เรื่องเล่า...จากฮอกไกโด

ตอนที่ 1: เมืองฮาโกดาเตะ


สวัสดีครับนักเดินทางทุกท่าน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านรีวิวการเดินทางของผมครับ

สำหรับการเดินทางครั้งนี้ผมไปเที่ยวที่เกาะฮอกไกโด ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่เหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น เมื่อเข้าสู่หน้าหนาว ฮอกไกโดได้ขึ้นชื่อเรื่องลือนามในเรื่องสภาพอากาศที่หนาวเหน็บบวกกับมีหิมะที่ปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ หากใครชื่นชอบหิมะก็ไม่ควรพลาดมาสัมผัสบรรยากาศ วิถีชีวิตผู้คนที่นี่กัน


วันแรกของการเดินทาง

เริ่มต้นการเดินทางของผมจากสนามบินนานาชาติดอนเมือง   โดยใช้บริการสายการบินไทยแอร์เอเชียเอกซ์ เที่ยวบินที่ XJ620 บินตรงจากดอนเมืองสู่สนามบิน New Chitose เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น

การเดินทางใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง เมื่อเข้าใกล้สู่เกาะฮอกไกโด หากใครนั่งตรงฝั่งทางซ้ายมือแล้วเครื่องลงทางตอนใต้ อาจมีโอกาสมองเห็นเมืองฮาโกดาเตะได้ทั้งเมือง ซึ่งเป็นเมืองที่ผมจะมาตระเวนเที่ยวเป็นเมืองแรกของทริปนี้ (เอ่อ กัปตันครับ พาลงเมืองนี้เลยได้ไหม 55555)

เครื่องลงแตะพื้นปั๊ป อย่างที่เห็นเลยครับ หิมะปกคลุมขาวโพลนไปทั่วบริเวณ ได้ยินลูกเรือประกาศถึงสภาพอากาศที่นี่ว่าขณะนี้อุณหภูมิประมาณ -5 องศา หนาวสุดๆไปเล้ยยย เมื่อรับกระเป๋าแล้ว ก็ต้องรีบเปิดกระเป๋าเพื่อเอาเสื้อโค้ทมาใส่กันเลยทีเดียว

หลังจากรับกระเป๋า ใส่เสื้อโค้ทเสร็จแล้ว ผมก็ต้องไปที่สถานีรถไฟ JR เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองฮาโกดาเตะ

สถานีรถไฟ JR จะอยู่ที่ชั้นใต้ดิน (B1) อาคารผู้โดยสารในประเทศนะครับ

การเดินทางไปเมืองฮาโกดาเตะโดยรถไฟ JR นั้นเราต้องไปเปลี่ยนขบวนรถไฟที่สถานี Minami Chitose เพราะไม่มีรถไฟวิ่งตรงจากสนามบิน New Chitose ดังนั้น พนักงานจะออกตั๋วให้เรามา 2 ใบ ตั๋วใบแรกใช้สำหรับเดินทางจากสนามบิน New Chitose ไป สถานีรถไฟ JR Minami Chitose ส่วนตั๋วใบที่สองก็ใช้สำหรับเดินทางจาก JR Minami Chitose วิ่งยาวไปถึง Hakodate ครับ

ผมเดินทางถึงสถานีรถไฟ JR Minami Chitose ท่ามกลางหิมพที่กำลังตกขาวโพลน ไม่รีรอคว้ากล้องออกมาถ่ายรูปสักหน่อย แต่อากาศหนาวมากๆครับ 555

อีกประมาณ 1 ชั่วโมง รถไฟที่จะไปฮาโกดาเตะจะมาถึง เลยใช้เวลานี้เล่นกับหิมะ และวิ่งดูรถไฟขบวนอื่นที่วิ่งผ่านไป

แต่อยู่ได้ไม่นาน ต้องหาที่หลบหนาว 555 หนาวเกินทนไม่ไหว แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ครับ เพราะที่สถานีรถไฟจะมีห้องพักระหว่างรอรถไฟ เป็นห้องพักที่มีครบครันไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ทีวี ที่ดูดบุหรี และที่สำคัญเขาจะเปิดฮีทเตอร์เพื่อคลายหนาวในช่วงหน้าหนาวของที่นี่ครับ

นั่งรอรถไฟเกือบชั่วโมงหนึ่ง ก็ถึงเวลาไปตรงชานชะลาละครับ เพราะรถไฟที่นี่ตรงเวลามากๆ ถ้าไปพลาดสัก 1 นาทีก็จะตกรถไฟครับ ตอนนี้หิมะหยุดตกละ แดดเริ่มออก แต่อากาศยังคงหนาว

รถไฟเที่ยวเวลา 14:01 ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง เป็นขบวนรถ Super Hokuto 14 ที่จะนำพาผมออกเดินทางไปที่เมืองฮาโกดาเตะ การเดินทางใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง เนื่องจากเมืองฮาโกดาเตะเป็นเมืองที่อยู่ค่อนข้างไกลจากซัปโปโร แต่ก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนบนรถไฟหลังจากที่เดินทางไกลมาจากกรุงเทพฯ

ระหว่างทางไปเมืองฮาโกดาเตะ หิมะขาวโพลนไปทุกที่

รถไฟวิ่งได้มาสักพักก็จะวิ่งเลียบชายฝั่งทะเลไป จึงได้เห็นบรรยากาศพระอาทิตย์กำลังตก 

และนี่คือโฉมหน้าเจ้า Super Hokuto 14 

เย้!!! ในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงเมืองฮาโกดาเตะ กว่าจะมาถึงที่นี่ก็มืดพอดี ในฤดูหนาวกลางวันที่นี่สั้นมากๆ ประมาณ 4 โมงกว่าๆก็เริ่มมืดละ

เดินออกมาหน้าสถานีรถไฟ JR ฮาโกดาเตะจะพบกับประติมากรรมน่ารักๆ ส่วนตึกสูงทางซ้ายมือคือที่พักของผมนั่นเองครับ ผมพักที่โรงแรม Route inn Grantia Hakodate เป็นเวลา 2 คืน สาเหตุที่เลือกพักที่นี่ก็เพราะว่าความสะดวกต่อการเดินทางครับ เพราะที่ตรงนี้เป็นเหมือนศูนย์กลางคมนาคมของเมืองฮาโกดาเตะ

หน้าสถานีรถไฟมีการประดับประดาตกแต่งแสงไฟสวยงาม

และนี่คือห้องพักของผมครับ วันนี้เดินทางเหนื่อยมากขอตัวอาบน้ำ พักผ่อน เจอกันพรุ่งนี้นะครับ


วันที่สอง เมืองฮาโกดาเตะ

ตื่นเช้าพร้อมกับบรรยากาศวิวจากห้องพักซึ่งมองเห็นสถานีรถไฟของเมืองฮาโกดาเตะ อากาศยังคงหนาวเหมือนเดิม หิมะก็ตกเหมือนเดิม เบื้องหลังที่เห็นคืออ่าวฮาโกดาเตะและท่าเรือที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นท่าเรือที่คึกคักมาก

ตลาดเช้าฮาโกดาเตะ

ผมเดินออกมาจากโรงแรมเพื่อมาตลาดเช้าของเมืองฮาโกดาเตะ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่ผมพัก ถ้าพูดถึงของอร่อยเมืองฮาโกดาเตะก็ต้องคิดถึงอาหารทะเล เพราะฮาโกดาเตะเป็นเมืองที่ห้อมล้อมด้วยทะเลจึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองของปลาหมึกและปลามากุโร อาหารทะเลที่นี่สด อร่อยมากๆเลยทีเดียว

แต่การเดินบนหิมะที่โดนเหยียบย่ำ อัดแน่นกันเป็นผืนน้ำแข็ง นับว่าเป็นอุปสรรคต่อการเดินอย่างมาก (ผมใส่รองเท้าผ้าใบธรรมดา) เดินไปหน้า ลื่นถอยหลัง 555

ภายในตลาดมีร้านขายวัตถุดิบจากท้องทะเลมากมาย โดยเฉพาะปูและปลาหมึกที่ขึ้นชื่อของที่นี่
โดยปกติจะมีร้านให้ตกปลาหมึกสดๆด้วย แต่ที่น่าเสียดายร้านปิดในวันที่ผมมา

สำหรับใครที่ชอบกินข้าวหน้าทะเล หรืออาหารทะเลอื่นๆ ก็สามารถหากินได้ง่ายที่ตลาดแห่งนี้ รับรองถึงความสดอร่อยครับ

จากตลาดสดฮาโกดาเตะ ผมเดินต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ท่าเรือมาชูมารุ (Mashu-Maru Ship Museum) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับเรือที่อดีตเคยทำหน้าที่เป็นเรือข้ามฟากเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดอาโอโมริกับเกาะออกไกโดที่ถูกคั่นกลางด้วยทะเล แต่เนื่องจากปัจจุบันมีอุโมงใต้ทะเลเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดอาโอโมริกับฮอกไกโดแล้ว เรือลำนี้จึงหมดหน้าที่ไป

และนี่คือบรรยากาศโดยรอบซึ่งจะมองเห็นภูเขาฮาโกดาเตะอยู่เบื้องหลัง ด้านบนยอดภูเขาเป็นจุดชมวิวเมืองฮาโกดาเตะที่สวยงามมากๆ 

บริเวณพิพิธภัณฑ์ท่าเรือมาชูมารุ มีประติมากรรมจัดแสดงอยู่ด้วยนะ

กลับจากพิพิธภัณฑ์ผมเดินย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟฮาโกดาเตะเพื่อซื้อตั๋วรถรางไฟฟ้าใช้ในการเดินทางไปโกดังอิฐแดง เจ้าหน้าที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ จึงสามารถสอบถามข้อมูลท่องเที่ยวอื่นๆได้เช่นกัน

ผมแนะนำให้ซื้อตั๋วแบบ One Day Pass สำหรับรถรางไฟฟ้าอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ราคาอยู่ที่ 600 เยน สำหรับการใช้ก็แค่ใช้เหรียญขูดตรงช่องให้ตรงกับวัน เดือน ปีที่เราเดินทาง และยื่นตั๋งให้กับคนขับรถ แค่นี้ก็ใช้ได้แล้วครับ

ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่เดินทางโดยใช้รถรางเพราะมันสะดวกมากๆ ผมนั่งรถรางไฟฟ้าจาก
สถานี  Hakodate-Eki-Mae มาลงที่สถานี Jujigai แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามสถานี เพื่อเดินทางไปยังโกดังอิฐแดง ประมาณ 5 นาทีครับ

ระหว่างทางเดินไปที่โกดังอิฐแดง มองเห็นน้ำแข็งเกาะตามหลังคาบ้านเรือน เดินไปก็ระวังน้ำแข็งอันแหลมคมหล่นปักใส่หัวนะ 5555

เดินมาได้สักพักจะเจออาคารอิฐแดงที่มีคำว่า BAY อยู่ เป็นการยืนยันว่าไม่หลงทางแน่นอน 555 เมื่อถึงตรงนี้ให้เดินต่อไปอีกนิดนึงก็จะถึงจุดถ่ายรูปที่สำคัญของโกดังอิฐแดง

และนี่คือจุดถ่ายรูปแลนมาร์กของที่นี่ครับ ผมแนะนำให้ถ่ายรูปบนสะพานครับ จะได้ภาพโกดังอิฐแดงจากมุมสูง

โกดังอิฐแดง หรือชื่อเต็มๆ คือ โกดังอิฐแดงคาเนโมริ (Red Brick Warehouse Hakodate) ตั้งอยู่ริมน้ำของอ่าวฮาโกดาเตะ อดีตเคยใช้เป็นโกดังของร้านเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มของชาวตะวันตกในสมัยเมจิ            ภายหลังไม่ได้ใช้งานเป็นคลังสินค้าแล้ว จึงได้ทำการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงจนมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของเมืองฮาโกดาเตะ ซึ่งมีร้านค้า ร้านอาหาร เบียร์ฮอล และร้านจิปาถะมากมาย

ต่อจากโกดังอิฐแดงผมเดินต่อไปยังเนินฮาจิมันซากะ ส่วนภูเขาที่เห็นในรูปนี้คือภูเขาฮาโกดาเตะ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของการเที่ยวเมืองฮาโกดาเตะแห่งนี้ครับ แต่ตอนนี้เดินเล่นไปที่เนินฮาจิมันซากะกันก่อนนะครับ

เดินขึ้นเนินเหนื่อยเลยครับ 555

ในที่สุดก็เดินมาถึงจุดถ่ายรูปที่สำคัญครับ

เนินฮาจิมันซากะ (Hachiman-zaka Slope) เป็นเนินที่ทอดยาวโดยมีวิวท่าเรือที่งดงามอยู่ตรงสุดทางเดิน ซึ่งหากยืนอยู่ตรงจุดนี้จะเป็นแนวต้นไม้ขนานไปทั้งสองข้างทางยาวตลอดแนวและเบื้องหน้าจะเป็นวิวของอ่าวและท่าเรือฮาโกดาเตะ 

ทราบไหมครับว่า เนินฮาจิมันซากะได้รับเลือกให้เป็นอันดับ 1 ของ "เนินของญี่ปุ่นที่น่าเที่ยวมากที่สุด"

ผมเดินต่อไปยังสถานีกระเช้าไฟฟ้าฮาโกดาเตะ เพื่อขึ้นกระเช้าไปชมวิวเมืองฮาดกดาเตะกันครับ ระหว่างทางมีหิมะปกคลุมเต็มไปเสียหมด แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางของผมเลย 

สถานีกระเช้าตั้งอยู่ตรงเชิงเขา เมื่อซื้อตั๋วเสร็จแล้วก็เดินขึ้นมาชั้น 2 กระเช้ามีขนาดใหญ่สามารถบรรจุคนได้หลายคน จะวิ่งตรงสู่จุดชมวิวบนยอดเขาฮาโกดาเตะ ที่มีความสูงประมาณ 334 เมตร ใช้เวลาในการขึ้นประมาณ 3 นาทีครับ

ภูเขาฮาโกดาเตะ (Mount Hakodate) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองฮาโกดาเตะ ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวติดอันดับ 1 ใน 3 สถานที่ที่ดีที่สุุดร่วมกับภูเขาอินาซะที่เมืองนางาซากิ และภุเขารอคโก ที่เมืองโกเบ

นอกจากนี้ยังติดอันดับ 1 ใน 3 จุดชมวิวเมืองกลางคืนที่สวยงามเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากฮ่องกงและเมืองเนบิลล์ ประเทศอิตาลี อีกด้วยครับ

หากขึ้นมาบนภูเขาฮาโกดาเตะแล้วหิว ไม่ต้องกังวลเลยครับ เพราะถึงแม้จะอยู่บนยอดเขา ก็ยังมีร้านค้าหลากหลายตั่งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านจำหน่ายของที่ระลึก และร้านอาหารที่เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยว

ว่าแล้วก็สั่งชานมร้อนๆมาดื่มกินเพื่อบรรเทาอาการหนาวดีกว่านะ นั่งกินขนมชมวิวไปด้วย เพลิดเพลินดีจัง

บรรยากาศช่วงพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าสวยงามมากๆ เนื่อจากเมืองจะเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามตามที่พระอาทิตย์เปลี่ยนสีแล้วส่องกระทบกับหิมะสีขาว จึงทำให้เมืองกลายเป็นสีทองอย่างสวยงาม

และนี่คือแสงสีไฟยามค่ำคืนของเมืองอาดกดาเตะครับ สวยมากๆๆๆ

ผมแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจมาเที่ยวที่นี่ ให้มาประมาณบ่าย 3 โมงตอนที่ฟ้าสว่างอยู่ และอยู่ยาวไปจนถึงค่ำมืด ซึ่งฟ้าจะมืดประมาณ 4 โมงเย็น เราจะได้บรรยากาศทั้งกลางวัน ตอนพระอาทิตย์กำลังตก และตอนกลางคืน รับรองคุ้มสุดๆแน่นอน และผมปิดท้ายด้วยภาพของเมืองฮาโกดาเตะยามค่ำคืนที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีวิวกลางคืนติด 1 ใน 3 ของโลก มองลงไปก็เหมือนดาวส่องแสงระยิบระยับบนพื้นดิน


ค่ากระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูเขาฮาโกดาเตะ

ค่าโดยสาร ไป-กลับ
ผู้ใหญ่ 1,500 เยน / เด็ก 700 เยน

ค่าโดยสาร เที่ยวเดียว
ผู้ใหญ่ 1,000 เยน / เด็ก 500 เยน

เวลาทำการ
25 เมษายน ถึง 15 ตุลาคม                                 
เที่ยวแรก
10:00
ขาขึ่นเที่ยวสุดท้าย
21:50
ขาลงเที่ยวสุดท้าย
22:00

16 ตุลาคม ถึง 24 เมษายน
เที่ยวแรก 10:00
ขาขึ่นเที่ยวสุดท้าย 20:50
ขาลงเที่ยวสุดท้าย 21:00


เป็นอย่างไรมากครับการท่องเที่ยวแบบตามใจของผมที่เมืองฮาโกดาเตะ ในตอนต่อไปผมจะเดินทางย้อนกลับไปทางตอนเหนือของเกาะออกไกโด ซึ่งจะเดินทางไปที่เมืองซัปโปโร เป็นใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโดครับ

การเดินทางจะเป็นอย่างไร อย่าลืมติดตามนะครับ


ฝากกดไลค์ กดแชร์ แสดงความคิดเห็นให้กำลังใจแอดมินด้วยนะครับ ตามเพจด้านล่างได้เลยครับ

Go See Write เล่าเรื่องเที่ยว

go see write เล่าเรื่องเที่ยว

 วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 20.06 น.

ความคิดเห็น