สวัสดีครับ นี้เป็นรีวิวท่องเที่ยวอันที่2ของเราเอง รอบที่แล้วเราไปเที่ยวเชียงรายแบบเดี่ยวๆลุยๆกันมาแล้ว ช่วงนี้หน้าร้อนเราก็หนีลงไปทะเลใต้กันเลยดีกว่า...

ขอเกริ่นนำเรื่องทริปนี้ดีกว่า เนื่องจากช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เราได้รับโทรศัพท์ซึ่งปลายทาง( พี่โจ เจ้าของที่พักภูริตา รีสอร์ทและบ้านเพียงพอ)อยู่หลีเป๊ะ บอกว่าให้เราได้ไปทริปดำน้ำ3วัน2คืนที่'หลีเป๊ะ'ฟรีๆเลย คือแบบ...นี่ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว! โดยที่ไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไหนไป? แล้วใครจะไปด้วย? แล้วจะไปยังไง? รู้อย่างเดียวคือ...จะไปให้ได้! และหลีเป๊ะอยู่จังหวัดสตูล 555+ แค่เริ่มทริปก็ฮาแล้ววววว

หลังจากนั้นเราเองก็เริ่มหลอกล่อเพื่อนให้มาเที่ยวด้วย ด้วยคำว่า"เฮ้ย! มันฟรีนะมุง" แล้วเราก็ได้ผู้ร่วมชะตากรรมกั บเราแล้ว 555 เราก็เริ่มศึกษาการเดินทางไปยังเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งถ้าจะเดินทางมาจากกรุงเทพ สามารถขึ้นเครื่องลงที่หาดใหญ่ หรือตรังก็ได้ โดยที่เครื่องต้องถึงสนามบินทั้งสองไม่เกิน9:30น. เพราะจะมีรถตู้โดยสารไปส่งที่ท่าเรือปากบารา จ.สตูล ทันเรือรอบแรกที่ไปเกาะได้ ซึ่งก็คือ11:30น. พอเราศึกษาเรื่องเส้นทางการเดินทางนู้นนี่นั่นเราจองทุกอย่างเสร็จสรรพ(เราเดินทางจากขอนแก่นและเลือกลงสนามบินตรังครับ) พร้อมออกเดินทางกันเลย....


Day0 วันที่27 เม.ย. 59 เวลา23.00น.

เราเริ่มออกเดินทางจากขอนแก่นไปยังกรุงเทพเพื่อไปยังสนามบิ นดอนเมือง ซึ่งเราเลือกเวลาให้ไปถึงที่กรุงเทพประมาณไม่เกินตี5 เพราะต้องขึ้นเครื่องไปที่ตรังไฟล์ทเวลา7.20น. การเดินทางลงใต้ครั้งที่2ของเราจะเริ่มแล้ววววว แถมสัญญากับตัวเองว่าทริปจะไม่มีการวิ่ง! เพราะเราวางแผนเวลาไว้หมดแล้ว ไม่มีพลาด! 5555 งั้นเราขอตัวไปนอนก่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางและเหนื่อยทั้งวันแน่ๆ...


พร้อมออกเดินทางแล้วววววว


Day1 วันที่28 เม.ย. 59 เวลา05.20น.

แล้วเราก็เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมือง โฮกกกก คนเยอะมากเลย

หลังจากนั้นเราก็ไปcheck-inแล้วก็loadกระเป๋า.. โดยเราเลือกเดินทางกับสายการบิ นนกแอร์ สายการบินของคน"นกนก" เอ้ย! ไม่ใช่แล้ว! สายการบินนกแอร์ ทุกเที่ยวบินมีรอยยิ้มมมมมม เอ๊ะยังไง! เข้าเรื่องๆ 555 โดยเราเลือกไฟล์ทออกจากดอนเมืองเวลา7.20น. และถึงตรังเวลา8:35น. แล้วเราติดต่อรถตู้โดยสารจากสนามบินไปยังท่าเรือปากบาราไว้เรียบร้อยแล้ว


แต่ก่อนจะเข้าเกทนั้นจะปัญหาอย่างนึงคือ กระเป๋าของเพื่อนเราไม่ผ่าน เขาว่ามีมีดพับ ห๊าาาาา??!!! แสกนไป2-3รอบก็ไม่ผ่าน รื้อแล้วรื้ออีกก็ไม่มีอะไรคื องง! เอาแล้วไงตรู จะไปถึงหลีเป๊ะม๊ายยยย แต่สุดท้ายแล้วเราก็เจอสาเหตุของปัญหาครั้งนี้ นั่นก็คือกล้อง"xiaomi"นั่นเอง มันเหมือนมีดพับตรงไหนฟร๊ะ? แต่ก็เข้าใจเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานว่าคงทำไปตามหน้าที่นั่นแหละ พอเราผ่านจุดนี้ไปแล้ว เราก็เดินไปรอที่เกทกันเลยดีกว่า....กิกิ

ระหว่างทางเดินเข้าเกทเราก็เจอพระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดีเลย ขอถ่ายรูปมาฝากซักรูปหน่อยแล้วกัน


เกทเราคือGate44

นั่งไปซักพัก...น้องนกที่จะพาเราไปสู่ดินแดนภาคใต้ก็มาแล้วววววว วู้ววววว

ระหว่างนั้นก็นั่งถ่ายรูปรอไปเรื่อยๆ

ถ่ายรูปก้อนเมฆบนเครื่องกรุบกริบๆ แต่กระจกความขุ่นมากกกก 555


เวลา8.30น.

เราก็เดินมาถึงสนามบินตรังกันแล้ววววว พอมาถึงเราก็โทรไปหาบริษัทรถตู้ที่จะพาเราไปยังท่าเรือปากบารา พร้อมบอกว่าเราพร้อมแล้ววววว กิกิ



เวลา9.00น.

รถตู้ที่เราติดต่อไว้ก็มารับเราที่สนามบิน แต่ยังต้องรอผู้โดยสารคนอื่นที่ เดินทางมากับแอร์เอเชีย ที่ถึงสนามบินตรังเวลาประมาณ9โมงครึ่ง ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เราใช้บริการของบริษัท KK travel&tour (เบอร์โทรติดต่อ 075-211198,086-4781507) ซึ่งจะมีรถตู้โดยสารไปส่งที่ท่าเรือ โดยจะไปรับผู้โดยสารในตัวเมืองก่อนค่อยออกมารับผู้โดยสารที่สนามบิน แล้วเขาก็ยังคอนเฟิร์มกับเราด้วยว่าจะต้องไปทันเรือรอบแรกแน่นอน!! แล้วเราก็จองตั๋วรถกลับจากปากบาราเพื่อกลับมาตรังด้วยเลย 5555

หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางไปยังท่าเรือปากบารากันเล้ยยย!! ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินประมาณ100กว่ากิโล ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน2ชั่วโมง ซึ่งระหว่างทางก็จะมีต้นยางเต็ มไปหมดเลย สวยมากกก แต่เราเพลียมากของีบซักพักแล้วกัน

เวลา11.00น.

เราเริ่มร้อนใจแล้ว เพราะยังไม่ถึงท่าเรือเลย จะทันเรือมั๊ยๆๆ อีกตั้ง20กิโล เราก็กลัวว่าจะไม่ทันเรือ เพราะต้องไปติดต่อกับบริษัทเรือที่พี่โจบอกว่าให้ถึงท่าเรือก่อน ถึงจะบอกว่าไปรับตั๋วเรือที่บริ ษัทไหน ซึ่งก็ลุ้นระทึกมากกก เราก็โทรไปหาพี่โจถึง2รอบว่า เราจะทันเรือรอบแรกแน่นอน ให้ติดต่อไปที่บริษัทไหน พี่โจก็ยังยืนยันว่าเราต้องไปเหยียบท่าเรอก่อน ค่อยโทรมาอีกที คือแบบ...ตรูจะทันม๊ายยยย

เวลา11.20น.

เราก็มาถึงท่าเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราก็รีบโทรไปหาพี่โจทันที พี่โจก็ตอบว่าเดี๋ยวให้พนั กงานรีสอร์ทโทรกลับมาแจ้งอีกที ซึ่งเราก็ลุ้นระทึกมาก จะทันมั๊ยๆๆ

สรุปแล้วได้ไปกับบริษัทอาดัง ซี ทัวร์ แอนด์ ทราเวล เราก็รีบตรงดิ่งไปพร้อมกับแจ้งชื่อเราไป แต่พนักงานหน้าบริษัทก็ทำหน้างงๆ บอกว่าไม่มีชื่อนี้ ซวยแล้วสิมุงงงง!! ก็เลยให้ติดต่อไปยังภูริตารีสอร์ทอีกที ค่อยได้ตั๋วมา ซึ่งได้เป็นเรือของบริษัทพลอยสยาม ซึ่งเราก็ได้ตั๋วขากลับมาด้วย

แล้วเราก็รีบวิ่งไปที่ท่าเรือโดยเร็ว แต่ต้องไปทำการcheck-inก่อนถึงจะลงไปเรือได้


พอเราไปcheck-inก็จะได้บัตรสีเหลืองๆมาเพื่อใช้ในตอนจะลงเรือ

แล้วจากนั้นเราก็วิ่งต่อเพราะกลัวเรือออกก่อน!! 555 สรุปแล้วเราก็ไปทันเรือ โดยเป็น2คนสุดท้ายที่ขึ้นเรือ! 5555 (ณ จุดๆนั้นเพื่อนคงบ่นในใจว่า "ไหนมุงบอกว่าทริปนี้เราจะไม่ได้วิ่งไง!!" 555)


***เวิ่นเว้อมานาน มาถึงช่วงให้ความรู้ดีกว่า คือเรือที่ไปหลีเป๊ะจะมี2แบบ คือแบบที่ไปเกาะหลีเป๊ะทันทีเลย ใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมงกว่าๆ กับแบบที่ไปเกาะตะรุเตา และเกาะไข่ก่อนไปที่หลีเป๊ะ ใช้เวลา2ชั่วโมงกว่าๆ***


ซึ่งแน่นอน! มาทั้งทีต้องคุ้ม! เราเลยเลือกแบบที่2! 555 โดยแต่ละเกาะเรือจะให้เราแวะถ่ายรูปประมาณเกาะละ15นาที เราจึงต้องรีบถ่ายๆรูปมาให้ได้ มากที่สุด! คือ15นาที ใครจะไปเที่ยวทันฟร๊ะ!! แค่หายใจก็หมดไปแล้ว5นาทีป่ะ?? 555

แล้วเราก็มาถึงที่เกาะแรก นั่นคือเกาะตะรุเตา ก่อนเข้าเกาะจะต้องเสียค่าเข้าอุทยานคนละ40บาท หลังจากนั้นเราก็ต้องรีบวิ่งไปถ่ายรูปตรงที่ไม่มีคนก่อนเลย เพราะสิ่งแรกที่ทุกคนไปถึงแล้วถ่ายรูปด้วยคือ...ป้าย!! เฮ้!! นี่เรามาทะเลนะ ก็ต้องถ่ายรูปทะเลกันสิทุกคน!! ใช่ม๊ายยยยย ขอเสียงหน่อยเร็ววววว!!

นั่งชิวๆริมทะเลหน่อยยยย


รูปรองถอดรองเท้าเดินทะเลต้องมา! 555

หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางไปยังเกาะไข่ หรือเรียกอีกอย่างนึงว่าเกาะไข่เต่า เพราะช่วงฤดูวางไข่จะมีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่เป็นจำนวนมาก เต็มชายหาดสีขาวเลย

เห็นอุโมงค์ให้รอดอยู่เล็กๆ


ชายหาดสีขาวละเอียดเชียว...

แล้วเราก็ถ่ายรูปบริเวณรอบเกาะเต่าไปเรื่อยๆ จนครบเวลา ลูกเรือก็จะบีบแตรเรียกเราขึ้นเรือ



เวลา13.40น.

เห๊ยยยยย เห็นเกาะหลีเป๊ะอยู่ไกลๆ เราจะถึงจุดมุ่งหมายของเราแล้วววว


และแล้วเราก็มาถึงที่โป๊ะกลางทะเลของเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งเราต้องต่อเรือหางยาวไปยังที่เกาะอีก เพราะเขาไม่ให้สร้างท่าเรือถาวรที่เกาะหลีะเป๊ะ ซึ่งเราก็เสียค่าเรือหางยาวคนละ50บาท เพื่อขึ้นไปยังเกาะ




ซึ่งที่เราไปนั้น จะเป็นหาดพัทยา ซึ่งหาดนี้จะมีwalking streetด้วย


แล้วเราก็โทรบอกพี่โจ ว่าเราถึงแล้วนะ จะให้ไปยังที่พักยังไง พี่โจก็เลยบอกมาว่า"จะให้พี่ผู้ชายเสื้อม่วงๆ หมวกดำมารอรับที่หน้าป้ายwalking street" เมื่อเราขึ้นเกาะ เราก็เจอพี่คนนั้นอยู่ที่หน้ าwalking streetเลย แล้วก็มาพาหนะเป็นรถพ่วงข้างพาเราไปยังที่พักซึ่งอยู่บริเวณหาดซันเซ็ท


นี่คือพาหนะในการเดินทางของเรา

แล้วเราก็ออกเดินทางกันเล้ยยยยย


พอไปถึงที่ภูริตารีสอร์ท พี่โจก็เลี้ยงต้อนรับเราด้วยอาหารกลางวัน ซึ่งเป็นเมนูอาหารธรรมดาๆง่ายๆ แต่บรรยากาศฟินสุด! อยู่ริมทะเล ชีวิตดี๊ดีอ่ะ!



บรรยากาศริมทะเลสบายๆเบาๆ

ข้าวมื้อแรกบนเกาะหลีเป๊ะเลย...

ระหว่างกินข้าวเที่ยง(ตอนบ่าย2) นั้น พี่โจก็เล่าข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับหลีเป๊ะให้ฟัง ซึ่งเราก็จำไม่ค่อยได้ (ไปถามอากู๋เอาแล้วกันนะ! 555) แล้วก็พูดถึงที่มาที่ไปว่าทำไมถึงให้เรามาพักฟรีๆ พร้อมทริปดำน้ำ อาหาร5มื้อ และค่าเรือมายังเกาะ(ซึ่งแพงมากๆๆ) ก็คือ พี่โจแกเพิ่งสร้างโฮสต์เทลที่ชื่อว่าบ้านเพียงพอขึ้นมา เพราะคนมักจะคิดว่าที่พักในหลีเป๊ะมันแพงมาก แต่มันก็มีโฮสต์เทลที่ราคาน่ารักๆ ใครๆก็มาพักได้อยู่ และต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการพักโฮสต์เทลให้คนไทยได้รู้ด้วย เพราะส่วนต้องยอมรับเลยว่าคนไทยบางส่วนอาจจะไม่ชอบกับการต้องนอนรวมกัน และกับการต้องใช้ห้องน้ำร่วมกันประมาณนี้ นู้นนี่นั่น...หลังจากเรากินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว เราก็นั่งเล่นไปซักพัก ก็เดินทางไปเช็คอิน ซึ่งเราไปพักที่บ้านเพียงพอครับ เป็นโฮสต์เทลที่อยู่ใกล้ๆกับภูริตารีสอร์ทเลย

เวลา15:00น. เราก็มาถึงที่พัก"บ้านเพียงพอ" ของเราแล้ว... เป็นโฮสต์เทลเล็กๆ มีประมาณ20กว่าห้อง ซึ่งปกติโฮสต์เทลที่เรารู้จักคือนอนรวมๆกันเป็นDorm8-12คนใช่ป่าว? แต่ที่นี่เป็นห้องๆ ห้องละ2คนเท่านั้นเอง แล้วก็มีห้องน้ำรวมซึ่งแยกชาย-หญิงชัดเจนเลย แล้วก็มีพื้นที่ส่วนกลางให้ไปนอนดูทีวี มีกาแฟ-โอวัลติน แล้วก็ขนมบริการตลอด24ชั่วโมงเลย จะเดินไปกินตอนไหนก็ได้ 555 หลังจากเราเข้าที่พักก็จัดของเข้าห้องไว้เรียบร้อย ก็ไปนั่งเล่น+ถ่ายรูปรอบๆบ้านเพียงพอกันดีกว่า...

ป้ายข้างหน้าทางเข้าก็น่ารักเก๋ไปอีกแบบ

พอเดินเข้าไปด้านในก็จะพบว่ามีบ้านหลังเล็กๆเรียงกันหลายๆหลังเลย

ส่วนเรานั้นได้พักบ้านหลัง"F"

ภายในห้องพักก็จะมีที่นอน2ที่ มีปลั๊กไฟ และพัดลม1ตัวเท่านั้น....(ซึ่งอากาศวันแรกแอบร้อน รู้สึกว่าพัดลมตัวเดียวมันไม่พอออ 555) ซึ่งเราว่าใครที่ไม่ใช่คนขี้ร้อน หรือไม่ได้ต้องการความสะดวกมากมาย บ้านเพียงพอก็น่าจะเป็นอีกตัวเลือกนึงในการมาพักผ่อนที่เกาะหลีเป๊ะได้เลยแหละ

บริเวณส่วนกลางของที่พักมีบริการขนม และเครื่องดื่มตลอด แล้วก็ยังมีมุมพักผ่อนอีกด้วยนาจาาา


ไปสำรวจดูห้องน้ำกันดีกว่า....หน้าห้องน้ำผู้หญิง ซึ่งเราเข้าไปไม่ได้ และห้องน้ำผู้ชายจะเดินไปทางซ้ายมือ

ต่อไปก็มาที่ห้องน้ำผู้ชายบ้าง

บริเวณห้องอาบน้ำและห้องส้วมแยกกันชัดเจน


และรูปภายในห้องอาบน้ำ ซึ่งที่นี่น้ำไหลแรงมาก อาบทีสะใจมาก!! และน้ำไม่กร่อยด้วยแหละ เพราะปกติที่เราไปพักรีสอร์ทที่ทะเลทีไรน้ำมักจะกร่อยๆตลอดเลย

ของีบแปป....


เวลา16.00น.

เราก็ติดต่อรถพ่วงข้างเพื่อขึ้นไปภูริตารีสอร์ท กะว่าจะไปพายเรือคายัคแล้วก็ ดำน้ำดูปะการังซะหน่อย แต่พอไปถึง....เจ้าหน้าที่รีสอร์ทก็บอกว่า"น้ำลงแล้วครับ พายเรือไม่ได้" เศร้า....แง๊!!! แล้วเราจะทำไรกันดีแก?? คิดไม่ออกเลย...แดดก็ร้อนแรงระดับออกไปคือกลายเป็นเถ้าถ่านได้เลย โน่ววววว งั้นเปลี่ยนแผน! นอนเล่นแม่มริมทะเลนี่แหละ! มีเปลให้นอนเยอะแยะมากมายเลยที่หน้ารีสอร์ท แล้วเราก็นอนไปเรื่อยๆ กะว่ารอแดดร่มๆก่อนจะมาถ่ายรูปริมทะเล...ซึ่งเพื่อนของเราหลับจริงจังมาก! 555 ส่วนเราก็เดินริมทะเลหวังว่าจะถ่ายทะเลไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจอสัตว์ทะเลให้ได้ถ่ายรูปบ้าง....


โอ้ทะเลแสนงาม... แสนง๊าม แสนงาม....


บริเวณหาดหน้ารีสอร์ท


พอเดินไปเรื่อยๆ แล้วเราก็เจอเหยื่อรายแรกของเรา คือปูทะเล! โดยกว่าจะถ่ายได้นั้นต้องปีนโขดหิน อ้อมลงทะเล แล้วค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆมันอย่างช้าๆ และเงียบๆ ใช้ความพยายามหนักมากกกก กว่าจะได้รูปนี้ออกมา 555


ต่อมาก็รูปนก...นกอีกแล้ว!! คือไรเนี๊ยยย แล้วถามว่านกอะไรหรอ? ไม่รู้ ตอนแรกมองไกลๆมันนิ่งมาก คิดว่าเป็นรูปปั้น แต่พอเข้าไปใกล้ๆมันบินหนี ไปเลยทันที ไปแล้วไปลับไม่กลับมา เลยได้รูปเท่านี้


เวลา17:30น.

เห๊ยยยย แดดเริ่มร่มลงแล้ว เราก็เลยไปปลุกเพื่อนไปถ่ายรูปเล่นริมทะเลดีกว่า แล้วก็รอดูพระอาทิตย์ตกดินด้วย เพราะหาดที่เราอยู่คือหาดซันเซ็ท ซึ่งหมายถึงพระอาทิตย์ตก (จะแปลทำไม? 5555)


ซึ่งระหว่างการถ่ายรูปริมหาดอยู ่นั้น...ก๊มีน้องหมา3ตัว วิ่งมาจากไหนไม่รู้ เห่าพวกเรามาแต่ไกล แถมวิ่งตรงมาทางที่พวกเรา ถามว่าตอนนั้นคิดอะไรออกมั๊ย?? คือไม่!! นี่ก็เลยรีบวิ่งลงทะเลไปทันทีเอาให้ไกลที่สุดโดยไม่คิดชีวิต! 555 ซึ่งน้องหมาเหล่านั้นก็ไม่ตามมา แต่ยืนเฝ้าเราอยู่ที่ชายหาด จนเวลาผ่านไปประมาณ10นาที มันเดินกลับหายไป ซึ่งเรากับเพื่อนก็เออ...มุง! เราจะกลับกันยังไงดี คือเรายืนอยู่ตรงโขดหินซึ่งมันลื่นมากๆ กว่าจะเดินกลับมาหาดก็ทุลักทุเลมาก! ทั้งลื่นหิน! มือก็ถือกล้อง จะตกน้ำไม่ได้! 555 นั่นเป็นจุดเริ่มต้นสงครามกับน้องหมาบนเกาะแห่งนี้! (พูดแบบนี้ แสดงว่าไม่ได้มีแค่ครั้งเดียวใช่มั๊ย? ตอบเลยว่าใช่! 5555) หลังจากนั้นเราก็เริ่มถ่ายรูปต่อ แล้วก็ระแวงหลังไปด้วย! แต่ถ่ายไปถ่ายมาแบตกล้องก็หมด แล้วก็ตามมาด้วยแบตโทรศัพท์มือถือ เชี่ยมมมม!! เอาไงดีว่ะ? ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาถ่ายหลังจากดำน้ำก็ได้ ดื่มด่ำบรรยากาศไปก่อนแล้วกัน ซึ่งเราก็ไปนั่งตรงระเบียงร้านอาหารที่อยู่หน้าหาด เพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็กินข้าวเย็น

แต่พอถึงช่วงพระอาทิตย์จะตกดิน คือมันสวยมากกก ก็เลยลองเปิดกล้องขึ้นมา....เห๊ยยยยย มันพอถ่ายได้1-2รูป เลยได้เก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินมาให้ได้ชมกัน....



ซึ่งระหว่างนั้นเราก็เห็นเจ้าหน้าที ่รีสอร์ทไปจัดเตรียมพื้นที่บริเวณริมชายหาด ซึ่งดูโรแมนติกมากกกก เราก็แบบดูว่าใครกันน้าา จะได้ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินริมชายหาดขนาดั้น ซึ่งต่อมาเข้าหน้าที่รีสอร์ทก็เดินมาเรียกเราไปนั่งตรงนั้น คือแบบเห๊ยยยย มันดีมากเลย บรรยากาศดีมาก ซึ่งเราก็ได้นั่งกินข้าวเย็นไป ดูพระอาทิตย์ตกดินไป คือแบบฟินสุดๆอ่าาาา ถ้ามากับแฟนนะ หืม!!! มันจะดีมากๆเลยแหละ!!!

ส่วนนี่ก็เป็นข้าวมื้อเย็นของเรา...


แถมก็มีนักท่องเที่ยวอีก2คน ซึ่งน่าจะเป็นคู่รักกัน มานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินข้างๆเรา ทำให้อิจฉาตาร้อนขึ้นไปอี๊กกกก!!


พอหลังจากเรากินข้าวเสร็จ ก็ให้รถไปส่งที่บ้านเพียงพอ เราก็ไปอาบน้ำ นอนพักแปป เพื่อเตรียมตัวไปเดินwalking streetต่อในตอนกลางคืน ซึ่งถนนทุกเส้นไม่ว่าจะไปรีสอร์ทไหน ก็จะตรงไปยังwalking streetหมดทุกเส้นเลย

walking streetก็มีจะสินค้าเยอะแยะมากมาย มีทั้งของกินและของใช้ เช่นร้านขายของที่ระลึก ร้านขายยา ร้านอาหาร บาร์นั่งชิว ฯลฯ เราก็ได้เก็บบรรยากาศมาให้ได้ชมกัน...

อาหารทะเลสดๆเลย... แต่เราเพิ่งกินข้าวมา คงกินอีกไม่ไหว แถมมันเป็นแบบบุฟเฟต์คนละ490บาท




มีการโชว์ควงกระบองไฟอยู่ริมหาดพัทยาด้วย


หลังจากเดินไปซักพักก็เริ่มหิว ก็เลยจะซื้อของกินเล่นเบาๆ นั่นก็คือ"โรตี" (โรตีคือของกินเล่นเบาๆ?) ซึ่งร้านโรตีก็มีหลายร้าน เราเลยตัดสินใจเลือกร้านยู้ฮู ซึ่งมีคุณยายนั่งหน้าร้านคอยเรียกลูกค้า โดยจะพูดคำว่า"ยู้ฮูๆๆ" ตลอดทุกครั้งที่มีลูกค้าเดินผ่านหน้าร้าน ซึ่งคุณยายน่ารักมากกก เราเลยเลือกร้านนี้ซะเลย 555

โรตีบานาน่า-นูเทลล่า อร่อยๆ

แล้วก็ต่อด้วยไอศครีมโฮมเมด ซึ่งถ้วยละ 100 บาท ตู้วหูววววว เอาว่ะกินก็กิน! แต่มันก็อร่อยจริงๆนั่นแหละ 5555

พอเราเดินเล่นwalking streetเสร็จ ก็เดินกลับที่พัก เพราะไม่กล้าโทรเรียกรถมารับ แอบเกรงใจพี่คนขับรถของรีสอร์ท ระหว่างทางเดินนั้น เราก็เปิดสงครามรอบ2กับน้องหมา คือขณะที่เราเดินกลับที่พักอยู่ นั้น ก็มีน้องหมาวิ่งออกมาจากมุมมืดพร้อมกับส่งเสียงเห่า วิ่งตรงมาทางเรา นี่ก็วิ่งเข้าบาร์ที่อยู่ใกล้ๆเพื่อขอความช่วยเหลือ....แต่ฝรั่งในบาร์กลับบอกว่า"It's friendly!" แล้วฝรั่งก็เดินเข้าไปเล่นกับน้องหมา แล้วน้องหมาก็กระดิกหางเล่นกับฝรั่ง แล้วที่วิ่งไล่ตรูเมื่อกี้คืออะไร??? ==' หลังจากที่ฝรั่งหลอกล่อความสนใจของอิน้องหมาตัวนั้น เราก็รีบเดินออกมาจากบาร์แล้วกลับที่พักทันที! ซึ่งตอนเดินก็ระแวงหลังมาก! 5555 พอถึงที่พักก็อาบน้ำนอนพักผ่อนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้มีทริปดำน้ำทั้งวันเลย สำหรับวันนี้...ฝันดี ราตรีสวัสดิ์....


Day2 วันที่29 เม.ย. 59 เวลา7.00น.

นาฬิกาปลุกก็ปลุกเราขึ้นมา เพื่ออาบน้ำและเตรียมตัว(ต้องเตรียมsun block, alovelar, after sun ให้พร้อม!) ไปทริปดำน้ำ! เย้ๆๆ ซึ่งพี่โจนัดเราตอน9โมงเช้า อยู่ที่ชายหาดหน้ารีสอร์ท โดยเรากะว่า8โมงกว่าๆ จะขึ้นไปที่ภูริตาเพื่อไปกินข้าวเช้า ซึ่งจะมีเป็นข้าวต้ม+ผลไม้เสิร์ ฟพร้อมกับกาแฟ/โอวัลติน พอกินข้าวเช้าเรียบร้อยเรา เราก็ลงไปที่ชายหาด ก็พบกับพี่นาเป็นเจ้าหน้าที่อยู่รีสอร์ท พี่อาบังเป็นคนขับเรือที่จะพาเราไปดำน้ำ และพบกับพี่แอนและพี่เมย่าซึ่งเป็นผู้โชคดีเหมือนกับพวกเรา2คนที่ได้มาทริปดำน้ำที่หลีเป๊ะฟรีเช่นกัน! เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว...เราก็เริ่มออกทริปกันเลย!!


จะออกไปแตะขอบฟ้า...5555


โดยที่แรกที่เราแวะคือเกาะหินงาม ซึ่งอาบังจะให้มาถ่ายรูปที่ เกาะก่อนสภาพจะเปียก! 5555 เกาะนี้หินก็สวยตามชื่อเกาะเลย เป็นหินทั้งเกาะเลยนาจา...ซึ่งหินก็ลื่นๆด้วย ต้องใส่รองเท้าเดินแล้วก็เดินระวังๆด้วย





พอเราถ่ายรูปกันเสร็จก็จะไปดำน้ำที่แรกกันเลย คือที่หลังเกาะหินงาม ซึ่งที่เราแวะที่แรก เขาเรียกว่าหน้าเกาะหินงาม พอเรือไปจอดปุ๊ป! เราก็โดดลงน้ำปั๊ป! พร้อมกับเอากล้องไปถ่ายใต้น้ำด้วย



ซึ่งเราใช้เวลาตรงนี้ เยอะพอสมควร เล่นเอาซะหมดแรงเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะดำน้ำไปไกลมากกก เพราะเรือเราจอดลำสุดท้าย พอดำไปซักพักเงยหน้าขึ้นมา ก็ใกล้ๆเรือนี่หว่า... แต่หารู้ไม่ ว่ามันมีเรือมาจอดถัดมาเรื่อยๆ จนรู้ตัวอีกทีคืออยู่ไกลจากเรือมากกกก 555 กว่าจะกลับถึงเรือได้ เอาซะหอบเลย 555


หลังจากนั้นเราก็ออกมาดำน้ำที่ ร่องน้ำจาบัง ซึ่งเป็นที่อยู่ของปะการัง7สี โดยเราต้องว่ายน้ำไปอีกประมาณ100เมตร ซึ่งเราก็ว่ายไปเรื่อยๆประมาณ10นาที เงยหน้าขึ้นมา...อ้าวววว ทำไมอยู่ที่เดิมฟร๊ะ??!!! คือกระแสน้ำไหลพัดมาตลอดเวลาเลย แถมแรงด้วย แล้วแรงของเราก็เริ่มหมดเลยไม่ไปไหนซักที....555 อาบังคงเห็นสภาพแล้วสงสาร เลยต้องลงน้ำมาลากเราไปบริเวณที่มีปะการัง7สี เราถึงเห็นปะการัง7สีซะที คือหูยยยย สวยอ่าาาา นับได้เกิน7สีอี๊กกกก 555 หลังจากชื่นชมปะการังซักพัก ก็กลับขึ้นเรือ...



เพิ่งดำน้ำผ่านไป2ที่ ก็หมดแรงซะแล้วววว 5555 พี่นาก็บอกว่ายังเหลืออีกตั้ง3- 4ที่แหนะ ไปให้ครบๆ งืออออ TT เยา(หมายถึงเหนื่อย)และหมดแรงแล้ว...

หลังจากไปร่องน้ำจาบัง ต่อไปเราก็ไปว่ายน้ำที่เกาะหินขาว ซึ่งพี่โจบอกว่ากำลังจะเปิดเป็ นแหล่งน้ำดำแห่งใหม่ซึ่งบริเวณนี้มีทั้งปะการัง และกัลปังหา แต่ต้องดำน้ำไปอีกฝั่งของเกาะ เราก็กะว่า..เอ่อ! ไหนๆก็มาแล้ว ถ้าไม่ไปดูหน่อยก็จะเสียดาย

อาบังพยายามจะชี้ให้ดูตรงนั้นนะๆ

ก็เลยลงแล้วพยายามว่ายน้ำอ้อมเกาะไปอีกฝั่ง แต่ลงไปได้แค่10นาที ก็แสบๆคันๆไปทั้งตัวเลย!! ซึ่งทนไม่ไหวเลยขึ้นมาจากน้ำทั นที! 5555 มารู้ทีหลังจากพี่นาและอาบังว่าเป็นแตนทะเล ซึ่งก่อนลงน้ำต้องทาน้ำมันมะพร้าวก่อนลงจะช่วยป้องกันได้ เราก็เห้อ....ไม่เป็นไรๆ จะต้องมีโอกาสหน้าแล้วจะต้องไม่พลาดอีก!! 555

หลังจากเราดำน้ำที่เกาะหินขาวเสร็จ ก็แวะพักกินข้าวอยู่ที่เกาะอาดั ง ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่มากๆ แล้วมีป่าต้นสนซึ่งเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวมาตั้งแคมป์ปิ้งกัน แล้วก็มีสำนักงานอุทยานอยู่ที่นั่นด้วย ซึ่งพี่นาก็ได้เตรียมข้างกล่องมาตากรีสอร์ทเพื่อให้แวะกินข้าว+พักผ่อนที่เกาะอาดังกันประมาณ1ชั่วโมง



ชายหาดที่มีทรายสีดำก็ สวยแปลกตาดีนะ


เดินไปเดินมาเจอเสฉวนด้วย ตัวเล็กๆน่ารักมากกกก


หลังจากที่เราแวะพักกินข้าวก็ ออกเดินทางไปสถานที่ดำน้ำต่อไปคือเกาะตาบัง ซึ่งบริเวณนี้มีปะการังสีน้ำเงิน มีปลาดาว แล้วก็ปลาหลากหลายชนิดเลย...อย่าถาม เพราะนี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน... 5555 ตรงจุดนี้ไม่ได้รูปมาฝากเลยเพราะรูปที่ออกมามืดๆ ไม่ค่อยสวย

หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางไปยังเกากระ ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆใกล้ๆกับหาดซั นไรส์ เกาะหลีเป๊ะ ซึ่งสามารถพายเรือคายัคจากเกาะหลีเป๊ะมีที่เกาะนี้ได้ ไม่ไกลกันมาก มีชายหาดเล็กๆให้ได้พักผ่อน มีปะการังน้ำตื้นให้ดำดูได้ืแล้วก็มีปลาเยอะมากๆเลย ซึ่งแน่นอน! เราก็ลงดำน้ำอีกเหมือนกัน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียดายตามมา แต่เราก็ดำน้ำขึ้นฝั่งแล้วก็ไปนอนที่ชายหาดของเกาะ 555 ซึ่งเพื่อนและพี่ๆนั้นได้เกาะห่วงยางของอาบังไปดำน้ำดูปะการังอีกฝั่งนึง....คืออะไร?? ทำไมไม่บอกแต่แรกว่าจะให้เกาะห่วงยางพาไปดำน้ำ โถ่วววว อาบังงงง 555



หลังจากดำน้ำเสร็จเราก็กลับถึงฝั่งเวลาประมาณบ่าย3 ก็ต้องขอตัวกลับไปนอนเก็บแรงก่อนซักพัก ตอนเย็นๆค่อยมาถ่ายรูปใหม่อี กรอบ แล้วก็ดูพระอาทิตย์ตกดินใหม่อีกรอบ เพราะรอบที่แล้วกล้องแบตหมด เลยได้ภาพไม่ค่อยสวยเท่าไร...

เวลา16.30น.

เราก็ตื่นแล้วก็แต่งตัวพร้อมออกไปถ่ายรูปที่หาดซันเซ็ตอี กรอบ แล้วก็รอดูพระอาทิตย์ตกดินด้วย ซึ่งรอบนี้เราได้น้องหมาของรีสอร์ทไปเป็นลูกสมุนเพื่อป้องกันน้องหมาจากที่ไหนไม่รู้ที่เจอเมื่อวาน ซึ่งช่วงนี้ไปทำความรู้จักกับน้องหมาของทางรีสอร์ทกันเลย...

ตัวแรก"น้องเฮงเฮง" สุนัขพันธุ์ไทยสีน้ำตาลล้วน ไม่มีปลอกคอ 555

ตัวที่สอง"น้องลัคกี้"สุนัขพันธุ์ไทยสีน้ำตาลล้วน มีปลอกคอสีเขียว(ที่จริงมีอีก1ตัวที่สีน้ำตาลเหมือนกัน แต่ปลอกคอสีแดง ชื่อ"น้องมารวย" ไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย)

ซึ่งน้องหมาของทางรีสอร์ทนั้นเฟรนด์ลี่มากกกก วิ่งขึ้นไปรับเราตั้งแต่หน้ารีสอร์ท มาส่งเราที่หาดด้วย 5555 แล้วเราก็ถ่ายรูปอยู่ชายหาดไปเรื่อยๆ

วิ่งริมทะเลกัน...


ถ่ายรูปยืนบนโขดหินซักหน่อย กว่าจะปีนขึ้นได้ก็แลกกับบาดแผลมาเยอะเหมือนกัน... 555



พอถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน นี่ก็ใจจดใจจ่อ เตรียมกล้องขึ้นมาถ่ายรูปแล้ว แต่...มีเมฆมาบังจ้าาาาา อดเลย... TT

แล้วหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่รีสอร์ทก็เลยเอาเมนูอาหารมาให้ เราเลือกสำหรับข้าวมื้อเย็น แล้วอยากนั่งกินริมหาดอีกรอบ เจ้าหน้าที่ก็ได้มาตะเตรียมสถานที่ แล้วเราก็ได้กินข้าวริมชายหาดอีกรอบ แต่วันนี้มืดเร็วไปหน่อย เห้อ....เสียใจง่ะ รอบนี้กล้องอุตส่าห์มีแบต! 555

หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็ วางแผนว่าจะไปนอนพัก เพราะวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันเลย แล้วพรุ่งนี้เช้าก็อบากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หาดซันไรส์ด้วยกลัวตื่นไม่ไหว แต่เพื่อนของเราดั้นอยากกินโรตีอีกรอบ! 555 งั้นรอบนี้เปลี่ยนร้านแล้วกัน แล้วเราก็ต้องไปซื้อปลาสเตอร์มาติดแผลอยู่เท้าด้วย ซนไปหน่อย ได้แผลมาเต็มเลย 5555

เราก็เดินทางออกจากรีสอร์ทโดยยื มรถจักรยานของรีสอร์ท(ที่จริงมีให้ยืมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่เราสองคนขี้เกียจปั่น เลยไม่ได้ยืม! 5555) เราก็ปั่นจักรยานไปตามเส้นทางเพื่อไปยังwalking streetอีกรอบ เพื่อไปกินโรตี ซื้อปลาสเตอร์ติดแผลและซื้อของฝากก่อนจะกลับในเช้าวันรุ่งขึ้นแล้วววว แล้วเราก็เลือกร้านโรตีร้านนี้ เป็นร้านโรตีที่เห็นคนยืนรอเยอะมากกก แสดงว่าน่าจะเด็ดจริง ก็ต้องจัดหน่อยดีกว่า!!


โรตีที่เราเลือกวันนี้คือโรตีไข่ธรรมดาๆแต่ก็อร่อยดี

แต่ลืมไปว่าเราไม่ได้เอาเงินติดตัวมาเลย แล้วเพื่อนก็มีเงินทั้งสิ้น200บาทขาดตัว! ซวยแล้ววววว จะเอาเงินไหนไปซื้อของฝากเนี๊ ยยยย 5555 งั้นซื้อเท่าเงินที่มีก็แล้วกัน! 5555 พอกินโรตีซื้อของฝากเสร็จ เราก็ปั่นจักรยานกลับที่พัก โดยไม่มีน้องหมาบนเกาะเป็นที่กวนใจ... 5555

ขอบคุณผู้สนับสนุนในการดำน้ำและปีนโขดหินในวันนี้ด้วย.... 555

พอถึงที่พักเราก็นอนสลบไปเลย ด้วยความเหนื่อยเพลียจากทริปดำน้ำทั้งวัน สำหรับวันนี้นอนหลับฝันดี..... zzz


Day3 30เม.ย.59 เวลา03.00น.

ขณะที่กำลังนอนหลับอย่างแซ่บอย่างนัว(หมายถึง นอนหลับอย่างมีความสุข) ก็เกิดพายุ+ฟ้าร้อง+ฝนตก ปลุกเราให้ตื่นขึ้นมา แล้วคิดในใจว่าซวยแล้ววววว นี่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้านะเว้ย! นี่จะไม่ได้ดูหรอ?? ไม่นะ!!! นี่วันสุดท้ายจองเราแล้วนะ!!! แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือถ้าฝนตกหนักๆแบบนี้...เราจะกลับขึ้นฝั่งยังไง ไฟล์ทบินก็ต้องเลื่อนมั๊ย แล้วแพลนต่างๆนาๆพังแน่ๆเลย ม่ายยยยยย!!! TT แต่พอถึงตอนตี5 ฝนก็หยุดตก... คือแบบ..เห๊ยยย ดีอ่ะ! ขึ้นฝั่งได้แล้วววว แต่เรื่องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นนั้น เราไม่ละความพยายาม! ยังไงก็ไปดูก่อนไม่ว่าท้องฟ้าจะเปิดหรือไม่เปิดก็ตาม! เดี๋ยวจะมาเสียดายทีหลัง!

เวลา05:40น.

เราก็ออกเดินทางจากที่พักเพื่อไปที่หาดซันไรส์ ด้วยวิธีการปั่นจักรยานจากที่พักไปยังชายหาด โดยปั่นผ่านหมู่บ้านชาวเล แล้วก็ปั่นเพื่อไปยังหน้าโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง ซึ่งจะมีป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ เราก็ไปถึงยังชายหาดซันไรส์ตอนตี5.50น. ซึ่งตอนนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นแต่ฟ้าก็เริ่มเปิดบ้างเล็กน้อย เราก็เลยตัดสินใจรอดูพระอาทิตย์ขึ้นต่อ


เวลาประมาณ06.20น.พระอาทิตย์ก็ เริ่มขึ้นมาสวัสดีทักทายเรา แต่แอบมีเมฆบังเล็กน้อย แต่ถือว่าสวยพอสมควรเลยแหละ ถ้าไม่มีเมฆบังนะ จะสวยมากๆเลยแหละ!



หลังจากนั้นเราก็กลับที่พักอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็เก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับขึ้นฝั่ง โดยเราต้องไปให้ทันเรือรอบ9. 30น. เพราะจะได้ทันรถตู้ไปตรังซึ่งมีรอบเดียวคือ11.30น. พอเก็บของเสร็จ เราก็ให้ปั่นจักรยานขึ้นไปที่ภูริตา เพื่อกินข้าวเช้าและเช็คเอ้าท์จากโรงแรม

หลังจากกินข้าวเสร็จก็ให้เจ้าหน้าที่รีสอร์ทขับรถพ่วงข้ างไปส่งเราที่หาดพัทยาเพื่อขึ้นเรือหางยาวไปยังโป๊ะกลางทะเล แล้วต่อเรือสปีดโบ๊ทกลับขึ้นฝั่งที่ท่าเรือปากบารา ระหว่างทางที่ไปยังหาดพัทยานั้น ก็มีน้องหมากลุ่มหนึ่งนอนอยู่หน้าเซเว่นเฉยๆ นักท่องเที่ยวคนอื่นเดินผ่านไปผ่านมานางก็นอนอยู่เฉยๆ แต่พอรถเราขี่ผ่านน้องหมากลุ่มนั้น... มันก็พร้อมใจกันลุกขึ้นเห่า แล้วก็วิ่งไล่รถเรามาส่งเราที่ชายหาดเลยก็ว่าได้!! คือนี่เราเป็นอะไรกับหมาบนเกาะนี้ว่ะเนี๊ยยยยย 5555 (ปิดตำนานสงครามกับน้องหมาก่อนกลับบ้านเลย)

พอเราไปถึงก็เจอนักท่องเที่ยวเยอะแยะมากมายมารอขึ้นเรื อหางยาวเพื่อขึ้นไปที่โป๊ะกลางทะเล ซึ่งต้องเสียค่าเรืออีกคนละ50บาทเช่นกัน(ไม่ได้รวมอยู่ในค่าเรือมาหลีเป๊ะนะ) และรอบเรือที่จะออกมาจากหลีเป๊ะมี2รอบคือ 9.30น. และ11.30น.

บ๊ายบายหลีเป๊ะ....

ครอบครัวนี้น่ารักมากๆ

เวลา10.45น.เราก็กลับมาถึงฝั่งอย่างปลอดภัย ซึ่งระหว่างขึ้นเรือนั้น..เราก็ หลับเป็นตายตลอดเลย 555 พอถึงท่าเรือเราก็โทรไปหาบริษัทรถตู้ที่ตรัง เพื่อจะบอกว่าเราถึงฝั่งแล้วนะ จะให้ขึ้นรถที่ไหน แล้วเขาก็ส่งเข้าหน้าที่พาเราไปยังรถตู้ ซึ่งรถตู้นั่นเต็มไปด้วยฝรั่งที่จะไปยังเกาะลันตาบ้าง ไปยังสุราษฎร์ธานีบ้าง แล้วกระเป๋าของแต่ละคนมีแต่บิ๊กๆทั้งนั้น คนขับรถก็ยัดๆมาจนเรามีพื้นที่นั่งได้เพียงแค่นั่ง ขยับตัวไม่ได้เลย แต่ถามว่าแคร์มั๊ย?? เราก็ไม่!! เพราะขึ้นรถปุ๊ปเราก็หลับปั๊ปเลย ตื่นอีกทีก็เกือบจะถึงตรังแล้ว ซึ่งเราไม่ลงที่สนามบิน เพราะไฟล์ทบินเราออกจากตรังเวลา18.05น. ก็เป็นของสายการบินของนกแอร์อีกเช่นกัน...

แน่นไปทุกอณู...


เวลา13.00น. เราก็เดินทางมาถึงตรังเรียบร้อยแล้ว โดยคนขับรถตู้มาส่งเราไว้ที่หน้าสถานีรถไฟตรัง ซึ่งบริเวณนี้จะมีบริษัททัวร์ เยอะแยะมากมาย เราเลยเลือกบริษัทที่อยู่บริเวณรถตู้จอดส่งเรา เพื่อเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับเล่นรอบๆเมืองตรังเพื่อรอเวลาขึ้นเครื่องบิน ซึ่งเราก็ได้สอบถามจากเพื่อนที่มาอยู่ตรัง2สัปดาห์ว่ามีที่ไหนแนะนำบ้าง?(ซึ่งน่าจะรู้จักตรังว่าดี แต่คือได้คำตอบคือ...ต้องไปร้าน3rd placeเลย!! มันดีมาก!! เราก็ปีกหมุดไว้ ส่วนร้านอื่นก็ไปถามคนแถวนั้นแล้วกัน...คืออะไร??? โอ๊ยยย 555) แต่บอกก่อนเลยว่าร้านหมูย่างเมืองตรังนั้นปิดตั้งแต่11.00น. เพราะฉะนั้นหมดสิทธิ์ ส่วนร้านติ่มซำนั้นก็ปิดตั้งแต่เช้างั้นก็อด คงเหลือแต่ร้านข้าวสินะ...5555 ดังนั้นเราก็เลยวางทริปไว้ว่าจะไปโบสถ์คริสตจักรตรัง->ศาลเจ้าท่ามก๋งเยี่ย->อนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี->แวะซื้อของฝากแล้วก็กินข้าวที่ร้านริชชี่->นั่งเล่นแล้วก็กินเค้กรอเวลาขึ้นเครื่องที่3rd place

เมื่อวางแผนเสร็จแล้วเราก็ ออกเดินทางโดยใช้GPSในการหาสถานที่แต่ละแห่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากเท่าไร


แล้วเราก็มาถึงสถานที่แรก คือโบสถ์คริสตจักรตรัง ซึ่งเป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง มีอายุมากกว่า100ปี เราก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ประมาณ10-15นาที แล้วก็ออกเดินทางไปที่ศาลเจ้าท่ามก๋งเยี่ยกันเลย

ศาลเจ้าท่ามก๋งเยี่ยนั้นมีชื่อเสียงในเรื่องของเซียมซีที่แม่นมาก และขอพรอะไร ขอได้ดั่งสมปราถนา เราก็เข้าไปไหว้ขอพร แล้วก็ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป เพราะเริ่มหิวกันแล้ว.... 5555

สถานที่ที่เราไปคืออนุเสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี ซึ่งเป็นเจ้าเมืองตรังเก่า โดยอนุเสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ ในสวนสาธารณะใกล้ๆกับโรบินสันตรัง ซึ่งสวนนี้ร่มรื่นมากๆเหมาะแก่การมาปิคนิค หรือนั่งพักผ่อนมากจริงๆ

คำขวัญของจังหวัดตรัง(สระเอ แอบหลุดเบาๆ 555)


ร่มรื่นดีจริงๆ ต้นไม้เยอะมากกกกก



แล้วเราก็เริ่มหิวแล้วก็มากินข้าวกลางวัน(?) ที่ร้านอาหารริชชี่ เราก็รีบสั่งอาหารทันทีไม่พูดเพร่ำทำเพลงเลย 555 เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กิ นอะไรเลยนอกจากข้าวต้มที่ภูริตารีสอร์ทบนเกาะหลีเป๊ะ จนถึงตอนนี้ก็เวลาบ่าย2โมงกว่าๆแล้ว เราเลยสั่งเป็นผัดไทยเกี๊ยวกรอบซึ่งรสชาติก็โอเคนะ พอใช้ได้ แต่เราเกี๊ยวมันมันไปอ่า....

ส่วนเพื่อนเราเลือกเมนูข้าวผัดริชชี่ ซึ่งเป็นข้าวผัดอเมริกัน แต่มีอาหารทะเลเป็นเครื่องเคียงด้วย

หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็เดินไปเลือกซื้อของฝากได้เป็นเค้ กมะพร้าวอ่อนแล้วก็ขนมเปี๊ยะเผือกไข่เค็ม และร้านนี้ยังมีไอศครีมแบบโฮมเมดด้วยนะ โดยมีรสชาติหลากหลายมากมาย แต่ที่เด็ดๆคือรสมะม่วงจิ้มเกลือ ซึ่งเผ็ดๆแซ่บๆมากกก 555 แล้วเราก็ออกเดินทางไปยังร้าน3rd place ซึ่งก็เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งร้านนี้อยู่แถวๆวงเวียนปลาพะยูน

แต่พอเราไปถึงร้านกลับมีสภาพนี้....

ใช่!! มันปิดซะงั้น เคว้งเลยทีนี้...เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆจะไปสิงสถิตย์อยู่ที่ ไหนดี? ถ้าไปสนามบินตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำง่ะ เราเลยตัดสินใจไปเดินโรบินสันรอก็ได้ว่ะ! 5555 คือเราเคยพูดว่า"โรบินสันที่ไหนก็มี จะไปเดินทำไม?" แต่เราก็ต้องไปเพราะไม่มีที่ไปจริงๆ.... 5555

ก่อนไปก็ขอถ่ายรูปกับวงเวียนปลาพะยูนหน่อยแล้วกัน...


พอเดินโรบินสันไปได้ซักพักก็เริ่มเบื่อๆ เลยsearchหาร้านกาแฟในอากู๋ ก็ได้เป็นร้านGreen house ที่อยู่แถวๆหอนาฬิกา ซึ่งก็ใกล้กับสถานีรถไฟที่ เราเช่ารถไว้

หอนาฬิกาเมืองตรังจ้าาาา


พอนั่งไปซักพักก็ถึงเวลาที่ต้องขึ้นเครื่องแล้ว เราเลยไปที่บริษัททัวร์เพื่อคืนรถ แล้วก็จ้างรถไปส่งเราที่สนามบิน โดยเสียแค่คนละ100บาทเท่านั้น

เมื่อเรามาถึงสนามบินตรังเราก็ ทำการcheck-in แล้วก็โหลดกระเป๋า เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับบ้านของเรา... ยังไม่อยากกลับเลย...แต่มันถึงเวลาที่ต้องกลับแล้วสินะๆ TT บ๊ายบาย....แล้วจะกลับมาใหม่น้าาาาา


งานก้อนเมฆบนเครื่องบินก็มาเช่นกัน...รอบนี้กระจกใสแล้ววววว 5555

เวลา19.10น. เราก็มาถึงสนามบินดอนเมือง ซึ่งเร็วกว่าเวลาประมาณ15นาที



แล้วเราก็แยกย้ายกับเพื่อน เพราะเพื่อนจะอยู่ที่กทม.ต่อ แต่เรามีภาระกิจจะต้องกลับมาเรียนเพราะจะเปิดเทอมวันที่2พ.ค.นี้แล้ว โดยเรานั่งรถairport bus สายA1 ซึ่งมีรถออกทุกๆ7นาที รถจะอยู่ที่ทางออกประตูไหนซักประตูเราก็ลืมแล้ว 555 ซึ่งค่าบริการ30บาท โดยเส้นนี้จะเดินทางจากดอนเมืองไปยังหมอชิต ใช้เวลาประมาณ30-40นาทีในการเดิ นทาง แล้วเราก็จองรถกลับบ้านอย่างปลอดภัย....พอขึ้นรถเท่านั้นแหละ เราก็หลับเป็นตายเลย 555 สำหรับวันนี้ก็...บ๊ายบาย ฝันดีราตรีสวัสดิ์

สรุปทริปนี้เราว่ามันสนุกมากๆเลยนะ ได้ดำน้ำ ได้ไปทะเลตามที่ตั้งใจไว้ว่าต้องได้ไป! ได้ไปยังเกาะที่เขาว่ากันว่ าแพงแห่งหนึ่งในไทย ได้เดินทางในเกือบทุกรูปแบบตั้งแต่รถทัวร์ เครื่องบิน รถตู้ ขึ้นเรือ เหลือแค่เพียงรถไฟเท่านั้น! 5555


สรุปค่าใช้จ่ายนั้น...

-ค่ารถทัวร์ไป-กลับ กรุงเทพ-ขอนแก่น 800บาท

-ค่าเครื่องบินไป-กลับ ดอนเมือง-ตรัง 2,000บาท(รวมทุกอย่างแล้ว)

-ค่ารถตู้ไป-กลับ ตรัง-ท่าเรือปากบารา 400บาท

-ค่าเข้าอุทยาน 40บาท

-ค่าเรือหางยาวจากโป๊ะไปเกาะหลี เป๊ะไป-กลับ 100บาท

-ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ตรัง 200บาท

-ค่ารถจากในเมืองตรังไปยังสนามบิน 100บาท

-ค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆประมาณ1000บาท

และต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี ของเราที่ทำให้ทริปของเราเป็นจริง! คือพี่โจ บ้านพักเพียงพอ และเจ้าหน้าที่ของภูริตารีสอร์ทุกๆคนมา ณ ที่นี้ด้วย....เป็นทริปที่สนุกและเหนื่อยมาก!! 5555

ความคิดเห็น