ในความที่เป็นนักไป(คือรักเที่ยวบวกเดินทาง)ก็จะทำให้เราอยู่กรุงเทพฯ เกิน 2 เดือนไม่ได้ ความรู้สึกโหยเที่ยวมันจะเกิดขึ้นทันที เมื่อถูกโควิดปิดกั้นการเดินทางจึงต้องขอเล่าย้อนเรื่องราวครั้งเมื่อไปเที่ยวไร่แสงอรุณ
ทริปนี้เกิดขึ้นจากการดูรายการท่องเที่ยวรายการหนึ่งเห็นความเขียวของทุ่งนา ความ private ของสถานที่เราก็ไม่รอล่ะ เพื่อนเพ้อนก็ไม่สนใจ จัดการจองที่พักจองเครื่องและบินเดี่ยวเที่ยวเชียงรายโลด ลงเครื่องก็ไปติดต่อรถของสนามบินให้เขาพาเรามุ่งสู่เชียงของ ณ ไร่แสงอรุณ ที่นี่มีพื้นที่ติดตั้งแต่ริมโขงยาวไปถึงบนเขา พื้นที่กว้างใหญ่แต่มีที่พักอยู่ไม่กี่หลัง บ้านพักที่เราจองอยู่โน่นค่ะบนเขาโน่น หลังจากเช็คอินแล้วก็ข้ามถนนสายเล็กๆ ไป ก็จะเห็นป้ายบอกทางที่จะไปที่พักและมีทางไม้ที่อยู่เหนือผืนนาอันเขียวชะอุ่มด้านล่าง
พอผ่านจุดนี้ไปได้ไม่นานก็จะผ่านสะพานบัวและที่พักหลังน้อยน่ารักๆ อยู่ตรงนั้น 2 หลัง ใช่ค่ะมันยังไม่ใช่ที่พักของดิฉัน ทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล
เดินพ้นแนวต้นไผ่ก็จะไปเจอทุ่งนาผืนใหญ่อีกผืน คราวนี้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง โลกที่มีแต่สีเขียว โลกที่มีแต่ความสงบเหมือนเรากับธรรมชาติคือสิ่งเดียวกัน คนตัวเล็กๆ คนหนึ่งช่างมีความสุขเหลือเกินกับการได้เดินบนสะพานที่มีความงามของท้องทุ่งไปสุดลูกหูลูกตา มันสุดคุ้มกับการตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อเดินทางมาที่ไร่แห่งนี้
เดินผ่านทุ่งนามาได้ซักพักก็ถึงเชิงเขา ไอ่เราก็ได้แต่แหงนหน้าขึ้นมองบันไดเล็กๆ ที่ทอดยาวขึ้นตามไหล่เขาไป บอกเลยว่าแอบเหนื่อยก่อนเริ่มเดินขึ้นซะอีก แต่ไหนๆ ก็มาที่สวยๆ แบบนี้ก็ต้องไปพักที่สูงๆ จะได้เห็นวิวครบทั้งแม่น้ำ ภูเขา และท้องทุ่ง(ปลอบใจตัวเอง ความจริงคือจองบ้านริมโขงไม่ทัน ฮ่าๆๆ) ก่อนจะเริ่มเดินก็ยืนมองเจ้าหมาน้อยที่มานอนรอให้กำลังใจอยู่ปลายสะพาน เราหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนเดินผ่านน้องหมาและเริ่มเดินขึ้นเขาไป
ที่นี่ดีอย่างตรงที่เขาทำที่ให้นั่งพักระหว่างทางเดินขึ้น ใครที่ไม่ไหวก็ไปนั่งชิลล์ให้หายเหนื่อยได้ แต่เราไม่ได้เข้าไปนั่งพักแค่ยืนจับราวไม้ไผ่หายใจหอบเป็นช่วงๆ น้องคนที่ถือกระเป๋าขึ้นมาส่งต้องคอยเหลือบมองเป็นพักๆ พอขึ้นมาถึงแล้วเห็นบ้านพักหลังน้อยตั้งอยู่ริมเขาก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง มันสัมผัสได้ถึงความสงบและความสุขตั้งแต่แรกเห็น พอมองลงไปข้างล่างก็เห็นวิวครบแบบที่คาดหวังไว้ และไม่มีบ้านพักในบริเวณใกล้ๆ เลย มองไปรอบๆ ก็เห็นบ้านเดือนแจ่ม 1 อยู่ริบๆ อีกฝั่ง
พอเดินเข้าไปในบ้านพักความรู้อบอุ่นก็เข้ามาก่อกุมหัวใจ เราทิ้งตัวลงนั่งที่เตียงแล้วมองออกไปนอกระเบียงกว้าง ทุ่งนาเขียวขจีผืนกว้างยอดข้าวพลิ้วไหวตามแรงลมและมีฉากหลังเป็นแนวทิวเขาที่ทอดเป็นแนวยาวที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านของเรา ความงามที่สงบแบบนี้ทำให้เราก้มลงหยิบหนังสือแล้วเดินออกไปนอนอ่านเล่นที่ระบียง ด้วยความสบายและความเย็นของสายลมที่พัดเอื่อยๆ มาตลอดเวลาทำให้เราเคลิ้มหลับไป เรารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ตอนที่พนักงานเอาข้าวเย็นที่เราสั่งไว้ขึ้นมาส่ง
เราเปิดสำรับนั่งกินข้าวชมวิวงามๆ ของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับทิวเขา มันช่างเป็นการกินที่บอกไม่ได้ว่ามีความสุขแค่ไหนกับวิวและบรรยากาศรอบๆ ตัวแบบนี้ หลายครั้งที่คนเคยบอกว่าอยากหยุดวันเวลาเอาไว้ ณ ตอนนี้เราก็คงบอกได้เหมือนกันว่าเวลาที่เคลื่อนไหวนั้นได้หายไปจากความรู้สึกของเราแล้วเหลือไว้แต่ความงามที่เรากำลังมองเห็นอยู่รอบๆ ตัว ณ ตอนนี้ เรานั่งอยู่ตรงนั้นจนดวงอาทิตย์ลับหายไปและดวงจันทร์ก็ขึ้นมาส่องแสงนวลๆ แทน
เราตื่นมาตอนเช้าก็เห็นสายหมอกกำลังโอบล้อมทิวเขาอยู่ก็ดีดตัวขึ้นมาทันทีพร้อมกับคว้ากล้องคู่ใจเดินออกไปถ่ายวิวงามๆ ที่ระเบียงแต่มันก็ไม่ได้ภาพอย่างที่ใจคิดเพราะไอหมอกลอยมาเกาะเลนส์จนเป็นฝ้า ก็ได้แต่หวังว่าเช้าวันพรุ่งนี้จะได้ภาพที่ดีกว่านี้
ได้เวลาลงไปกินข้าวเช้าที่ริมโขงแล้ว เราเดินกลับลงไปทางเดิมที่ขึ้นมาเมื่อเมื่อวาน ขาลงก็จะสบายๆ หน่อย ไปถึงพนักงานก็น่ารักเหลือเกินยิ้มแย้มต้อนรับอย่างเป็นกันเอง เราเลือกนั่งโต๊ะตัวที่ชิดกับริมโขงมากที่สุด แล้วหันลงไปมองวิวสายน้ำขุ่นเข้มตัดกับสีเขียวของทิวเขาที่ทอดเป็นแนวยาวแล้วมีสายหมอกจางๆ ลอยคลอเคลียอยู่บนยอด ช่างเป็นวิวที่งดงามเหลือเกิน มันคงไม่แปลกถ้าเราจะนั่งยิ้มอยู่คนเดียวท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ กินเสร็จก็เดินไปถ่ายรูปบ้านริมโขงซะหน่อย(จองยากนักถ่ายแค่รูปก็ได้)
ก่อนจะเดินกลับบ้านพักก็ขอไปสั่งอาหารให้ขึ้นไปส่งตอนเย็นไว้ก่อนคาดว่าจะเดินขึ้นลงวันละหลายรอบไม่ไหว ระหว่างทางเดินกลับก็แวะถ่ายรูปโน่นนี่นั่นไปเรื่อย บอกเลยว่าวันนี้ไม่เหนื่อยเหมือนเมื่อวานเพราะรู้สึกเพลินกับการถ่ายรูปเอามากๆ
เช้าวันสุดท้ายก่อนจะไปเที่ยวที่อื่นต่อก็ต้องรีบตื่นเพื่อมาถ่ายหมอกแ้ตัวที่เมื่อวานถ่ายมามีแต่ฝ้าเต็มไปหมด นั่งเช็ดเลนส์อย่างดี มีการป้องเลนส์สุดฤทธิ์และก็แก้ตัวสำเร็จได้รูปของสายหมอกยามเช้าสมใจ
ดีใจที่เป็นคนชอบเที่ยว ดีใจที่ได้มาสัมผัสความงามแบบนี้ ดีใจที่การตัดสินใจมาคนเดียวเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะมันทำให้เราได้อยู่กับตัวเองและได้อยู่กับความสงบที่หาแทบไม่ได้ในเมืองหลวงที่เรากำลังจะกลับไป
Titi goaround
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เวลา 15.06 น.