สวัสดีค่ะทุก ๆ ท่าน วันนี้จะพาขึ้นไปเที่ยวเมืองเหนือช่วงต้นหนาวกันบ้าง ทริปนี้ตั้งใจอยากไปพักผ่อนแบบกลางหุบเขา ไม่ต้องออกไปไหนสัก 2 คืน อากาศเย็น ๆ ไม่หนาวมากจนเกินไป ไม่มีรถส่วนตัวก็สามารถเดินทางไปได้ และที่สำคัญ คือ อยากเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยรถไฟสายอุตรวิถี หรือรถไฟไทยรุ่นใหม่นั่นเอง หาข้อมูลการเดินทางมาสักพักก็ได้จังหวัดสำหรับทริปนี้แล้ว นั่นก็คือ จังหวัดเชียงใหม่!! ที่ที่อยากไปพักมากคือ " เฌอชีวา " และ " บ้านต้นไม้แม่แมะ " เริ่มต้นด้วยการเข้า Google Map เพื่อหาระยะการเดินทางระหว่าง เฌอชีวาและบ้านต้นไม้แม่แมะ สิ่งที่พบและทำให้ตกใจมาก คือ จากเฌอชีวาไปบ้านต้นไม้แม่แมะ ใช้เวลาเดินทางเพียง 1 นาที !!! ใช่ค่ะที่พักทั้ง 2 แห่ง อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันที่ชื่อว่า " หมู่บ้านแม่แมะ " เราสามารถเดินเพื่อเปลี่ยนที่พักได้อย่างง่ายดาย ตอบโจทย์การท่องเที่ยวสำหรับทริปนี้มาก ๆ ว่าแล้วก็ไปกันเลย..
เริ่มจองตั๋วรถไฟกันเลย ทริคในการจองตั๋วรถไฟขบวนใหม่แบบง่าย ๆ คือ เราต้องจองตั๋วล่วงหน้า 90 วัน เหตุผลที่ต้องรีบจองล่วงหน้า เพราะขบวนใหม่จะค่อนข้างเต็มอย่างรวดเร็ว ตอนค้นหาตารางการจองให้ดูที่ NO.9 ( ขบวนขาไป ) และ NO.10 ( ขบวนขากลับ ) รถไฟสายอุตรวิถีในตอนนี้มีแค่ NO.9 กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ และ NO.10 เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ เท่านั้น
รถไฟสายอุตรวิถีเป็นรถนอนที่มีให้เลือก 2 แบบ คือ ชั้น 1 ( แบบห้องเดี่ยว มี 1 ตู้เท่านั้น ) ชั้น 2 แบบนอนรวม ในทริปนี้ได้จองแบบ ชั้น 2 นอนรวมตู้ผู้หญิงล้วนไป ซึ่งเหมาะมากสำหรับสาว ๆ ที่ชอบท่องเที่ยวแต่ไม่ชอบนอนรวมกับบรรดาชายหนุ่ม สนนราคาตู้นอนหญิงเตียงล่าง 1,041 บาท เตียงบน 941 บาท กำหนดเวลาออกจากสถานีหัวลำโพง 18.10 น. และจะถึงสถานีเชียงใหม่ในเวลา 7.15 น. รวม ๆ ใช้เวลาประมาณ 13 ชั่วโมงนั่นเอง
การเดินทางโดยรถไฟ ดูเหมือนจะใช้เวลานานมากสำหรับใครหลาย ๆ คน แต่หากใครที่ชื่นชอบการเดินทางที่ไม่เร่งรีบ เบื่อการขึ้นเครื่องบิน ลองเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งรถไฟไทยดูค่ะ ถึงแม้จะใช้เวลานานตั้ง 13 ชั่วโมง แต่ระหว่างทางเราได้ดูวิวข้างทางไปด้วย ได้ลองเดินทางแบบใหม่ ๆ ก็เพลิน ๆ ดีไปอีกแบบนึงเลยล่ะค่ะ และเมื่อถึงเวลาพนักงานก็จะมาปูที่นอนให้ เราก็สามารถนอนดูวิวได้ ( กรณีเป็นเตียงล่างเพราะเตียงบนจะไม่มีหน้าต่าง ) ที่นอน ก็คือ เก้าอี้ที่เรานั่งนั่นแหละค่ะ พับมาต่อกันจนเป็นที่นอนสำหรับ 1 คนได้อย่างพอดี ซึ่งที่นอนก็นอนสบายมาก เบาะนิ่ม ยืดแขนขาได้อย่างเต็มที่ มีผ้าห่ม มีหมอนให้ แถมมีม่านทั้ง 2 ด้านสำหรับกันแสงรบกวน นอนอ่านหนังสือบ้าง ดูซีรีย์ไปบ้าง งีบหลับไปบ้าง แป๊บ ๆ ก็เช้าแบบไม่ทันเบื่อเลย ข้อดีของการนอนบนรถไฟที่ชอบมาก ๆ คือ เหมือนเราได้พักผ่อนเต็มที่ ตื่นมาแบบไม่เพลียเหมือนการนั่งรถทัวร์ หรือนั่งเครื่องนานๆ เลยล่ะ
ถึงสถานีเชียงใหม่ หรือสถานีสารภีสุดสายปลายทางที่สถานีนี้ ไม่ต้องกลัวหลง ไม่ต้องกลัวลงผิดสถานีแน่นอน ด้วยความที่ถึงเช้ามากก็หาร้านอาหาร ร้านกาแฟแถวหน้าสถานีทานอะไรรองท้องนิดหน่อย แล้วเราค่อยเดินทางไปสถานีขนส่งช้างเผือกกันต่อ จากสถานีรถไฟจะมีรถสองแถวรับจ้าง รถแท็กซี่รับจ้างให้ได้ใช้บริการอยู่มากมายค่ะ แต่สำหรับทริปนี้แอบใช้แรงงานเพื่อนให้ไปส่งที่สถานีขนส่งช้างเผือกแทน ประหยัดค่ารถไปอีกนิดนึง 555+ ถึงสถานีขนส่งช้างเผือก ( อย่าไปสถานีขนส่งอาเขตกันเน้อ ) มองหาที่ซื้อตั๋วไม่ยาก สอบถามพี่ ๆ ขอซื้อตั๋วรถเชียงใหม่-ท่าตอน ราคาคนละ 40 บาท!! แต่เป็นรถแดงพัดลมนะจ๊ะ นั่งลมโกรก ๆ ไปประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง อ่อตอนขึ้นรถอย่าลืมบอกพี่คนขับ พี่คนตรวจตั๋วที่ประจำบนรถว่าขอลงที่เซเว่นแม่นะ ถ้าถึงแล้วให้บอกด้วย เพราะไม่งั้นจะหลงไปสุดทางที่ไหนก็ไม่รู้จ้า
เมื่อถึงเซเว่นแม่นะก็รอรถจากที่พักมารับ คิดราคาเหมา ๆ ต่อครั้งไม่ว่ากี่คนก็ตามเที่ยวละ 400 บาท ก่อนเดินทางให้คุยกับที่พักแจ้งว่าต้องการรถมารับ ซึ่งคืนแรกที่พักของทริปนี้ คือ " เฌอชีวา " พี่ฝนเจ้าของเฌอชีวาได้ติดต่อรถ และได้ให้เบอร์โทรคนขับรถไว้ตั้งแต่จองที่พักเลย สะดวกมาก ๆ จากเซ่เว่นแม่นะไปหมู่บ้านแม่แมะประมาณ 11 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 - 20 นาทีก็ถึงแล้ว ไม่ไกลแต่ทางก็คดเคี้ยวไม่ธรรมดาเลย เมื่อถึงปากทางเข้าที่พักก็จะเจอป้ายบ้านต้นไม้แม่แมะเป็นอันดับแรก ซึ่งคืนแรกเราพักที่เฌอชีวา เดินเลยบ้านต้นไม้แม่แมะไปสุดทางเลยจ้า
เดินจนสุดทางจริง ๆ อีกนิด คือ ลงลำธารไปเลย " เฌอชีวา " ที่พักของเราคืนแรกที่นี่มีเพียง 3 ห้องเท่านั้น ชั้นบนสุด คือ ห้องใหญ่และห้องของเราคือชั้น 2 ห้องด้านขวาของที่พัก ราคา 2 คนต่อ 1 คืน รวมอาหารเช้าและค่ำ 1,800 บาท หรือตกคนละ 900 บาทต่อคนนั่นเอง ส่วนชั้น 1 จะเป็นส่วนครัวและที่นั่งพัก บรรยากาศช่วงบ่าย ๆ ที่ไปถึง คือ ไม่ร้อนเลยทั้ง ๆ ที่มีแดด ได้นั่งมองวิวป่าสีเขียว ได้ยินเสียงน้ำในลำธาร เสียงนก เสียงแมลงต่าง ๆ มันรู้สึกสดชื่นที่สุดเลย เงียบ สงบ เย็นสบายแบบที่ใจอยากได้ ด้วยความเดินทางมาเหนื่อยเลยนั่งเล่น นอนเล่นจนถึงประมาณ 6 โมงเย็น ก็ถึงเวลาอาหารเย็น นี่คืออาหารเย็นราคาคนละ 150 บาท ถูกมาก ก.ไก่ล้านตัว ให้เยอะมากและอร่อยมาก ๆ ในส่วนของมื้อเช้าเป็นข้าวต้มทรงเครื่องไม่อั้น และเครื่องดื่มร้อน หน้าตาอาหารธรรมดาแต่อร่อยมาก เบิ้ลข้าวต้มไป 2 ถ้วยแน่น ๆ
ณ เฌอชีวาเป็นคืนที่นอนหลับสบายมาก ๆ หลับไปตั้งแต่หัวค่ำ นอนเล่นอยู่ตรงระเบียงหน้าห้อง ฟังเสียงธรรมชาติรอบ ๆ ฟังเสียงน้ำไหลในลำธารจนหลับอยู่ตรงระเบียงจนเกือบเช้า จากคนนอนดึกหลับไม่สนิทแถมตื่นสาย กลายเป็นคนนอนเร็วนอนหลับสนิทและตื่นเช้าซะด้วย ธรรมชาติบำบัดที่แท้จริง หลังทานอาหารเช้าเสร็จ ก็มีเวลานั่งอ่านหนังสือ รับไอแดดอ่อน ๆ ยามเช้าจนถึงเวลาเช็คเอ้าท์ 11 โมง ก็ได้เวลาโบกมือบาย ๆ " เฌอชีวา " เป็น 1 วัน 1 คืนที่ยาวนานมาก ได้พักผ่อนแบบเต็มอิ่มมาก
สนใจติดต่อสอบถามที่พักได้ที่ "เฌอชีวา"
หลังจากเช็คเอ้าท์จากเฌอชีวา เราก็เดินแบกกระเป๋าขึ้นมายังที่พักคืนที่ 2 ของเรา นั่นก็คือ " บ้านต้นไม้แม่แมะ " สามารถเช็คอินได้ตั้งแต่เที่ยงวันแต่ไม่เกิน 6โมงเย็น ตามใจจริงอยากพักบ้านใหญ่ ที่เป็นบ้านหลักของบ้านต้นไม้แม่แมะ แต่ห้องบ้านใหญ่เต็มหมด โดยเฉพาะห้องที่ 1 เป็นห้องที่วิวสวยที่สุดของบ้านใหญ่ ที่พักของเราในครั้งนี้ชื่อบ้านชมจัน เดินจากบ้านใหญ่ไปประมาณ 200 เมตร ราคาที่พักสำหรับ 2 ท่าน 1,800 บาท รวมอาหารเย็นและอาหารเช้า
ถึงเวลาของมื้อเย็น อาหารจะเป็นบุฟเฟต์ ตักได้เติมได้ไม่อั้น แถมมีผลไม้ให้ทานด้วย ผู้เข้าพักทุกคนจะมาทานอาหารที่บ้านใหญ่ด้วยกัน อิ่มอร่อยมาก ๆ หลังจากนั้นก็จะมีการแสดงรอบกองไฟจากน้อง ๆ เด็กชาวเขา มีชวนผู้เข้าพักออกไปทำกิจกรรมเข้าจังหวะรอบกองไฟด้วย ส่วนใหญ่ที่ออกไปทำกิจกรรมเข้าจังหวะ จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนเราคนไทยขอนั่งดู นั่งตบมืออยู่กับที่นั่งดีกว่า 555+ เมื่อกิจกรรมจบลงทุกคนก็แยกย้ายกันกลับที่พักบ้านใครบ้านมัน ผู้เข้าพักทุกคนรักษากฎการอยู่ร่วมกัน ไม่ส่งเสียงดัง ไม่รบกวนผู้อื่นและรบกวนธรรมชาติ รู้สึกได้ถึงธรรมชาติได้คัดสรรคนมาท่องเที่ยวได้ดีเลยทีเดียว นอนฟังเสียงธรรมชาติแบบหลับสนิทกันอีกคืน
ตื่นเช้ากันนิดหน่อยเพื่อที่จะทันใส่บาตร ทางบ้านต้นไม้แม่แมะมีบริการชุดใส่บาตร โดยเราต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่ของทางที่พักตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำๆ เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้แจ้งแม่ครัวให้เตรียมชุดใส่บาตรให้กับเราในตอนเช้า ชุดใส่บาตรก็จะมีอาหาร ผลไม้ ดอกไม้ธูปเทียน เราได้มีโอกาศใส่บาตรพระภิกษุณีเป็นครั้งแรก รู้สึกดีมาก ๆ เลยล่ะค่ะ หลังจากใส่บาตรเสร็จก็เดินสำรวจหมู่บ้านกันนิดหน่อย ดูกิจกรรมยามเช้าของชาวบ้านที่นี่ เจอต้นไม้สูงใหญ่น่าจะมีอายุมากกว่าร้อยปี เจอต้นดอกบัวตองที่บานเหลืองสะพรั่งเต็มต้น อากาศดีและสดชื่นมาก หลังจากนั้นเราก็กลับไปรับประทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ อาทิเช่น ข้าวต้ม ขนมปังปิ้งทาแยม ชา กาแฟ โกโก้และมีผลไม้ตบท้ายอีกด้วย
3 วัน 2 คืนในหมู่บ้านแม่แมะ รู้สึกเวลาเดินช้าลงได้พักผ่อนแบบเต็มที่ กินอิ่ม นอนหลับสนิทท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นที่ " เฌอชีวา " หรือ " บ้านต้นไม้แม่แมะ " ที่พักทั้งสองที่มีวิถีชีวิตที่เหมือนกัน คือ การอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเคารพกฎ ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ทำลายธรรมชาติ แถมยังสร้างรายได้ให้กับคนในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นแม่ครัว พี่คนขับรถรับส่ง พี่ ๆ ที่ดูแลเกี่ยวกับห้องพัก เด็ก ๆ ที่มาทำกิจกรรมการแสดง ล้วนแต่เป็นคนที่อยู่ในหมู่บ้านแม่แมะทั้งสิ้น นอกจากจะสร้างรายได้แล้ว ยังทำให้คนในหมู่บ้านไม่ต้องดิ้นรนออกไปทำงานไกลบ้าน ไม่ต้องพบเจอมลพิษในเมือง ทุกคนอยู่กับธรรมชาติ ทุกคนดูมีความสุข อยู่กันอย่างพอเพียง แล้วจะกลับมาใหม่นะหมู่บ้านแม่แมะ...
สนใจติดต่อสอบถามที่พักได้ที่ "บ้านต้นไม้แม่แมะ"
ขอบคุณพี่ฝนเจ้าของเฌอชีวา,พี่แม่ครัวเฌอชีวา และพี่คนขับรถที่ไปรับที่เซเว่นแม่นะ, ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่บ้านต้นไม้แม่แมะ
ตามใจมู๋
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 13.30 น.