ต้องรีบไปถ่ายรถไฟขบวนแรกที่วิ่งมาจากสถานีหนองปลาดุก (เราคงไม่รอขบวนที่มาจากกรุงเทพฯ)จะมาถึงสถานีถ้ำกระแซประมาณ07:38น. เราจึงต้องรีบบึ่งรถไปดูจุดถ่ายรูปก่อนรถไฟจะเข้าสถานีถ้ำกระแซ (N14.106538 ,E99.165031) ตำแหน่งจอดรถยนต์ และมีเวลาเดินสำรวจเลาะเลียบริมทางรถไฟไปจนถึงสวนไทรโยครีสอร์




ระหว่างเดินกลับ 07:35 เสียงหวูดรถไฟดังลั่น พวกเรา3คนยังอยู่ระหว่างทางบนรางรถไฟ

"เฮ้ยไอ้... รถไฟมาเว้ย" เราตะโกนลั่นป่า

หลังจากนั้นจึงใส่ตีนหมาควบ100เมตรวิ่งหนีรถไฟเพื่อจะมายืนยังจุดที่เราจะถ่ายภาพ

"เหนื่อยชิบหาย ไม่น่าวิ่งเลย รถไฟแม่งคลานเต่าแท้" เพื่อนเราพูดเบาๆพร้อมเสียงลมหายใจรวยระรินคล้ายคนใกล้ตายก็จัดว่าเป็นความทรงจำอันสวยงามบนทางรถไฟโค้งมรณะถ้ำกระแซ

ออกจากถ้ำกระแซเราก็ย้อนกลับไปปราสาทเมืองสิงห์ แต่ระหว่างทางเราค้นหาพิกัด GPSบนโทรศัพท์ เราพบว่าถ้ำเชลย ( N14.094153,E99.178408) ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะอยู่ระหว่างทางขับรถย้ อนกลับไปปราสาทเมืองสิงห์พอดี ถ้ำเชลยจอดรถข้างทางรถไฟ แล้วเดินขึ้นขึ้นเขาทางด้านขวาไปอีกประมาณ300เมตรหลังจากนั้นก็จะเป็นการเดินผ่านป่าไผ่ไปอีก200เมตรก็จะถึงปากถ้ำพอดี

ด้านในถ้ำเชลยมีโถงหลายโถงมากมายแต่เราตัดสินใจถ่ายรูปแค่โถงแรกที่เดียวเพราะยุงเยอะมาก และอีกอย่างถ้าเดินเข้าถ้ำไปและถ่ายรูปไปเมื่อตอนออกมาจากถ้ำเลนส์อาจจะน็อคเป็นฝ้าอยู่หลายนาที ขาเดินกลับสบายหน่อยไม่เมื่อยเหมือนตอนขาเข้าถ้ำเพราะระยะทาง500เมตรแม้วเล่นเอาร่างกายเราเดี้ยงพอสมควร และวันนี้คงไม่คิดว่าจะเดินขึ้นเขาอีกฮาาฯ

ขับรถออกมาอีกหน่อยประมาณ10กม.ก็จะถึงปราสาทเมืองสิงห์ (N14.039371,E99.246239) ที่นี่สำหรับคนไทยเสียค่าเข้าชมคนละ30บาท ค่ารถ 20บาท ไฮไลท์ก็คือปราสาทเมืองสิงห์ที่ตั้งเด่นเห็นได้ชัด หาที่จอดรถและรีบเดินไปโดยด่วนก่อน นทท.จะมากันเยอะ รายละเอียดคร่าวๆสถานที่นี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา แต่สถาปัตยกรรมจะคล้ายคลึงกับศิลปะสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่7 กษัตริย์ของขอม



เมื่อออกจากปราสาทเมืองสิงห์แล้วเราจึงวางแผนเที่ยวถ่ายรูปตามรายทางระหว่างเส้นทางโดยขับแวะน้ำตกไทรโยคน้อยซึ่งอยู่ระหว่างเส้นทางสาย323หลักกม.120 (N14.237771,E99.05805)

น้ำตกอยู่ริมถนน สามารถจอดรถได้ตลอดแนวไม่เสียค่าเข้าอุทยาน เล่นน้ำตก หรือจะถ่ายรูปได้ตามสบาย มีรถไฟให้ถ่ายรูปเป็นทีระลึกสวยๆ มีอาหารให้ทานก่อนจะเดินทางต่อไปยังทองผาภูมิ

สถานที่ต่อมาก่อนจะถึงทองผาภูมิ เราแวะช่องเขาขาด ( N14.352630,E98.954973) ซึ่งสถานที่นี้ตั้งอยู่ในกองการเกษตรและสหกรณ์ กองกำลังทหารพัฒนา อยู่ห่างจากน้ำตกไทรโยคน้อย20กม. ถ้าจะเข้าไปยังจุดหมายต้องแลกบัตรประชาชน คนไทยเข้าชมฟรี (ต่างชาติเราไม่รู้นะอิๆ) หลังจากจอดรถที่ลานจอดจะเจอพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเดินถ่ายรูปสบายแอร์เย็นเฉียบ



เมื่อตากแอร์เสร็จเรียบร้อย เราก็พร้อมออกเดินไปดูของจริงซึ่งอยู่ทางด้านล่างของพิพิธภัณฑ์ มีทางเดิน2ทาง เราเลือกเดินทางสบาย ตามบันไดที่จัดไว้ลงไปถึงจุดหมายประมาณ 500เมตรแม้ว trailนี้ไปไม่ถึงจุดไฮไล้ท เพราะทางเจ้าของสถานที่ปิดไม่ให้คนเข้า เนื่องจากอาจเกิดอันตรายจากหินร่วงหล่น แต่ก็ยังมีคนเข้าไปอยู่จนได้ คนไทยฮะไม่รู้ว่าคนไทยพวกนี้ต้องเกิดอีกกี่ชาติเขาถึงจะมีวินั


ขาเดินลงไม่เท่าไหร่ แต่ขากลับเดินขึ้นนี่ระบมเลย นี่วันนี้ว่าจะไม่ขึ้น-ลงเขาแล้วนะ ฮาา ออกจากที่นี่เราก็รีบไปเข้าที่พัก เพื่อพักเอาแรงก่อนดีกว่า และเราก็บึ่งรถยาวเลย คืนนี้เรานอนกันที่ ทองผาภูมิรีเวอร์ ( N14.738465,E98.634531) เราเลือกพักที่นี่ก็เพราะว่าอยู่ ใกล้กับวัดท่าขนุน เวลาเช้าก็จะได้ไม่ขับรถไกลนัก ขับรถมาประมาณไม่เกินครึ่งชม.ก็ถึงโรงแรมและเชคอินนอนชาร์ตแบตกันแปปนึง (ที่นี่รูปลั๊กชาร์ตมีน้อยกรุณานำปลั๊กพ่วงติดไปด้วย)


เพื่อน ตะโกนบอกว่า "ได้เวลา4โมงเย็นเราก็รีบออกจากที่พักเพื่อไปดูแสงเย็น และตำแหน่งถ่ายรูปพระบิณฑบาตในเวลาเช้า"

เรานี่ตกใจเลย และนึกในใจว่า "งานนี้กูนี่ต้องเดินขึ้นเขาอีกแล้วซิท่า"

แต่ก็ต้องยอมเพราะความอยากได้รูปสวยๆ จากนั้นก็รีบลุกและขับรถออกมุ่งหน้าไปวัด ก่อนเข้าประตูทางเข้าวัดมีพระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่ (สมเด็จองค์ปฐม) อยู่ด้านหน้า โดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขาตะนาวศรีเด่นตระหง่านอย่างสวยงาม

ถ้าหันหน้าเข้าอุโบสถวัดท่าขนุน (N14.742612,E98.636130) ด้านหลังจะเห็นพระพุทธเจติยคีรี ที่อยู่บนยอดเขาสูงและต้องเดินขึ้นบันไดขึ้นไปอีก 1,237ขั้น ถ้าเราไม่ผ่านถ้ำเชลย และ ช่องเขาขาดมา ที่นี่คงชิวๆสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา แต่วันนี้แม้จะล้าแค่ไหนก็ต้องขึ้นแล้วพอขึ้นได้ชั้นที่3 (มีทั้งหมด10ชั้น) เราก็รู้สึกถึงตะคริวที่ต้นขาซ้ายแล้ว เราจึงต้องค่อยๆเดินอย่างระวัง ประมาณ15นาทีเราจึงถึงชั้นบนสุด ก็จัดว่าคุ้มค่าความงามที่ได้เสียแรงไปกับตะคริวที่เกิดขึ้นเบาๆ

ถ้ายืนอยู่ด้านบนของพระพุทธเจติยคีรี และหันหลังไปจะมองเห็นยอดเขาอีกลูกหนึ่งที่มีรอยพระพุทธบาทซึ่งยังอยู่ในอาณาเขตของวัดท่าขนุนเช่นกัน และถ้าขึ้นไปคุณต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกจำนวน 1,173ขั้น สำหรับวันนี้เราคงพอเท่านี้ก่อนขอยืนรับแสงเย็นสูดโอโซนชมทิวทัศน์ของเทือกเขาตะนาวศรีและมองเห็นตัวอำเภอทองผาภูมิในมุมมองพานอรามา ที่ถ้าใครมาทองผาภูมิแต่ไม่ขึ้นมาจุดนี้เรียกได้ว่ามายังไม่ถึงนะจ๊ะ


มื้อค่ำวันนี้พวกเราสรุปแล้วว่าคงเป็นข้าวต้มเบาๆสบาย หลังจากเดินลงมาแล้วเราก็ขับรถตระเวนหาร้านข้าวต้มในตัวอำเภอ ขับผ่านไป2ร้านเราจึงลงเอยที่ร้านครัวศิวภา (N14.739455,E98.632763) อยู่ซอยข้างธนาคารออมสิน ถ้าใครมาค้างคืนที่นี่ก่อนเดินทางไปสังขละ เราขอแนะนำร้านข้าวต้มร้านนี้เลยนะจ้ะ อร่อยถูกปากราคาสมเหตุสมผลพลาดไม่ได้เลยจริงๆ



เมื่อช่วงเย็นเมื่อวานนี้เราตรวจสอบเวลาเดินบิณฑบาตของพระที่วัด พระออกจากวัดประมาณ 05:50น. โดยเดินออกมาทางสะพานปูนของถนนหลักเข้าตัวอำเภอ และเดินกลับวัดทางสะพานแขวนไม้หลังวัดประมาณ7:00น. เราไปดักรอถ่ายภาพพระตอนเช้ามืดแต่ไม่สวยและมืดเกินไปเพราะหมอกที่ลงหนามาก เราจึงตัดสินใจเดินขึ้นพระพุทธเจติยคีรีอีกรอบเพื่อรอถ่ายเมืองทองผาภูมิยามเช้า

เช้าวันนี้ 10พย.2562 อากาศเย็น หมอกลงหนา เมื่อขึ้นมาบนยอดเขาก็เลยเห็นแต่หมอกไม่เห็นเมือง เราเลยจำต้องเดินลง ถือว่าเช้านี้เรามาออกกำลังกายแก้หนาวเฉยๆละกัน แล้วเราจึงลงมาดักรอถ่ายพระเดินข้ามสะพานยามเช้า และก็ได้รูปดั่งใจ ลืมบอกไปว่าใครมาถ่ายที่นี่คิดจะเปลี่ยนเลนส์ไม่ทันนะ ถ้าอยากถ่ายหลายช่วงก็ติดเลนส์ 2บอดี้ ไม่ก็ใช้เลนส์ซูมเอาตามสะดวกเลยเมื่อท่านเดินข้ามฝั่งเรียบร้อยเราเลยอาศัยสะพานเดินข้ามไปฝั่งตลาดเพื่อถ่ายพระบิณฑบาตที่มาจากอีกวัด







ต้องรีบนะเพราะมุมตลาดก็เป็นมุมคลาสสิค หลังจากถ่ายภาพพระบิณฑบาตกันอย่างมันส์มือ เราก็แวะกินอาหารเช้าและกาแฟปาท่องโก๋ที่ตลาดเช้าทองผาภูมินั่นเลย อิ่มแล้วก็เดินถ่ายรูปแม่ค้าชาวมอญที่นั่งขายผักขายดอกไม้อยู่หลังตลาดฝั่งติดแม่น้ำแควน้อย จัดว่าเป็นไฮไลท์ของตลาดเช้ารองจากถ่ายพระบิณฑบาตเลยก็ว่าได้ เสร็จแล้วก็เดินกลับวัดท่าขนุนเพราะรถพวกเราจอดอยู่ที่นั่น

กลับที่พักพักเอาแรงรอคิวอาบน้ำเสร็จพวกเราก็ออกไปกินกาแฟสดสองแถวคาเฟ่ (N14.742374, E98.577379) ที่มีวิวบรรยากาศเป็นเขื่อนเขาแหลม ทิวทัศน์ดี กาแฟอร่อย เมื่อเสร็จแล้วเราก็วางแผนทานข้าวเที่ยงที่ร้านระเบียงนาคาเฟ่ (N14.022707, E99.499541) ที่นี่เป็นร้านอาหารเล็กๆแต่รสชาดอาหารอร่อยแถมบรรยากาศดีเลิศ คนไม่เยอะเท่าไหร่ดูเป็นกันเอง เมื่ออิ่มแล้วเราจึงแยกย้ายกลับกรุงเทพฯ

ถ่ายไปเที่ยวไป

 วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 23.00 น.

ความคิดเห็น