รีวิวนี้เป็นมินิรีวิวนะคะ รูปเยอะมาก เดี๋ยวเอารูปวิวมาลงเพิ่มอีกนะคะ :) เราเชื่อว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่หากคิดจะไปเที่ยวทางใต้คงจะนึกถึงแต่ทะเล ฉันจึงค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจทางภาคใต้เพื่อไปพักผ่อนกับเพื่อนๆ แต่ถ้าจะไปทะเลก็คงไม่มีอะไรแปลกใหม่ เราได้เจอสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจแห่งหนึ่งที่สามารถล่องเรือ กินลมชมวิว ภูเขาสวยน้ำใสและนอนแพสบายๆท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ที่ "เขื่อนรัชชประภา" จังหวัดสุราษฏร์ธานี

โดยส่วนตัวฉันเป็นคนชอบหาและดูข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆในอินเตอร์เน็ตอยู่บ่อยครั้งและมีที่ที่หนึ่งที่น่าสนใจมากๆจนฉันคิดว่าจะต้องไปที่แห่งนั้นให้ได้สักครั้งในชีวิต ที่สำคัญเหมาะกับการไปเที่ยวในฤดูฝนมากๆนั่นก็คือ "เขื่อนรัชชประภา" เมื่อฉันหาข้อมูลและเสนอสถานที่นี้ให้เพื่อน ปรากฏว่าพวกเราใจตรงกันทุกคนอยากไปที่แห่งนี้เหมือนกัน จึงตัดสินใจชวนเพื่อนๆอีกหลายคนจนมีเพื่อนไปรวมทั้งหมด 10 คน ในการเดินทางของพวกเรามีเพื่อนคนหนึ่งรับอาสาจองตั๋วเครื่องบินไปกลับให้ในราคาที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับนักศึกษาอย่างพวกเรา ส่วนที่พักเราเปลี่ยนหลายที่มากเพราะความไม่ลงตัวหลายๆอย่าง จนได้แพที่พักชื่อว่า "แพคลอง" เมื่อพวกเราจองทุกอย่างเรียบร้อยต่างคนต่างเตรียมความพร้อมที่จะไปเขื่อนเชี่ยวหลานกันอย่างตื่นเต้นเพราะอยากจะไปเห็นสถานที่ที่หลายคนให้ฉายาว่า "กุ้ยหลินเมืองไทย"

เมื่อถึงวันเดินทางเราและเพื่อนๆรีบไปสนามบินดอนเมืองประมาณตี 4 กว่าๆเพื่อเช็คอินเพราะคนเยอะมากและขึ้นเครื่องบินประมาณ 6 โมงเช้าไปลงที่สนามบินสุราษฎร์ธานี รอสักพักจะมีรถตู้ที่เราได้จองไว้มารับไปที่เขื่อน จากสนามบินวิ่งมาราวๆ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงยังสำนักงานที่เราจะเหมาเรือเพื่อเดินทางไปแพคลองกัน กรณีของเราไม่ได้ทำการจองแพ็กเกจเรือไว้พวกเราจองแค่แพกับอาหารครบมื้อเราจึงต้องเหมาเรือเองเพราะคิดว่าน่าจะถูกกว่าหากหารเฉลี่ยต่อคน ในการท่องเที่ยวของที่นี่เราจะจองแพ็กเกจของแพก็ได้เพื่อความสะดวกและได้

ท่องเที่ยวหลากหลายสถานที่ตามที่แต่ละแพจัดไว้ให้ เมื่อเหมาเรือเรียบร้อยเราก็รอเวลาเดินทาง ระหว่างนั้นพวกเราไปแวะถ่ายรูปบนสันเขื่อนรัชชประภา ก่อนลงเรือเข้าไปยังอ่างเก็บน้ำของเขื่อน บริเวณสันเขื่อนมีหมอกหนามากแต่สวยงามทำให้เราคิดว่าแค่บริเวณสันเขื่อนยังสวยงามขนาดนี้แล้วด้านในของเขื่อนรัชชประภาจะสวยงามขนาดไหน

เรือพร้อม ผู้โดยสารพร้อม เราก็ออกเดินทาง การนั่งเรือเข้าที่พักในรอบสายแบบนี้ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ แดดกำลังสบายไม่ร้อนจนเกินไป เรือที่เรานั่งไปเป็นเรือหางยาวลำโต ติดเครื่องยนต์ แล่นได้ไวพอดู บางลำมีหลังคาเป็นแสลนกันแดด สามารถพับเก็บได้ แต่เรือของพวกเราไม่มีที่กันแดดจึงสามารถชมทัศนียภาพได้อย่างสบายๆ อากาศดีลมเย็นสบายมากๆ ระหว่างการเดินทางพวกเรารีบนำกล้องมาไว้ข้างกายเพื่อจะได้เก็บภาพความสวยงามอันน่าประทับใจไม่ให้พลาดแม้แต่วินาทีเดียว เพราะมันสวยมากจริงๆเหมือนอยู่ในดินแดนแห่งสวรรค์



หน้าฝนทำให้ภูเขาเขียวขจี อุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ อากาศไม่ร้อนแม้มีแสงแดดทำให้พวกเรารู้สึกสดชื่น น้ำที่เขื่อนรัชชประภาใสมากมองดูจะคล้ายสีเขียวมรกตสวยงาม พี่ที่ขับเรือบอกว่าที่น้ำดูเหมือนสีเขียวมรกตเพราะมีสาหร่ายและตะไคร่อยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อนั่งเรือชมวิวไปเรื่อยๆจนใกล้จะถึงประตูกุ้ยหลินสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตจะขาดหายหลังจากนี้เราจะติดต่อใครไม่ได้เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอกมีเพียงแค่ธรรมชาติเท่านั้นที่จะอยู่กับเราตลอดการท่องเที่ยวนี้ รอเพียงอีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงที่พักของเราแล้ว


ในที่สุดเราก็มาถึงแพคลอง แพที่พวกเราพักตลอด 2 คืนนี้ บรรยากาศกำลังครึกครื้น เพราะเป็นช่วงเวลาของแขกที่มาพักกำลังออกมาทำกิจกรรมทางน้ำ ทั้งพายเรือ หรือกระโดดน้ำจากชานเรือนหน้าห้อง พวกเราไม่รอช้าจัดแจงแบ่งที่นอน เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วเปลี่ยนชุดกระโดดลงน้ำ น้ำอุ่นกำลังสบาย ผ่อนคลายเป็นที่สุด บางคนก็นั่งร้องเพลงเล่นกีต้าร์ริมน้ำ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขของพวกเรามาก


ช่วงหัวค่ำก็ถึงเวลาของอาหารมื้อเย็น ถ้าตามแพ็กเกจแล้วจะมีตั้งแต่มื้อเที่ยงแต่เราดันนั่งเรือเข้ามารอบเย็นสำหรับเรานี่คือมื้อแรกบนแพคลอง อาหารที่นี่มีหลากหลาย เรื่องรสชาติอร่อย ประทับใจเราทุกคน อาหารที่นี่เมื่อทานหมดสามารถเติมได้อีกพวกเราเติมไปหลายจานมากเพราะด้วยความหิวและอาหารรสชาติที่ถูกปาก เมื่อทานอาหารเสร็จมีกิจกรรมร้องคาราโอเกะร่วมกับแขกที่มาพักห้องอื่นๆอย่างสนุกสนาน ระหว่างมื้ออาหารก็มีพี่ๆที่แพมานัดแนะพวกเราว่าพรุ่งนี้พวกเราจะไปที่ไหนกันบ้างเมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยก็แยกย้ายไปอาบน้ำ

อากาศที่นี่เย็นมากพวกเราไม่ต้องเปิดพัดลมเลย ที่สำคัญที่นี่จะมีไฟฟ้าใช้แค่เวลา 18.00 – 24.00 น. เท่านั้นเพื่อที่จะได้ปั่นกระแสไฟฟ้ามาใช้ให้น้อยที่สุด หลังจากทำภารกิจเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาเข้านอน

เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราตื่นแต่เช้ามาชมพระอาทิตย์ขึ้นแต่น่าเสียดายที่มองแทบไม่เห็นแสงอาทิตย์เลยเพราะหมอกหนามาก มีฝนตกเล็กน้อย พวกเราแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัวและไปรับประทานอาหารที่แพจัดไว้ให้ อาหารมื้อนี้เป็นอาหารง่ายๆแต่อร่อยถูกปากเช่นเคยมี ข้าวต้มกุ๊ยพร้อมเครื่องเคียง และกาแฟ โอวันติน

เมื่อพวกเรารับประทานอาหารเสร็จฝนก็หยุดตกพอดี พวกเราจึงไปเตรียมความพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวรอบๆเขื่อนในวันนี้และเพื่อไม่เป็นการประมาทต่อสภาพลมฟ้าอากาศมากเกินไปพี่ที่แพให้พวกเราพกชุดกันฝนหลากสีสันไปด้วย จากนั้นพวกเราก็ลงเรือพร้อมเดินทาง พวกเราตื่นเต้นมากเพราะยังไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเจออะไรบ้าง

เรือของทางแพก็พาเราแล่นไปเรื่อยๆรอบเกาะที่แพตั้งอยู่ สัมผัสบรรยากาศยามเช้า รับฟังเสียงของป่า นอกจากวิวงาม ๆ แล้ว ตลอดทางที่เรือแล่นมา พี่คนขับเรือก็จะคอยชี้ให้เราได้ดูสัตว์โน่นนี่ ยอมรับว่าสายตาดีจริงๆ เพราะขนาดเรามองตามปลายนิ้วไปแล้วกว่าจะเห็นยังต้องใช้เวลาพอควร ที่แรกที่เราจะไปคือถ้ำประกายเพชรโดยเราจะต้องนั่งเรือไปลงที่ทางเดินเข้าป่า ทางที่เราเดินขึ้นไปเป็นเส้นทางเดินป่าที่ ชัดเจนอยู่แล้ว

เดินผ่านป่าที่อุดมสมบูรณ์แต่เส้นทางเดินก็ดูปลอดภัย ไม่ได้รกอะไร ทางเดินก็ชันน้อยบ้างมากบ้าง ถึงขั้นต้องใช้เชือกช่วยดึงก็มี ทางราบนานๆ จะเจอสักทีให้เราได้หยุดพัก ยิ่งช่วงท้ายตอนใกล้จะถึงยอด เป็นช่วงที่ต้องปีนผ่านหินคมๆ ระหว่างเดินในป่าจะมีสรรพสัตว์ออกมาให้เราได้เห็นมากมาย ไล่ตั้งแต่ชะนีที่ร้องดังก้องป่า เหยี่ยวที่คอยจับจ้องเหยื่ออยู่บนยอดไม้ ฝูงลิงที่พี่เขาบอกว่าลงมาหากินหอยเชอรี่ และที่เป็นที่สุดเป็นสัญลักษณ์ของการครองคู่เป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของผืนป่า นั่นก็คือ "นกเงือก" โชคดีของเราที่ได้เห็นหลายตัว

เมื่อเดินทางมาประมาณ 30 นาที พวกเราก็ถึงอีกฝั่งของป่าเราจะต้องนั่งเรือแบบแพอีกต่อหนึ่งเพื่อไปถ้ำ ตอนนี้สนุกมากเพราะได้นั่งเรือแพที่สามารถเอาขาจุ่มน้ำได้ระหว่างเรือกำลังแล่นไป


ใช้เวลาไม่นานมากพวกเราก็ถึงถ้ำประกายเพชร พวกเรารู้สึกถึงความเย็นและความสวยงามแปลกตา มีหินปะการัง หินงอก หินย้อย ทีมีเอกลักษณ์โดดเด่นสวยงาม

รูปนี้ค้นเจอในคอม เดี๋ยวจะหาภาพด้านในสวยๆมาลงเพิ่มนะคะ

หลังจากนั้นเราก็นั่งเรือแพไปที่ป่าอีกครั้งเพื่อเดินทางกลับแพที่พักของเรา เมื่อถึงป่าพวกเรารีบเดินลงจากป่าเพื่อไปให้ทันทานมื้อเที่ยงที่แพ คาดว่าจะเป็นมื้อที่อร่อยที่สุด เพราะเราเหนื่อยและหิวกันมาก เหงื่อชุ่มตัวกันมาทุกคนจริงๆ ลงมาถึงเรือก็เที่ยงกว่าๆ เรือมารอรับเราอยู่แล้ว

ระหว่างที่เราเดินทางกลับพี่ที่ขับเรือพาพวกเราไปจุดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองไทยเพื่อถ่ายรูปและชมความงดงาม และแล้วเมื่อเดินทางมาสักพักก็ได้เจอจุดที่เหมือนกุ้ยหลินมันสวยงามมาก


จากนั้นไม่นานฝนก็ค่อยๆโปรยปรายลงมาพวกเราจึงใส่ชุดกันฝนหลากสีเหมือนสีรุ้งและรีบกลับแพไปรับประทานอาหารมื้อเที่ยง

เมื่อเราถึงแพพร้อมกับชุดกันฝนหลากสีจึงเกิดไอเดียที่จะถ่ายรูปรวมกันโดยยืนเรียงตามสีชุดกันฝนเป็นสีรุ้ง รูปที่ออกมาน่ารักมากเพราะหาโอกาสได้ยากที่จะถ่ายรูปแบบนี้

จากนั้นเราก็รับประทานอาหารมื้อเที่ยงอย่าง หิวโหย ระหว่างนั้นฝนยังคงตกปรอยๆแต่พวกเราก็ไม่หวั่นเมื่อทานเสร็จพวกเราก็ลงเล่นน้ำที่แพของเราและฉันได้ลองพายเรือแคนูเป็นครั้งแรก มันสนุกมากๆเป็นประสบการณ์ที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต เขื่อนแห่งนี้น้ำลึกมากทำให้ต้องใส่เสื้อชูชีพเล่นน้ำแม้กระทั่งฉันที่สามารถว่ายน้ำได้ก็ต้องใส่เพราะหากว่ายโดยไม่มีชูชีพจะรู้สึกเหนื่อยและล้ามากเหมือนจะจมตลอดเวลา

และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึงคือช่วงของการรับประทานอาหารมื้อเย็นที่แสนอร่อยของแพวันนี้จะเป็นมื้อเย็นวันสุดท้ายของที่นี่ อาหารมื้อนี้อร่อยเป็นพิเศษ มีปลาราดพริก น้ำพริกกะปิ แกงเหลืองที่รสชาติแบบชาวใต้

ถึงเครื่องแกงที่สุดเท่าที่เคยทานมา พวกพี่ที่แพเก็บหน่อไม้ป่ามาให้พวกเราทาน มันกรอบอร่อยมากปกติฉันไม่ชอบทานหน่อไม้แต่หน่อไม้ของที่นี่อร่อยจริงๆ และเมนูสุดโปรดของฉันคือไข่เจียวเป็นเมนูง่ายๆที่เราทานเป็นประจำแต่ฉันติดใจไข่เจียวที่นี่มากทานหมดจนต้องขอเพิ่มหลายจาน

พอรับประทานอาหารเสร็จ พวกเราเอากีต้าร์มาเล่นและร้องเพลงกับพี่ที่แพอย่างสนุกสนานพี่เขาน่ารักบริการพวกเราดีมาก ที่นี่มีเตาปิ้งย่างอาหารทะเลด้วยอาหารทะเลที่นี่สดมาก เป็นอีกวันที่สนุก แต่ก็รู้สึกใจหายที่พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว ตอนแรกฉันกลัวมากว่ามานอนแพตั้ง 2 คืน จะมีอะไรให้ทำไหม แต่จากทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ผ่านมาทำให้ฉันอยากอยู่ต่อ ก่อนนอนคืนนี้เราทำกิจกรรมกันนิดหน่อย จากนั้นก็แยกย้ายกันเข้านอนวันนี้อาจจะเหนื่อยบ้าง ล้าบ้าง แต่ก็นอนยิ้มหลับฝันดี


เช้าวันรุ่งขึ้นเราไม่มีกิจกรรมอะไร รอกลับบ้านอย่างเดียว ในขณะที่แขกหลายๆ คนที่เพิ่งเข้ามาเมื่อวานก็ออกไปนั่งเรือชมทัศนียภาพที่นี่ เราจึงตื่นสายกันเต็มที่เท่าที่จะทำได้ ตื่นมาก็อาบน้ำ แต่งตัว เก็บข้าวของ ออกไปทานมื้อเช้า มีเวลาเหลือให้เราได้ถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศ เช้านี้เริ่มเห็นแดดแบบจริงจังแต่ยังคงมีหมอกจางๆ ช่วงสายเราต้องเก็บข้าวของ อำลาแพคลองอย่างเป็นทางการ ขนกระเป๋า ลงเรือ เมื่อลงเรือแล้วเราก็ออกเดินทางมุ่งหน้ากลับท่าเรือแถวสันเขื่อน ประมาณเที่ยงครึ่งเราก็มาถึงท่าเรือ จากนี้ก็เป็นหน้าที่ของพี่คนขับรถตู้ที่เราเหมาไว้พาเราไปส่งยังสนามบิน พวกเราร่ำลาและขอบคุณพี่ที่แพและคนขับเรือสำหรับการดูแลอย่างดีตลอด 3 วัน 2 คืน จากนั้นก็ขึ้นรถตู้มุ่งหน้าสู่สนามบิน เมื่อถึงสนามบินก็นั่งรอจนได้ขึ้นเครื่องบินตอนบ่ายโมงครึ่ง

และยังไม่ทันบ่ายสามดีเราก็มาถึงสนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิ์ภาพ พวกเราล่ำลากันและกันต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน พร้อมความสุขและความประทับใจที่พวกเราเก็บเกี่ยวมันมาเต็มหัวใจ

ความรู้สึกว่าการได้มาเที่ยวที่ "เขื่อนรัชชประภา" และได้มาพักผ่อนอย่างผ่อนคลายที่แพคลอง เป็นการท่องเที่ยวที่เหมือนได้มาชาร์จแบตให้กับร่างกาย ได้มาสูดอากาศบริสุทธิ์สดชื่นเต็มปอด สมองได้หยุดคิดเรื่องวุ่นวาย ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นความสุขสำราญใจจริงๆที่ได้มาเยือน

gogogether (jijijijijinju)

 วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.38 น.

ความคิดเห็น