ฝากติดตามเพจของเราด้วยนะค้า ^^
Where We Go


จากที่เราได้ซื้อตั๋วบุฟเฟ่ต์ของ AirAsia ไป 

‘เชียงใหม่’ ก็เป็น destination แรกของเรา 

เนื่องจากเรามีวันหยุดอาทิตย์ละ 2 วัน ทริปของเราจากนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบ 2 วัน 1 คืน

และเราตั้งใจกันว่า เราจะไปแบบ backpack ค่ะ

เริ่มจากจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ 275 บาท

(เป็นค่าภาษีสนามบิน + Tax + ค่า payment gateway)

ทริปนี้หลักๆ เราแพลนว่าจะไป ‘แม่กำปอง’ กันค่ะ 

ตอนแรกเราก็ชะล่าใจ เราไปพฤหัส - ศุกร์​ ยังไงก็มีที่พักเยอะแยะ 

ปรากฎว่าที่พักที่เล็งใน Agoda ไว้ เต็มหมดจร้าาา 

ก็เลยต้อง search หาที่อื่น แล้วโทรติดต่อที่พักตรง เพราะเริ่มกลัวว่าจะไม่มีที่นอน 555

จนได้ที่พักที่ ‘บ้านชื่นชีวา’ 

ค่าที่พัก 1,000 บาท/คืน (ไม่มีอาหารเช้านะคะ)

เนื่องจากไปแบบ backpack แน่นอนว่ารอบนี้เราต้องมีการหาข้อมูลการเดินทางกันไว้ซะหน่อย

อ่ะ หาไว้ได้คร่าวๆแล้วว่า มีคิวรถตู้นั่งไปแม่กำปอง ไปขึ้นได้ที่กาดหลวง 

สบายใจละ ขึ้นไปได้แน่นอน 

แต่! พอเดินทางจริงๆแล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด!!!!

ใช่ค่ะ ไผ่ตกรถกันอีกแล้วววว

แล้วเราจะเดินทางไปกันยังไง มาตามอ่านกันเลยค่ะ 

Day 1:

เราบินไฟลท์ 9:05 น. ต้องไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองค่ะ

ซึ่งจากบ้านเราแล้วน๊านนน ค่า Taxi + ค่าทางด่วน แพงกว่าค่าตั๋วเครื่องบินทริปนี้อีกจร้าาา

เราใช้เวลาบินชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงเชียงใหม่

พอเดินออกมา ก็จะมี Taxi เรียกเราหลายคันเลยค่ะ 

“ไปกาดหลวงมั้ยครับ 150 บาท”

ด้วยความที่ไผ่เป็นสาวเหนือ ชั้นเรียนที่นี่มาก่อน ชั้นต้องหาทางไปที่ถูกกว่าน๊านนน

ลูกไผ่: “ไปค่ะพี่ปุ่น เดี๋ยวเราเดินไปหารถแดงกัน”

เดินไปเกือบถึงประตู airport ก็เจอรถแดงวิ่งเข้ามาพอดี คุณป้าก็พยักหน้าถามเราว่าไปมั้ย

เราก็มั่นใจในความเป็นสาวเหนือมาก ควักสกิลกำเมือง (ภาษาเหนือ) ออกมาเลยจ้า

ลูกไผ่: “ไปกาดหลวงเต้าใดเจ้า” (ไปกาดหลวงเท่าไหร่คะ)

คุณป้า: “คนละ 40 บาทเจ้า”

อ๊าาา ถูกกว่านั่ง Taxi เกือบครึ่ง ไปค่ะ!

พอมาถึงกาดหลวง จ่ายค่ารถเสร็จ เราก็เงอะๆงะๆ มองหาว่าคิวรถตู้อยุ่ตรงไหนหว่า คุณป้ารถแดงคงเห็น เลยตะโกนถามเรามา “ไปไหนอ่ะลูก”

ลูกไผ่: “ไปคิวรถแม่กำปองเจ้า”

คุณป้า: “อ๋อ คิวรถตู้แม่กำปองอยู่ตางปู้นลูก ติดริมแม่น้ำเน้อ” (คิวรถอยุ่ทางนู้น ตรงติดริมแม่น้ำนะ)

เราก็รีบขอบคุณคุณป้า แล้วเดินตามทางไปนิดเดียวก็เจอ 

พอเดินพุ่งไปถามพี่ที่คิวรถ ปรากฎว่าคิวรถเต็มจร้าาาา พี่เค้าบอกว่าต้องจองผ่าน Facebook ไว้ ตอนนี้มีว่างรอบละ 1 ที่ คือประมาณว่าต้องแยกกันไป แล้วรอบนึงห่างกัน 3 ชั่วโมงจร้าาา

พี่คิวรถ: “ไม่งั้นก็ต้องเหมารถแดงไป 1,000 นึง ถูกสุดก็น่าจะ 800”

         “ถ้า 600 ไปมั้ยอ่ะ มีคันนึงเป็นรถเพื่อนพี่ มีคันเดียวเนี่ยที่เอา 600 แต่เป็นรถเหลืองนะ”

จุดนี้แล้วก็ต้องเอาแล้วล่ะ สรุปคือแทนที่จะได้จ่ายค่ารถตู้คนละ 150 บาท เลยกลายเป็นเหมารถส่วนตัวขึ้นไปสวยๆ (แน่ใจว่าสวย!?) คนละ 300 เลยจร้าาา

ว่าแล้วเราก็รีบกดเข้า Facebook คิวรถตู้จองรถขากลับไว้ 2 ที่อย่างเร็วเลย

ใครจะไปอย่าลืมไปจองกันไว้ก่อนนะคะ ที่นี่เลยค่ะ https://www.facebook.com/Van.Hotsprings/

และนี่คือรถเหลืองที่เรานั่งขึ้นไป ไม่มีแอร์ รับลมธรรมชาติกันค่ะ คุณลุงมีแวะเอาของลงบ้าง เพราะเดี๋ยวถึงตอนขึ้นดอยจะขึ้นไม่ไหว 

ทางราบไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่พอถึงทางขึ้นดอยจ้า กลิ่นน้ำมันแรงมากกก เพราะรถต้องใช้แรงเหยียบขึ้นเยอะมาก ตอนแรกก็ไม่เวียนหัว จนมาถึงทางตรงนี้เกือบตายเพราะกลิ่นกันไปข้างนึงเลย

พอถึงแม่กำปอง อย่างแรกที่เราไม่ได้คาดคิดไว้คือ ถนนที่แม่กำปองไม่ได้เป็นทางราบจ้า

ที่นี่เป็นเนิน ละไม่ใช่เนินนิดๆนะ เนินสูงมว๊ากกก แบบว่าขาลงเดินไม่ได้ สามารถสไลด์ลงมาได้เลย 

ลงรถแล้ว อย่างแรกเราก็เดินขึ้นไปที่พักของเราก่อนที่ ‘บ้านชื่นชีวา’

ที่พักจะอยู่บนเนิน ต้องเดินขึ้นบันไดนิดหน่อย ให้ความรู้สึกเป็นโฮมเสตย์น่ารักดีค่ะ

เราได้ห้องริมสุด ที่มีบันไดทางขึ้น และมีชานระเบียง เรียกได้ว่าเป็นบ้านหลังเล็กๆเลย ตรงระเบียงคือดีมากกก นั่งชิลล์ๆ ดูวิวดีเลยค่ะ 

ส่วนข้างในห้องจะมีมุ้งสายบัว แล้วก็มีห้องน้ำในตัว

เราเข้าไปแล้วก็วางของ แล้วก็เข้าไปล้างมือล้างเท้าซักหน่อย ซักพักพี่ปุ่นก็พูดขึ้นมา

พี่ปุ่น: “โห ไผ่เห็นแล้วต้องกรี๊ดแน่เลย”

หะ!

ลูกไผ่: “อะไรอ่ะคะ”

พี่ปุ่น: “จิ้งจกตัวใหญ่มากกก"

พอสุดเสียงพี่ปุ่น ไผ่เงยหน้าขึ้นมา โอ้โห! ในห้องน้ำก็ใช่ย่อย

จิ้งจกตัวใหญ่มากกก สีขาวซีด คอหัก แปะอยู่ใต้กระจกเหนือซิ้งค์ล้างหน้าพอดี “อ๊ายยยย!!!!”

จากนั้นไผ่ก็ไม่เดินเข้าไปในห้องน้ำอีกเลย.........

พอเก็บของเรียบร้อย เราก็ออกมาหาอะไรทาน เพราะตอนนี้ก็บ่ายกว่าๆแล้ว

เยื้องๆกับที่พักจะมีร้านอาหารชื่อ ‘เฮือนกาแฟ’

อ่านจากชื่อแล้ว ใช่แล้วค่ะ ร้านนี้เค้ามีคาเฟ่ ขายเค้กและเครื่องดื่มด้วย

ข้างในร้านบรรยากาศดีมากค่ะ อากาศเย็นๆ ด้านล่างมีธารน้ำไหลผ่าน

ที่นี่เค้าจะมีอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว แล้วก็อาหารเหนือนิดหน่อยค่ะ รสชาติใช้ได้ ราคาโอเคเลยค่ะ

กองทัพได้เติมเสบียงเรียบร้อยแล้ว เราก็ชวนกันเดินลงไปด้านล่างที่เป็นโซนร้านอาหาร ของกินกันค่ะ 

ระหว่างทาง เราจะเจอ ‘วัดคันธาพฤกษา’ หรือวัดแม่กำปองค่ะ จะเป็นวัดแนวล้านนาเลย

เดินผ่านมาอีกนิดจะเป็นเจดีย์ของวัดค่ะ

จากนั้นเดินลงมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใกล้ใจกลางหมู่บ้าน ทั้ง 2 ข้างทางจะมีลำธารไหลตัดผ่านหมู่บ้านตลอด ทำให้ที่นี่อากาศดีมากค่ะ ถึงช่วงกลางวันจะไม่ได้เย็นสบายมาก แต่ก็ไม่ได้ร้อนจัด ถือว่าเดินได้สบายๆเลย

แล้วเราก็เดินมาถึงโซนร้านอาหาร ของกินกันแล้วค่ะ ตรงนี้จะค่อนข้างคึกคักหน่อย เพราะว่านักท่องเที่ยวจะกระจุกกันอยู่ตรงนี้ 

เมนูที่ใครๆบอกว่ามาแม่กำปองก็ต้องลองก็คือ ‘ไข่ป่าม’ กระทงละ 20 บาท สามารถปรุงพริกไทย ซีอิ๊วเพิ่มได้ตามใจชอบเลย แอบบอกว่ากระทงใหญ่มากกก กระทงเดียวก็อิ่มแล้วจ้า

เราชวนกันเดินไปเรื่อยๆจนถึงต้นหมู่บ้าน ตอนแรกกะว่าจะเดินไปร้าน Teddu อีก 1  คาเฟ่ที่มี สะพานแขวน ใหญ่ๆอยู่ แต่ดูจาก Google Map แล้ว มันช่างห่างไกลเหลือเกิน 555 เราเลยตัดสินใจเดินกลับ

แล้วก็มานั่งแวะพักเหนื่อยซะหน่อยที่ร้านคาเฟ่ ‘ลุงปุ๊ดป้าเป็ง’ ร้านคาเฟ่ใจกลางหมู่บ้าน ที่มีกำแพงเป็น signature ของที่นี่ ที่ใครมาแม่กำปองต้องมีมาแช๊ะรูปตรงนี้กันแทบทุกคน เราก็เลยต้องขอซะหน่อย ฮี่ ฮี่ ฮี่

แช๊ะรูปเสร็จก็เข้ามาแวะนั่งกินน้ำบ๊วย เป็นน้ำบ๊วยโครงการหลวงด้วย อยากจะบอกว่าอร่อยมากกก ชื่นใจสุดๆ เราสั่งเค้กมะพร้าวใบเตยมานั่งทานตรงริมน้ำด้วย อร่อยเหมือนกันเลย คือที่ร้านจะมีที่นั่งในร้าน และที่นั่งตรงริมธารด้วยค่ะ ชิลล์มากๆ

นั่งชิลล์พักเหนื่อยกันแล้ว ได้เวลาเดินต่อกันแล้ว

เป้าหมายต่อไปของเราก็คือ ‘น้ำตกแม่กำปอง’ ซึ่งจริงๆแล้วสามารถเดินขึ้นไปได้ค่ะ แต่! เราขอใช้บริการรถรับส่งค่ะ 555 ป้าแก่แล้ว เค้าจะมีรถบริการพาไปส่งที่น้ำตกจอดรอรับตรงวัดคันธาพฤกษา ค่าบริการ 20 บาทต่อคนค่ะ ไปแค่ 2 คนเค้าก็พาขึ้นไป ไม่ต้องรอรถเต็มเลย ทางขึ้นก็จะผ่าน ‘ร้านระเบียงวิว’ ที่เรากะจะมาแวะตอนขาลงจากน้ำตก ทางขึ้นไม่ไกลมากค่ะ แต่! ทางชันมากจ้าาา ระหว่างทางเห็นคนเดินขึ้นมาประปราย และแล้วเราก็มาถึงน้ำตกแล้ววว

ที่น้ำตกอากาศเย็นสบายมากๆค่ะ ด้านในเป็นน้ำตก ตอนเราไปถึงมีคนถ่ายรูปกันอยู่ประมาณ 3-4 คนเอง 

จากน้ำตก ขาลงเราเลือกที่จะเดินลงค่ะ สบายเลย อากาศดีมากๆ ขาลงนี่ยิ่งเร็ว เดินแพพเดียวก็มาถึง ‘ร้านระเบียงวิว’ ร้านคาเฟ่จุดชมวิวมุมสูง ที่มองลงมาแล้วเห็นหมู่บ้านแม่กำปอง ที่ใครมาแม่กำปองแล้วต้องห้ามพลาดค่ะ

ที่ร้านจะมีที่นั่งชมวิวเป็นแนวยาวเลย คิดว่าช่วงพีค คนน่าจะแน่นมากๆ

ต่อด้านล่างนะคะ ^^

นั่งชมวิว ถ่ายรูปกันจนพอใจก็พากันเดินกลับที่พัก กะว่าจะมานอนพักรอเวลาเดินลงไปหาอะไรทานตอนค่ำๆ จะได้ถ่ายรูปหมู่บ้านตอนร้านค้าเปิดไฟด้วย

พอถึงที่พักแปปนึง ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักเลย เดชะบุญที่เราเข้าที่พักแล้วพอดี ฝนตกหนักอยู่พักใหญ่เลยค่ะ เราอยุ่ตรงที่พัก นั่งมองวิวตอนฝนตก เฮ้ยยย มันดีมากอ่ะค่ะ

และนี่คือวิวจากที่พักของเราตอนที่ฝนหยุดตกแล้ว จะแอบมีหมอกนิดๆ

พอเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดนิดๆ ฝั่งตรงข้ามเริ่มเปิดไฟกันแล้ว เราเลยออกที่พักกันประมาณทุ่มนิดๆ กะว่าจะเดินออกไปข้าวเย็นทานตรงกลางหมู่บ้าน พอดีเดินผ่านร้านขายของชำเยื้องๆกับที่พัก

ลูกไผ่: “พี่ปุ่นจะซื้ออะไรป่ะคะ เผื่อว่าเดี๋ยวขากลับร้านเค้าจะปิดก่อน”

เราเลยแวะเข้าไปซื้อของก่อน

คุณป้า: “ทานข้าวกันรึยังอ่ะลูก”

ลูกไผ่: “ยังเลยค่ะ กำลังจะไปหาอะไรทานเลยค่ะ

คุณป้า: “เอ้า รีบไปนะ ร้านเค้าจะปิดกันหมดแล้วนะ ที่นี่ร้านปิดเร็ว”

นั่นไง เราก็เลยรีบเดินลงไป แต่ระหว่างเดิมไป สองข้างทางมืด ปิดไฟกันหมด เราเริ่มคิดว่ามันจะคุ้มเสี่ยงเดินลงเนินชันๆที่ตอนนี้ถนนลื่นแล้ว ละลงไปก็มีสิทธิ์ค้นพบว่าร้านปิดแล้ว เราเลยตัดสินใจไม่เดินลงไป แล้วเดินกลับมาที่ร้านพิซซ่าเวียดนาม ที่เดชะบุญยังเปิดขายเป็นร้านที่มีแสงไฟสว่างร้านเดียวในระแวกนั้น เราเลยสั่งพิซซ่าเวียดนามคนละชิ้น กับลูกชิ้นปิ้งหมาล่าคนละ 3-4 ไม้ กลับมานั่งทานตรงระเบียงห้องพัก

จริงๆก็ดีไปอีกแบบนะคะ เพราะตรงระเบียงห้องพักชิลล์มาก

อากาศตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 24 องศา และดูจะเย็นลงเรื่อยๆ ดีย์...อ่าาาา


พี่ปุ่นทานเสร็จก่อนเลยเดินเข้าไปล้างมือ และอาจจะด้วยความรำคาญ (ไผ่) 555

พี่ปุ่น: “จิ้งจกในห้องน้ำมันตายแล้วนี่ เราเก็บทิ้งถังขยะไปแล้วนะ”

โอ้โห....มายฮีโร่ของไผ่!!!!!

วันนี้ไผ่เลยอาบน้ำได้อย่างสบายใจ ยัง! จบจากจิ้งจกแล้วน๊านนน เราเพิ่งค้นพบว่าเครื่องทำน้ำอุ่นไม่ทำงาน!

โอเค จำเป็นละ แข็งก็แข็ง สรุปคือเราต้องอาบน้ำเย็นเฉียบ ท่ามกลางอากาศ 24 องศาหลังฝนตก บรื้ออออ...

วันนี้เราหลับกันตั้งแต่ 3 ทุ่ม เพื่อเก็บแรง?
เปล่า! ไฟดับ! 555

ที่แม่กำปอง ถ้าวันไหนฝนตกหนักมากๆ ไฟจะดับทั้งหมู่บ้านค่ะ ราตรีสวัสดิ์.....

Day 2:


วันนี้เราตื่นกันประมาณ 9 โมงกว่าๆ วันนี้เราต้องไปขึ้นรถตู้กลับเข้าตัวเมืองรอบ 11:30 น.​ เรา check out ออกที่พักกันประมาณ 10 โมงกว่าๆ แล้วก็มาแวะทานข้าวที่ ร้านเฮือนกาแฟ ร้านเดิม กะว่าที่ขึ้นรถอยู่ใกล้ๆ ยังไงก็ทัน แต่! เราเข้าใจผิด จุดที่ขึ้นรถอยู่ต้นหมู่บ้าน ซึ่งอยู่คนละโยชน์กับที่พักเราเลยจร้าาาา วิ่งสิคะ รออะไร!
11: 24 น. เสียงโทรศัพท์จากคุณลุงรถตู้โทรเข้ามาพอดี พอดีกับที่เราวิ่งหอบแฮ่กมาถึงพอดี ไอเราก็มองหารถตู้ แต่ไม่ใช่รถของเราเป็นรถแวนแบบ 7 ที่นั่ง เต็มรถพอดี

คุณลุงบอกว่าใครอยากลงที่อื่น ที่ไม่ใช่คิวรถบอกแกได้ แกไปส่งได้แล้วแต่จะตกลงราคากัน เราก็เลยให้คุณลุงไปส่งที่ ‘บ้างข้างวัด’ คุณลุงคิดค่ารถเพิ่มคนละ 50 บาท



‘บ้านข้างวัด’ เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมร้านขายของงาน craft และร้านกาแฟ อยู่ตรงซอยวัดอุโมงค์ ข้างหลัง มช. ค่ะ เส้นนี้ไม่มีรถวิ่งน้า ถ้าใครที่ไม่ได้มีรถส่วนตัวต้องเหมารถมานะ ราคาก็แล้วแต่ตกลงเลย

ข้างในนี้มีร้านอยู่เยอะพอสมควร มีซอกซอยให้เดินเยอะอยู่ และทุกร้านน่ารักไปหมดเลย ส่วนราคา ไผ่ว่าเป็นราคาสำหรับนักท่องเที่ยวเลยแหละ

อากาศในตัวเมืองเชียงใหม่ค่อนข้างอบอ้าว ร้อนไม่แพ้กรุงเทพฯเลย ไผ่เลยขอแวะนั่งที่ ‘ร้านอบเชย’ ซึ่งเป็นร้านคาเฟ่แนว Zakka น่าร๊าากกกซะหน่อย

ไผ่สั่งน้ำผึ้งมะนาวโซดา ส่วนพี่ปุ่นสั่ง Hojicha Latte 2 แก้ว อยู่ที่ 130 บาทค่ะ นั่งพักแล้วก็เดินถ่ายรูปอีกนิดหน่อย จริงๆวันนี้ไผ่มีแพลนไปอีก 2 ที่คือ ‘ร้าน Magokoro Teahouse’ กับ ‘ร้าน Transit No.8’ แต่ดูจากทิศทางที่ไผ่ไม่ได้แพลนดีๆ ไว้แต่แรก เลยคิดว่าต้องตัดออกซักร้าน สรุปเราเลยเลือกตัด Transit No.8 แล้วไปมุ่งไปที่ ‘ร้าน Magokoro Teahouse’ อยากไปชิมชาเขียวอ่ะเนอะ 555

จาก ‘บ้านข้างวัด’ ต้องเรียก Grab ออกไปเท่านั้นค่ะ เดชะบุญที่เรามี point แลกค่าโดยสารได้ เราเลยจ่ายแค่ 6 บาท จากบ้างข้างวัด ไปยังร้าน Magokoro Teahouse ที่อยู่แถบกาดหลวงนู้นนน

‘ร้าน Makogoro Teahouse’ อยู่ติดถนนเลยค่ะ ตอนแรกเราคิดว่าอยู่ในซอยซะอีก

ข้างในร้านมีสวนที่เป็นบาร์เล็กๆ ที่นั่งเป็นโต๊ะๆ ซึ่งอยู่ในห้องแอร์ และมีโซนชานบ้านที่ออกไปนั่งชมสวนญี่ปุ่น ซึ่งตรงนี้จะไม่มีแอร์นะคะ และคนเต็มทุกโต๊ะจ้า ต้องรอคิวน้า (นี่ขนาดเราไปวัดศุกร์นะ ร้าน Hot Hit มากค่ะ)

ชาเขียวที่นี่จะมี 3 ระดับนะคะ เรียงความความเข้ม

ไผ่สั่ง Iced Yamayuri Latte (159 บาท) ซึ่งเป็นตัว premium สุด

ส่วนพี่ปุ่นสั่ง Yamaboshi Iced Matcha (139 บาท) ซึ่งเป็นตัวรองลงมา และเป็นตัว standard ของร้าน

และสั่งบราวนี่ (95 บาท) มาลองทาน

ในส่วนของชาเขียว ไผ่ว่าชาเขียวเค้ารสชาติเดียวกับ ‘ร้าน Tealily’ ตรงเอกมัย 12 เลย อาจจะเป็นชาตัวเดียวกัน ส่วนบราวนี่ค่อนข้างหวาน และช็อคโกแลตไม่ค่อยเข้มเท่าไหร่ สำหรับใครที่อยากมานั่งดื่มด่ำชาเขียวในบรรยากาศสวนญี่ปุ่น ก็มาลองดูได้ค่ะ

จากร้าน Magokoro เราออกมาเดินตระเวนแถวๆนั้นเรื่อยๆ เผื่อว่าจะเจอร้านอาหารเหนือเป็นข้าวเย็นปิดท้ายซะหน่อย แต่เดินแล้วเดินเล่า ก็เจอแต่ร้านปิด น่าจะเพราะว่าตรงนี้เหมือนจะเป็นย่านสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ พอเจอ Covid แถวนี้ก็เลยเงียบกริบเลย สุดท้ายเราเลยโบกรถแดง ไป Central Airport คนละ 30 บาท เพื่อทานข้าวเย็น แล้วเดินย่อยไปรอขึ้นเครื่องที่สนามบินตอนไฟลท์ 20:15 น.


ถือว่าเป็นทริปที่มีความสุขดีนะ สนุกดี มีเหนื่อยบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าได้มาพักผ่อนจริงๆ


——————————

สรุปค่าใช้จ่าย

ค่าเดินทางไป - กลับบ้าน - สนามบิน คนละ 356 บาท

ค่าตั๋วเครื่องบินไป - กลับ เชียงใหม่ คนละ 275 บาท

ค่าที่พัก คนละ 500 บาท

ค่ารถขาไปแม่กำปอง คนละ 300 บาท

ค่ารถขากลับจากแม่กำปอง คนละ 150 บาท

ค่ารถขึ้นไปน้ำตกแม่กำปอง คนละ 20 บาท

ค่าเดินทางในตัวเมืองเชียงใหม่ คนละ 123 บาท

ค่าอาหาร (แวะคาเฟ่เยอะหน่อยค่ะ) คนละประมาณ 700 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทริปนี้ 2,424 บาท/คน


——————————

รอติดตามทริปหน้าน้า (ช่วงนี้ต้องเที่ยวให้คุ้มตั๋วบุฟเฟ่ต์! 555)

Where We Go

 วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.26 น.

ความคิดเห็น