รถเช่าคันเล็กๆ คันหนึ่งเคลื่อนออกจากสนามบินเชียงใหม่มุ่งหน้าสู่อำเภอกัลยาณิวัฒนา อำเภอเล็กๆที่อยู่ห่างจากปายประมาณ 40 กิโลเมตร เราขับรถกันไปตามเส้นทางที่ได้ชื่อว่าโค้งเยอะที่สุดในประเทศไทย แต่การเดินทางครั้งนี้เราไม่ได้ไปพิชิตโค้งถึงแม่ฮ่องสอนเพราะจุดมุ่งหมายของเราคือการไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่เมืองไทยก็มีและไม่ต้องไปถึงเมืองนอกที่ต้องใช้งบหลักหมื่นแต่ที่นี่ใช้งบแค่หลักพัน

เราขับรถไปตามเส้นทางเล็กๆ ชันบ้างโค้งบ้างตลอดเส้นทางที่เริ่มเลี้ยวแยกออกมาจากทางที่ไปปาย ระหว่างทางก็เห็นน้ำพุร้อนบอกเลยว่าอดตื่นเต้นไม่ได้เพราะไม่ได้คาดคิดก่อนว่าเส้นทางนี้จะมี พวกเราไม่ได้แวะเพราะยังไม่รู้ว่าเป้าหมายข้างหน้าจะยังไปอีกไกลแค่ไหนและเส้นทางสายเปลี่ยวนี้จะยากมากน้อยยังไงก็เลยตกลงกันว่าจะแวะตอนกลับ ขอให้ไปถึงได้เห็นจุดมุ่งหมายของการมาเที่ยวครั้งนี้ก่อน

ที่พักในคืนนี้พวกเราพักที่โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ เราเลือกพักบ้านสนเขาที่ราคาแค่พันกว่าบาทแต่พักได้ถึง 4 คนแถมยังรวมอาหารเช้าให้ด้วย ขอกระซิบว่าอาหารและกาแฟที่นี่อร่อยมาก แนะนำว่าให้ลองชิมกาแฟดำดูไม่ต้องใส่นำ้ตาลหรือครีมจะได้กลิ่นกาแฟหอมๆ รสชาติขมๆ แต่ละมุนลิ้นเชียวล่ะ 

เราตื่นเช้ามาด้วยความหนาวเย็นของอากาศแต่ก็ไม่ได้ทำให้เราขี้เกียจที่จะออกไปเก็บภาพหมอกขาวๆที่ลอยคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณที่เห็นตั้งแต่เริ่มเปิดประตูออกห้องออกมาเลยทีเดียว

พอเดินพ้นออกมาจากบริเวณบ้านพักก็จะเห็นแนวต้นเมเปิ้ลที่กำลังจะผลัดใบ ใบเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองบ้าง ส้มบ้าง สีแดงบ้าง มีเต็มตลอดแนวสระน้ำ สีสรรเหล่านี้ถูกคลุมด้วยสายหมอกจึงทำไม่เด่นมากนักแต่ก็งามอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากที่ดูความงามและเก็บภาพของเมเปิ้ลแล้วเราก็เริ่มเดินมุ่งหน้าขึ้นไปทางอ่างเก็บน้ำป่าสนวัดจันทร์ แต่ระหว่างทางที่เดินผ่านหมอกขาวๆ และเห็นเงาต้นไม้ดำๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ความทะมึนที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ละอองหมอกสีขาวช่างเป็นมนต์เสน่ห์ที่ยากจะเดินผ่านความงามนี้ไปเฉยๆ เราหยุดยืนมองภาพนี้อยู่นานก่อนเดินเข้าไปหาเงาไม้ดำๆ ที่แฝงตัวอยู่ภายใต้เงาหมอก

เมื่อเดินมาถึงอ่างเก็บน้ำที่สันอ่างมีแต่หญ้าสีนำ้ตาลคลุมเต็มไปหมด สายหมอกขาวๆ กำลังลอยขึ้นมาเคลียคลอเหนือนำ้ ดอกหญ้าดอกเล็กๆริมอ่างพยายามเปล่งสีสรรแข่งกับความขาวของหมอก มันช่างเป็นภาพที่น่ามองเสียจนต้องไต่ลงไปนั่งลงบนก้อนหินเพื่อลงไปดูความงามใกล้ๆ 

พอเงยหน้าจากดอกหญ้าก็จะเห็นสันอ่างเก็บน้ำที่เป็นกลายเป็นเนินสีดำเพราะพาดตัดกับแสงอาทิตย์ที่กำลังพยายามส่องแสงโผล่พ้นสายหมอกหนาๆออกมา

หลังจากอาหารเช้าที่แสนอร่อยที่พร้อมเสิร์ฟกับบรรยากาศงามๆและอากาศดีๆ แล้วเราก็ไปเดินเก็บภาพต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะไปเก็บของและเช็คเอาท์

และขากลับพวกเราก็ไม่ลืมที่จะลงไปเที่ยวน้ำพุร้อนบ้านเหมืองแร่เป็นพุที่เกิดอยู่ข้างทางเลย ความแรงของน้ำที่พุ่งขึ้นจากใต้ผืนดินก็ราวๆเมตรกว่าๆ นำ้ที่นี่ร้อนถึงขั้นต้มไข่ได้เลย ใครอยากกินไข่ออนเซ็นก็ลองหาไข่มาต้มดูนะจ๊ะ

การมาเที่ยวที่อำเภอกัลยาณิวัฒนานี้ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนที่อื่นวิถีชาวบ้านยังคงเหมือนเดิม ชาวบ้านหลายคนที่เราไปถามทางยังถึงสื่อสารภาษาไทยได้ไม่ดี เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ทุกคำตอบที่พวกเขาให้กับเรามันมาพร้อมกับรอยยิ้มและความเต็มใจอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือ ถึงแม้คำตอบที่ได้รับจะทำให้เราหลงทางแต่พวกเรากลับมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเราได้รับพลังดีๆทั้งจากธรรมชาติและผู้คนของที่นี่

Titi goaround

 วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 17.54 น.

ความคิดเห็น