เลห์ - ลาดัก >> Leh - Ladakh

สวัสดีครับ ตามชื่อกระทู้เลยครับ >> Julley >> หลงเสน่ห์ Leh - Ladakh
นี้เป็นการรวบรวมเรื่องราวการเดินทางที่เกิดขึ้น ที่เกี่ยวกับการขับขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวเมืองเลห์ ลาดัก ครั้งแรก ทริปนี้ไป2คน กับเพื่อน ไม่ได้วางแผนอะไรมากมาย หลักคือ รู้แค่ว่าทริปนี้ เราจะไปแบบ Road Trip เป็นการไปเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยว จุดหมายปลายทางหลักคือไปที่ Pangong Lake และไป Nubra Valley เท่านั่น ส่วนเรื่องราวระหว่างทางก็ค่อยไปหาข้อมูลกันข้างหน้าอีกที ตามไปเที่ยวกันเลยดีกว่า..
ทริปนี้เราเดินทางกัน รวมทั้งหมด 8 วัน ตั้งแต่ วันที่ 20-27 กันยายน 2561 ต้องขออภัยด้วยที่รีวิวนี้อาจจะล้าช้าไปนาน ก็น่าจะเป็นเพราะ Covid-19 เนี่ยล่ะทำให้เกิดรีวิวนี้ขึ้นมา
เข้าเรื่องเลยล่ะกันนะครับ ครั้งนี้จะเป็นการขับขี่มอเตอร์ไซค์ ท่องเที่ยวตลอดทริป ต้องขับขี่บนเส้นทางที่ได้ชื่อว่าอันตรายที่สุดเส้นทางหนึ่งของโลก เอาเป็นว่า เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า....
Day 1
การเดินทาง
ขาไป >> Bangkok – New Delhi >> New Delhi – Leh
ขากลับ >> Leh – New Delhi >> New Delhi – Bangkok

**สำหรับใครที่ไม่คิดจะแวะไปเที่ยวในเมืองนิวเดลี แนะนำให้จองออกจากกรุงเทพฯ ไฟล์ทช้าสุด และไปเลห์ตอนเช้าสุด แล้วก็อยู่ในสนามบินเอา โดยทริปนี้เรามุ้งหน้าไปเลห์เพียงอย่างเดียวไม่ได้แว่ะนิวเดลีเลยขอเลือกนอนที่สนามบินแทน ซึ่งส่วนตัวคิดว่าสบายในระดับหนึ่งเลยทีเดียวมีเตียงให้นอนรอต่อเครื่องได้สบายเลย

Day 2
Landing... ขอเริ่มต้นจากลงเครื่องที่สนามบิน เมืองเลห์ ก่อนเลยนะครับ จากที่เห็นภาพของสนามบินจะเห็นได้ว่าเป็นสนามบินที่มีภูเขาสูงล้อมรอบ เป็นวิวที่แปลกตา ออกมาต้อนรับเราทั้งสองคน ตื้นเต้นไม่น้อยตั้งแต่อยู่บนเครื่องเลยทีเดียว ^_^


หลังจากลงเครื่องมาแล้วก็เข้าที่พักเพื่อพักผ่อนนอนปรับตัว ให้เข้ากับสภาพอากาศที่นี่กันสักหน่อย วันแรกเราพักกันที่ Ree-yul Guest House Leh เป็นเกตเฮ้าส์ที่ห่างจากตัวตลาดไม่มากเท่าไหร่นัก เดินไปได้สบาย

ตลาดในตัวเมืองเลห์ไม่ใหญ่มากเดินเล่นชิล แต่ตอนนี้ผมคงจะไม่ปลื้มอากาศเท่าไหร่นักเพราะว่าวันนี้อากาศกำลังลดลงเรื่อยๆ ไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย มีแค่เสื้อแจ็คเก็ต Ultra Light Down มาเพียงตัวเดียวเท่านั่น ก่อนหน้านี้ก็เช็คอากาศมาแล้วว่าอากาศที่นี่กำลังดีไม่หนาวมาก พลาดไปแล้วๆๆๆ ทริปนี้ต้องไปซื้อเสื้อกันหนาวเพิ่มอีก2ตัว และเสื้อกันลมอีก1ตัว เพราะต้องขี่มอไซค์ตลอดทริป !!!



Day3 ทริปนี้โชคดีมาก เพราะว่าวันนี้เป็นวันแรกที่มีการแห่ขบวน Festival ของที่นี่พอดี เลยได้ตื่นไปดูประเพณีที่นี่กันสักหน่อย เอาภาพมาฝากนะครับ งานปีนี้ตรงกับวันที่ 22-25 SEP 2018 ส่วนปีถัดๆไปลองเช็คดูอีกทีนะครับ ความน่ารักและเป็นกันเองของ ชาวทิเบตน้อยแห่งเทือกเขาหิมาลัย









**** ทริคเล็กๆ สำหรับใครที่แบ็คแพคมาเองเหมือนกับเราโดยที่ไม่ได้มากับทัวร์นั่น ทุกๆอย่างก็ต้องจัดการเอง เช่น การทำ Permit หาร้านซิมการ์ดเอง เพราะว่าก่อนที่จะไปที่เที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะไปที่ Pangong Lake ที่ต้องผ่าน เส้น Chang La Pass หรือไป Nubra Valley ที่ผ่านเส้น Khardung La Pass ต้องทำ Inner line Permit ก่อนนะครับ ฝากให้โรงแรมที่พักทำให้ก่อนเลยตอนไปถึง เพราะตอนผ่านด่านทหารจะต้องให้ตรวจก่อนที่จะผ่านในแต่ละเส้นทางนั่นได้
>>>> เอาเป็นว่าระหว่างที่รอ Permit บ่ายวันนี้เราลองขับรถเล่นระแวกใกล้ๆกันซะหน่อย เพื่อปรับตัวเองให้เข้ากับรถและสภาพการจราจรของที่นี่กันก่อน เพราะวันถัดไปเราจะต้องไปพักกันที่ Pangong Lake กันซึ่งห่างจากเมืองเลห์ไปประมาณกว่า 220km ที่แรกของบ่ายวันนี้เป็นคือวัด Thiksay Monastry (วัดทิกเซ่) สาระกันสักนิด เป็นวัดที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 500 ปี สร้างขึ้นโดยมีพระราชวังโปทาลา ในทิเบตเป็นต้นแบบ ตั้งอยู่บนความสูงราว 3,600 เมตรของหุบเขาอินดัส วัดนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ประมาณพุทธศตวรรษที่ 1953-1983 เป็นวัดใน “นิกายหมวกเหลือง” ห่างจากที่พักเมืองเลห์ไปประมาณ 18km

พอถ่ายรูปเสร็จดูแล้วเวลาก็ยังเหลือและกำลังสนุกกับการขับเจ้า Royal Enfield ครั้งแรก ประทับใจเลยทีเดียว ทริปนี้เราเช่ามา2รุ่นคือ ตัว Classic500 กับ Bullet500 ได้มาในราคาวันละ 1500รูปี ส่วนตัวถือว่าคุ้มมากกับประสบการณ์ที่ได้รับกลับมา
กลับมากันต่อ ดูจากเวลาวันนี้แล้วยังเหลือ เลยขอขับไปอีกสักหน่อย ไปกันที่ วัดเฮมิส (Hemis Gompa) ซึ่งเป็นวัดลามะหรือวัดพุทธตันตระนิกายหมวกแดง ซึ่งเป็นนิกายดั้งเดิมของศาสนาพุทธสายทิเบต (ส่วนรายละเอียดอื่นๆลองไปค้นหาดูอีกทีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นระบำหน้ากากของวัดเฮมิส ก็น่าสนใจมากเลยทีเดียววัดนี้) ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักเราไปอีกประมาณ 42km แล้วแว่ะถ่ายรูปเล่นกันไปพลางๆก่อน ซึ่งระหว่างนี้พวกเราเริ่มจะเจอฝนตกตลอดทางเลย เหมือนกำลังมีอะไรบางอย่างทำให้เราต้องเริ่มเตรียมตัวเตรียมใจกันหลังจากนี้ล่ะ ^_^



วิวระหว่างทางไปวัดเฮมิส


หลังจากนั่นก็บิดตัวเปียกกลับที่พักตัวเมืองเลห์ กันแบบเปียกบอนและหนาวมาก แว่ะไปซื้อเสื้อกันหนาวเพิ่มอีกตัว ไม่งั้นไม่รอดแน่นอน จากวันแรกที่ลงเครื่องมาอากาศฟ้าเป็นใจเป็นอย่างมาก กลับมาถึงที่พัก เจ้าของโรงแรมมาบอกว่า เส้นทางที่จะไป Pangong Lake ตอนนี้ถูกหิมะถล่มลงมาปิดเส้นทาง ทำให้ไม่สามารถไปได้ ............งานเริ่มเข้าล่ะ!!!! เพราะจากที่คุยกัน บอกว่าตอนนี้คนที่กำลังจะกลับจาก Pangong Lake ก็ยังติดอยู่บนเขาเส้นทาง Chang La Pass อยู่ทั้งคืนเหมือนกันก็ยังลงมาเมืองเลห์ไม่ได้ ^_^
สรุป เอาเป็นว่าวันนี้ยังไม่รู้ เส้นทางจะเปิดได้ตอนไหน ต้องไปลุ้นกันหน้างานพรุ่งนี้อีกที
>> นี่เป็นรถที่เพิ่งกลับลงมาจากเส้น Chang La Pass มาถึงตลาดตัวเมืองเลห์ ครบรสเลยทีนี้ ทั้งฝนทั้งหิมะ

ก่อนนอนเลยเดินไปตลาด หาอะไรร้อนๆรองท้องกินสักหน่อย อยากจะบอกว่า ร้านนี้เป็นร้านที่ฝากท้องตลอดทริปเลห์เลยล่ะ มีทั้งเนื้อแพ่ะย่าง และต้มซุปเนื้อแพ่ะร้อนๆ... จำไม่ได้ราคาเท่าไหร่ รู้แต่ว่าไม่แพงมากคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณไม้ละ10กว่าบาทเนี่ยล่ะ หรือใครจำได้ลองคอมเม้นท์บอกเพื่อนๆหน่อยครับ ส่วนซุปเนื้อแพ่ะก็เหมือนกันน่าจะถ้วยล่ะ 30-40 บาท อร่อย กินร้อนๆรองท้องก่อน หลับสบาย.. ^_^


อากาศคืนนี้หนาวมากๆ เพราะเมื่อตอนเย็นขับรถตากฝนกลับมาเกือบตลอดทางกว่าจะถึงที่พักเล่นเอาหนาวสั่นกันไปหมดต้องไปซื้อกันหนาวเพิ่มอีกตัว!! อากาศตอนนี้ที่กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง เจ้าของที่พักต้องนำถุงน้ำร้อนมาให้ตอนนอน (เพิ่งจะเคยนอนกับถุงน้ำร้อนกับคร่าวนี้ล่ะ. ^_^)

Day4 เป็นวันที่พวกเราต้องตัดสินใจไปวัดกันหน้างานอีกวัน!! ว่าวันนี้จะได้ไปต่อหรือเปล่า สอบถามตอนมาว่า ให้ไปลุ้นที่หน้าด่านอีกทีว่าจะไปต่อได้ไหม
เราเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักกันแต่เช้า เพื่อมุ่งหน้าไปที่ Pangong Lake โดยระหว่างทางก็แว่ะถ่ายรูปกันอีกครั้ง เพราะถ้าเป็นไปตามแผน เราจะไม่กลับเส้นทางเดิม เพราะเราจะเดินทางจาก Pangong Lake ตัดไปที่ Nubra Valley เลยจะเป็นการข้บไปอีกทาง ไม่ย้อนกลับทางเดิม... เป็นงัยล่ะแผนที่คิดไว้โครตเจ๋ง ^_^ สุดท้ายเป็นยังงัยมาลุ้นกัน เปิดตัวภาพแรกเอาฤกษ์เอาชัยกันสักหน่อย ^_^
โดยเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่เราไปแว้นซ์มาเมื่อวาน ทางไปวัดเฮมิส เพราะด่านทหารจะอยู่แยกตรงทางเข้าวัดเฮมิสพอดี เราจึงขับย้อนกลับไปทางเดิมของเมื่อวาน ซึ่งเริ่มคุ้นทางพอสมควรล่ะ ^_^

ขับออกมาแค่ประมาณ 15km ก็แว่ะสักหน่อย เพราะมันยังเช้าอยู่ กับ Shey Palace เอาว่าเป็นสถานที่แห่งนี้คือ พระราชวังเก่าระหว่าง ที่เป็นทางผ่านละกัน แค่ขับรถผ่านแว่ะขึ้นไปถ่ายรูปเท่ห์ตรงนี้เท่านั่น ไม่ได้ขึ้นไปด้านในราชวัง พอดีมุมตรงนี้ดูสูง มองออกไปสวยดี ชอบๆๆ
>> ฝากติดตามพี่หมีผมด้วยนะครับเดี่ยวจะมาเฉลยให้ทีหลังครับ.. #หมีพาเที่ยว


ไปกันต่อดีกว่าเดี่ยวไปไม่ถึง Pangong Lake สักที ^_^
ยังไม่ทันไร ก็แว่ะอีกจนได้... ^_^ กับวัดที่เมื่อวานเราจอดถ่ายแค่ด้านหน้า วันนี้เลยขอเข้าไปด้านในกันสักหน่อย อย่างที่บอกไปว่า หากเป็นไปตามแผนเราจะไม่กลับมาเส้นทางนี้อีก เลยขอเข้าไปให้หายข้องใจเลยล่ะกัน กับวัด Thiksay Monastry (วัดทิกเซ่) ที่วันนี้เราจะเข้าไปในวัดกันสักหน่อย เอาแบบหลักๆเลยล่ะกัน คือเป็นวัด ที่ประดิษฐานของพระศรีอารยะเมตรัยองค์ใหญ่ที่สุดในลาดัก ที่มีความสูงถึง 15 เมตร ถือเป็นมรดกล้ำค่าของลาดักเลยทีเดียว





เอาเป็นว่าเรารีบไปกันต่อเลยดีกว่า เริ่มจะสายล่ะ ป่านนี้ยังไปไม่ถึงไหนเลย...เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าด่านทหารจะอนุญาตให้ขึ้นไปได้หรือยัง
จากนั่นเราเดินทางไปถึงทางแยก โดยตรงนี้จะมีด่านทหารคอยตรวจ Permit สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะไป Pangong Lake ซึ่งตรงนี้ไม่แน่ใจเรียกว่าตลาดอะไร แต่เป็นตลาดชุมชน ร้านอาหาร ค่อนข้างเยอะเลย ออกจากเลห์มาประมาณ 35km ซึ่งไม่ไกลมากนัก เราเลยมาจอดรถพักกันตรงนี้ก่อนเพื่อที่จะไปสอบถามกับด่านทหารว่า เส้นทางด้านหน้าสามารถไปต่อได้ไหม
>>>ป้ายทางแยกตรงนี้บอกว่า แยกไปทางซ้ายระยะทางอีก 113km ซึ่งถ้าระยะทางประมาณนี้เรามาถึงกันก่อนเที่ยงคิดว่าทางจะยากยังงัยเราก็น่าจะถึง.Pangong Lake น่าจะก่อนค่ำ

ระหว่างที่รอลุ้นและยังไม่มีใครมาให้คำตอบเราได้ว่า จะให้ไปต่อได้ไหม เลยจอดรถแว่ะกินข้าวรองท้องกันสักหน่อย เพราะว่าตอนที่เราตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 9โมงเช้านิดหน่อย ซึ่งถือว่าเวลายังดีอยู่



หลังจากที่กินข้าวอิ่มแว่ะเติมน้ำมันเต็มถังตรงนี้ ก็คำนวณคร่าวๆว่า จากตรงนี้ถ้าไปถึง Pangong Lake ยังงัยน้ำมันก็ถึงแน่นอน เลยไปสอบถามอีกครั้งว่าอีกนานไหม เลยได้คำตอบมาว่ายังไม่แน่ใจแต่เกิน 2ชั่วโมงแน่นอน เราจึงขับรถไปถ่ายรูปเล่นทางขึ้น วัดเฮมิส ตรงเจดีย์อีกสักหน่อย จากตรงนี้ขับรถขึ้นไปไม่ไกลน่าจะประมาณ 3-4km ก็ไปถ่ายรูปเล่นกันชิลๆสักหน่อยพอดีเมื่อวานขับขึ้นไปฝนตกวันนี้เลยขอสักหน่อยค่าเวลารอด่านเปิด



สะพานตรงนี้จะเป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำสินธุ ที่เป็นแม่น้ำที่เลียบถนนเส้นหลักที่มาจากเมืองเลห์


จากการที่เราขึ้นไปถ่ายรูปเล่นกันจนเสร็จลงมาถึงด่านแล้ว ไปสอบถามมาว่า วันนี้ถ้าทางเปิดน่าจะเป็นบ่ายๆเย็นๆหรืออาจจะไม่เปิดเลยเส้นทางนี้เลยเพราะว่ายังเครียร์ทางกันไม่เสร็จ สรุปว่า วันนี้เราต้องอกหักไม่สามารถที่จะไป Pangong Lake ได้ เราจึงได้มาคำนวณวันที่เหลือกับสถานที่ๆเราจะไปนั่น ยังงัยก็ไม่พอแน่ๆ แต่ที่รู้วันนี้ไม่ได้ไปแน่นอน จึงคิดว่ากลับไปนอนตั้งหลักและหาที่ถ่ายรูปแสงเย็นที่เลย์อีกสักคืนก่อน ค่อยว่ากัน ซึ่งแน่นอนทริปแบบนี้มันเกิดกับเราตลอดเวลาและพร้อมที่จะรับมือมันอยู่แล้ว เพราะว่าปลายทางมันคงสวยงามล่ะ แต่เรื่องราวระหว่างทาง มันมีอะไรให้เล่าเยอะมากกว่า.. ^_^
โอเครงั้นเราเดินทางกลับไปตั้งหลัก หาที่พักที่เลย์กันก่อนล่ะกัน..พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่.. ระหว่างทางก็แว่ะถ่ายรูปกันมาเรื่อยๆ รูปหลังจากนี้จะเป็นรูปที่อาจจะไม่มีชื่อสถานที่นะแต่เป็นข้างทางที่เราขับรถเข้าไปจอดถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย..เพราะที่นี่อย่างที่รู้ๆกันอยู่ ถ่ายรูปตรงไหนก็สวยไปหมด






เราขับรถมาถึงตัวเมืองเลห์ค่อนข้างที่จะเริ่มเย็นล่ะ ขึ้นมาไม่ทันดูพระอาทิตย์ตก เลยลองถ่ายเมืองเลย์ยามค่ำคืนฝากเลยล่ะกัน.. เราขับขึ้นมาที่เจดีย์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านบนภูเขาใกล้กับเมืองเลย์ชื่อเจดีย์ Shanti Stupa ภาพของเจดีย์ไม่ได้ถ่ายมานะครับพอดีไปเริ่มจะมืดล่ะเลยถ่ายวิวเมืองมาฝากแทน


เอาเป็นว่าวันนี้เริ่มหมดแรงล่ะยังไม่ได้หาที่พักกันเลย ขับรถกลับไปหาอะไรกินรองท้องในตลาดกันสักหน่อยวันนี้เลยจัดเมนู ไทยๆกับฝรั่งปนกันบ้างให้อยู่ท้อง เพราะกินเสร็จก็ต้องตะแวนขับรถหาที่พักกันอีกเพราะที่พักเดิมที่เคยพักวันนี้เต็มพอดี... อะไรมันจะโชคร้านป่านนั่น...


กินเสร็จก็ขับรถวนหาที่พักกันต่อ กว่าจะได้ที่พักก็เริ่มจะดึกล่ะ ทุกอย่างดันสดจริงๆทริปนี้.. ^_^ เอาเป็นว่าวันนี้พอกันแค่นี้ก่อน นอนพักเอาแรงกันก่อนพรุ่งนี้เช้าค่อยมาคิดว่าจะไปที่ไหนต่อ แต่ที่รู้ๆคืนนี้หนาวมาก ที่สำคัญเรื่องทำน้ำอุ่นที่นี่ไม่มี ต้องให้พนักงาน ต้มน้ำร้อนใส่ถังแบ่งกันอาบประหยัดๆคนละถังยาวๆไปคืนนี้


Day5 วันนี้ตื่นมากับอากาศที่ฟ้าเริ่มโปร่งใส เหมาะแก่การเดินทางที่สุดจริงๆ... รู้สึกฟ้าเริ่มเป็นใจให้เราบ้างล่ะ แต่กับจำนวนวันที่เริ่มเหลือน้อยลงไปทุกทีๆๆ จึงต้องทำให้เราต้องมาตัดสินใจวางแผนกันอีกครั้งว่าวันที่เหลือนี้จะไปไหนกันได้บ้าง

เช้านี้ขอชิลๆวางแผนที่ร้านกาแฟกันสักหน่อย เพราะเอาเข้าจริงๆ ที่นี่หาร้านกาแฟยากพอสมควร มีนะแต่ไม่มีตัวเลือกเยอะมาก ดูจากท้องฟ้าวันนี้แล้วมันคงเป็นวันของเราจริงๆสักทีนะ ซึ่งตอนนี้กับวันที่เราเหลืออยู่ที่เลย์ในตอนนี้คืออีกเพียงแค่ 2วันกับอีก 1 คืน สำหรับที่นี่ แต่เรายังมีสถานที่ถึงสองแห่งที่เรายังไปไม่ถึงเลยสักที่ ระหว่าง Pangong Lake ที่เราเพิ่งโดนหักอกมาเมื่อวาน กับอีกแห่งคือ Nubra Valley ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ จะต้องทำให้เราต้องเลือกกับเวลาที่เหลือ จากการที่ไปสอบถามกับคนในพื้นที่ตอนนี้แจ้งมาว่า ทางไป Pangong Lake ได้เปิดให้ขึ้นได้แล้ว จึงทำให้เรามีตัวเลือกเหมือนเดิมจากแพลนตั้งแต่แรกที่เรามา แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว วันและเวลาที่เรามีอยู่นั่นมันทำให้เราจะต้องเลือกเส้นทางเดินหลังจากนี้ได้เพียง 1 เดียวเท่านั่น.. ^_^ พูดดีไปเหอะ เลือกให้ถูกละกัน (บอกกับตัวเอง)

สุดท้ายเราสองคนเลือกที่จะขึ้นไปที่ Pangong Lake อีกรอบ ดูซิ มันจะทำให้เราได้ไปถึงไหมในวันนี้ เรามาลุ้นกันดีกว่า เอาสิ มันจะอกหักกัน 2รอบ 2วันติดก็ก็ให้มันรู้ไป.. แต่ที่สำคัญถนนที่จะไปช่วงแร กระยะทาง35kmในตอนนี้ เราขับมันมาถึง3รอบแล้ววววว 5555
เอาเป็นว่าภาพตัดมาถึงทางแยกหลังจากผ่านด่านทหารมาเรียบร้อยแล้ว ถนนหลังจากนี้เริ่มเข้าสู่วิกฤตของจริงล่ะ... ซึ่งถนนเส้นนี้คือเส้นทางที่เรียกว่า Chang La Pass ที่ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สูงอันดับ3 ของโลก แต่มันมีความอันตรายมากกว่าเส้น Khardung La Pass ที่สูงเป็นอันดับ1 กว่ามาก เอาเป็นว่าภาพหลังจากนี้ไปจะเป็นภาพของถนนและเส้นทางของ Chang La Pass ที่จะไป Pangong Lake สภาพเส้นทางก็จะเป็นทางลูกรังและทางลาดยางเก่าๆบ้างสลับกันไปในช่วงแรกๆ

หลังจากนี้เราจะค่อยๆไตร่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆๆ...




เราขับขึ้นมากันได้ไม่นาน ก็เจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดอีกเช่นเคย ไม่รู้ทริปนี้เราทำบุญกันน้อยไปหรือเปล่าเนี่ย มีเรื่องให้ตื่นเต้นกันตลอดเวลา ซึ่งจุดนี้จากที่เคยๆดูมา จะมีร้านคาเฟ่อยู่ระหว่างทางที่จะไป
Pangong Lake ซึ่งเรายังไปไม่ถึงกันเลย แต่ก็เจอเหตุการหิมะถล่มปิดเส้นทางทำให้รถเล็กหรือรถใหญ่ไปไม่ได้ หรือถ้าไปก็คงต้องใช้รถลากไปเพราะทางค่อนข้างลื่นและอันตรายมากๆ เราจึงจอดรถสังเกตุสถานการณ์และค่าเวลาด้วยการถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ...






หลังจากที่เฝ้ารอดูสถานการณ์กันอยู่พักใหญ่ ยังไม่มีวี่แว่วว่าเหตุการณ์จะดีขึ้น เราก็คุยกับเพื่อนว่า เราควรจะไปต่อหรือควรพอแค่นี้ดี ซึ่งคำนวณจากเวลากับสถานการณ์หน้างานตอนนี้แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะไปต่อได้ประกอบกับเวลาที่ก็หมดลงไปทุกที และโรงแรมที่พักเราก็ไม่ได้จองไว้ และไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเจอแบบนี้อีกหรือเปล่า ชุดอุปกรณ์ยังชีพตอนนี้เราไม่ได้ติดอะไรมาเลยและมี Biker ต่างชาติที่ขับมาเจอกันระหว่างทางก็เริ่มหันหัวรถกลับกันไปบ้างล่ะ ตอนนี้เราก็คงได้แต่หวังว่าครั้งหน้าเราคงจะได้กลับมาแก้มือที่นี่อีก กลับมาถามตัวเองนะว่าเสียดายไหมที่ไปไม่ถึง Pangong Lake ก็ตอบเลยว่าเสียดาย แต่สิ่งที่ได้กลับมาในครั้งนี้กลับมีเรื่องราวมากมาย ได้มาขับรถบนเส้นทางที่ได้รับฉายาว่าเป็นเส้นทางเส้นหนึ่งที่อันตรายที่สุดในโลกก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยแล้ว ถึงแม้นว่าเราจะยังขับไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็ตาม เอาเป็นอันว่า จะพยายามหาโอกาสมาแก้มืออีกแน่นอน แล้วเจอกันนะ Chnag La Pass (ติดตามดูคลิปด้านล่างได้เลยครับ)

หันหัวรถกลับสิรออะไร 5555 จะมาแก้มือให้ได้ เวลาเหลือๆแบบนี้ก็ขับรถถ่ายรูปวนไปซิรออะไร..







>>> คลิปเส้นทางบางส่วนของ Chnag La Pass
เรามาดูกันครับว่าเส้นทางเส้นนี้โหดขนาดไหน ไหล่ทางไม่มี ตลอดทางจะมีร่องรอยหิน ล่วงลงอยู่เรื่อยตลอดทาง ข้างทางเป็นเหวไม่มีราวกันขอบทาง ขับไม่มีเสียหลักไม่ต้องสืบเลย ลองเข้าไปดูกันครับ โหดจริงจังยอมๆ เพื่อนผมนี่ขับบีบแตรตลอดทางกันเลยทีเดียว.. >> จริงๆต้องขับชิดขวานะครับ>>
หลังจากที่อกหักเป็นรอบที่2 กับ Pangong Lake ของวันนี้พวกเราก็ต้องกลับไปตั้งหลักที่ในตัวเมืองเลห์อีกรอบ ซึ่งบอกไม่ถูกเลยจริงๆ เอาเป็นว่า Pangong Lake ยังคงเป็นเมืองทะเลสาบที่ทำให้พวกเรายังไม่สามารถทำลายคำสาบลงได้ เอาเป็นว่าเจอกันใหม่ ล่ะกัน สำหรับเวลาที่เหลือหลังจากวันนี้และพรุ่งนี้คงต้องลุ้นกันใหม่ไปเรื่อยๆ ปล่อยวางจริงๆล่ะทริปนี้
พอกลับมาถึงตัวเมืองเลห์ก็หาที่พักเข้าพักผ่อนวันนี้โชคดีกลับมาที่พักเดิมที่เคยพักคืนแรกๆว่างพอดี เก็บของเสร็จเดินเล่นในตัวตลาดชิลเลยล่ะวันนี้ เลยไปเดินเล่นหาเปิดซิมเล่นๆดูว่าจะเปิดได้ไหมตอนแรกเห็นอ่านเจอมาว่าเปิดค่อนข้างยากใช้เวลาหลายวัน... (เรื่องเปิด Sim Cardรีวิวคร่าวๆไว้ในตอนท้ายๆนะครับ). เย็นนี้ก็เดินหาอะไรกินในตลาดตอนเย็นๆ แว่ะมากินร้านเนื้อแพ่ะย่างร้านเดิมกันอีกเหมือนเดิม แล้วกลับไปตั้งหลักเข้าที่พักกันอีกทีพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที

Day7 วันนี้ยังมีเวลาเหลือเที่ยวอยู่อีก 1 วัน เลยตัดสินใจไปขับรถเล่นขึ้นไปที่ Khardung La Pass แต่คงไปไม่ถึง Nubra Valley เพราะมีเวลาแค่วันนี้วันเดียว เพราะพรุ่งนี้เช้าเราต้องบินไฟล์เช้ากลับ ไหนๆก็ไหนๆล่ะไปดูสักหน่อยให้รู้ว่า ถนนที่สูงที่สุดในโลกมันจะเป็นยังไง จะตื้นเต้นและหวาดเสียวสักแค่ไหน ตามมาด้วยกันครับ ระหว่างทางก็แว่ะถ่ายรูปไปเรื่อยตามสไตร์ เพราะเราเช่ารถขับมาเองอยากจอดตรงไหนก็จอดได้เลย มันดีตรงนี้ล่ะ ^_^ วันนี้เพื่อเป็นการไม่เสียเวลามากเลยขับรถไปคันเดียวให้เพื่อนซ้อนขึ้นไปด้วยกัน ไม่บอกเหตุผล เอาเป็นว่าซ้อนผมขึ้นไปจะไวกว่าไปคนละคัน 555
วิวระหว่างทางที่จะขึ้นไป Khardung La Pass จอดตรงไหนสวยทุกมุมเลยจริงๆที่นี่ ^_^

พอเราขับมาสักพักก็จะเจอด่านทหารที่จะต้องเอกเอกสารให้ดู พวกใบอนุญาต Permit หรือ Passbort ตรงที่จอดรถตรงนี้ก็จะพอมีร้านกาแฟหรือมาม่าให้เราได้ทานกันนิดๆหน่อยๆ ร้านจะอยู่ด้านล่างเดินลงจากที่จอดรถลงไปนิดหน่อย





จากนั่นก็ขับรถขึ้นไปกันต่อเพื่อพิชิตยอด Khardung La Pass ซึ่งทริปนี้เราคงจะทำได้แค่นี้ล่ะ แต่อย่างน้อยเราก็ได้ขึ้นมาบนนถนนที่ได้ชื่อว่า ถนนที่สูงที่สุดในโลกนะ (ปลอบใจตัวเอง) ^_^
พอมาถึงก็จอดรถเดินถ่ายรูปเล่นกันสักหน่อย ยอมรับนะครับว่าอากาศค่อยข้างเบาบางมาก ในใจแอบกลับเล็กน้อยกับอาการแพ้ความสูง จะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็ระมัดระวังตลอดเวลาจะพยายามเดินช้าๆไม่รีบร้อนเดินไว เพราะมีบางจุดต้องเดินขึ้นไปถ่ายรูปเล่นด้านบนเขาอีกที..



ไหนๆก็ไหนๆล่ะก่อนลงขอถ่ายรูปคู่กับป้ายเป็นที่ระลึกกันสักหน่อยเดี่ยวจะหาว่ามาไม่ถึง Khardung La Pass.. ^_^ มาถึงแล้วนะ......



ขากลับลงมาก็แว่ะถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย...วิวที่นี่มันอลังจริงๆ ถ้าใครชอบถ่ายรูปวิวเมืองนี้คงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ถ้ามีโอกาสควรต้องมาเป็นอย่างยิ่ง..



เอาคลิปมาฝากขาลงจาก Khardung La Pass
กลับถึงเมืองเลห์ บ่ายๆเย็น ก็แว่ะขึ้นไปถ่ายรูปเล่นที่ Leh Palace ขึ้นไปชมวิวเมืองเลห์ยามบ่ายๆเย็นสักหน่อย




เดี่ยววันนี้กลับที่พักเตรียมตัวเก็บของเดินทางกลับพรุ่งนี้ล่ะ ไม่รู้จะเจออะไรอีกหรือเปล่า แต่ถามว่าอยากเจออะไรไหม อยากเจอนะ เพราะทุกอย่างถือเป็นประสบการณ์ที่ดีนะสำหรับในการเดินทางไปต่างประเทศ หากคิดอยากจะไปเที่ยวเอง...
Day8 วันนี้เป็นวันสุดท้ายสำหรับทริปนี้ล่ะ มาๆๆมาดูกันต่อดีกว่า ทริปนี้มันยังไม่จบง่ายๆแน่นอน ^_^ มาลุ้นระทึกกันต่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก เรามาถึงสนามบินก็เช็คอินล่วงหน้าตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ พอเวลาได้ผ่านไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่มีทีท่า ว่าเครื่องจะมาถึงสักที สรุปรอจนแล้วจนเล่า เครื่องดีเลย์ไปกว่า 3-4ชั่วโมงคุณพระ... แล้วมันจะทันไฟล์ที่เราจะต้องต่อเครื่องจาก นิวเดลีกลับ กรุงเทพฯ ไหมล่ะเนี่ย.. สายการบินไหนดูกันเอาเองนะ..

จริงๆวันนี้เราจะต้องไปถึงที่ นิวเดลี เพื่อต่อเครื่องกับสุวรรณภูมิ ตอนบ่ายเวลา 13.55 น. แต่เนื่องด้วยไฟล์จากที่ เลห์ ดีเลย์ไปทำให้เราไม่สามารถขึ้นเครื่องที่ นิวเดลีได้ทัน เพราะเครื่องลงก็บ่ายสอง ไฟล์ที่เราจะต้องนั่งกลับได้ออกไปเรียบร้อยแล้ว .... เป็นงัยล่ะ เล่นให้ยับจนวันสุดท้าย

แต่ในความโชคดีของเราก็คือที่เราจองตั๋ว เราจองด้วยสายการบินเดียวกัน เลยทำให้เราไม่ต้องซื้อตั๋วใหม่ ถ้าเราจองคนล่ะสายการบินช่วงระหว่างที่เราต้องต่อเครื่องนะ ..รับรอง ซื้อตั่วใหม่สถานเดียว แต่ว่าเรื่องมันยังไม่จบเพียงแค่นี้ กว่าที่จะได้ตั่วมาใหม่นั่น ต้องเดินเรื่องต่างๆนาและเสียเวลาไปพอสมควร เพราะไฟล์ที่เราจะได้กลับนั่นเป็นคือ 23.00 น ถึงสุวรรณภูมิ 04.55 น. คุณพระ!!! ทริปนี้ยับกันจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ 5555 เอาว่ะยังงัยก็ยังดีกว่าที่ต้องซื้อตั๋วใหม่

หน้าตาของคนที่ต้องนั่งรอที่สนามบินกว่า 10ชั่วโมงก็จะประมาณนี้ล่ะ ^_^

หมดสภาพจริงๆทริปนี้

สรุปทริปนี้
กับเมืองเลห์คงต้องจบเพียงแค่นี้ก่อน ถ้ามีโอกาสเราคงได้กลับมาเจอกันใหม่แน่นอน ส่วนใครที่อยากจะมาเที่ยวที่นี่ บอกได้เลยไม่ยากสบายๆ ทุกๆอย่างแค่เตรียมพร้อมเช็คเรื่องอากาศมากันดีๆหน่อยแค่นั่น ส่วนอาหารการกินก็ไม่ได้แย่ในตัวเมืองมีร้านให้ทานกันมากมายพอควร ราคาอาหารค่าครองชีพที่นี่ก็ไม่แพง ส่วนตัวคิดว่าพอๆกับเมืองไทยเลยล่ะ แถมบางวิวก็สวย ช่างภาพ Landscape สายแว้นซ์ควรต้องมากันสักครั้ง นี่ขนาดยังไม่ไม่ครบเลยนะ ส่วนตัวคิดว่าถ้าจะมาที่นี่จริงๆแบบไม่เหนื่อยมาก มาสัก10วันน่าจะดี เพราะแต่ล่ะที่จะอยู่ห่างกันพอสมควร อยู่ที่ละ2-3วันผมว่าคงฟินน่าดู
เอาเป็นว่า ถึงเราอาจจะไปไม่ถึงปลายทางแม้นแต่ที่เดียว แต่เรื่องราวระหว่างทางมันช่างมากมายซะเหลือเกิน สนุกสนามตื่นเต้นกันไป ดันสดกันทุกวัน แผลนมีไว้แค่คร่าวๆ แต่ก็ไม่เคยจะทำได้อย่างที่วางกันไว้เลยสักอย่าง ลุ้นกันวันต่อวัน มันส์ดี ใครอยากไปเที่ยวแบบนี้ลองไปเปิดใจให้กว้าง พร้อมยอมรับกับทุกๆเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
แล้วเจอกันใหม่นะครับ.... ^_^
================================================================================
สาระส่งท้ายมาฝากเผื่อเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆกันบ้าง. ^_^
>>สภาพอากาศ ตัวเมืองเลห์ เป็นเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3500เมตร อากาศจะเบาบางกว่าบ้านเราค่อนข้างมาก ต้องใช้เวลาปรับตัวกันหน่อย เมืองที่มีความสูงขนาดนี้ แน่ะนำครับ ถ้าไม่อยากมี "อาการแพ้ความสูง" ควรทานยาให้ถูกต้องตามที่แพทย์สั่งนะครับ Acetazolamide (Diamox) ทานครั้งล่ะครึ่งเม็ด ทุกๆ 12 ชั่วโมง เพราะระหว่างทางที่ขับรถเที่ยว ก็มีเหตุเกิดขึ้น ให้เห็นอยู่เหมือนกัน เพราะเส้นทางต่างๆที่ไปเที่ยวแต่ะละที่ เส้นทางต้องไตร่ระดับความสูงขึ้นไป บนความสูงกว่า 3-5000เมตร หากเกิดเหตุไม่คาดคิดการที่จะลงนำผู้ป่วยลงมารักษาด้านล่างนั่น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เพราะถนนที่ค่อยข้างชัน แคบและอันตราย เรื่อง อาการแพ้ความสูง หลังจากที่ผมกลับมาไม่กี่วัน ก็มีผู้พิพากษาหนุ่มคนไทยมาเสียชีวิตที่นี่เหมือนกัน จึงอยากให้เพื่อนระมัดระวังกันหน่อยในเรือ่งนี้ จะได้เที่ยวกันได้สนุกขึ้นครับ ^_^

>>การเช่ารถมอเตอร์ไซค์ มาที่นี่ไฮไลท์คือ การมาเช่ารถยี่ห้อ royal enfield ขับขี่แบบ Road Trip การเช่าก็ไม่มีอะไรมาก คือ ต้องมีใบขับขี่สากล (บางร้านอาจจะไม่ใช้ก็ได้แต่ทำมาดีที่สุด) ราคาแต่ละร้านก็จะแตกต่างกันออกไปราคาตั้งแต่ 1200-1500 รูปี ราคาแต่ละรุ่นก็จะแตกต่างกันออกไป ตามขนาดซีซีของรถรุ่นนั่นๆ ร้านที่เราเช่าเป็นร้านที่อยู่ด้านหน้าที่พักเลยรับรถคืนรถสะดวก เอาเป็นว่าถ้ามาที่เลห์ควรมาขับสักครั้ง
สำหรับขาแว้นซ์ ส่วนตัวถือว่า เป็นรถที่ขับขี่ดีมาก ประทับใจสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นทางที่สูงชัน อากาศจะร้อนหรือจะหนาวติดลบแค่ไหน อึดและแกร่งมากๆ แถมประหยัดอีกต่างหาก ดีแค่ไหนไม่รู้ผมกลับมาเมืองไทยก็กลับมาซื้อใช้แบบไม่คิดอะไรเลย.. ^_^


ร้านยา สำหรับเพื่อนที่มาแล้วมีอาการไม่สบายต้องการหาร้านยา สบายใจได้เลยนะครับ ร้านยาที่นี่ยินดีต้อนรับคนไทยเป็นอย่างมาก ดูจากภาพได้เลย ของใครเป็นของใครบ้างรายงานตัวหน่อย.. ^_^

ร้าน Sim Card ต้องยอมรับว่า Internet สำคัญเป็นอย่างมาก สำหรับแบ๊คแพคเกอร์หรือมากับทัวร์ก็ตามเพราะต้องใช้ในการหาข้อมูลต่างๆในการท่องเที่ยวหรือท่องโลกโซเซียลต่างๆ เครือข่ายที่ลองใช้คือ Airtel4G ครับ จะให้บริการครอบคลุมเฉพาะพื้นที่เมืองของเลห์เท่านั่น ถือว่าแรงใช้ได้เลยแถมไม่แพง แต่อาจจะต้องเสียเวลา "เปิดซิมล่วงหน้าประมาณครึ่งวัน" โดยการเปิดซิมที่นี่ปัจจุบันถือว่าไม่ได้ยุ่งยากเหมือนเมื่อแล้วครับถ้าเทียบกับเมืองเล็กๆแบบนี้ ร้านให้บริการ Sim Card จะอยู่ในซอยข้างๆร้าน TITAN นะครับ เดินเข้ามาในซอยประมาณ 20 เมตร ร้าน Airtel จะอยู่ด้านซ้ายมือนะครับ

เอกสารก็ไม่มีอะไรมาก ใช้รูปถ่าย 1x1.5 นิ้ว สามารถไปถ่ายรูปด่วนได้เลย ร้านถ่ายรูปจะอยู่ฝั่งตรงข้ามด้านนอกครับ ตรงถนนคนเดินเลย สามารถไปถ่ายรูปรอรับได้เลยครับ

กรอกแบบฟอร์มแนบรูปถ่ายพร้อมเลือกโปรต่างๆให้เข้ากับเราได้เลยครับว่าจะใช้แบบไหนกี่วัน

โปรโมรชั่น และพื้นที่ครอบคลุมสัญญาณ

เรามาเปิดซิมช่วงบ่ายจะได้รับในวันถัดไป แต่ถ้าใครมาเปิดซิมช่วงเช้าจะเปิดใช้ได้ช่วงเย็นนะครับ ลองดูกันนะครับเผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่ไปเที่ยวกัน เพราะบางครั้งเราต้องหาข้อมูลในการท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆระแวกนั่น

Bye By หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์ได้บ้างนะครับ...เจอกันใหม่ทริปหน้าครับ. ^_^ #รีวิวข้ามปี ^_^
Nattawud Ubonpituck
วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เวลา 12.24 น.