สวัสดีค่าาา..
วันนี้เราจะพาไปเที่ยวสิงคโปร์ในช่วงเทศกาลตรุษจีน จริงๆ ก็เกือบจะหมดเทศกาลแล้วล่ะ แต่ก็ยังมีบางที่ที่จัดงานอยู่บ้างนะ
จุดท่องเที่ยวในทริปนี้
- Jewel Changi Airport
- Gardens by the Bay
- Universal Studios Singapore
- Chinatown
- Buddha Tooth Relic Temple
- Merlion Park
พร้อมออกเดินทางงงง!!
เราออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ (BKK) ไปยังสนามบินนานาชาติชางงี (SIN)
เครื่องใกล้ลงจอดก็เห็นเมืองชัดเจน รู้สึกสะอาดตามากๆ
เมื่อลงจากเครื่อง ทุกคนต้องไปที่เดียวกันก็คือ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หลายๆ คนกลัวว่าจะไม่ผ่านตรงนี้ เพราะคนตรวจค่อนข้างจะเข้มงวดมาก แนะนำให้เขียนใบ Immigration ให้ชัดเจน เขียนให้ครบถ้วน แล้วยิ้มให้คนตรวจคนเข้าเมืองสักนิด หากโดนถามคำถามก็ตอบให้ชัดเจนนะจ๊ะ เป็นอันเสร็จขั้นตอน
ช่วงนี้ทุกคนก็คงทราบดีว่า กำลังมี โคโรน่าไวรัสระบาดอยู่ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือป้องกันตัวเองนะคะ อย่างเราก็ต้องใส่ หน้ากากอนามัยตลอด แม้จะอึดอัดหน่อย แต่ก็ป้องกันไว้นะ ทานร้อน จานเดี่ยว ล้างมือก่อนทานอาหารด้วยเด้อ
แนะนำให้ซื้อประกันการเดินทางไปด้วยนะ เพราะถ้าเราป่วยระหว่างเดินทางในต่างประเทศ จะต้องเสียเงินค่ารักษามากกว่าค่าประกันที่ซื้ออีกหลายเท่าเลย
ที่แรกที่ต้องมาถ่ายรูปเมื่อมาเยือนสิงคโปร์ก็คือ Jewel Changi Airport น้ำตกในสนามบินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่ Terminal 1 หากใครต้องการขึ้นไปถ่ายข้างบนคงจะต้องซื้อตั๋วเข้าชมก่อน แต่ถ้าถ่ายข้างล่างก็ฟรีจ้า
ถึงเวลาเข้าเมืองแล้ว เราต้องนั่งรถรางออกจาก Terminal 1 เพื่อไปขึ้นรถไฟ MRT อีกอาคาร ใครไม่เคยมาก็อ่านตามป้าย หาคำว่า Train to City แล้วมีลูกศรชี้ไปทางไหนก็ไปทางนั้นเลย
รถไฟ MRT ค่อนข้างสะอาดเลยทีเดียว แถมรวดเร็วอีกด้วย สายจากสนามบินเข้าสู่เมือง เป็นสายสีเขียวนะ ค่าขึ้นรถไฟไปลงจากสนามบินไปที่พักของเราที่สถานี Farrer Park ราคา 3.90 SGD
ของเราใช้บัตร EZ-Link จ้า ซื้อมาในราคา 12 SGD หากใช้บัตรนี้ในการขึ้นรถไฟ MRT จะได้ส่วนลด 20%
เราสามารถใช้เงินในบัตรได้ 7 SGD อีก 5 SGD เป็นค่าบัตร บัตรมีอายุการใช้งานเพียง 5 ปีเท่านั้นนะ และช่วงนี้เป็นช่วงตรุษจีน ก็จะมีคอลเลคชันน่ารักๆ แบบนี้มาให้เลือกด้วย สามารถซื้อได้ที่ Information ของสถานีรถไฟเลย (แต่ละที่มีลายบัตรไม่เหมือนกันนะคะ)
สถานี Farrer Park เป็นสถานีที่มีห้าง City Square Mall และ Mustafa Centre
หลังจากเก็บของในที่พักแล้ว ก็ได้เวลาทานอาหารเย็น แน่นอนว่าสิงคโปร์เป็นเมืองที่มีหลายชนชาติ และแถวนี้ก็มีคนอินเดียอาศัยอยู่เยอะมาก เราจึงเลือกที่จะทานอาหารท้องถิ่นของเขาเป็นมื้อแรก ซึ่งก็คืออาหารอินเดียนั่นแหละ
ร้านมีชื่อว่า Junior Kuppana อยู่ใกล้กับสถานี Farrer Park
ปกติคนอินเดียจะใช้มือทานอาหารกันนะ แต่ร้านนี้มีช้อนส้อมให้จ้า จานของที่นี่คือ ถาดที่มีใบตองอยู่ด้านบน
สารภาพว่า ไม่เคยทานอาหารอินเดียมาก่อน เลยไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดี เราสามารถขอให้เขาแนะนำเมนูได้ พนักงานเป็นมิตรมาก ส่วนเรื่องราคา เราจ่ายไปประมาณ 80 SGD สำหรับ 5 คน
แกงอันนี้อร่อยสุดจากทุกเมนูที่สั่งมา ให้ทานกับแป้งที่อยู่ในรูปด้านบนหรือกับ Naan ก็ได้ อร่อยเหมือนกัน
หน้าตามันไม่ค่อยน่ากินหรอก คิดเหมือนกันป่ะ? แต่รสชาติมันอร่อยมากเว้ยยย ลองเปิดใจดู มันเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต
อันนี้พนักงานบอกว่าเป็นเมนูแนะนำเลย ไก่อะไรสักอย่าง ลืมแล้วอ้ะ ฮ่าๆๆ
ตรงกลางรสชาติเหมือนกิมจิ มั้งงง
ซอสสีเขียวๆ นั่น เป็นซอสผัก ไก่มีกลิ่นเครื่องเทศแรงมาก แต่ถ้าทานกับซอสจะอร่อยมากเช่นกัน
ท้องอิ่มก็ไปต่อ คราวนี้พาไปดูไฟที่ Gardens by the Bay ลงสถานี BayFront ของสายสีส้มนะ
เราอยู่แค่เขต Bay South Outdoor Gardens อันนี้เป็นทางผ่านไปดูไฟที่ Supertrees
ยืนบนสะพาน มีลมพัดเย็นๆ จากอ่าว มองเห็น Singapore Flyer อยู่ไกลๆ
การแสดงไฟมี 2 รอบต่อวันนะ รอบแรก 19.45 น. รอบสอง 20.45 น. ตามเวลาท้องถิ่นจ้า
การแสดงชุดนึงก็ตกประมาณ 15 นาทีนะ สามารถจองที่เพื่อนั่งหรือจะนอนเพื่อชมไฟที่แสดงได้เลย ซึ่งบอกเลยว่าเพลิดเพลินมากๆ เลยล่ะ
หมดวันแรกแล้วจ้า
พาไปวันที่สอง วันนี้ขอยกให้ Universal Studios Singapore ทั้งวันเลย
ที่นี่เราขอเขียนคอนเทนต์แยกกันนะคะ เพราะรูปและของเล่นมีเยอะแยะไปหมดเลย
เมื่อเล่นเครื่องเล่นจนถึงเย็น ก็ต้องทานอาหารเย็นกันก่อน
ขากลับเราเดินทางด้วยรถไฟ Sentosa Express ซึ่งสะดวกมากๆ เพื่อลงไปยัง VivoCity
ครั้งนี้ทานที่ Food Republic ของห้าง VivoCity ทุกคนคงรู้จักอยู่แล้ว สำหรับที่นี่อาหารจานใหญ่มาก ใครทานน้อย อาจจะต้องแชร์กันทาน
เราก็ไม่รอช้า รีบเดินไปสั่งอาหารขึ้นชื่ออย่าง Laksa ร้าน Fatty Aunt ก่อนสั่งนี่เห็นว่าร้านนี้มีประกาศณียบัตรรางวัลเกี่ยวกับเจ้า Laksa แปะอยู่ข้างๆร้าน ก็เลยอยากลองชิมสักหน่อย
ซึ่งรสชาติและกลิ่นก็คล้ายกับข้าวซอยบ้านเรา แต่ก็ไม่เหมือนสะทีเดียวหรอกนะ
ปล.ของทอดที่อยู่ในชามนี้ อร่อยมาก แนะนำๆ ราคาอยู่ที่ 8 SGD จ้า
หลังทานเสร็จก็เดินเที่ยวในห้าง ก็เหมือนบ้านเราแหละ ไม่ได้พิเศษเท่าไหร่ แต่ข้างๆ Food Republic มีร้านขายของที่ระลึกอยู่บ้าง เลยขนๆ มาบ้างนิดหน่อย ขายราคาประมาณ 4 SGD แต่ถ้าซื้อ 3 ชิ้น เหลือ 10 SGD แหมมม ขายเก่งงงง~
หลักจากนั้นเราก็กลับไปยังที่พัก และแน่นอนที่พักนั้นคือที่เดิมในย่าน Little India
แน่นอนว่าเราไม่รีบเข้าบ้านหรอก แอบไปเดิน Mustafa Centre สักหน่อย ซึ่งว่ากันว่าที่นี่ขายของถูกมากกกกก กอไก่ล้านตัว จนบางทีเราก็คิดนะว่า ขายถูกขนาดนี้ ได้กำไรบ้างป่าว?
ที่นี่เปิด 24 ชม. เลยจ้า แน่นอนว่าบ้านพักเราอยู่ใกล้ก็เดินเข้าๆ ออกๆ อย่างกับเป็นร้านสะดวกซื้อ ฮ่าๆๆ
ข้างในขายทั้งขนม อาหาร น้ำหอม ยา รองเท้าแบรนด์เนม เกม ตุ๊กตา บลาๆๆ ใครอยากรู้ว่ามีอะไร ก็ไปเห๊อะ!!
อ่อ ลืมบอกไปว่า ที่นี่คนเชื้อสายอินเดียเยอะมากกก หันซ้ายหันขวาแทบไม่เจอคนเชื้อสายอื่นเลย ร้านนี้ก็ชอบขายแบบคอมโบ บางอย่างซื้อมากกว่า 1 จะได้ราคาที่ถูกกว่า ต้องลองอ่านป้ายดูนะ
จบวันที่สอง
ถึงวันที่สามล่ะ อย่างที่บอกไปแล้วว่า สิงคโปร์มีหลายชนชาติ คราวนี้เราก็ต้องมาที่ Chinatown ลงที่สถานี Chinatown เลยจ้า
ช่วงนี้ค่อนข้างเงียบเหงา เพราะเรื่องโรคระบาด ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปค่อนข้างเยอะ ร้านค้ายังเปิดน้อยอยู่ด้วย
ภาพนี้แสดงถึงวัฒนธรรมของคนจีนได้ดีมากเลยทีเดียว
ร้านขายของที่ระลึกก็สไตล์จีนมากกกก~
พอถึงช่วงเที่ยงก็ต้องหาของกิน ซึ่งแถวนี้มีร้านข้าวมันไก่ชื่อดังอย่างร้าน Tian Tian Hainanese Chicken Rice ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ Maxwell Food Centre
อยากรู้ว่าอร่อยสมคำร่ำลือจริงหรือเปล่า? ลองงง
เราสั่งไก่ครึ่งตัว ราคา 12 SGD และข้าวมันทั้งหมด 5 จาน ราคา 4 SGD ราคาก็ถูกนะ ถ้าเทียบกับคุณภาพที่ได้ ยอมรับว่าไก่นุ่มจริง ไม่ได้อวย
อันนี้คือ Bak Kut Teh ร้านข้างหลัง ซึ่งเราว่าร้านนี้จืดไปหน่อย หรือมันเป็นรสชาติแบบนี้อยู่แล้วก็ไม่รู้ ไม่เคยกิน ฮ่าๆๆ จานนี้ราคา 5 SGD จ้า
จานนี้คือ ข้าวมันไก่ร้าน AH Tai Hainanese Chicken Rice ร้านคู่แข่งของ Tian Tian ฮ่าๆๆ ชุดนี้มีน้ำซุปมาให้ด้วย ซึ่งน้ำซุปหอมและอร่อย จานนี้ราคา 3.5 SGD
หลังจากทานเสร็จก็เดินข้ามถนนเพื่อเข้าไปวัดกัน
ไปกันต่อที่ Buddha Tooth Relic Temple ชื่อไทยคือ... วัดพระเขี้ยวแก้วนั่นเอง !!! วัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากในสิงคโปร์ มีสถาปัตกรรมสไตล์จีน อยู่ใกล้ย่าน Chinatown ด้านบนเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า สามารถไปกราบไหว้ได้ แต่งดถ่ายภาพใดๆ ยกเว้นชั้น 1 เท่านั้น ช่วงที่เราไป ทางวัดปิดไม่ให้ขึ้นไปข้างบน แอบเสียดายหน่อยๆ
การแต่งกาย ห้ามใส่ขาสั้นและเสื้อแขนกุดเข้าด้านใน ส่วนนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ใส่ขายาวหรือเสื้อผ้าแขนกุด จะมีผ้าให้คลุมขาและไหล่ ก่อนเข้าไป
หลังจากไหว้พระเสร็จ ก็เข้าไปเดินเล่นต่อใน Chinatown ซึ่งร้านส่วนใหญ่ก็เริ่มเปิดบ้างแล้ว แต่โชคไม่ดีที่วันนี้ฝนตก ก็ต้องวิ่งหลบฝนไปตามระเบียบ สภาพอากาศที่นี่จะตกเป็นบางช่วง เนื่องจากลมทะเลพัดแรง เมฆจะไปเร็ว ทำให้ฝนตกๆ หายๆ
ระหว่างทาง เจอน้องแมวขายไอศครีมอยู่หน้าร้าน ด้วยความน่ารักก็เลยอุดหนุนไปหนึ่งแท่ง เป็นไอศครีมทุเรียน อร่อยอยู่วว~
อันนี้เป็นของที่ระลึกที่ซื้อจากร้านหนึ่งในแถวนี้ มีให้เลือกหลากหลายค่ะ
จุดต่อไปก็พาไปหา Merlion ซึ่งเป็น Landmark ของสิงคโปร์ ว่ากันว่า ถ้ามาสิงคโปร์แล้วไม่ได้ถ่ายกับ Merlion ถือว่ามาไม่ถึง เราก็ไปลงที่สถานี Raffle Place ออกทางออก H จากนั้นเดินต่อไปอีก 600 เมตร ก็จะถึง Merlion Park
แถวสถานีมีจุดขึ้นเรือไปชม Merlion อันนี้ไม่ทราบว่าตั๋วราคาเท่าไหร่นะคะ
ระหว่างทางจะเจอสะพานข้ามแม่น้ำ อยู่ข้างหน้า The Fullerton Hotel ก็ดูสวยดี เลยแวะพักก่อน
และแล้วก็ถึง Merlion Park สักที วิวรอบๆ สวยไม่ใช่เล่นเลย มองเห็น Marina Bay Sands ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อมายืนตรงจุดนี้ จะได้รับลมเย็นๆ ที่มาจากอ่าว Marina ด้วย
ตัวนี้เป็นไซส์ Mini น่ารัก
เมื่อเดินทางไกล ก็ต้องเติมของกิน เราเข้าร้านหนึ่งในลาน Merlion
บิงซูชามนี้ราคา 16.50 SGD ถือว่าราคาสูง แต่ปริมาณก็เยอะพอตัว
ระหว่างเดินทางไปยังสถานีรถไฟ MRT เราก็แวะ Jubilee Bridge เพื่อถ่ายรูป Marina Bay Sands สักหน่อย
บรรยากาศดี ลมก็ดีด้วย :)
กลับบ้านพักไปทานอาหารเย็นกันที่ร้าน Bee Hiang Seafood ร้านนี้เป็นร้านอาหารจีน เชฟก็คนจีน อร่อยทุกอย่าง ร้านนี้หมดไปในราคา 169 SGD ซึ่งราคาแพงเพราะสั่ง Chili Crab ไป
อันนี้เมนู ผัดหมี่ฮ่องกง รสชาติกลมกล่อมดีค่ะ
ไข่เจียวหอยนางรม...สดมว๊ากกกกกก
อันนี้เมนูกุ้งผัดเนย หอมมมม~
สุดท้ายคือ ชิลลี่ แครป ปูยักษ์ผัดซอสเผ็ด เมนูที่ต้องมากินให้ได้ เมื่อมาเยือนสิงคโปร์
หมดแล้วสำหรับทริปนี้ ถึงเวลากลับบ้านแล้ว เราก็ไปเดินเล่นในสนามบินชางงี เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับ
คราวนี้เป็น Olaf จาก Frozen หุ่นที่ตั้งตรงนี้จะถูกเปลี่ยน ไม่เหมือนเดิม ทำให้มีอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอด
จริงๆ น้อนหมุนได้ด้วยนะ...
สำหรับใครที่คิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรเป็นของฝากดี? Garrett Popcorn ก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะคะ
อันนี้เป็นวิวจากห้องน้ำของสนามบิน ถามจริง? บอกใคร ใครจะเชื่อ
บ๊ายบาย สิงคโปร์
สำหรับเรื่อง Tax Refund ร้าน Mustafa Centre จะต้องซื้อให้ครบ 100 SGD ถึงจะทำ Tax Refund ได้นะคะ ลงไปชั้น B2 มองหาเคาน์เตอร์ และยื่น Passport กับใบเสร็จให้ เขาจะพิมพ์ข้อมูลลงระบบ จากนั้นเราไปขอ Tax คืนได้ที่สนามบินเลย คนที่มีกระเป๋าเดินทางแบบ Check-in ขอรับ Tax คืนได้ก่อนเข้าเกต ส่วนคนที่เป็น Carry-on ให้รับ Tax คืนหลังจากเข้าเกตเท่านั้นจ้า
สำหรับค่าใช้จ่ายในทริปนี้
- ค่าตั๋วเครื่องบิน 3300 THB
- ค่าบัตร EZ-Link 12 SGD ~= 270 THB
- ค่าเดินทางส่วนที่เหลืออีก 5 SGD ~= 112.5 THB
- ค่ารถไฟเข้า Sentosa Island 4 SGD ~= 90 THB
- ค่าตั๋วเข้า Universal Studios Singapore ประมาณ 1500 THB
- ค่าที่พัก 2243 THB / 3 คืน
- ค่าอาหารและเครื่องดื่มประมาณ 3000 THB
รวมแล้วเท่ากับ 10,515.5 THB
จบแล้วสำหรับทริปสิงคโปร์ ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้านะคะ บ๊ายบายย~
ฝากติดตามเพจ Facebook ของเราด้วยน้า
https://www.facebook.com/travelbymyselff/
หรือ ติดตามบนแอพ Follovv ก็ได้ เราใส่พิกัดไว้ให้แล้วจ้า
Travel by Myself
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 23.32 น.