• เขื่อนเชี่ยวหลาน x Panvaree The Greenery •
-------------------------------------------------------------------
เที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ต้องหน้าฝนนี่แหละ
ที่เราจะได้เจอหมอก ลอยเหนือเขาหินปูน
น้ำที่นี่ก็สีฟ้าอมเขียวสวย ยังกับน้ำทะเลเลย


เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือเขื่อนรัชชประภา  อยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาสก จ.สุราษฎร์ธานี สามารถมาเที่ยวได้ทั้งแบบเดย์ทริป หรือค้างคืน  ซึ่งที่พักก็มีหลายแบบ และหลายราคาด้วยกัน

เราเริ่มการเดินทางจากสนามบินสุราษฎร์ธานี  และเช่ารถเพื่อเดินทางไปที่ท่าเรือ  เนื่องจากช่วงนี้  ค่าเช่ารถต่อวันไม่แพง  และแวะตามจุดต่างๆ ได้ตามต้องการ  ทั้งขาไปและขากลับได้

ก่อนถึงท่าเรืออาจจะแวะที่สันเขื่อนถ่ายรูปกันก่อนก็ได้  หากยังไม่ใกล้ถึงเวลานัด

ป้ายอุทยานแห่งชาติชาติเขาสก  ที่ท่าเรือ  ถ่ายรูปเล่นระหว่างครอบครัวอื่นๆ


เมื่อพบกันที่จุดนัดพบ  ครบกันทุกบ้านแล้ว  เราก็เตรียมตัวออกเดินเพื่อไปยังแพพันวารีย์  แค่มองท่าเรือจากด้านบน  น้ำก็สวยบรรยากาศดีแล้ว

เราเดินทางไปยังแพด้วยเรือหางยาว  ซึ่งเราได้จองที่พักเป็นแบบแพคเกจ  จะรวมค่าเรือหางยาวในแพคเกจแล้ว

วิวอ่างเก็บน้ำกว้างใหญ่  น้ำสีเขียวมรกตสวย  สลับกับเขาหินปูนน้อยใหญ่  ซึ่งน้ำที่นี่จะเขียวสวย  ไม่เหมือนกับอ่างเก็บน้ำที่อื่นๆ  ไกด์เล่าให้ฟังว่า  น้ำสีสวยๆ  นี้มาจากหลายองค์ประกอบ  ทั้งแร่ธาตุต่างๆ  แสง  และความลึกของน้ำ


นั่งเรือชมวิวไปเรื่อยๆ ก็มาถึงที่พักแล้ว  แพพันวารีย์จะมีที่พัก  2 โซน  ซึ่งแยกกันบริหาร  และเราได้พักกันที่  แพพันวารีย์ โซนเดอะกรีนเนอรี่  ออกแบบคล้ายกระท่อม  ด้านหังเป็นเขาหินปูนสูงตระหง่าน

บริเวณด้านหน้า Reception  เป็นที่นั่งเล่น  และเก็บเรือคายัค  เหมาะกับการออกมานั่งในช่วงเย็นๆ และถัดไปจะเป็นห้องพัก  ซึ่งบ้านที่เห็นหลังแรกเป็นห้องพักของเราเอง  หลังนี้จะแบ่งเป็น  4  ห้องนอน  ห้องละ  2  คน  เราอยู่ชั้นล่างจ้า

บริเวณด้านหลังห้องพัก  จะเป็นทางเดินเชื่อมไปยังห้องพักต่างๆ 

บริเวณในห้องพักมีทั้งแอร์  และพัดลม  ซึ่งแอร์จะเปิดให้ใช้ช่วง  5  โมงเย็น - 9 โมงเช้า  ของอีกวัน  นอกจากนั้นก็ต้องใช้พัดลมแทน

บริเวณด้านหน้าห้องพัก  ก็จะเป็นมุมพักผ่อน  พร้อมบรรยากาศออ่างเก็บน้ำ  และภูเขา

หลังข้างเป็นห้องใหญ่  มี  2  ชั้น  เหมาะสำหรับมาเป็นครอบครัว


ถึงที่พักเกือบบ่ายโมง  เข้าห้องเก็บของกันแล้ว  ก็ได้เวลาอาหารกลางวัน  ซึ่งในแพคเกจ  จะมีอาหารให้ทุกมื้อที่เข้าพัก  ไม่อิ่มก็เติมได้  แต่จะมีอาหารบางอย่างที่เติมไม่ได้  พนักงานก็บริการดี  มาถามตลอดเวลาว่าเติมมั้ยๆ เล่นซะจุกเลยจ้า  อาหารก็อร่อยถูกปากเราเลย


หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ  ก็เป็นช่วงพักผ่อนตามอัธยาศัย  เพราะโปรแกรมต่อคือไป  คือ  ไปชมเขาสามเกลอในตอน  17:00  

แดดเริ่มก็ออกมาพายเรือคายัคเล่นได้  ติดต่อที่พนักงานได้เลย  ไม่เสียเงินจ้า  น้ำลึก ใส่เสื้อชูชีพเพื่อควมปลอดภัย

พายไปพายมา  ฝนตกซะงั้น

พอฝนหยุด  มีหมอกเฉยเลย  ซึ่งช่วงฤดูเป็นช่วงที่เราจะพบหมอกได้ที่นี่

ถึงเวลาห้าโมงเย็น  ได้เวลาไปชมเขาสามเกลอ  แลนด์มาร์คสำคัญของเขื่อนเชี่ยวหลาน  แต่ไกด์จอดเรือให้ถ่ายรูปจุดนี้ก่อน  เค้าบอกว่าตรงนี้ก็สวย

นี่คือด้านข้างเขาสามเกลอ  จะต้องขับเรือเข้าไปด้านหน้าหิน

และนี่คือมุมมหาชน  ที่ใครๆ ต่างต้องถ่ายรูปมุมนี้  เขาสามเกลอเป็นเขาหินปูน  ที่ตั้งตะหง่านอยู่ด้วยกัน  ทั้งสูง  ทั้งใหญ่

สร้างแลนด์มาร์คจ้า  ถ้าจะถ่ายรูปคู่  ก็ให้ไกด์ถ่ายให้ได้เลย


กลับมาจากชมเขาสามเกลอ  ได้เวลาอาหารเย็นพอดี  มื้อนี้ถูกใจปลาทอด  กับใบเหมียงผัดไข่มาก  แต่ปลาทอดเติมไม่ได้นะ  อย่างอื่นเต็มได้  แต่ก็อิ่มแล้วจ้า

หรือใครอยากดินเนอร์ในบรรยากาศแบบโรแมนติก  หรือต้องการความพิเศษ  เค้ามีบริการทานริมน้ำ  กับเต็นท์กระโจม  แบบส่วนตั๊วส่วนตัวกันเลย


Good Morning เช้าวันที่ 2  ด้วยกิจกรรมมอร์่งซาฟารี  ส่องสัตว์  และบรรยากาศในยามเช้า  เช้าๆ  บรรยากาศดี  มาหมอกลอยปกคลุมยอดเขา  แม้เช้านี้จะไม่เห็นสัตว์  แต่ก็ได้มมบรรยากาศสวยๆ


ชมวิวยามเช้ากันเสร็จ  ได้เวลากลับที่พัก  เพื่อรับประทานอาหารเช้า  ได้เจอกับฝูงปลาขึ้นมาว่ายตมผิวน้ำอยู่เต็มไปหมด  ช่วงกลางวันน่าจะลงไปอยู่ด้านล่างๆ  เลยมองไม่เห็น

มื้อเช้าด้วยชุด  American  Breakfast  และข้าวต้ม  เสิร์ฟมาให้พร้อมผลไม้  เครื่องดื่มสามารถเติมได้เองเลย

นอกจากข้าวต้ม  ยังมีเมนูผัดหมี่ให้เลือก


จบมื้อเช้ากันแล้ว  สำหรับใครมาพักแบบ  2  วัน  1  คืน  ก็ต้องเตรียมออกเรือกลับสู่ท่าเรือ  แต่ถ้ามาพัก  3  วัน  2  คืน  ก็จะมีกิจกรรมเดินป่า  ชมถ้ำประการะงในช่วงบ่าย

แต่ก่อนไปเดินป่าก็ต้องเติมพลังกันก่อน  นี่คือเมนูมื้อกลางวันก่อนไปเดินป่า  ไก่ทอดใบเตยดีงาม  แต่เมนูเติมไม่ได้จ้า


ได้เวลาแล้วก็ออกเดินทางได้  บรรยากาศดีทุกเวลาจริงๆ เลย

มาถึงแล้ว  เตรียมเดินป่าได้

เราต้องเดินเท้าเข้าไปยังจุดนั่งเรือแพ  เพื่อเข้าชมถ้ำระการัง  ซึ่งเป็นส่วนที่ที่เขาล้อมรอบ  ไม่มีผืนน้ำเชื่อมกับส่วนอื่นๆ  ซึ่งก็เดินไม่ยาก  พอได้เหงื่อเล็กน้อย  มีป้ายระวังช้างป่าด้วย  แต่ไกด์บอกว่า  ก็มีโอกาสค่อนข้างน้อยที่จะได้เจอ  เพราะช้างจะเดินทางออกหากินไปเรื่อยๆ 

ออกจากป่าก็มาเจอวิวนี้  สวยมากกกกก  จุดนี้เป็นจุดขึ้นเรือแพ  เพื่อไปยังปากถ้ำประการัง

ระหว่างทางสามารถถ่ายรูปบนเรือได้  บนเรือแพเดินง่าย  เรือไม่โคลงเคลง

ถึงทางเข้าถ้ำกัน  เดินขึ้นไปนิดหน่อย  ด้านในถ้ำ  มีหินงอกหินย้อยรูปร่าง   สวยงามและสามารถจินตการรูปร่างต่างๆ ได้อีกด้วย  ซึ่งการเข้าไปภายในถ้ำ  จะต้องมีไกด์นำทาง  เพราะมืดมาก

ภายในถ้ำเป็นหินงอกหินย้อยที่ยังคงเติบโต  สิ่งที่สำคัญมากๆ  คือห้ามสัมผัสกับหินเหล่านี้  เพราะจะทำให้หินงอกหินย้อยหยุดเติบโตได้ 

จุดนี้มีความสวยงามมาก  เนื่องจากหินมีความระยิบระยับตามแร่ธาตุที่อยู่หิน  และมีรูปทรงเหมือนกับประการัง

จุดนี้ก็พยายามหามุมถ่ายให้เหมือนประการัง

จุดนี้เป็นหินงอกหินย้อย  ที่มีการเติบโตจนมาบรรจบกัน

จุดนี้ก็สวยงามเหมือนเป็นม่านน้ำตก

หินรูปทรงแปลกตา  ดูแล้วรูปร่างคล้ายพระกริ่ง

จบการชมถ้ำประการัง  ก็ต้องเดินทางกลับทางเดิม


กิจกรรมยามเย็น  ยังคงเป็นกิจกรรมทางน้ำเช่นเคย  ว่ายน้ำ  พายเรือคายัค  แต่เย็นนี้ขึ้นมาบนเนินไม่ไกลจากที่พัก  เพื่อมาชมวิว  แลถ่ายรูปที่ด้านบนด้วย  มีพร็อพเป็นเปลให้ถ่ายรูป

มุมมองที่พักจากด้านบนนี้ก็สวย  สีน้ำสวยมากจริงๆ

และปิดท้ายยามค่ำคืนนี้  ด้วยอาหารอร่อยๆ  เช่นเคย  มื้อนี้ชอบปลาต้มขมิ้น  แอบเติมไปด้วย 

และเช้าวันที่   3  ก็เป็นที่เราจะต้อง  Check  Out  แล้ว  บรรยากาศดีมาก  ยังไม่อยากกลับเลย 


ยังไม่หมดเท่านี้  ถึงฝั่งกันแล้วอย่าลืมเก็บภาพ  ชมวิวที่สันเขื่อนด้วยน้า 


Piggy Diary กิน เที่ยว หมูๆ

 วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 13.02 น.

ความคิดเห็น