ฝากติดตามเพจของเราด้วยนะค้า ^^
Where We Go


‘เขาช่องลม’ ดินแดนสีเขียวที่ซ่อนตัวอยู่หลังเขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก เป็นที่ๆไผ่อยากจะไปมากกตั้งแต่มีคนไปบุกเบิก แล้วก็มีรีวิวล่อตาล่อใจตามมาเต็มไปหมด แต่ช่วงนั้นยังเป็นมนุษย์เงินเดือน มีวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ตามคนทั่วไป แล้วตอนนั้นได้ข่าวว่าพอที่นี่ป๊อปปูล่าขึ้นมา คนก็เยอะมากกกก ทริปนี้เลยโดนพับเก็บไปโดยปริยาย 


จนตอนนี้เราสามารถเที่ยววันธรรมดาได้แล้ว แถมเขาช่องลมเพิ่งเปิดพอดี เราเลยได้ฤกษ์รื้อทริปเก่าเก็บนี้ขึ้นมาอีกครั้ง 

เรากะไปแบบเช้าเย็นกลับ 1 day trip เพราะแค่นครนายกนี่เอง ดู Google map แล้ว 2 ชั่วโมงนิดๆก็ถึงแล้ว 

รอบนี้เราหลอกล่อน้องไปกับเราได้อีก 2 คนด้วยนะ 555

เรามีหาข้อมูลไว้นิดหน่อย ซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลที่หลายๆคนอ่านเร็วๆแล้วอยากรู้

- ค่าเรือเหมาลำที่ 1,500 บาท (สำหรับคนที่อยากไปแบบส่วนตัว)

- หรือเราจะรอคนอื่นแล้วแจมเรือกัน ค่าเรือก็จะตกคนละ 200 บาท (นั่งได้เที่ยวละ 8 คนค่ะ)

เรือให้บริการตั้งแต่ 7:00 - 17:00 น.ค่ะ

เขื่อนขุนด่านไม่เก็บค่าเข้าค่ะ ขับรถเข้าไปจอดได้เลย

อ้อ ตอนแรกเรากะจะไปกางเต๊นท์นอนที่เขื่อน เผื่อว่าจะได้ตื่นแล้วได้นั่งเรือรอบแรก แต่ว่า ที่นี่เค้าไม่ให้กางเต๊นท์นะค้า
แพลนกางเต๊นท์เราเลยตกไปค่ะ 555

การเตรียมตัวหลักๆของเราก่อนไปก็

- หารองเท้าที่พื้นยึดเกาะดีๆ และเปียกน้ำได้ เพราะเราต้องไปปีนป่ายโขดหิน และเดินป่าเล็กๆ

- เตรียมเสื้อกันฝน เพราะเราไปหน้าฝนเน้อ แล้วถ้ามันตกขึ้นมาเนี่ย ที่นี่เป็นที่โล่ง ไม่มีที่หลบฝนค่ะ (ที่หลบแดดก็เช่นกัน T^T)

เตรียมกันพอประมาณ และแล้วก็มาถึงเช้าวันเดินทาง เรานัดกันที่เขื่อนขุนด่าน 9:00 น. แต่! ไผ่ตื่นสายจ้าาา ปรากฎว่า

น้องแอม: [8:50 น.] ถึงแล้วค่าาา

เออะ...ตอนนั้นอิชั้นเพิ่งกำลังเข้าเขตนครนายก สรุปต้องให้น้องรอเกือบชั่วโมง พี่ขอโต๊ดดดด 

ดีที่ตรงที่จอดรถ แถวๆสันเขื่อนมีร้านกาแฟ น้องเลยไปนั่งรอตรงนั้นได้ 

พอถึงแล้วเราก็รีบพุ่งตรงไปหาน้องที่ร้านกาแฟ และก็พากันไปตรงจุดติดต่อขึ้นเรือที่อยู่ใกล้ๆกัน

ลูกไผ่: “4 คนค่ะ”

เจ้าหน้าที่: “เหมาลำไปเลยมั้ย 1,500 ถ้าเหมาเดี๋ยวเรือออกได้เลย หรือจะรอคนอื่น”

ลูกไผ่: “ถ้ารอนี่อีกนานมั้ยคะ”

เจ้าหน้าที่: “ตอนนี้ครบ 8 คนพอดี ออกได้เลย”

เอ้า! ออกได้เลยก็แจมสิค้าาาาา 555

พอติดต่อเรือเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็บอกให้เราเดินไปขึ้นเรือได้เลย ค่าเรือยังไม่ต้องจ่ายตรงนี้นะ ไปจ่ายที่เรือได้เลยค่ะ

ทางไปลงเรือจะเป็นบันไดชันสูงชะลูดอย่างที่เห็นลิบๆในภาพค่ะ

ระหว่างที่เราเดินลงไปก็สวนกับคนที่เดินกลับขึ้นมา ซึ่งเกือบทุกคนจะโอนครวญแล้วก็นั่งพักเป็นระยะๆระหว่างที่เดินขึ้นมา ตอนนั้นเราก็สงสัยว่า “นั่งพักบ่อยๆกลางแดดเปรี้ยงนี่เค้าไม่ร้อนกันเหรอ เพราะตอนนั้นแดดร้อนมากค่า!”

อ่ะ หันกลับไปดูทางที่เราเดินลงมาซักหน่อย วันนี้ฟ้าสวยมาก ใช่ค่ะ ฟ้าสวยมักจะพร้อมกับแดดเปรี้ยง และอากาศที่ร้อนเกิน 40 องศาของประเทศไทย ไม่มีวี่แววของฝนใดๆทั้งสิ้นจ้า โถ...เสื้อกันฝนที่เตรียมม๊าา

ในที่สุดเราก็เดินลงมาถึงท่าเรือ ตอนแรกก็นึกว่าไผ่คิดไปเอง

ลูกไผ่: “ขาสั่นเลยอ่ะ”

น้องแอม: “จริงงงง”

อย่าได้ดูถูกบันไดสูงชันทางลงที่เราเพิ่งเดินลงมา ยังไม่ทันได้ไปไหน ขาก็สั่นแล้วจ้าาา

เรือเริ่มออกแล้ว ให้ดูบันไดอีกครั้ง อยากจะบอกว่าเตรียมตัวกับอิบันไดนี่ให้ดีค่ะ 55

พอเรือเริ่มแล่น ลมเริ่มประทะหน้า ความชิลล์ก็เริ่มมา ฟ้าสีฟ้า ต้นไม้สีเขียวข้างทางนี่สีมันสดชื่นจริงๆค่ะ

แล้วคุณลุงคนขับเรือก็พาเรามาจอดตรงเวิ้งน้ำที่นึง

คุณลุง: “พามาดูต้นน้ำครับ ตรงนี้น้ำจะไหลมาจากเขาใหญ่ ปีนี้น้ำน้อยมาก เรือเลยเข้าไปได้แค่นี้”

ตอนแรกเราก็งงๆ แล้วก็มาถึงบางอ้อว่า คือจริงๆทริปนั่งเรือตรงเขาช่องลมเนี่ย เค้าจะพาไปน้ำตกประมาณ​ 3-4 น้ำตก แต่ปีนี้น้ำน้อยมาก วันนี้เราเลยจะแวะได้แค่น้ำตกเดียวก็คือ ‘น้ำตกช่องลม’ เง้ออออ นี่อุตส่าห์เลือกมาหน้าฝนแล้วน้าาาา ทริปไม่วื้ด ไม่ใช่ไผ่ใช่ม๊ายยยย

คุณลุง: “ปะ เราไปเขาช่องลมกันเลยนะครับ”

คุณลุงกลับเรือ แล้วเลี้ยวขวาไปจิ๊ดเดียว เราก็เห็นเรือจอดข้างหน้าลิบๆ ที่ทำให้รู้ว่า เราใกล้จะถึงทางขึ้นเขาช่องลมแล้ว 

ผู้ร่วมเดินทาง: “ให้เวลาเท่าไหร่คะ”

คุณลุง: “เต็มที่เลยครับ อยากเดินเท่าไหร่เดินเลย”

อ้าว ลุง 5555 ใช่แงะ เพราะมันเหลือแค่น้ำตกเดียวที่เราเดินได้ เต็มที่ไปเลยจร้าาาาา

แต่เรามากันหลายคน มันต้องมีเวลานัดแนะ เลยตกลงที่ 1 ชั่วโมง คือมาเจอกันที่เรือตอน 11:45 น

แค่เดินขึ้นเรือเท่านั้นล่ะค่ะ ความร้อนก็พุ่งตรงเข้ามารายล้อมรอบตัว ทั้งร้อน ทั้งแดดกลางหัว ไม่มีที่หลบตามคำบอกเล่าโดยแท้ เดินไปนิดนึงเราก็เริ่มเจอกับธารน้ำตกเล็กๆค่ะ ซึ่งแค่เริ่มเราก็ต้องปีนป่ายโขดหินเล็กๆกันแล้วจ้า หลายๆคนที่มาก็หยุดถ่ายรูปตรงจุดนี้กันเยอะหน่อ

จากธารน้ำตกนี้เราเริ่มต้องปีขึ้นไปทางเดินด้านบน เพื่อไปกันต่อ น้องแอมกับดรีม ผู้ถูกเราหลอกล่อมาได้นำหน้าไปก่อนแล้วด้านบนนู้น

พอปีนป่ายขึ้นไปแล้ว ก็จะเป็นทางเดิน ที่มีหญ้าขึ้นสูงอยู่ 2 ข้างทางยาวๆ ไปค่ะ

ทริปนี้พี่ปุ่นเค้าเน้นถ่ายวีดีโอค่ะ เดี๋ยวรอติดตามเวอร์ชั่นวีดีโอ ฝีมือพี่ปุ่นในเพจเราได้เลย (ถึงว่ากลับมาดูเมมที่บ้าน รูปไผ่ไม่มีเลยยย T^T

ภาพที่ได้มาก็จะมีวิวเขียวๆ และโขดหินสลับกันไป

และจะมีลำธารให้เราปีนป่ายลงไปถ่ายรูปได้เป็นช่วงๆ

เดินไปได้ซักพัก จะเจอทางเดินที่ข้างทางเป็นดงผักบุ้งค่ะ (รึเปล่าหว่า 555) สวยอยู่ไม่ใช่หยอก ถ้ามันไม่ร้อนขนาดเน้!!! เดินมาถึงตอนนี้เริ่มหอบ และเริ่มรู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วววววว คือทางเดินจนถึงตรงนี้มันยังไม่โหดมากค่ะ แต่ที่โหดน่ะ แดดค่ะแดด! 

ขอบอกว่ายังไงก็ต้องพกน้ำเข้ามานะคะ ซึ่งจริงๆพี่ปุ่นพกมาค่ะ แต่!

พี่ปุ่น: “เฮ้ย ขวดน้ำเราหายไปไหนอ่ะ!” สงสัยร่วงตรงที่ปีนๆแน่เลย

ใช่ค่ะ เราต้องเดินทางกลางแดด แบบไม่มีน้ำให้จิบซักหยด!

จากทุ่งผักบุ้งเมื่อกี้ จะเริ่มเข้าสู่ทางโหดแล้วค่ะ เริ่มจากเราเจอสะพานไม้ไผ่ ซึ่งอันนี้ยังเดินง่ายสบายๆ 

แต่! หลังจากนั้นจะเริ่มต้องไต่เชือกเดินเลาะโขดหิน ตั้งแต่ตรงนี้ไปเราเริ่มเก็บกล้องละค่ะ 

นอกจากจะเอาตัวเองให้รอดแล้ว ยังต้องเอากระเป๋ากล้องน้ำหนักเกือบ 3 โลที่แบกมาให้รอดด้วย! 

จากตรงที่ไต่เชือกจะมีทางให้ไต่หินลอดต้นไม้ และทางไต่เชือกระลอก 2 ซึ่งโหดกว่าเดิม 

อย่างที่บอกความโหดมันคูณ 10 เพราะอากาศที่ร้อนแทบจะเป็นลม และแล้วก็เริ่มเห็นน้องแอม และดรีมนั่งอยู่ไกลๆ ซึ่งตรงนั้นมีร่มไม้! โอ้ย น้ำตาแทบไหล

ดรีม: “เนี่ย พี่ เดินไปข้างหน้านี่อีกนิดเดียวก็ถึงน้ำตกแล้ว”

ลูกไผ่: “คนอื่นเค้าเข้าไปหมดแล้วเหรอ”

น้องแอม: “ไม่มีใครมาเลยพี่ไผ่ มีแค่เรานี่แหละ”

ลูกไผ่: “อ้าว!”

น้องแอม: “ตั้งแต่เดินมา หนูเจอ 2 คนที่เค้าเดินมาถึงแค่ตรงไต่เชือก แล้วเค้าบอกว่ามันชันไป ไม่ไปละ”

สรุปคือมีแค่เราที่บ้าเดินมาตรงนี้!

และสรุปก็คือมีแค่ดรีมที่บ้าพลัง แรงเหลือปีนเข้าไปในน้ำตกต่อ คือไอที่เดินไปข้างหน้าอีกนิดเดียวที่ดรีมบอกอ่ะ มันนิดเดียวจริงๆนะคะ แต่ทางน่ะ เป็นทางปีนขึ้นชันๆ โชคดีนะดรีม 555

ขากลับนี่ไผ่ขนลุกทั้งตัวไปจนถึงขนหัวลุกเลยจ้า พี่ปุ่นบอกว่า มันเป็นสภาวะขาดน้ำ

พอเดินมาถึงเรือ เจอทุกคนนั่งรอกลุ่มเราอยู่ ไผ่นี่ยกมือไหว้ขอโทษใหญ่เลย งื้ออออ

แต่! ถึงเรือแล้ว อย่าคิดว่าจะรอดตายนะคะ ไอของที่โหดที่สุดกำลังรอเราอยู่

ใช่ค่ะ อิบันไดที่เราเดินลงมาตอนแรก ตอนนี้แทบอยากจะร้องไห้ รู้สึกแบบ เฮ้ย จะตายป่ะวะ ไอที่เคยสงสัยตรงขาลงมาว่าทำไมเค้านั่งพักกลางแดดกันเป็นพักๆนี่เข้าใจเลย ไผ่เดินขึ้นได้ทีละ 12-15 ขั้น ก็ทิ้งตัวนั่งลงที พอขึ้นไปถึงสุดบันไดนี่ไผ่รีบเดินจ้ำเข้าร้านกาแฟ สั่งทั้งน้ำปลา น้ำโค้ก น้ำแข็งเอามาให้หมด เฮ้ยยย...ค่อยรู้สึกว่ารอดตายแล้วจริงๆ

ใครที่กะจะมา ขอให้เตรียมเครื่องกันแดดมาให้พร้อมนะคะ เผื่อว่าฟลุ๊คเจอวันแดดเปรี้ยงแบบไม่ปราณีแบบไผ่

one day trip ของเราเวลายังเหลือ เดี๋ยวเรามาต่อของแถมนะคะ

อ่ะ ต่อไปเป็นช่วงแถม 1 day trip ของเราวันนี้ยังเหลือ


ด้วยความที่ดรีมอยากมาเล่นน้ำตกมากกก เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนพร้อม แต่ไม่ได้เล่นที่เขาช่องลม เพราะเวลาจำกัด

เราเลยให้น้องเลือกเลยว่าอยากไปน้ำตกไหน

สรุปแล้วดรีมเลือก ‘น้ำตกสาริกา’ ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันมาก ขับรถไปแพพๆก็ถึง

ที่น้ำตกสาริกานี้จะมีที่จอดรถของอุทยานอยู่นะคะ ซึ่งจอดฟรี

แต่ถ้าใครขี้เกียจเดิน อยากจอดใกล้ทางเข้าอีกนิด ตรงนั้นจะเป็นที่จอดรถเสียเงิน 40 บาท (ซึ่งไผ่ว่า มันก็ไม่ได้ไกล้กว่ากันไปซักเท่าไหร่)



เราจอดรถและแวะทางข้าวที่ร้านส้มตำ ‘ป้าติ๋ม’ จะบอกว่าใครชอบตำปูปลาร้าต้องห้ามพลาด

ปลาร้าที่นี่คือนัว เข้มข้นดีงามมาก และราคาถูกมาก เราทานกัน 4 คน หมดไปแค่ 350 บาทเองค่ะ



‘น้ำตกสาริกา’ จะมีค่าเข้าคนละ 40 บาทนะคะ


น้องแอม: “พี่ดรีมๆ”


ว่าแล้วน้องแอมก็สะกิดให้ดรีมดูป้ายที่แปะไว้ตรงทางเข้าว่า “ห้ามลงเล่นน้ำ”


555555 อดจ้า เก็บไว้ก่อนนะดรีมเสื้อผ้าที่เตรียมมา 


ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นที่บำบัดหลังจากเราผ่านความหฤโหดเมื่อเช้ามาจริงๆ

แค่ได้เอาเท้าจุ่มน้ำเย็นๆ ใต้ร่มไม้หนาครึ้ม มีแสงลอดเล็กๆ ฟังเสียงแมลงและน้ำตกด้านหลัง เฮ้ยยย มันดีมากกกค่ะ

อีกอย่างที่นี่ปลาเยอะมากกก และมันชอบมาตอดจ้าาา

ใครที่ชอบสปาเท้านี่เลยค่ะ ตอดเยอะ ตอดแรง ตอดแบบไม่กลัวคน ตอดจนคนยอมแพ้

นั่งพักชิลล์ๆ กันพักใหญ่ เราก็ชวนกันเดินขึ้นไปน้ำตกด้านบน ซึ่งเป็นน้ำตกใหญ่ สวยมากค่ะ

แนะนำว่าถ้ามาต้องเดินขึ้นนะ เดินนิดเดียว ไม่ทันเหนื่อยเลย

เหลือเวลาอีกนิด


ลูกไผ่: “ไปไหนต่อดีน้องแอม มีซุ้มไม้ไผ่ ที่วัดจุฬาภรณ์, ภูกระเหรี่ยง, ทุ่งนามุ้ย, อ่างเก็บน้ำทรายทอง”

ว่าแล้วก็เปิดรูปให้น้องดู

และที่สุดท้ายของวันนี้ก็จบที่ ‘ทุ่งนามุ้ย’ ที่ขับจากน้ำตก 15 นาทีก็ถึง

ที่นี่เค้าของความร่วมมือช่วยค่าทำนุบำรุงไม้ไผ่กันคนละ 10 บาท ตรงทางเข้าค่ะ

ที่นี่เค้าจะเป็นสะพานไม้ไผ่ ทอดผ่านทุ่งนา ซึ่งเอาจริงๆ ไม่ได้ใหญ่มากนะ แค่พอเดินชิลล์ๆไปอีกฝั่ง ซึ่งทั้ง 2 ฝั่งก็จะมีร้านกาแฟให้นั่งพักจิบกาแฟ ดูทุ่งนายามเย็น

เราเลือกร้านกาแฟปลายทาง เพราะเดินมาร้อนๆพอดี นั่งจิบกาแฟ นั่งชิงช้า รอแดดร่ม แล้วก็ชวนกันกลับกรุงเทพฯ

จบ 1 day trip นครนายก ที่เที่ยวเต็มอิ่ม จุใจ ใช้แรงเกลี้ยงไปแบบเหนื่อย แต่ฟิน


เอาจริงๆ เหมือนโรคจิตเล็กๆ เวลาไปเที่ยวลำบากๆ ถึงตอนเที่ยวจะรู้สึกไม่ไหว เหนื่อย ร้อน จะตาย

แต่พอผ่านออกมาแล้วไผ่จะรู้สึกฟินอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าได้ประสบการณ์ดี 555

Where We Go

 วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 15.49 น.

ความคิดเห็น