[ ISARA BACKPACKER ]

ถ้าถามว่าจุดประสงค์ของการเดินทางคืออะไร

คำตอบจากหลายๆคนก็คงออกมาเป็นหลายๆแบบ

แต่ความหมายของการเดินทางครั้งนี้สำหรับพวกเราคือ

...

“เราออกเดินทาง ใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากเป็น"

เพื่อสัมผัสและเรียนรู้ วิถีชีวิต วัฒนธรรม และธรรมชาติ

และนี่คงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เราจะหาสถานที่ ที่ตอบโจทย์พวกเราในครั้งนี้

...

สวัสดีชุมพร

เมืองที่ไม่ควรเป็นแค่เมืองผ่าน

กับตอนที่มีชื่อว่า “ โบกรถผจญภัยชุมพร "



ลองชมคลิปสั้นๆกันก่อน


ทริปนี้มีจุดเริ่มต้นจากวิชาที่พวกเราเรียน ซึ่งมีชื่อเรียกเล่นๆว่า “เจ็นท่องเที่ยว(วิชาเลือกของบางมด)"
เราจับกลุ่มกัน 5 คน + 3 คนขอร่วมทริปด้วย = 8 คนที่จะร่วมไปผจญภัยในชุมพรด้วยกัน
...
การเดินทางสู่ชุมพร
เราออกเดินทางด้วยรถไฟขบวน167 : สถานีเป้าหมายของเราคือสถานีหลังสวน : ราคาชั้นสามประมาณ 250 บาท
ออกจากสถานีหัวลำโพง 18.30 น. ถึงสถานีหลังสวนเวลา 05.30 น.

เช้าวันแรกที่ชุมพรของเรา
เริ่มต้นด้วยข้าวแกงใต้ในตลาดเช้า
ขอบอกว่าเผ็ดจนต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียว

-9 เมษายน กับการผจญภัยที่ดูเหมือนจะมีแผน –
(แผนคือไปล่องแพตอนบ่ายโมงและหาที่กางเต้นท์นอนที่ไหนสักที่)
เราออกเดินทางจากหน้าตลาดโดยการโบกรถผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา
ซึ่งมีจุดหมายของการโบกครั้งแรกอยู่ที่ปากทางริมถนนใหญ่

ใช้เวลาประมาณ20นาทีก็มีผู้ใหญ่ใจดีจอดรับเราเป็นคันแรก
ซึ่งบังเอิญว่าจะเข้าไปเส้นทางเดียวกับเราพอดี
คุณลุงเลยอาสาไปส่งพวกเราที่กลางทาง เพื่อต่อรถมุ่งหน้าไปสู่พะโต๊ะต่อไป
(ไกลกว่าที่ตั้งเป้าโบกไว้เยอะเลย)
คุณลุงไม่ใช่คนชุมพรแต่เข้ามาทำงานที่ชุมพรนานแล้วเกิดหลงรักที่นี้
เลยหาที่ทำสวนไว้และใช้ชีวิตอยู่ที่ชุมพรหลังเกษียร ลุงเล่าให้ฟังว่าพะโต๊ะมีป่าที่สมบูรณ์
ทำให้แม่น้ำหลังสวนมีน้ำใช้ตลอดทั้งปีไม่แล้งเหมือนที่อื่นๆ (ปัจจุบันคุณลุงอายุ 73 ปีแต่ยังดูหนุ่มอยู่เลย)


ตลอดสองข้างทางสู่พะโต๊ะพวกเราได้แต่ตะลึงกับสิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์ไว้ให้ชม
ข้างทางของถนนเต็มไปด้วยภูเขา ต้นไม้ เมฆหมอก
และอากาศที่สูดเข้าไปได้แบบชื่นช่ำปอดมากๆ
...ใครจะคิดว่าจะเจอหมอกตอนอากาศร้อนแบบสุดขั้ว...

ถึงเวลาขอบคุณและกราบลาคุณลุงผู้ใหญ่ใจดีที่จอดรับพวกเราคันแรก
สู่การโบกรถต่อไปยัง...ยังไม่รู้ครับว่าคืนนี้จะไปกางเต้นท์นอนกันที่ไหน
แต่ก็มั่วๆไปที่หน่วยจัดการน้ำพะโต๊ะกันก่อน ซึ่งเราเองก็ไม่มีข้อมูล
ไม่เคยดูภาพอะไรของที่นั้นเลย แค่จะลองไปดูก่อนว่ามีอะไรแล้วนอนได้ไหม

โบกอยู่ประมาณ10นาทีก็ได้พี่อีกคันที่มีจุดมุ่งหมายคือจังหวัดระนอง
ซึ่งต้องผ่านหน้าหน่วยจัดการน้ำพอดี

เวลาประมาณ 10.00 น.
นี้หรอ “หน่วยจัดการน้ำพะโต๊ะ"
พวกเรามองเข้าไปแล้วคงคิดแบบเดียวกัน

มันเงียบและไกลจากบ้านเรือนผู้คนมาก เราเดินเข้าไปแบบงงๆ


แล้วก็พบกับพี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง

เราถามข้อมูลสถานที่ที่ล่องแพกับพี่เจ้าหน้าที่ แล้วก็พบว่าค่อนข้างไกลจากหน่วยฯ

พวกเราเลยคิดว่าจะขนของโบกรถย้อนกลับไปจุดที่ผ่านมาแล้วแทน

แต่ขอถ่ายรูปและนอนพักเอาแรงที่ศาลาริมน้ำหน่อยละกัน

ZZZZZZZZZZZZZZZZZZZZZZZZ



ระหว่างที่บางคนเดินถ่ายรูปเล่นก็เจอกับพี่คนหนึ่งชื่อว่า “ ไข่นุ้ย "
พี่ไข่นุ้ยกำลังต้มรังผึ้งที่ได้มาจากชาวบ้าน
ซึ่งเป็นวิถีชีวิตปกติของคนที่อยู่ใกล้ป่า
พี่ไข่นุ้ยเล่าให้ฟังว่าการเก็บรังผึ้งนั้นชาวบ้านจะเอาไฟไปสุมๆไว้แล้วผึ้งจะบินไปเล่นไฟกัน
จากนั้นก็ทำการเก็บรังมา รังของมันจะมีสองส่วนคือส่วนที่เป็นน้ำหวานกับส่วนที่มีตัวอ่อน
ที่พี่ไข่นุ้ยกำลังทำคือการนำรังที่มีตัวอ่อนมาต้มน้ำให้ตัวอ่อนมันหลุดออกมาจากรัง
เอาไปเก็บไว้กินหรือทำอาหารก็ได้
ผมลองชิมดู รสชาติและอารมณ์มันเหมือนกับ
การกินหนอนตัวสั้นๆที่ทอดขายตามร้านแมลงทอดเลย แต่จะมันๆหน่อย

ความโชคดีของพวกเราเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อมีพี่อีกคนหนึ่ง
เห็นว่าพวกเรานอนกันที่ศาลาเหมือนคนไร้ซึ่งจุดหมายใดๆ
เลยมาพูดคุยกับเราสอบถามแผนการเดินทางของเรา
ซึ่งมีแค่...ล่องแพพะโต๊ะตอนบ่ายโมงและหาที่กางเต้นท์นอน...
ด้วยความเอ็นดูพวกเรา พี่เขาเลยอาสาพาทัวร์ในช่วงเวลาที่เหลือของวันนั้น

เริ่มต้นกันด้วยการเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติตรงหน่วยจัดการน้ำพะโต๊ะ


ป่าค่อนข้างรกชัดและโคตรชัน

พวกเราได้เจอกับดอกบัวผุดซึ่งเป็นไฮไลต์ของที่นี่เลย



ช่วงบ่ายหาข้าวกินแล้วต่อด้วยล่องแพPVC


ใช้เวลาไปทั้งหมด2ชั่วโมง ตลอดสองข้างทางของลำน้ำหลังสวน

เติมเต็มบางส่วนของชีวิตพวกเราได้ดีเลยทีเดียว



ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบแนบชิด ไม่ว่าจะเป็นการลอยคอไปตามน้ำ


โดดน้ำ สูดอากาศที่บริสุทธิ์ ชมวิวที่สวยงาม และเรายังคงพบเห็น

วิถีชีวิตของคนพะโต๊ะกับสายน้ำแห่งนี้อยู่เยอะพอสมควร

และนี้ก็คือภาพบางส่วนที่เราหยุดไว้ด้วยการกดชัตเตอร์



ตกเย็นหาข้าวกิน
และก็มานอนชมทะเลดาวตื่นเช้าชมบรรยากาศดีๆ
กับที่พักฟรีแต่วิวไม่ธรรมดาทั้งก่อนนอนและตอนตื่น
...ศาลาริมน้ำ-หน่วยจัดการน้ำพะโต๊ะ...

หน่วยจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ


เป็นหน่วยงานที่ดูเเลป่าพะโต๊ะ ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำที่สำคัญของชุมพร

โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากชาวบ้านคอยช่วยกัน

ในการป้องกันคนมาทำลายพื้นที่ป่าเเละล่าสัตว์ด้วยเช่นกัน



เช้าวันที่ 10 เมษายน
โบกมืออำลาที่พักในวันเก่า
แล้วแบ่งทีมโบกรถเป็นสองทีม (ทีมละ4คน)
จุดหมายปลายทางการโบกในวันนี้เราอยู่กันที่ “ เกาะพิทักษ์ “

เราสองทีมบังเอิญโบกไปเจอกันที่ถนนใหญ่ปากทางสามแยกก่อนเลี้ยวเข้าพะโต๊ะ


ซึ่งถนนใหญ่โบกค่อนข้างยาก รอประมาณ 30-40 นาทีกลางแดด

ก็ได้รถไปลงปากทางเข้าไปท่าเรือเกาะพิทักษ์

...

เส้นทางสู่ท่าเรือช่างเงียบเหงา

พวกเราได้แต่รอ รอ รอ แล้วก็รอ จนได้เจอกับพี่ๆกระบะแดงผู้ใจดี

ขอแชะภาพเป็นหมู่คณะแทนคำขอบคุณสักหน่อยนะครับ



พวกเราติดต่อจองโฮมสเตย์มาล่วงหน้าแล้ว


พอไปถึงก็แค่โทรไปตามเรือให้มารับ

ซึ่งระยะท่าเรือกับเกาะแห่งนี้ห่างกันแค่ประมาณ

1 กิโลเมตรเท่านั้นเลยรอไม่นาน



เกาะพิทักษ์เป็นเกาะที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มชาวบ้าน


ทำสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ขึ้นมา

ควบคู่กับการทำอาชีพประมงนั้นเอง



ส่วนชื่อของเกาะเเห่งนี้มีเรื่องเล่าว่า

มีคนล่องเรือผ่านเกาะเเห่งนี้ เเล้วเห็นคนตะโกนเรียกให้เข้าฝั่ง

เรือลำนั้นเลยเเวะจอดไปเดินดูก็ไม่พบกับใครเลยสักคน

ไม่นานหลังจากนั้นมรสุมก็เข้ามา

หลังจากนั้นเลยเรียกเกาะเเห่งนี้ว่า "เกาะผีทัก"

เเล้วก็เปลี่ยนมาเป็นชื่อ "เกาะพิทักษ์" ในปัจจุบัน



โดยราคาที่พักพร้อมอาหารสามมื้อนั้นแบ่งเป็นสองแบบ


1.นอนมุ้งปูเบาะตรงลานด้านหน้าบ้านที่ยื่นออกไปสู่ทะเลจะ 600 บาท

(ไม่ได้นอนรวมกับคนอื่นนะครับ แค่มันไม่ได้เป็นห้องเท่านั้น)

2.แต่ถ้านอนเป็นห้องปิดหน่อยจะ 700 บาท

ห้องน้ำรวมหมดครับ

และที่สำคัญชาวบ้านก็พักหลังเดียวกับเรา แต่จะกางมุ้งอยู่ที่โซนหลังบ้าน

ส่วนใครที่ชอบทำอาหารก็สามารถช่วยชาวบ้านทำได้เช่นกัน

พูดได้เต็มปากเลยครับว่า “ โฮมสเตย์ของแท้ต้องมาที่เกาะพิทักษ์ “



พอไปถึงเกาะพวกเราก็ทานข้าวเที่ยง
เเละนอนพักกันก่อนที่จะออกไปดำน้ำตื่น
โดยราคาเรือเหมาลำจะอยู่ที่ 700 บาท สามารถนั่งได้ 10 คน
ค่าอุปกรณ์ดำน้ำตกชุดละ 50 บาท

ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก็กลับมาที่พัก


เเละชมบรรยากาศยามเย็นของเกาะนี้กันจากระเบียงโฮมสเตย์

พอกินข้าวเย็นกันเสร็จก็ได้เวลาไปตกหมึก


(ราคาเรือเหมา700บาทเช่นกัน พร้อมอุปกรณ์)



วันนี้หมึกไม่ขึ้นเลยครับ


ได้หมึกมาตัวเดียว เนื่องจากอากาศไม่เป็นใจ

เเต่ก็ได้พูดคุยกับพี่คนขับเรือเล่นไประหว่างตกหมึก

เลยทำให้ทราบว่า รายได้ที่เกิดขึ้นของโฮมสเตย์เเละเรือเเต่ละเจ้า

จะต้องมีการหัก 3% เข้าส่วนกลางของชุมชน

เพื่อใช้เป็นการดูเเลเกาะ เป็นทุนการศึกษาให้เด็กๆ

เเละใช้ในการดูเเลผู้สูงอายุบนเกาะเเห่งนี้



ซึ่งเป็นเรื่องที่ฟังเเล้วต้องยอมรับเลยครับว่า

ชุมชนเเห่งนี้เป็นชุมชนที่อยู่ร่วมกันได้อย่างมีเเนวทาง

เเละการจัดการในเรื่องต่างๆดีมากๆ

เช้าวันสุดท้ายที่เกาะพิทักษ์
เราใช้เวลาไปกับการเดินสำรวจรอบๆเกาะ

ผู้คนที่นี้ ยังใช้เวลากับการทำอาชีพประมง


นั้นก็คือ การทำอาหารเเปรรูปต่างๆเเละอุปกรณ์ดักจับสัตว์ทะเล

โดยไฮไลต์ของอาหารเเปรรูปที่นี้จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่บ้าน


นั้นก็คือการทำปลาอินทรีย์ฝังทราย

ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่อาศัยความร้อนที่สะสมอยู่ในทราย

มาช่วยในการทำให้ปลาแห้งนั้นเอง นับได้ว่ามีไม่กี่ที่ในไทยเเล้วจริงๆ

เเต่น่าเสียดายที่วันนี้ไม่มีการทำ เลยไม่ได้เก็บภาพมาให้ชมกัน



ก่อนกลับพายเรือเล่นกันหน่อย ในราคาชั่วละ 50 บาทเท่านั้นเอง


พอถึงเวลาประมาณเที่ยงก็เก็บของเเละขึ้นเรือกลับฝั่ง


ไปเเล้วนะ...เกาะพิทักษ์...



เมื่อเรือเทียบท่า เราก็ได้พบกับผู้ใหญ่ใจดีแห่งเมืองชุมพร
นั่นก็คือ “แม่พัช" คุณแม่ของหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมทริปกับพวกเรานั่งเอง
พวกเราจึงรบกวนให้แม่พัชพาเราไปส่งที่ที่พักของเราในคืนนี้
นั้นก็คือ “หาดทุ่งวัวแล่น" ซึ่งอยู่ในอำเภอปะทิว
ที่พักของเราในคืนนี้อยู่ริมหาด ซึ่งเจ้าของเป็นเพื่อนกับแม่พัช เราจึงได้เข้าพักในราคาพิเศษ
ระหว่างทางแม่พัชพาเราแวะเข้าไปที่ “ปากน้ำหลังสวน" เพื่อแวะกินข้าวกลางวันกัน

อาหารกลางวันของเราเป็นข้าวมันไก่ร้าน “เจ๊ตุ๊ก"
ขอบอกเลยว่า ไก่ที่นี่ เป็นไก่บ้านเหนียวนุ่ม และ น้ำจิ้มรสเด็ดมีทั้งน้ำแบบเผ็ดและไม่เผ็ด
หลังจากกินเสร็จเรามุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไปกันเลย
ถึงแล้วววว……หาดทุ่งวัวแล่น
บ่ายแก่ๆ ของเดือนเมษายน เล่นน้ำตอนนี้คงไหม้แน่ๆ
พวกเราขอพักเอาแรงกันก่อนละกันนะ
ZZZZzzzzzzzz

17.00 น. แดดร่มลมตก


ได้เวลาออกไปสำรวจพื้นที่รอบๆหาดกันแล้ว

“หาดทุ่งวัวแล่น" มีหาดทรายสีขาวนวล เม็ดทรายละเอียด และเป็นหนึ่งในหาดทรายสวยสี่ร้อยลี้

หาดทุ่งวัวแล่นในตอนเย็น

บรรยากาศดูสนุกสนาน สดชื่น

มีทั้ง

คนหาหอย หาปู

เด็กๆเล่นน้ำ

เด็กน้อยก่อกองทราย

ครอบครัวนั่งปิกนิกริมหาด

ฯลฯ



เย็นวันนี้เราต้องขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการอีกเช่นเคย
นั่นก็คือ แม่พัช อีกเช่นเคย
แม่บอกว่า “มา ทะเล ก็ต้องกินอาหาร ทะเล"
แม่เลนจัดมาให้ชุดใหญ่
ทั้งปลาเผา กุ้งแชบ๊วยตัวใหญ่ หอยแครง หอนแมลงภู่
และที่ขาดไม่ได้ ใบเหลียงผัดไข่ อาหารพื้นบ้านของคนที่นี่

เช้าวันที่ 12 เมษายน


มานอนริมทะเลทั้งที

ลืมไม่ได้ต้องตื่นมาพระอาทิตย์ขึ้นกัน

หาดทุ่งวัวแล่นในตอนเช้า

บรรยากาศดูเงียบสงบ

คนออกกำลังกาย

คนเล่นน้ำ

หมาวิ่งเล่น

ปูเดินเตาะแตะ



ตอนสายๆ แม่พัชมารับพาเราไปที่บ้าน
บ้านของเพื่อนอยู่ในตัวเมืองชุมพรเลย
เราเลยเดินไปกินอาหารปักษ์ใต้ที่ดูเก่าแก่
คือร้าน “กวงเฮง"

แล้วต่อด้วยน้ำเต้าหู้ที่ร้าน “เย็นซ่า"


ร้านนี้มีความพิเศษตรงที่ น้ำเต้าหู้จะใส่ไข่นกกระทายางมะตูม ด้วย



เมื่ออิ่มท้องกันแล้ว ในช่วงบ่าย
คุณพ่อรับอาสาแทนคุณแม่พาเราไปเที่ยวในตัวอำเภอเมือง
สถานที่แรก นั่นก็คือ ศาลกรมหลวงชุมพร ฯ
เป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานของ พลเรือเอก พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขต อุดมศักดิ์ หรือที่ชาวเรือเรียกกันว่าเสด็จเตี่ย
ที่นี่มองเห็นวิวทิวทัศน์ของหาดทรายรีได้ชัดเจน

จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปกันที่ “เขาเจ้าเมือง" กันต่อเลย


เขาเจ้าเมืองเป็นอีกสถานที่ที่สามารถชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงานของเกาะน้อยใหญ่ได้



และสถานที่สุดท้ายที่เราจะไปนั่งก็คือ “จุดชมวิวเขามัทรี"
ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นเมืองชุมพรได้ทั้ง 360 องศา
ทั้งปากน้ำชุมพร ทะเลชุมพร เขาน้อยใหญ่ชุมพร
ที่นี่เหมาะกับการมาชมพระอาทิตย์ขึ้น และ พระอาทิตย์ตกเป็นอย่างมาก

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ก็ใกล้เวลาที่เราจะเดินทางกลับเข้าไปทุกที
เรากลับไปที่บ้านเพื่อนเพื่อนไปเอาสัมภาระ
แล้วคุณแม่ก็ทำอาหารมื้อเย็นไว้รอเราอยู่แล้ว
นั่นก็คือ “ก๋วยจั๊บ" แสนอร่อย

และแล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องกลับกันแล้ว


เราก็ไม่ลืมที่จะต้องกล่าวคำว่าขอบคุณและสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ เป็นอย่างมาก

ที่ดูแลและให้พวกเราฝากท้องกันซะหลายมื้อเลย



Rittirong Sanitkum

 วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 20.32 น.

ความคิดเห็น