สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวบลูแพลเน็ท กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของแพทเลยค่ะ หลังจากแอบส่องหาข้อมูลในนี้อยู่เรื่อย ขออนุญาติแนะนำตัวก่อนนะคะ



ชื่อแพทตี้ค่ะ ชอบเที่ยวมาก ชอบเสาะหาร้านอาหารอร่อยๆ ชอบนอนโรงแรมสวยๆ ชอบเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ เริ่มตั้งแต่ตอนเด็กๆก็ไปกับครอบครัว พอโตขึ้นมาหน่อยคุณพ่อคุณแม่เริ่มส่งเราไปเรียนต่างประเทศ ตอนนั้นยังเป็นเด็กหญิงอยู่เลยนะ^^ เราเลยเริ่มรู้จักการเดินทางคนเดียว แรกๆก็กลัวค่ะ นานๆเข้าก็เริ่มปรับตัวช่วยเหลือตัวเองได้ เลยมีหลายทริปเหมือนกันที่แพทไปต่างประเทศคนเดียว จนตอนนี้เหมือนเสพติด อยู่บ้านนานๆไม่ได้ต้องหาเรื่องจัดทริปไปนั่นไปนี่ตลอดเลยค่ะ



จริงๆที่อยากมาเขียนเพราะตอนหาข้อมูลทริปนี้ ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมเลย บวกกับถูกคนรอบข้างกดดัน ไหนๆก็เที่ยวเป็นงานหลักแล้ว ทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง เลยหวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง ไม่กล้าเรียกว่ารีวิว เพราะทั้งภาพทั้งข้อมูลไม่แน่น ถือซะว่าเอามาเล่าประสบการณ์ให้ฟังละกันนะคะ

แพทมีเพจละนะค้าาา https://www.facebook.com/fovbypritshayada ขอฝากกกเริ่มจากเรา2ครอบครัวรวม9ชีวิตไปล่องเรืออลาสก้ากันมาก่อน7คืน จบจากเรือเราก็แยกย้ายกลุ่มนึงไปLA กลุ่มนึงกลับไทย ส่วนเราสี่คนมาต่อที่แคนาดากันโดยการเช่ารถขับจากสนามบิน Calgary อายุมากสุดในทริป 63 อายุน้อยสุด 24 (เค้าเอง แฮ่..) เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่ไปได้ค่ะ สบายๆ


ทริปนี้ 6 วัน 5 คืนค่ะ (แอบไม่พอแฮะ) นั่งเครื่องมาที่ Calgary ถึงเย็นๆ เลยเช่ารถขับออกมานอนชาร์จแบตในCalgary ก่อนคืนนึง เตรียมพร้อมสำหรับการขับรถยาวๆ 5 ชั่วโมง ถึง Jasper วันแรกนี่ฝนตกกระหน่ำตลอดทาง เดี๋ยวก็เป็นลูกเห็บ เดี๋ยวก็เป็นหิมะ แต่ถนนดีมากนะคะ ขับไม่ยากเลย ตอนเช่ารถอุตส่าห์ทำใบขับขี่สากลมา ไม่เห็นดูเลยค่ะ เอาแต่บัตรตัวจริง เช่าผ่านบริษัท alamo ค่ะ ราคาตกวันละพันเอง แต่ทำประกันอีกวันละพันกว่าบาทแน่ะ! จำใจต้องทำค่ะไม่ไว้ใจความสามารถในการขับขี่ตัวเอง ได้คันนี้ค่ะๆ

*ขออภัย ไม่ได้จะ tie in สินค้านะ เพื่อนฝากมารีวิว มีรูปนี้รูปเดียว อย่าแบนเค้าน้าาาระหว่างทางจาก Calgary เข้าไป Banff National park เริ่มเห็นภูเขาหิมะ สุดลูกหูลูกตา พวกเรากรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ พอกลับมาดูรูป โถๆ นี่แค่น้ำจิ้มเท่านั้นเองค่ะ ข้างในมีเด็ดๆรออีกเพียบ เรียกว่าขับเพลินลืมเวลาไปเลย อ้อลืมบอก ต้องเสียค่าเข้าอุทยานด้วยนะคะ เราอยู่ห้าวันจ่ายประมาณ70เหรียญ คิดเป็นต่อคันต่อวัน จ่ายตังปุ๊บ เค้าจะให้ใบเสร็จมาแปะหน้ารถ แปะๆเอาสบายใจค่ะ ฮ่าๆ ไม่มีใครดูเลย แนะนำให้ซื้อวันเดียว อยู่สิบวันค่ะ ว๊ายยๆ เมื่อกี๊แมวพิมพ์ค่ะ อะไรนะๆ อยู่ 5 วันก็จ่าย 5 วันสิคะ!


ระหว่างทางสัญญานโทรศัพท์แทบไม่มีค่ะ นับเป็นความโชคดีของเราชาวกรุงเทพ ที่มีถนนและผังเมืองขั้นปราบเซียน ขับในกรุงเทพได้ ย่อมขับประเทศอื่นได้ การคลำทางไปถึงที่หมาย จึงเป็นไปได้อย่างง่ายดาย และในที่สุด เราก็มาถึงจุดหมายแรกของเราแล้วค่ะ โรงแรม Fairmont jasper park lodge


แค่ location ก็กินขาดแล้ว การสร้างโรงแรมของเครือ Fairmont ที่นี่ เรียกว่าสร้างให้เป็น landmark hotel (ฟัง video present ของโรงแรมโม้มา) โรงแรมนี้ประหนึ่งว่าเป็นอาณาจักรย่อมๆ จะเดินทางไปไหนต้องเรียกรถมารับ ใครขับรถมาเค้ามีบริการ Valet ค่ะ วันนี้เราจองห้องเดียว อยู่สี่คน ห้อง Twin ของที่นี่จะใช้เป็นเตียง Queen size 2 เตียง เราสามารถเดินสวยๆมาเช็คอินพร้อมกันสี่คนได้ค่ะ ไม่ต้องเนียน ตอนแรกก็กล้าๆกลัวๆ แต่เราเป็นกระเหรี่ยงนะ ถ้าไล่เดี๋ยวแม่นอนโซฟาล๊อบบี้จริงๆนะ สุดท้าย ผ่านฉลุยแถมฝรั่งอัพเกรดด้วยล่ะจ้าา คงสงสารกระเหรี่ยงนอนอัดกัน ได้เป็นห้องสวีทอยู่หน้า lake รูปล่างนั่นแหละจ้า


ในล็อบบี้เลี้ยงหมาด้วยนะคะ สระว่ายน้ำของโรงแรมเป็น heated pool ค่ะ ไม่ต้องกลัวหนาว แต่ถ้ายังร้อนสะใจ มี hot tub ให้แช่ด้วย ควันขโมงได้อีก แช่ไปชมภูเขาหิมะไป โอย ฟิน แพทอยู่สองคืนแช่ทั้งสองคืนไม่เคยอาบน้ำในห้องเลย (เช้าไม่อาบ อุ๊บ!) ในส่วนของฟิตเนสกับสปา มีstream sauna ห้องอาบน้ำให้ใช้ฟรีด้วยนะคะ ห้องแต่งตัวผู้หญิงนี่มีทุกสรรพสิ่งที่ต้องการจริงๆ น้ำยาบ้วนปาก ครีมล้างเครื่องสำอางค์ ที่หนีบผมยังมีเลย กราบบบ


โรงแรมสวยเราเลยกินนอนมันที่นี่ ลองมาสี่ร้าน สรุปเลยละกันนะคะ


ร้าน Orso อาหารดี บริการเชื่องช้า ปลา whole branzino บีบ lemon ถือว่าเด็ด

ร้าน Oka Sushi ต้องจองให้ไว ร้านเล็กมาก รับลูกค้าวันละชุดเดียว เซฟชาวญี่ปุ่นอยู่นี่มาเป็นสิบๆปี ปั้นอย่างเชื่องช้า ยิ่งชวนแกคุยยิ่งช้า นั่งจนคนทั้งร้านแลกเฟสบุ๊คกัน คุณภาพไม่แพ้ร้านดีดีแถวทองหล่อ ราคาไม่โหดเกินไป คิดถึงซูชิต้องจัด ไม่คิดถีงก็ต้องจัด

ร้าน The Emerald lounge ร้านสวยอย่างเดียว อยากนั่งสั่งเครื่องดื่มพอ อย่าสั่งอาหาร

ร้าน Fitzhugh's to go เหมาะแก่การซื้อแซนด์วิชไว้ทานบนรถ รสชาติถูไถ



อะไรดีบุ๋มก็บอกว่าดีทีแรกสารภาพตรงๆว่าไม่ได้คิดจะมา Jasper เลย แต่ไปเห็นภาพ Athabasca fall ในเน็ต เห็นว่าสวยดี และคุณพี่สาวบอกว่าเราก็พอมีเวลานะ ไหนๆมาแล้วแวะไปหน่อยก็ได้ หลังจากมาแล้วเราก็ได้ค้นพบว่า แถวๆ Banff, Lake louise เนี่ย มี Lake สวยๆเต็มไปหมด แต่ถ้าวิวภูเขานะ ต้องJasper เท่านั้น ว้า เสียดายแทนคนไม่ได้มาจัง ที่นี่มีกระเช้าขึ้นไปดูวิวด้วยล่ะ ชื่อ Jasper Sky Tram อยู่ใกล้โรงแรมมาก เตือนไว้ก่อนนะคะ ถ้าไม่อยากตกอยู่ในสภาพอย่างพวกเรา เตรียมตัวดีดี ข้างบนน่ะ ติดลบ 12C เชียวนะ ส่วนร้านอาหารข้างบนวิวสวยแต่รสชาติไม่เหมาะแก่การไปฝากท้องอย่างยิ่ง แพทตี้ลองแทนแล้วผู้อ่านไม่ต้องลองจ้า



และแล้วเราก็มาถึง เราขับรถห้าชั่วโมงเพื่อน้ำตกแห่งนี้



Athabasca Fall Fall Fall Fall (ทำเสียงechoด้วย)



แต่เดี๋ยวนะ ทำไมภาพในเน็ตกับความจริงสีน้ำมันถึงได้ต่างกันขนาดเน้ ห๊าาา คุณหลอกดาวววว

*credit from googleแต่ถึงอย่างนั้น ก็ต้องขอบคุณภาพในเน็ตที่หลอกเรามาถึง Jasper ได้ ทำให้เราไม่พลาดที่สวยๆ กับวิวระดับสิบกระโหลกระหว่างทางมาที่นี่ ถึงน้ำตกจะไม่ฟ้า แต่จะว่าไปก็ไม่ขี้เหร่นัก กลับมาดูรูป นี่มันสวยใช่เล่นนะ แต่ตอนนั้นไม่อินเท่าไหร่ กำลังข้องใจกับน้ำสีฟ้าอยู่


ออกจากน้ำตกเหลือบดูนาฬิกา เวลาเหลือนี่นา เมื่อกี๊แว๊บๆเหมือนเห็นป้าย pyramid lake เราก็รีบ search อากู๋อย่างไว หูยยย มีโขดหินเป็นรูปพีรมิดกลางน้ำเลยอ่าา ดูว์ดีย์อ่า ล้อหมุนเลยค่า



แล้วก็ โดนนน อีกจนได้ค่า



ไหนคะ พีรมิด ไม่มีหินโผล่ออกมาซักยอด

สมองอันชาญฉลาดของแพทเริ่มพินิจพิจารณา เอ... หรือเรามาผิดเวลานะ สงสัยมาตอนน้ำขึ้น แต่นี่ไม่ใช่ทะเลซักหน่อย หรือว่า ภาพที่เราเห็นนั้น อาจเป็นภาพเมื่อร้อยปีที่แล้ว ก่อนที่หินสามเหลี่ยมจะถูกน้ำกัดเซาะจนไม่เหลือร่องรอยดั่งปัจจุบัน



เพื่อความชัวร์ เปิด google ค้นความเป็นมาดีกว่าค่ะ



ผ่างงง.......



Pyramid lake ในรูปนั่นมันที่ Nevada ข่าาาา



credit from google



แหม หินก้อนใหญ่ขนาดนี้ คิดได้เนาะเรา ถูกน้ำกัดเซาะ อิอิ ส่วนภาพ pyramid lake ที่แพทถ่ายมา ขอข้ามนะคะ อายค่ะ พูดให้เห็นภาพนะคะ มันคือทะเลสาบค่ะ....... โอเคค่ะ ไปต่อต้องให้เครดิตความโง่เขลาของตัวเองจริงๆ ระหว่างทางไป Pyramid lake เราได้ค้นพบสถานที่ใหม่ สวยงามดั่งสวรรค์ ต้นไม้สีเหลืองตัดกับน้ำสีเขียวมรกตใสสะท้อนวิวภูเขากลับหัวอยู่บนผืนน้ำ ตามโบรชัวร์ไม่เห็นมีภาพที่นี่เลย ที่นี่ชื่อ Patricia Lake ค่ะ ใครกำลังจะไป ปักหมุดเลยจ้า



ดูเวลาอีกที เอ้า ยังเหลืออีก ไปไหนดี คราวนี้แพทอยู่เงียบๆแล้วค่ะ ฮ่าา ปล่อยพี่น้องเค้าคุยกัน จนเค้าเคาะออกมามา ว่าไป Maligne lake ค่ะ โอเค ไปก็ไป ถ้าพลาดก็ไม่รู้ไม่ชี้ละนะ แล้วก็ ฟาวววด์ อีกจนได้ ทุกอย่างก็ปิดหมด เรือที่ให้เช่าก็ปิด เราสี่ชีวิตหลังจากนั่งรถมาเกือบสองชั่วโมง ไกลนะคะ แวะเข้าห้องน้ำ ถ่ายรูปสองสามรูปพอเป็นพิธี ก็รีบขึ้นรถค่ะ ไม่พูดไม่จา ตอนนี้เราเจ๊ากันแล้วค่ะ



แต่แกงค์เรามักมีโชคในความซวยเสมอ ระหว่างทางกลับเราเจอกวางมูส ตัวเป็นๆเลย นั่ลล๊าค เขาม้วนๆ อย่างกะในการ์ตูนแน่ะ ไม่กลัวคนซะด้วย แถมระหว่างทางมาก็วิวสวย ไม่ซ้ำกับที่อื่น อันนี้ต้องยกเครดิตให้คนพามา


ยิ่งนั่งคัดรูป ก็ยิ่งท้อแท้กับสกิลการถ่ายภาพของตัวเอง จะพูดให้ผู้อ่านเชื่อยังไงดี ว่าระหว่างทางแถว Jasper สวยมากขนาดไหน รูปมันน้อยเหลือเกิน เห็นcomposition แล้วปวดใจ ฟ้าน้อยไปมั๊ยเรา (ประชด!)


นึกว่าอยู่ในหนัง Vampire Twilight ภาพนี้พี่สาวคนสวยเป็นคนถ่ายค่ะ ต้องยกความดีให้นาง


ส่วนภาพนี้ พิกัดอยู่ตรงหน้าโรงแรมชื่อ Glacier view inn ค่ะ เย็น ยะเยือกก เราเจอตอนขับผ่านระหว่างทางไป lake louise ค่ะ


หยุดหายใจแป๊บ หลังจากกดชัตเตอร์ภาพนี้ แพทถึงกับอุทานในใจ “ภาพนี้แหละ เป๊ะเลย ขามาเห็นขายในปั๊มตั้ง 1.5 เหรียญ"


Peyto lake ในวันฟ้าใส สวยระดับสิบคะแนน การเดินทางมาสุดแสนสบาย จอดรถเดินไม่กี่ก้าวถึงจุดชมวิว แต่จะให้สุด ต้องปีนออกไปถ่ายตรงโขดหิน หลังจากถ่ายภาพมาม๊าของเราเสร็จก็ได้มอบหมายให้มาม๊ารับภาระเฝ้าของ ส่วนเราสามคนขายังดียังมีแรง ปีนป่ายถ่ายภาพกันจนพอใจจึงกลับมา

ถ่ายเสร็จต้องอวดค่ะ แพทจัดแจงยัดกุญแจรถใส่มือให้หนุ่มหล่อเพียงผู้เดียวของทริปเรา ส่วนสาวๆหรอคะ import ลงมือถืออย่างไว อัพรูปสิคะ รออะไร IG เราต้อง real time เดี๋ยวไม่เก๋ ฮ่าาา ไม่มีคนไลค์เลยค่ะ เมืองไทยตีสี่ เพื่อนหลับ


เล่าย้อนไปถึงจุดกำเนิดของทริปนี้เมื่อซักเดือนพฤษภาคมเห็นจะได้ เราสองนั่งคุยกันถึงสถานที่ท่องเที่ยวในฝัน Aurora บ้างล่ะ Machu pichu บ้างล่ะ จนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง “นี่สถานที่ในฝันเลย อยากไปมานานแล้ว" หนุ่มข้างกายยื่นภาพที่โพสไว้เมื่อต้นปี ปรากฏเป็นภาพสิ่งก่อสร้างคล้ายปราสาท โอบล้อมด้วยภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว มีทะเลสาบสีเขียวมรกตขั้นตรงกลาง คล้ายภาพปราสาทเจ้าหญิงในจินตนาการสมัยเด็ก “ที่นี่คือ Lake louise จ่ะ" ชายหนุ่มผู้กำลังจะตกเป็นสปอนเซอร์กล่าว แพทตี้ผู้รักการท่องเที่ยว(โดยเฉพาะเที่ยวฟรี) เห็นพิกัดแล้วยิ้มออก ครอบครัวเราสามพ่อแม่ลูกกำลังจะไปล่องเรืออลาสก้าเดือนมิถุนา พอดีจัง จบจากเรือ เราบินมาที่นี่ต่อใกล้นิดเดียว ขับเที่ยวซักสี่ห้าวันค่อยกลับ สี่เดือนผ่านไป ตัดมาที่ภาพปัจจุบัน รถฟอร์ดคันโตของเราเลี้ยวเข้าไปตามป้าย Hotel Guest พนักงานยืนรอรับกล่าวนามสกุลของเราได้อย่างชัดเจน ถึงแล้วค่ะ โรงแรม Fairmont Chateau Lake Louise


พนักงานแจ้งว่าห้องหนึ่งในสองที่เราจองมาอยู่ชั้น Gold มีบริการ private check in เชิญขึ้นไปชั้นเจ็ดเลยจ้านาย ทั้งรถ ทั้งของ เดี๋ยวดูแลให้เองจ้า เราก็งงสิคะ ก็จองมาสองห้องเหมือนกัน แต่ก็ตามน้ำขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้นเจ็ด


ชั้นเจ็ดมีเลาจ์หน้าตาสวยงาม มีขนมหลายอย่าง เครื่องดื่มหลายชนิด เครื่องชงกาแฟหน้าตาดี และไวน์มียีห้อวางเรียงกัน แพทคนเดียวที่ยืนเจรจากับพนักงานต้อนรับ อีกสามชีวิตพุ่งตรงไปหาอาหารเครื่องดื่มด้วยความเร็วแสง หันไปอีกทีเคี้ยวกันหนึบหนับ สรุปได้ความว่า เราได้อัพเกรดอีกแล้วจ้าา ได้อยู่ชั้นgold มาทานฟรีได้ทั้งวัน และที่ยิ่งไปกว่านั้น ห้องเตียงคู่ที่จองมา เป็นเตียง queen สองเตียง สามารถนอนได้สี่คนเหมือนเดิม สายไปแล้ว เราใช้บัตรสปอนเซอร์จองสองห้องไปแล้ว


เลาจ์ที่นี่แพทชอบเลยค่ะ อาหารมีไม่ได้เยอะมาก แต่อร่อยคุณภาพดี อาหารเปลี่ยนตามช่วงเวลา แพทมาเช็คอินบ่าย ก็จะเป็นขนมนมเนยแบบ Afternoon Tea ตอนเย็นก็มีอาหารที่หนักขึ้น ส่วนตอนเช้าจะแปลงร่างเป็นห้องอาหารเช้า ซึ่งอาหารก็ไม่เยอะอีกน่ะแหละ แต่ Smoke salmon มาเป็นแผ่นโตๆ ผิดกับบนเรืออลาสก้าที่มาเป็นฝอยๆขุยๆ สตรอเบอร์รี่ลูกโตหวานๆ จริงๆเราได้อัพเกรดห้องเดียวนะ แต่ครอบครัวเราเดินหน้านิ่งมากินกัน4คน ไม่เห็นมีใครว่า ชาที่นี่ก็ห๊อมหอม แพทงี้ หยิบกลับบ้านมาตั้งหลายซอง อุ๊ย เล่าไปเล่ามาเริ่มdark ไม่เล่าละ ไปต่อที่ห้องนอนกันค่ะ


ถึงห้องละค่าา โถ นึกว่าจะใหญ่ ห้องขนาดมาตราฐานค่ะ เทียบกับห้องที่ไม่ได้อัพเกรดแล้ว ใกล้เคียงกัน สรุปได้ว่า ห้องชั้น Gold คือห้องที่ Renovate แล้ว การตกแต่งหรูหรากว่า โรงแรมนี้ไม่ได้โดดเด่นที่ห้องค่ะ แต่ตัวโรงแรม โลเคชั่น facility ต่างๆ ดีงามพระรามสี่มากๆ จากหน้าต่างห้องมองเห็นวิว lake louise เลยค่ะ เสียด๊าย หน้าต่างเปิดไม่ได้


โรงแรมนี้ตรงกับคำนิยามที่โรงแรมโม้ว่าเป็น landmark hotel อย่างแท้จริง เพราะเป็นโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวในที่เดียวกัน แต่เราเป็น hotel guest ยืดอกพก keycard ไว้ดีดีฮะ เรามีที่จอดส่วนตัว จะพายเรือคายัคก็ไม่ต้องต่อคิว ห้องอาหารก็มีสิทธิจองก่อน แต่มีอีกอย่างนึงถือว่าเป็นไฮไลท์เลย อุบไว้ก่อนนะคะ มาเดินดู lake louise กันดีกว่า แดดช่วงบ่ายแก่ๆสาดลงมาบนผืนน้ำสีเขียวเป็นประกายระยิบระยับ จริงอยู่ที่ว่าภาพแบบนี้หาดูในเน็ทก็ได้ดีไม่ดีสวยกว่านี้อีก แต่การที่ได้กดชัตเตอร์ด้วยมือตัวเอง มันมีความสุขกว่ากันเยอะ แต่ถ้าจะให้ฟินสุด ต้องมีเราอยู่ในภาพถูกมั๊ยจ๊ะ ^^ ว่าแต่ ไอ่ภาพที่เห็นทั้งโรงแรมทั้งทะเลสาบต้องไปอยู่ตรงไหนถึงจะได้รูปแบบนั้นนะ เปิดรูปถามป้า reception แล้ว ป้าบอกทางอย่างละเอียด หนูๆต้องไป take gondola ขับออกไปจากโรงแรมนิดเดียว ก็จะได้ภาพแบบนี้เลยจ้า


พอถึงที่ขึ้น gondola หน้าตาเหมือนที่เล่นสกี แน่ใจหรอว่าเราจะเห็นวิวนั้น เราไปถามคนขายบัตรดีกว่า ทันทีที่ยื่นภาพให้คนขายดู ป๊าบ! หนุ่มคนขายทุบโต๊ะ "นี่ล่ะยู exactly สิ่งที่ไอต้องการถ่ายมาหลายปี ภาพนี้เลย" คนขายพูดพลางยกแขนขึ้นมา “กลับไปเอาเลนส์ตัวยาวเท่าแขนไอมาสิ รับรองยูได้ภาพที่ยูต้องการแน่นอน" ฟังจบถึงกับเข่าอ่อน ก้มมองเลนส์สองตัวที่พกมา ตัวนึงเลนส์ไวด์ ตัวนึง fix ระยะสายตา ป้าreceptionไม่ได้หลอก ก็แค่บอกไม่หมด เราสามชีวิตเดินคอตกขึ้นรถ แต่ยังไม่หมดความพยายาม อย่างน้อยถ้าเราพายเรือคายัคออกไปกลางทะเลสาบ เราน่าจะได้ภาพโรงแรมกับน้ำสีสวย ขอว๊าปไปตอนเช้าสักครู่ เรากำ keycard เดินเข้าเลนส์พิเศษของโรงแรมไปเช่าเรือ เราได้ขึ้นเรือเลยในขณะที่มองไปอีกฝั่งเห็นทัวร์จีนต่อคิวเป็นหางว่าว รับรู้ได้ถึงรัศมีอาฆาตทันที


แต่นแต๊น จากรูปโรงแรมมีภูเขาล้อม กลายเป็นภาพนี้ได้ยังไงกัน ภูเขาอยู่ไกลลิ่วถูกตึกบังเกือบมิด ไม่เป็นไรเราเสพด้วยตา เพราะไม่ว่าจะกดอีกกี่ภาพ ก็ไม่สามารถถ่ายทอดความงามได้เท่าตาเห็น


ขอว๊าปตัดภาพมาที่ตอนเย็นอีกครั้ง เราสี่ชีวิตยืนหิวโซอยู่หน้าห้องอาหารของโรงแรมที่ tripadvisor(อีกแล้ว) ให้ ranking ไว้อันดับต้นๆ เราได้คิวทุ่มสี่สิบห้า มาทุ่มครึ่งก็ห้ามเข้า แค่จะขอถ่ายรูปหน่อยก็ไม่ได้ ชิ! สรุปเราก็ได้นั่งโต๊ะที่มันว่างอยู่ตั้งแต่ทุ่มครึ่งนั่นแหละค่ะ (อ่าว?) ซักพักใหญ่ๆก็มีบริกรเป็นหนุ่มเอเชียขนตางอนไม่ทราบสัญชาติเป็นผู้ดูแลโต๊ะเรา ขอเรียกตามคาแรคเตอร์ว่าโล้นซ่าก็แล้วกัน โล้นซ่าดูmoodyนิดๆ ตอนเรียกนางมาสั่งเราคุยกันสองสามคำนางสะบัดตูดหนีเลยค่ะ บอกว่าไปคุยกันให้จบค่อยเรียกนาง คราวนี้เราสรุปกันเรียบร้อยสี่คนสั่งหกจาน แพทโพล่งจานแรกออกไปเป็นmain นางดุค่าา ถามว่ายูไม่สั่ง starter หรอไง สั่งจบนางก็พูดอีกว่าแน่ใจนะจะสั่งแค่นี้ แพทกับพี่สาวได้ยินถึงกับหันมาทำตาโตใส่กันโดยมิได้นัดหมาย สั่งน้ำ sparkling ของ badoit ได้ san pellegrino อันนี้ก็ไม่ซีเรียสค่ะ แพทสั่ง lemon ไว้ใส่ในน้ำดื่มย้ำถึงสองรอบก็ยังไม่ได้ จนกระทั่งมีคู่รักวัยทองคู่หนึ่งก้าวเข้ามาในร้าน โล้นซ่าของเรานางมี2ร่างค่ะ คราวนี้นางก้มให้สองคนนั้นซะก้นโด่ง หัวงี้แทบแตะพื้น หายใจทิ้งสองที ไวน์ก็มา ขนมปังก็มาค่ะ ชำเลืองที่โต๊ะเรา เอ้า ไม่เห็นมีขนมปังเลย แพทกับขุ่นพี่สาวหันมาสบตากันโดยมิได้นัดหมายอีกครั้ง คราวนี้เราทำหน้าเหมือนกัน เบ้ปากกรอกตาบนค่ะ ส่วนอาหารหรอคะ พูดอย่างไม่อคติเลยนะคะ วิวสวยมาก อาหารหน้าตาดีมาก รสชาติถูไถไม่โดดเด่น มีมันบด truffle ที่อร่อยเลยทีเดียวค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นรสชาติอร่อยไม่พอที่จะหักล้างบริการสองมาตราฐานนี้ได้ ลาก่อนค่ะ บัยย์


มาถึงตอนเช้าค่ะ อันนี้ไฮไลท์เลย แพทตื่นมาเข้าห้องน้ำเวลาประมาณหกโมง มองไปที่หน้าต่างถึงกับกรี๊ดดดด สวยม๊ากกกก แสงแดดตอนเช้าย้อมสีภูเขาหิมะเป็นสีส้ม ทะเลสาบที่เมื่อวานเป็นสีเขียว ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกระจกสะท้อนภาพภูเขากลับหัวอยู่บนผืนน้ำ แพทถึงกับตาสว่าง นั่งปักหลักอยู่บน day bed ริมหน้าต่าง มองสี lake louise เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ


เราอ้อยอิ่งพายเรือจนถึงเวลาเช็ตเอาท์ตอนเที่ยงพอดิบพอดี เช็คเอาท์เลาจ์ที่เดิม ไปกี่ทีต้องมีอะไรเข้าปาก ครั้งนี้ก็เช่นกัน ระหว่างที่กำลังตุนเครื่องดื่มไว้บนรถ ปลายหางตาเหลือบไปเห็นกระดาษปึกนึงฮะ มีเรื่องเซอร์ไพรซ์อีกแล้วฮะ อะไรนะ honour bar!! ในนั้นมีให้ติ๊กว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์อะไรไปบ้าง คิดเป็นออนซ์!! (กราบขออภัย ทำรูปหาย) แล้วไง พอตั้งสติได้เราก็ปรึกษากัน สปอนเซอร์เราสายคนดี กินจริงจ่ายจริง



กินไปสี่แก้ว



เขียนไป



หนึ่งแก้วถ้วน.......



ระหว่างที่เช็คเอาท์พนักงานก็พูดค่าใช้จ่ายทีละอย่าง หลักๆก็ค่าอาหาร และก็จบ นี่คนดีค่ะ ทวงด้วย ไอดื่มไวน์ไปแก้วนึงนะ เขียนไปแล้ว พนักงานหันมาทำหน้าเหมือนเราเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ลืมไปซะ" หาาาา นี่ชั้นบอกไม่หมดละนะ ช่วยคิดตังหน่อยสิ สปอนเซอร์ของเราอีกแล้วค่ะ สายคุณธรรม ควักแบงค์ยี่สิบดอลยัดลงไปในกล่อง honour bar นั่นล่ะค่ะ เราถึงได้เริ่มออกเดินทางกันก่อนที่แพทจะพาไปเช็คอินโรงแรมคืนสุดท้ายของเราที่ Banff ขอพามาเที่ยวอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่เลย สวยขนาดที่อยู่ในแบงค์แคนาดาเชียวนะ ที่นี่ชื่อว่า Moraine lake ค่ะ

การเดินทางก็ง่ายแสนง่าย อยู่ใกล้โรงแรมนิดเดียว จอดรถปุ๊บเดินไม่กี่ก้าว ถึงซะแล้ว


ดูข้างล่างมันไม่พีค แนะนำสำหรับคนที่ข้อเข่ายังดี เตรียมรองเท้าเหมาะๆไปซักคู่ ปีนค่ะปีน ตรงข้ามจะมีโขดหิน คนปีนเพียบ ระวังกล้องกันด้วยนะคะ กล้องแพทสะพายคล้องคอไว้เกือบฟาดกับหินหลายรอบ แต่พอเห็นวิวแล้ว หายเหนื่อยเลย


ตอนมาถึงเห็นแสงแล้วแอบกังวลนิดๆ ไอหยา ดวงอาทิตย์อยู่หลังเขาแบบนี้ก็ย้อนแสงหมดสิ จะสวยอะไร แพทถ่าย raw กันไว้ แต่เอาจริงๆมันก็สวยไปอีกแบบ พอเห็นรูปตัวเองแล้วยื้มออกเลย มี Rim light เบาๆ ฟรุ๊งฟริ๊ง กระดิ่งแมว คิดถูกละมาเวลานี้ ถ่ายคนสวย (วิวไว้ทีหลังเอาหน้าฉันก่อน) อิอิ


จาก Lake louise มา Banff ใช้เวลาแป๊บเดียวไม่ถึงชั่วโมงค่ะ เห็นเมือง Banff แล้วใจละลาย บ้านหลังน้อยน่ารักเรียงตัวเป็นระเบียบ ฉากหลังเป็นภูเขายอดสีขาวยิ่งใหญ่ตระการตา ให้อารมณ์ยุโรปนิดๆ เดินไม่ทันไรฟ้าเริ่มมืด ร้านค้าพร้อมใจกันเปิดไฟประดับกรุ๊งกริ๊งจิงเกอเบล อย่างกะเทศกาลคริสมาสต์ พลาดจริงๆเรานอนนี้แค่คืนเดียว ถ้ารู้งี้จะจอง guest house ในเมืองไว้เดินเล่นซักคืน


ของที่ระลึกเมืองนี้ถือว่าไม่ขี้เหร่ค่ะ ที่ผ่านมาแทบไม่มีร้านไหนดูดเงินออกจากกระเป๋าแพทได้เลย มาตะบะแตกที่เมืองนี้เลย เอาจริงๆก็ร้านนี้ร้านเดียวด้วยซ้ำ แพทไปเจอร้านนึงขายของ theme christmas ทั้งร้านเลยทันทีที่เดินเข้ามา รู้สีกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในบ้านตุ๊กตา ทำไมมันน่ารักขนาดนี้นะ นี่ถ้าไม่ติดว่าพื้นที่ในกระเป๋าเหลือน้อย แพทแทบจะขนไปทั้งร้านเลย


ตัดภาพไปเมื่อซักสองสามเดือนก่อน เรานั่งเพ้อถึงเรื่องเที่ยวกัน(อีกแล้ว) “แพทอยากไปนอนใน Chateau ค่ะ สมัยอยู่อังกฤษหนูขับผ่านอยู่เรื่อย เค้า renovate เป็นโรงแรมส๊วยสวย" แพทพูดพลางจินตนาการว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงดิสนี่ย์ในการ์ตูน มีนกร้องเพลงเกาะอยู่ริมหน้าต่าง ส่วนคนที่นั่งฟังแพทเพ้อก็ไม่ใช่ใคร สปอนเซอร์ของเราค่ะ ฮ่าๆ ช่วงที่เราจองโรงแรมกัน นางรู้ใจจึงจัดการจองโรงแรม Fairmont Banff spring ให้ จากภาพในจินตนาการตัดกลับมาที่ภาพปัจจุบัน ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะค่ะ ตึกคล้ายปราสาทตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางท่ามกลางอาณาจักรจำลองที่โรงแรมสร้างขึ้น เดินเข้ามาในล็อบบี้มีสาวนั่งดีด harp สร้างบรรยากาศอย่างกะในการ์ตูนแน่ะ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของเรา แต่เป็นคืนที่แพทประทับใจที่สุด ไม่อยากให้ถึงเช้าเลย


สำหรับตัวห้องแพทเฉยๆ อาจเพราะคืนนี้เราไม่ได้อัพเกรดเพราะห้องเต็ม(ทวงแล้วด้วยนะ) แต่อุปกรณ์ทุกอย่างก็ครบครันมาตราฐานโรงแรมห้าดาว จริงๆก็ไม่ได้อยู่ห้องเท่าไหร่เพราะลำพังจะเดินสำรวจโรงแรมก็หมดเวลาแล้ว ตอนกลางคืนแพทลงไปเล่นน้ำด้วยนะคะ คนที่นี่อัธยาศัยดีชะมัด เท้ายังไม่ทันก้าวลงน้ำก็มีคนชวนคุยซะแล้ว สระว่ายน้ำมีทั้ง indoor, outdoor, แล้วก็ hot tub แพทปักหลักอยู่บ่อน้ำร้อน แต่เห็นเด็กฝรั่งโดดน้ำตูมๆอยู่สระด้านนอก เห็นแล้วขนลุกแทน


เลาจ์ของชั้น Gold ที่นี่ก็มีนะคะ อยู่ชั้นห้า ไปส่องมาเรียบร้อย บรรยากาศดีเลยทีเดียว


เค้าว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็ว จริงยิ่งกว่าจริง หายใจทิ้งไม่กี่ที ได้เวลากลับบ้านแล้วหรอเนี่ย รู้ตัวอีกทีก็มานั่งทำรูปไปยิ้มไป แพทขอลาด้วยภาพนี้แล้วกันค่ะ ถ่ายจาก Surprise Corner ขับจากโรงแรมไปนิดนึง คิดถึงแคนาดาซะแล้ว ไม่รู้จะได้กลับไปเมื่อไหร่ แต่คงเป็นที่นึงที่ต้องกลับไปแน่นอน ขอบคุณที่ติดตามชมจนจบนะคะ สวัสดีค่ะ


Priesta Pritshayada Piriyametha

 วันพฤหัสที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.05 น.

ความคิดเห็น