วังสวนผักกาด วังเก่าร่มรื่นใจกลางกรุง

highlights:

  • การเดินทาง
  • ค่าเข้าชม
  • บรรยากาศภายในวัง

---------------------------------------------------------------------------------

วังสวนผักกาดหรือพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาดที่หลายๆ คนอาจจะมองข้ามไป เหตุผลที่ทำไมเราถึงเลือกมาที่นี่ ก็เพราะเราเป็นคนชอบวังชอบพิพิธภัณฑ์ แต่ก็ยังเป็นคนที่รักความสบายด้วยเช่นกัน ดังนั้นวังสวนผักกาดจึงตอบโจทย์เราที่สุด เพราะไปง่ายแค่นั่ง BTS เอง

เราก็นั่ง BTS มาลงที่สถานี "พญาไท" เราก็ไม่รู้หรอกว่าจะต้องออกทางออกไหน แต่ดีที่มีป้ายบอกทางมาตลอด ก็เดินตามป้ายมาเรื่อยๆ ไม่แน่ใจว่าทางออกที่ 3 หรือ 4 นะ

ระยะทางจากทางออกสถานี BTS ไปวังสวนผักกาดแค่ 350 เมตรเอง เดินสบายๆ ไม่หลงทางแน่นอน แต่ถ้าไม่แน่ใจเวลาเดินก็คอยมองทางฝั่งขวาไว้ 


ดูจากแผนที่นึกว่าจะไกล ที่ไหนได้เดินมาแปปเดียวเองก็ถึงแล้ววว ป้ายวังสวนผักกาดชัดเจนมาก เปิดทุกวันตั้งแต่ 09.00-16.00

เราก็เดินเข้าประตูไปจ้ะ เดินงงๆ ไม่รู้จะต้องไปซื้อตั๋วเข้าที่ไหน แต่เห็นมีห้องกระจกอยู่ซ้ายมือห้องนึงเลยเดินเข้าไป

ขนาดตรงที่จับประตูห้องกระจกยังมีสัญลักษณ์ของท่านเจ้าของวังอยู่ด้วย ซึ่งท่านเจ้าของวังนี้ก็คือ "พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร" ซึ่งเป็นพระนัดา (หลาน) ในรัชกาลที่ 5 และในปัจจุบันวังนี้ก็อยู่ในการดูแลของมูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์นั่นเอง

พอเปิดประตูเข้ามาก็จะเจอกับเคาเตอร์ขายตั๋วพอดีเลย ราคาค่าเข้าก็ถูกแสนจะถูก 50 บาทเอง แต่ตรงนี้เราต้องฝากกระเป๋าสัมภาระของเราไว้ในล็อคเกอร์ด้วย จะเอาของติดตัวเข้าไปได้เท่าที่จำเป็น เราก็เลยหยิบมือถือมาอย่างเดียวกับกุญแจล็อคเกอร์อีกอย่างนึง

แล้วที่นี่เขาจะเข้มงวดเรื่องการถ่ายรูปในห้องจัดแสดงมากๆ ย้ำว่ามากๆ อาจจะเป็นเพราะในห้องจัดแสดงมีของเก่าอายุหลายพันปีอยู่ในนั้นล่ะมั้ง เราก็เลยจะถ่ายรูปกันได้แค่ขอบๆ ทางเดินด้านนอกเท่านั้น

บรรยากาศดีมากกกกก ธรรมชาติร่มรื่นสุดๆ หากใครอยากหนีความจำเจของเมืองหลวงให้หลบมาอยู่ที่นี่เถอะ สามารถใช้เวลาดื่มด่ำบรรยากาศได้ทั้งวันเลย แต่เสียดายที่นี่ไม่มีร้านคาเฟ่หรือร้านขายของอะไรใดใดทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นคงจะอยู่ที่นี่ได้นานมากกว่านี้

หลังจากเดินออกมาจากอาคารแรกก็จะเจอกับรูปปั้นตรงทางเดินที่อยู่ตรงแถวๆ เรือพระที่นั่งเก้ากึ่งพยายาม

และเรือพระที่นั่งเก้ากึ่งพยายามนี้เป็นเรือที่รัชกาลที่ 5 พระราชทานแก่ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ซึ่งทรงเป็นพระบิดาของท่านเจ้าของวัง เพื่อใช้เป็นขบวนเรือตามเสด็จประพาสต้นนั่นเอง สวยและเก่าแก่มากๆ

ตอนแรกที่เรามาคือมันเงียบมากๆ แต่สักพักนึงก็มีทัวร์จีนลงจ้าาา เราก็เลยไม่เหงาแถมแอบเนียนๆ เดินตามกลุ่มทัวร์ไปด้วยเผื่อจะได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมจากไกด์ 555 แอบเห็นด้วยว่าเขาถือพัดกันมาทุกคนเลยอะ ไปเอามาจากไหนนะทำไมเราหาไม่เจอ

เราก็เดินตามกลุ่มทัวร์ไปเรื่อยๆ ตรงถึงจุดนึงเราเจอน้อง "ตัวเงินตัวทอง" ด้วย โอ้แมรรรร่ น่ากลัวสุดๆ แต่ตัวไม่ใหญ่เท่าไหร่ เราถ่ายรูปมันมาด้วยแต่ไม่ลงดีกว่า กลัวภาพมันติดตา หยึยยยยขนลุก ไม่แปลกใจว่าทำไมมันถึงมีอะนะ ก็ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์สะขนาดนี้อะ 

แล้วก็มานั่งพักถ่ายรูปเล่นหน้าห้องพิพิธภัณฑ์โขนระหว่างรอกลุ่มทัวร์ที่ดูโขนอยู่ข้างใน ความดีงามของห้องนี้คือมีแอร์จ้าาาา เย็นฉ่ำมากๆ อยากนั่งนานๆ แบบไม่ต้องไปไหนเลย 55555 

แล้วก็ตอนจะขึ้นเรือนไทยเขาจะไม่ให้เราใส่รองเท้าขึ้น แต่ขึ้นพอขึ้นมาที่ชั้น 2 จะเจอจุดที่มีถุงพลาสติกเอาไว้ใส่รองเท้า อันนี้ดีงามมาก ชอบๆ แล้วจะมีถังไว้ใส่ถุงพลาสติกตรงทางลงอีกที่นึงด้วย

และอีกเหมือนเดิมคือเราจะถ่ายภาพในห้องจัดแสดงไม่ได้เลย จะมีเจ้าหน้าที่คอยมองอยู่ตลอด และเข้มงวดมาก ดังนั้นรูปที่ได้ก็จะได้เท่านี้นะจ๊ะ

เราชอบทางเดินตรงนี้มาก ไม่รู้ว่าทางเดินตรงนี้มีมาตั้งแต่เมื่อก่อนหรือว่าเพิ่งมาสร้างเพิ่มตอนหลังนะ คือมันเป็นทางเชื่อมระหว่างห้องที่อยู่ชั้น 2 ทั้งหมดโดยที่เราไม่ต้องเดินขึ้นเดินลงไปที่ชั้น 1 เลย สุดยอดดด

พอเราเดินชมทั่วๆ ทั้งวังก็จะให้เวลาสักประมาณสองถึงสามชั่วโมงกว่าจะชมหมด มีของน่าตื่นตาตื่นใจหลายอย่าง แต่เสียดายถ่ายรูปมาไม่ได้ TT^TT แล้วเราก็กลับมาที่ห้องเดิมเพื่อมาเอากระเป๋าสัมภาระที่ฝากไว้ ตรงนั้นจะมีโปสการ์ดขายด้วยนะ มีให้เลือกหลายลายเลย ราคาก็ไม่แพงด้วย ถ้าจำไม่ผิดไม่น่าเกินยี่สิบบาทล่ะมั้ง 

ถ้าใครชอบเที่ยวแบบเราแนะนำให้มาเถอะ มาง่าย ถ่ายรูปสนุก แถมได้ความรู้ด้วย >//< และสามารถติดตามการเดินทางอื่นๆ ของเราได้ที่ เพจ "Try to Try ก็แค่ออกไปลอง" แล้วจะรู้ว่าการก้าวออกจาก Comfort zone ของตัวเองมันสนุกแค่ไหน

ขอบคุณที่ติดตามค่าาาา ❤
Try to Try ก็แค่ออกไปลอง

ความคิดเห็น