สวัสดีค่ะสายท่องเที่ยวทุกท่าน วันนี้จะพาทุกท่านไปเที่ยวเขื่อนรัชชประภา ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในหน้าฝนกันค่ะ แพที่ไปพักในครั้งนี้คือ แพ 500 ไร่ ที่โด่งดังนั่นเอง ขอบอกก่อนว่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่ก็ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด ถึงแม้จะเป็นหน้าฝนที่ฟ้าปิดแต่กลับเจอทางช้างเผือกที่ปกติแล้วไปตามหาบนดอยที่สูงๆ ก็ไม่เคยเจออีกด้วย

      ทริปนี้จุดเริ่มต้นการเดินทางจากกรุงเทพฯ เมืองศรีวิไลนั่นเอง เดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียไฟลท์เช้ามากๆ ไฟลท์ 7.30 น. เพราะต้องเผื่อเวลาการต่อรถและต่อเรือด้วย เมื่อถึงสนามบินจังหวัดสุราษฎร์ธานีก็จะมีรถตู้ของทางแพ 500 ไร่มารอรับ แนะนำว่าก่อนเดินทางให้แจ้งกับทางที่พักว่าเราจะถึงสนามบินกี่โมง เพราะรถตู้ของที่พักจะมีมารอรับผู้เข้าพักเป็นรอบๆ ซึ่งรอบเช้าจะเป็น 8.30 น. นั่งรถตู้จากสนามบินมาประมาณ 40 นาทีก็จะถึงสำนักงานของแพ 500 ไร่ ซึ่งจุดนี้จะเป็นการเชคอินและลงทะเบียนการเข้าพักนั่นเอง ระหว่างรอก็จะมี ขนม กาแฟ น้ำเปล่า ห้องน้ำให้บริการ และมีจุดนั่งพักรอให้ด้วย

     เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็นั่งรถตู้ต่อมาอีกประมาณ 15 นาที เจ้าหน้าที่จะจอดแวะบริเวณสันเขื่อนรัชชประภาให้บรรดาผู้เข้าพักได้ถ่ายรูป ถ่ายวิวกันเล็กน้อยและนั่งรถตู้ต่อไปอีกประมาณ 5 นาทีก็จะถึงท่าเรือที่จะไปแพกันแล้ว ในจุดนี้ทางเจ้าหน้าที่ของแพก็จะจัดการเรื่องรอบการลงเรือให้ ซึ่งทางกรุ๊ปของเราได้รอบ 11.00 น.

     เมื่อได้เวลาก็ลงเรือไปแพกันเลย ใช้เวลาไม่มากมาย 1.30 ชั่วโมงเอง 555+ ดูเหมือนจะนานแต่ระหว่างทางก็ไม่น่าเบื่อเลย เพราะวิวสวยมาก แดดร้อนจัดแต่ลมเย็นดีมากๆ ขึ้นเรืออย่าลืมใส่เสื้อชูชีพกันนะคะเพื่อความปลอดภัย นั่งเรือไปสักพักก็มีแวะให้ถ่ายรูปกับเขาหินที่เรียกว่า "เขาสามเกลอ" และมีหินรูปร่างต่างๆ มากมายให้เราได้ตื่นตาตื่นใจ ภูเขาหินใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเขื่อนที่ถูกปกคลุมด้วยสีเขียวของต้นไม้เต็มไปหมด ร้อนแต่กลับรู้สึกสดชื่นมากๆ เลย

     หลังจากนั่งเรือมาสักพักใหญ่ๆ ก็มาถึงที่พักของเราแล้ว แพ 500 ไร่เป็นแพที่อยู่ลึกสุด ด้านหลังของแพจะเป็นเหมือนเกาะที่มีป่าและต้นไม้ทึบ บางครั้งก็จะมองเห็นลิงมาโหนต้นไม้เล่นอยู่ด้วย ส่วนด้านหน้าก็จะเป็นเวิ้งของน้ำทั้งหมด แบบไม่มีอะไรมาบดบังวิวทิวทัศน์ด้านหน้าที่ไกลไปสุดลูกหูลูกตา แต่สิ่งแรกที่ขึ้นจากเรือและวางกระเป๋าก็คือหิวข้าวนั่นเอง ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารว่าอร่อยและก็สมคำร่ำลือจริงๆ อาหารอร่อยทุกอย่าง จนคิดว่าน้ำหนักคงจะขึ้นหลายกิโลแน่นอน หลังจากทานจนอิ่มก็มาสำรวจห้องพักนิดหน่อยจากนั้นก็เปลี่ยนชุดใส่เสื้อชูชีพพร้อมลงแช่น้ำกันแบบไม่รีรอ การเที่ยวแพจะลงเล่นน้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเสื้อชูชีพ เพราะไม่ว่าเราจะว่ายน้ำเป็นหรือไม่เป็นก็ควรใส่ติดตัวตลอดเวลา ระดับน้ำในเขื่อนคอนข้างลึก ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าค่ะ แต่สำหรับคนว่ายน้ำไม่เป็นไม่ต้องกลัวนะคะเพราะผู้เขียนก็ว่ายน้ำไม่เป็นแต่ลงเล่นน้ำนานที่สุดในบรรดาผู้ร่วมทริปในครั้งนี้


     ห้องพักแต่ละหลังจะมีเรือคายัคให้ 2 ลำพร้อมเสื้อชูชีพที่เพียงพอสำหรับผู้เข้าพักทุกคนแน่นอน ระหว่างที่เล่นน้ำก็ครึ้มฟ้า ครึ้มฝน ฝนตกเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการเล่นน้ำ พายเรือของเราเลย เล่นกันเพลินๆ จนมืดค่ำทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเด็กที่เอาแต่เล่นน้ำไม่ยอมกินข้าวกินปลากันเลยทีเดียว บรรยากาศคือดีสุดสุดไปเลย

     หลังจากเล่นน้ำจนมืดค่ำ ก็ถึงเวลาอาหารเย็น ทานอาหารกันเสร็จสรรพก็พักผ่อนกันตามสบาย จะอ่านหนังสือ นอนมองวิว มองหมอกที่เกาะตามทิวเขากันตามอัธยาศัย เพราะที่นี่ไม่มีสัญญาณมือถือจริงๆ หลังจากฝนตกตลอดทั้งบ่ายจนเย็น ตอนดึกๆ ก็ฟ้าเปิดจนเห็นดาวมากมายบนท้องฟ้าที่อยู่เบื้องหน้า พวกเราไม่รีรอที่จะไปตั้งกล้องเพื่อถ่ายดาวและในที่สุดเราก็ได้เจอกับทางช้างเผือกที่ปกติเราจะต้องขึ้นดอยไปทางเหนือสูงๆ เพื่อตามหาก็ไม่เคยเจอกับตาตัวเองสักครั้ง แต่ในครั้งนี้เรามาลงแพ ลงใต้ กลับได้เจอทางช้างเผือกตัวเป็นๆ ดีใจกันสุดสุดไปเลยล่ะคะ ภาพอาจจะไม่ชัดมากเนื่องจากมีแสงรบกวนบ้างจากที่พัก แต่ก็ทำให้มองเห็นทางช้างเผือกที่เราเฝ้าตามหามาตลอด




       มาถึงเช้าวันที่ 2 ของทริปนี้ ตื่นเช้าหน่อยมานั่งชมวิวหน้าห้องพักและทางแพก็มีพาไปนั่งเรือชมวิวรอบๆ เขื่อนเพื่อดูหมอก ดูธรรมชาติ หลังจากนั้นก็กลับมาพักผ่อน ทานอาหารเช้าเพื่อเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมในช่วงบ่ายต่อไป


     กิจกรรมในช่วงบ่าย ทางกลุ่มเราเลือกกิจกรรมเดินขึ้นน้ำตกแปดเซียน ตอนไกด์พาไปถึงทางเข้าคือดูไม่ออกจริงๆ ว่านั่นคือทางเข้าน้ำตกแปดเซียน ทางเดินไม่ยากมากแต่ก็ไม่ได้ง่ายซะทีเดียว เดินลุยน้ำบ้าง ชันบ้าง ปีนกันบ้างนิดหน่อย ระหว่างทางคือเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มากๆ มีต้นไม้ใหญ่อยู่มากมาย เดินไปถ่ายรูปไปบ้าง หยุดแช่น้ำบ้าง เดินแบบเย็นๆ กันไปตลอดทาง ไม่ต้องกลัวหลงเพราะพี่ไกด์จะเดินนำเราบ้าง ตามเราบ้างไปตลอด

     กลับจากน้ำตกแปดเซียนก็ไปล่องเรือดูฝูงสัตว์กันต่อ พี่ไกด์บอกว่าปกติจะมีทั้งลิง นก ช้าง กระทิง เยอะแยะเลยแต่ต้องขึ้นอยู่ว่าแต่ละรอบเราจะเจอกับสัตว์อะไรและกรุ๊ปของพวกเราก็ได้เจอกับน้องกระทิง 3-4 ฝูง เรือจะไม่สามารถเข้าไปจอดใกล้ๆ ได้เพราะน้องจะวิ่งหนี พวกเรานั่งบนเรือกันเงียบๆ เพื่อรอดูน้องกระทิง กล้องมือถือก็จะถ่ายน้องมาได้ไม่ชัดเท่ากล้องใหญ่ แต่แค่ดูด้วยตาก็รู้สึกได้ว่าที่นี่ธรรมชาติยังคงสมบูรณ์จริงๆ หลังจากนั้นก็นั่งเรือกลับแพ จบทริปของวันที่ 2 ด้วยการรับประทานอาหารและพักผ่อนนอนฟังเสียงธรรมชาติกันอีกคืน

     จบทริป 2 คืน 3 วันไปกับความรู้สึกอิ่มกับธรรมชาติ การไปเที่ยวแบบที่ไม่ต้องสนใจมือถือ สนใจโลกภายนอกทำให้เราสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติและกิจกรรมที่อยู่ตรงหน้าของเราได้มากกว่าเดิม การได้นอนฟังเสียงธรรมชาติ หายใจแบบทั่วท้องที่มีแต่อากาศบริสุทธิ์มันเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ถึงแม้การเดินทางจะมีทั้งนั่งเครื่อง ต่อรถ ต่อเรือ พอมาถึงทีพักความรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางก็มลายหายไป นี่สินะที่เค้าว่าธรรมชาติบำบัด ไปอยู่บนแพ 500 ไร่ไม่ได้ใช้เงินเพิ่มเลยสักบาทเดียว เพราะค่าที่พักทุกอย่างรวมค่ารถตู้ ค่าเรือ ค่าอาหารอยู่ในนัั้นทั้งหมด เป็นทริปที่คุ้มค่ามากๆ ถ้ามีโอกาสก็จะไปอีกแน่นอน

ขอบคุณแพ 500 ไร่ เจ้าหน้าที่ทุกท่านรวมถึงไกด์ของเราพี่เลี่ยม ณ แพ 500ไร่

ติดตามจองที่พักได้ที่ ::500rai Floating Resort Chiewlarn Lake Khaosok https://www.facebook.com/500rairesort/

Moodum0611.05.20|3 minอ่านบทความอื่นจาก Moodum06

ความคิดเห็น

Login

Advertisement

บทความที่เกี่ยวข้อง

HAAD YUAN TRAIL

Zaii| 12.06.20| 2 min

แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัดพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุรา…

วิโรจน์ คงจ...| 11.06.20| 3 min

ดำน้ำดูปะการัง ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งที่ “เกาะเต่า”

พลอยพรรณราย| 09.06.20| 2 min

Advertisement

บทความจากผู้เขียนคนเดียวกัน

6 ช่องยูทูปเบอร์ดูเพลินๆ ยามว่าง

Moodum06| 10.06.20| 5 min

"บ้านไร่ไออรุณ" บ้านสวนในฝัน

Moodum06| 29.05.20| 3 min

เวลาหยุดเดินที่หมู่บ้านแม่แมะ ( เฌอชีวา :: บ้านต้นไม้แม่แมะ )

Moodum06| 29.05.20| 4 min

Advertisement

ตามใจมู๋

 วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เวลา 16.29 น.

ความคิดเห็น