ผมเชื่อว่า Switzerland เป็นประเทศในฝันอันดับ 1 ของคนไทยเราหลายๆ คนแน่นอน
แน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่าต้องรอมาหลายปี ผ่านมาหลายทริป กว่าที่จะได้เดินทางมาสัมผัสประเทศนี้ด้วยตนเอง

สวัสดีครับ .... ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาผมได้ไปเที่ยวหลบร้อนที่ Switzerland มาครับ

ผมเดินทางช่วง 6-16 เมษายนนะครับ เผื่อใครวางแผนจะไปเที่ยวช่วงดังกล่าวจะได้เห็นบรรยากาศของ Switzerland ว่าในช่วงเวลาที่ผมไปเจอมาเป็นอย่างไร

สำหรับการรีวิวทริปนี้คงเป็นการท่องเที่ยว Switzerland แบบพื้นฐาน เบสิคๆ ธรรมดานะครับ เหมาะกับคนที่ไม่เคยไปเที่ยว Switzerland มาก่อน หรือคนที่อยากมาซึบซับบรรยากาศการท่องเที่ยว Switzerland ไปด้วยกัน โดยที่ผมเชื่อว่ารีวิวนี้คงทำให้คนไม่เคยไปเที่ยว Switzerland พอมองภาพและวางแผนไปเองได้ ส่วนคนที่เคยไปมาแล้วหรืออยากเข้ามาดูบรรยากาศเที่ยวไปด้วยกันคงได้ความสุขออกไปบ้างหลังดูรีวิวนี้จบนะครับ

ถึงแม้ว่าผมจะจั่วหัวไว้ก่อนเลยว่าเป็นการเที่ยวแบบพื้นๆ ธรรมดาๆ แต่วิวของธรรมชาติและบ้านเรือนของประเทศนี้ ให้ความประทับใจที่ไม่ธรรมดากลับมานะครับ


Day 01: Bangkok - Zurich
Day 02: Stein am Rhein - Schauffhausen - Rheinfall - Luzern
Day 03: Luzern - Mount Titlis - Bern
Day 04: Mount Rigi - Interlaken - Thun
Day 05: Jungfraujoch - Grindelwald - First
Day 06: Schilthorn - Gimmelwald - Mürren
Day 07: Brienz - Zermatt - Klein Matterhorn
Day 08: Klein Matterhorn - Gornergrat
Day 09: Geneva - Lausanne - Montreux
Day 10: Geneva - Bangkok

ถึง Trip ที่วางแผนไว้จะเป็นแบบนี้ แต่เวลาเที่ยวจริงก็ไม่ค่อยตรงเท่าไหร่หรอกนะครับ บางทีผมก็ยกเลิกไปบางที่บ้าง เพิ่มเข้าไปบ้าง ตามสภาพอากาศ ณ วันนั้นๆ ครับ


บินลัดฟ้าไป Zurich

การเดินทางทริปนี้ผมเลือกใช้บริการของสายการบิน Lufthansa ครับ ได้ราคามาประมาณ 20,000 บาทนิดๆ ในเส้นทาง Bangkok > Zurich และ Geneva > Bangkok

ซึ่งสายการบิน Lufthansa จะต้องบินจากไทย ไปต่อเครื่องที่เมือง Frankfurt ก่อนนะครับ ระยะเวลาต่อเครื่องก็กำลังดีที่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ไม่ต้องรีบร้อน และไม่ต้องรอจนเบื่อหน่ายครับ โดยช่วงเปลี่ยนเครื่องที่เมือง Frankfurt นี้ เราจะต้องผ่าน ต.ม. เข้า EU เลยที่นี่นะครับ ซึ่งผมรู้สึกว่า ต.ม. ที่เยอรมันโหดที่สุดในบรรดาประเทศยุโรปที่ผมเคยไปมา (พึ่งไปมาไม่กี่ประเทศเอง 555+) เพราะถามเยอะ ขอดูเอกสารจองโรงแรม ขอดูเงินสดที่พกมาด้วย แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีครับ

(จริงๆ ตอนแรกผมจอง Multicity จาก Kuala Lumper > Zurich และ Geneva > Bangkok เอาไว้ แต่สายการบินยกเลิกรูทจาก Kuala Lumpur เลยขอเปลี่ยนมาขึ้นจาก Bangkok ได้)

ก่อนเดินทางผมอ่านเจอรีวิวสายการบินยุโรป อย่าง Lufthansa ว่าบริการไม่ค่อยดี พนักงานไม่ค่อยยิ้มแย้ม ซึ่งผมก็ไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ขอให้พาผมไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยและตรงเวลาก็พอ แต่เมื่อได้เดินทางกับ Lufthansa จริงๆ นอกจากจจะพาผมไปส่งยังจุดหมายอย่างปลอดภัยและตรงเวลาแล้ว การบริการกลับดีมากกว่าที่ผมคาดไว้ซะอีก (แต่เรื่องแบบนี้มันต่างกรรมต่างวาระนะครับ)

ผมเดินทางมาถึงสนามบิน Zurich ในช่วงเช้าก่อนเที่ยง ซึ่งก่อนอื่นผมวางแผนจะซื้อ Swiss Pass ที่นี่ โดยจะเริ่มใช้วันพรุ่งนี้ครับ ซึ่งการซื้อ Swiss Pass ที่นี่ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย เดินเข้าไปบอกเจ้าหน้าที่ตรงเคาน์เตอร์ Travel Service ในสถานีรถไฟของสนามบิน ว่าจะเอา Swiss Pass แบบไหน ยื่น Passport และจ่ายเงินเป็นอันจบได้รับ Swiss Pass มาใช้ตามวันที่ระบุได้เลย

หน้าตาของ Swiss Pass เมื่อซื้อที่ Switzerland

ประติมากรรม “นางฟ้า" หรือ Guardian Angel ที่สถานี Zurich HB


ข้าพักคืนแรกที่ Hotel Leoneck


แผนตอนแรกสุดเลยผมไม่ได้จะพักที่ Zurich แล้วเพิ่งมาเปลี่ยนใจตอนหลังใกล้ๆ จะเดินทางแล้ว ทีนี้เลยเจอแต่โรงแรมราคาแรงๆ ทั้งนั้น จะให้ถูกหน่อยก็ต้องออกไปพักโรงแรมตามสถานีใกล้เคียง Zurich HB แทน แต่ผมเป็นพวกขี้เกียจหน่อย เลยยอมจ่ายในราคาที่รับได้ที่สุดล่ะ

Hotel Leoneck จะว่าไปก็ไม่ใกล้ Zurich HB นัก แต่ก็อยู่ในระยะเดินได้สบายๆ เพียงต้องเดินขึ้นเนินเยอะหน่อย มาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ก็เหนื่อยเอาเรื่องครับ แต่ที่ชอบมากๆๆๆๆ เลยคือห้องใหญ่ดีครับ แถมมีกิมมิคเล็กๆ ด้วยการวางช็อคโกแล็ตไว้บนหมอนเป็นการต้อนรับอีกด้วย พอเข้าห้องพักมาได้ผมก็นอนหลับพักผ่อนเอาแรงหลังจากเหนื่อยจากการเดินทางบนเครื่องบินข้ามคืนมาก่อนเลยครับ

บรรยากาศภายในห้องพัก

ช็อคโกแล็ตเล็กๆ บนหมอน

วิวถนนที่นอกหน้าต่างห้องพัก

อีกมุมนึงของถนน

วิวโบสถ์ที่อยู่ใกล้ๆ

Hotel Leoneck : 47.37910, 8.54511


เดินเที่ยวย่านเมืองเก่า Zurich


หลังจากพักผ่อนมาพอแล้วก็ได้เวลาออกเดินเที่ยวเมือง Zurich กันล่ะครับ

ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะเข้าชมภายในโบสถ์หลายๆ แห่งด้วย แต่พักผ่อนเพลินไปหน่อยโบสถ์ต่างๆ น่าจะปิดไปแล้วเลยใช้เวลาชมแค่ด้านนอกก็พอครับ ซึ่งโบสถ์ที่ผมจะไปก็คือ Grossmünster ที่มีหอคอยคู่โดดเด่นที่สุดในเมือง Zurich แล้ว


ระหว่างทางเดินจากโรงแรมไปยัง Grossmünster ถนนเลียบแม่น้ำ Limmat มีวิวสวยๆ และร้านค้าให้ชมตลอดทางเลยนะครับ

จุดนี้คือ Lindenhof ซึ่งเป็นสวนสาธารณะ ที่เราสามารถชมวิวเมือง Zurich ในมุมสูงได้อย่างสวยงาม โดยผมจะแวะมาทีหลังนะครับ


Grossmünster โบสถ์ที่สวยงาม และดูยิ่งใหญ่ ของเมือง Zurich

เวลาเปิด: 10:00 - 18:00
ค่าเข้าชม: ฟรี
พิกัด: 47.36999, 8.54392

วิวภูเขาหิมะที่อยู่ไกลๆ กับรถรางของเมือง Zurich



ชมวิวที่ Lindenhof


อย่างที่บอกว่าผมจะแวะมาที่ Lindenhof หลังจากชม Grossmünster เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งหากเลือกได้ ผมแนะนำให้มาที่ Lindenhof ช่วงเย็นๆ ใกล้ๆ ค่ำ นะครับ เพราะแม้ว่า Lindenhof ช่วงเย็นๆ จะไม่ค่อยมีผู้คนคึกคักเท่าไหร่แล้ว แต่มีวิวสวยๆ ให้ชมอย่างจุใจเลยล่ะครับ

บรรยากาศเหงาๆ ของ Lindenhof ช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน

บรรยากาศเมือง Zurich ยามเย็น ซึ่งผมว่าสวยงาม มีเสน่ห์มากๆ

หอคอยคู่ที่โดเด่นของโบสถ์ Grossmünster


วิวที่สวยงามของเมือง Zurich ยามเย็น บนสวนสาธารณะ Lindenhof

สวนสาธารณะ Lindenhof
เวลาเปิด: ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม: ฟรี
พิกัด: 47.37219, 8.54129


เก็บตกวิวค่ำคืนของ Zurich


พอเริ่มมืดบนสวนสาธารณะ Lindenhof ก็แทบไม่มีคนแล้วครับ ผมเลยเดินลงมาด้านล่างเพื่อชมวิวเมือง Zurich รอบๆ สองข้างทางของแม่น้ำอีกครั้ง ซึ่งรอบๆ ถนนยังมีคนเดินอยู่เยอะครับ แม้จะล่วงเลยมา 3 ทุ่มกว่าๆ แล้วก็ตาม เดินเล่นสบายๆ ครับ

แต่อย่างไรก็ดี ผมก็ต้องรีบเดินนิดนึงเพราะว่าวันนี้กะจะฝากท้องไว้กับร้าน Coop ตรงสถานี Zurich HB ซึ่งจะปิดตอน 4 ทุ่มครับ วันนี้ตรงซุ้มอาหารร้อนของ Coop มีข้าวกับแกงของไทยด้วย (แต่อินเดียทำ) รสชาดใช้ได้เลยทีเดียว มื้อกลางวันลองมาแล้ว

วิวเดิมบนบนสวนสาธารณะ Lindenhof ยามค่ำ

โบสถ์ Grossmünster และ แม่น้ำ Limmat


อีกวิวนึงของเมือง Zurich ข้างแม่น้ำ Limmat



Stein am Rhein ในวันฟ้าครึ้ม


เช้าอีกวันผมตื่นมาก็เจอกับอากาศไม่ค่อยดีเลยล่ะครับ ท้องฟ้าเหมือนฝนจะตกได้ตลอดเวลา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ตกซักที

แต่ที่แน่ๆ คือวันนี้ทั้งวันคงไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์แน่ๆ ไม่เป็นไรครับ ยังไงวันนี้ก็ไม่ใช้วันที่จะขึ้นภูเขาอยู่แล้ว ออกไปเดินเล่นชิวๆ ก็ดีเหมือนกัน

จาก Zurich HB ใช้เวลานั่งรถไฟสองต่อ ประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงสถานี Stein am Rhein ซึ่งเป็นสถานีที่เงียบมากกกกกกกกก (ไม่รู้นักท่องเที่ยวหายไปไหนหมด)

ตอนแรกผมนึกว่าลงรถไฟมาก็เจอย่านเมืองเก่าที่เที่ยวกันเลย แต่ไม่ใช่ครับ เราต้องเดินไปอีกหน่อย ข้ามถนน ข้ามสะพานไปก่อน จึงจะเจอเมืองที่เค้ามาท่องเที่ยวกัน

ระหว่างข้ามสะพานเข้าไปยังเมืองเก่าของ Stein am Rhein ฟ้าขาวมากครับ 555+

มุมนี้เป็นฝั่งเมืองเก่าของ Stein am Rhein


Stein am Rhein เป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบเหงามากสำหรับผม เพราะผมแทบไม่เจอใครมาเดินถนนในเมืองนี้เลย คือนับหัวคนได้เลยว่ามีไม่กี่คน


จุดเด่นของเมืองนี้ก็คืออาคารที่เพ้นท์รูปลวดลายต่างๆ ดูแล้วสวยงามมากๆ แต่อย่างที่บอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ คือเล็กจริงๆ เดินแป๊บเดียวก็ทั่วแล้วครับ


ร้านค้าส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ริมถนนภายในเมืองนั่นล่ะครับ ผมไม่รู้ว่าเปิดให้บริการหรือยัง เพราะไม่เห็นมีคนมานั่งใช้บริการเลย

อาคารบ้านเรือนที่เมืองนี้ดูเด่นเป็นเอกลักษณ์ดีครับ


บรรยากาศเหงาๆ เงียบๆ ภายในเมือง


เดินมาจนสุดเมืองฝั่งนึงแล้ว เสียดายมีการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารอยู่จุดนึงพอดี

ป้ายร้านค้าสวยๆ


Schauffhausen เมืองหลวงของรัฐทางตอนเหนือ


เที่ยวชม Stein am Rhein จนพอใจแล้ว ผมก็เดินทางต่อมายังเมือง Schauffhausen ซึ่งก็เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมเมืองนึงทางตอนเหนือของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และยังเป็นเมืองหลวงของรัฐด้วยนะครับ

จุดประสงค์ที่ผมมายังเมือง Schauffhausen มี 2 เรื่องหลักๆ คือ ชมวิวเมืองบนป้อมปราการ Munot และไปชม Rhein Fall ครับ

วิวของแม่น้ำ Rhein กับเมือง Schauffhausen เมื่อนั่งรถไฟกำลังจะไปถึงสถานี

อาคารบ้านเรือนของ Schauffhausen



ป้อมปราการ Munot


อย่างที่บอกไปก่อนแล้วว่าผมเดินทางมาที่เมือง Schauffhausen โดยมีจุดประสงค์หลักคือป้อมปราการ Munot ครับ

จากสถานีรถไฟ Schauffhausen ให้เดินเข้ามาในเมืองทางแม่น้ำที่นั่งรถไฟผ่านมา จะเจอทางขึ้นไปบนป้อมปราการ Mumot ซึ่งต้องออกแรงเดินขึ้นไปซะหน่อย

ทางเดินขึ้นป้อมปราการ Munot

วิวของตัวป้อมปราการที่มองเห็นได้ตลอดขณะเดินขึ้นบันได


ป้อมแห่งนี้เคยถูกสร้างมาเพื่อป้องกันการรุกรานของเยอรมันเมื่อหลายร้อยปีก่อน

ด้านในยังคงสภาพความเป็นป้อมสำหรับใช้ในการรบอยู่เลย

ทางเดินในป้อมจะมืดๆ ทึบๆ นะครับ แต่ตรงบันไดวนขึ้นไป จะมีช่องให้มองวิวออกไปข้างนอกได้เป็นระยะๆ ครับ



วิวของเมือง Schauffhausen


ออกแรงเดินขึ้นบันไดวนกันไม่ทันเหนื่อยมากก็ขึ้นมาถึงด้านบนของป้อมปราการ Munot แล้วล่ะครับ ด้านบนจะเป็นลานโล่งๆ กว้างๆ ให้เราเดินชมวิวเมือง Schauffhausen ได้

ลานกว้างบนป้อมปราการ Munot

วิวเมือง Schauffhausen และแม่น้ำ Rhein ที่เรานั่งรถไฟข้ามมาก่อนหน้านี้


หอนาฬิกาและบ้านเรือนของเมือง


ทางขึ้น-ลง อีกทางนึงที่ผมเลือกใช้ในขาลง (คนละทางกับขาขึ้น)


ป้อมปราการ Munot
ค่าเข้าชม: ฟรี
พิกัด: 47.696897, 8.639891



Rhein Fall น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป

จากป้อมปราการ Munot ผมเดินย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟ Schauffhausen แล้วข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อขึ้นรถบัสสาย 1 ไปยังน้ำตก Rhein Fall ครับ

รถบัสจะมาเรื่อยๆ นะครับให้ไปรอตรงป้ายของสาย 1 ที่จะวิ่งไปยัง Herbstäcker ได้เลย เมื่อรถมาแล้วก็ขึ้นไปหาที่นั่งตามสบาย (Swiss Pass ขึ้นฟรี) แล้วไปลงที่ป้าย Zentrum ใช้เวลาประมาณ 7 นาทีเท่านั้นครับ

เมื่อลงจากรถบัสแล้วก็เดินไปตามป้าย Rhein Fall ไปเรื่อยๆ ครับ จะได้เห็น Rhein Fall วิวแรกในมุมสูงแบบนี้

วิวน้ำตก Rhein Fall ที่มีเกาะตรงกลาง ซึ่งเราสามารถใช้บริการเรือขึ้นไปชมได้นะครับ

ผมจะเดินลงไปข้างล่างตรงอาคารหลังนี้ล่ะครับ เพื่อนั่งเรือระยะสั้นๆ ข้ามฟากไปกัน


เรือสีเหลืองลำนี้ละครับ ที่ให้บริการพาไปเกาะตรงกลาง Rhein Fall ดูแล้วน่าจะเปียกกันน่าดู เพราะน้ำตกแรงมากๆ


ยิ่งเข้าไกลจะเห็นว่าน้ำตก Rhein Fall แรงมากๆ ใครต้องการเข้าชมปราสาทตรงน้ำตก หรือไปขึ้นขึ้นเกาะกลางน้ำตกก็ซื้อตั๋วเรือตามที่ต้องการได้เลย


ส่วนผมขอแค่นั่งเรือข้ามฟากเอาบรรยากาศนิดหน่อย เพื่อไปขึ้นรถไฟที่สถานี Schloss Laufen am Rheinfall ก็พอแล้วครับ

เราสามารถนั่งรถไฟที่สถานี Schloss Laufen am Rheinfall ที่อยู่ใกล้ๆ ปราสาทตรงน้ำตก Rhein Fall ไปยังเมือง Schauffhausen หรือกลับ Zurich ได้เลยนะครับ


สามารถเข้าไปดูรายละเอียดของเรือที่ให้บริการตรง Rhein Fall ได้ที่ http://www.rheinfall.ch/en/attractions/boattrips (งานนี้ Swiss Pass ใช้ไม่ได้นะครับ)


Radisson Blu Hotel โรงแรมที่ห้องดีที่สุดในทริปนี้

หลังจากกลับมาเก็บของที่ Zurich เรียบร้อยแล้ว ผมก็นั่งรถไฟต่อไปยังเมือง Luzern ครับ ซึ่งที่ Luzern ผมเลือกพักที่ Radisson Blu Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่ผมว่าสภาพห้องดีที่สุดในทริปนี้ของผมแล้วล่ะ

ห้องกว้างขวาง ห้องน้ำก็ใหญ่ มี Internet TV ให้ชม และ Facilities ต่างๆ ก็ครบครัน ซึ่งเหมาะแล้วกับทริปเมือง Luzern ของผมในครั้งนี้ (เพราะอะไรเดี๋ยวดูต่อไปครับ)

โรงแรม Radisson Blu Hotel การเดินมาโรงแรมนี้แปลกๆ ซะหน่อย ต้องออกข้างสถานีรถไฟ แล้วเดินขึ้นสะพานที่เหมือนไปลานจอดรถ แล้วเดินทะลุต่อมาจนสุดทาง เพื่อลงลิฟท์ก่อนจะเจอโรงแรมครับ

บริเวณ Lobby ของโรงแรมดูดีเลยทีเดียวครับ


สภาพภายในห้องพักครับ อย่างที่ผมบอกครับ ห้องกว้างขวาง สะอาดน่านอนที่สุดดดดดด

ว่าแล้วพอมาถึงไม่นานผมก็หลับยาวไปจนค่ำไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนต่อในวันนี้เลยล่ะครับ
Radisson Blu Hotel : 47.047982, 8.313902


อาหารอร่อยใน Coop


ไหนๆ วันนี้ก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหน ผมขอแนะนำอาหารที่ผมว่าอร่อยถูกใจในร้าน Coop สำหรับผมนะครับ

นั่นคือเจ้าไก่ย่างนี้นี่เองงงงงงงงงงง 555+

ผมเห็นมีขายแทบทุกสาขาของ Coop ที่ผมเจอเลยนะครับ มีทั้งแบบครึ่งตัว และแบบน่องในรูป (ประมาณ 6-7 CHF) ซื้อมาลองกินดูครับ ไม่ผิดหวัง (แต่กินบ่อยๆ ก็เบื่อได้นะครับ 555+)

ไก่ย่างแสนอร่อยในร้าน Coop


วันแห่งฝนในเมืองแห่งแสง


Luzern มีความหมายว่าเมืองแห่งแสง ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าแสงอะไร แต่ที่แน่ๆ เช้าวันนี้ที่ผมตื่นมาไม่มีแสงแดดให้ผมเห็นชัวร์!!!

เข้าวันนี้ฝนตก และมีหมอกปกคลุมยอดเขาเต็มไปหมด ซึ่งพยากรณ์อาการบอกว่าจะเป็นไปแบบนี้ตลอดทั้งวัน!!!

ดังนั้นยอดเขา Titlis ที่ผมวางแผนจะขึ้นไปเที่ยวในวันนี้จึงต้องพับแผนไปโดยปริยาย จะไปเที่ยวไหนก็ไม่อยากไปครับ

ได้แต่นอนเล่นในห้องพัก เปิดดู MV เพลงไทยใน Youtube ผ่าน Internet TV ในห้องแก้เบื่อ พอหิวก็ออกไปซื้ออาการมากิน แล้วก็นอนหลับพักผ่อนเท่านั้นเอง

พอถึงช่วงเย็นๆ ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยจริงๆ ผมเลยตัดใจยอมออกไปเดินเที่ยวทั้งๆ ที่ฝนตกอยู่แบบนี้ล่ะ

วิวหม่นๆ ของเมือง Luzern ในวันที่ฝนตกทั้งวัน

บรรยาการบนท้องถนนที่ปกคลุมไปด้วยสายฝน


เดินมาเรื่อยๆ จนมาถึง Löwendenkmal หรือรูปปั้นสิงโตกำลังทรมาน ที่ผมว่ายังคงสวยงามแม้ฝนจะตกอยู่ก็ตาม


รายละเอียดของรูปปั้นแสดงถึงสีหน้าและอารมร์เหมือนสิงโตตัวนี้กำลังเจ็บปวดจริงๆ


Löwendenkmal (Lion Monument)
เวลาเปิด: ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม: ฟรี
พิกัด: 47.05833, 8.310353


Kapellbrücke สะพานไม้แห่งสวิส

Kapellbrücke หรือ Chapel Bridge แห่งนี้ ผมว่าไม่ใชาสะพานไม้แห่งเมือง Luzern เท่านั้น แต่มันคือสะพานไม้ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งนึงของประเทศสวิสเลยทีเดียว เพราะผมเชื่อว่าใครที่มาเที่ยวสวิสเซอแลนด์ ต้องไม่ยอมพลาดมาถ่ายรูปคู่กับสะพานแห่งนี้แน่นอนครับ

Chapel Bridge ยังคงสวยงามแม้สภาพอากาศยังคงไม่ดีอยู่ก็ตาม

อีกมุมนึงของ Chapel Bridge


มาเดินเล่นข้ามสะพานกันบ้าง ซึ่งบนสะพานจะมีรูปสามเหลี่ยมวาดเป็นเรื่องราวให้ชมตลอดแนว


วิวเมือง Luzern ที่เริ่มเปิดไฟ เพราะใกล้มืดกันแล้วครับ


Kapellbrücke (Chapel Bridge)
เวลาเปิด: ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม: ฟรี
พิกัด: 47.05203, 8.307906


วิวสวยๆ ยามค่ำคืนของ Luzern

แม้เวลาลาจะล่วงเลยช่วงพระอาทิตย์ตกดินมาแล้ว ฝนที่ตกมาตลอดทั้งวันตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย

ฝนที่นี่ตกไม่หนักครับ แต่ตกเรื่อยๆ ทั้งวัน อากาศก็หนาวเย็นมากๆ ผมก็ออกไปถ่ายรูปทั้งๆ ที่เปียกๆ นั่นล่ะครับ พอหนาวๆ ก็วิ่งกลับมาหลบฝนที่ Chapel Bridge ก่อน เป็นแบบนี้จนเกือบๆ สี่ทุ่มจึงกลับเข้าห้องนอนครับ

ผมยังคงเลือกปักหลักเพื่อชมแสงสวยๆ ยามค่ำคืนของเมือง Luzern ที่บริเวณ Kapellbrücke ครับ

วิวบนสะพานใกล้ๆ กับ Kapellbrücke


อาคารแสนสวยหลังนี้ตั้งอยู่บนภูเขา ซึ่งเด่นสะดุดตาเหลือเกินเมื่อมองจากบริเวณในเมืองครับ


วิวเหงาๆ บนถนนและเสาไฟ


วิวที่ผมอยากมาถ่ายรูปมากที่สุดในเมือง Luzern แห่งนี้ ก็คือวิวของ Kapellbrücke และ Jesuit Church คู่กันแบบนี้ครับ



เข้าพักที่ Youth Hostel Interlaken


เช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้เวลาอำลาเมือง Luzern ท่ามกลางบรรยากาศเหมือนเมื่อวานเป๊ะเลยครับ คือฝนตก หมอกลงจัด มองไม่เห็นแสงอาทิตย์เลย สงสัยผมจะไม่มีดวงกับเมืองแห่งแสงนี้ซะแล้ว

ไม่เป็นไรครับหวังเมืองถัดไปจะมีอากาศดีๆ ให้ผมได้ชมบ้าง โดยจุดหมายที่ผมจะเดินทางไปต่อก็คือเมือง Interlaken ครับ

จาก Luzern ไป Interlaken มีรถไฟขบวน Lezern - Interlaken Express วิ่งตรงยาวต่อเดียวถึงเลย แถมวิวระหว่างทางยังน่าชมมากๆ (แนะนำนั่งฝั่งขวามือนะครับ ส่วนผม....ได้นั่งฝั่งซ้ายมือ)

วิวระหว่างนั่งรถไฟจาก Luzern ไปยัง Interlaken ด้วยขบวน Lezern - Interlaken Express

บรรยากาศบางจุดยังมีหิมะปกคลุมพื้นหญ้าอยู่เลย แต่ดูแล้วน่าจะเพิ่งตกมาเร็วๆ นี้


รถไฟมาจอดที่สถานี Interlaken Ost หรือสถานีรถไฟ Interlaken ฝั่งตะวันออก

Youth Hostel Interlaken เป็นที่พักที่ทำเลดีสุดๆ อยู่ใกล้สถานีรถไฟ Interlaken Ost สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกมากๆ

ภายในห้องพักของ Youth Hostel Interlaken ซึ่งผมจองห้องแบบ Private ห้องน้ำในตัวเอาไว้ แต่หากใครมาคนเดียวหรืออยากประหยัดหน่อยก็มีห้องรวมแบบ Dorm ให้บริการด้วยนะครับ


ข้อเสียอย่างเดียวที่ผมเจอที่ Youth Hostel Interlaken คือสัญญาณ Wifi มาไม่ถึงในห้องผมครับ จะใช้ทีต้องลงไปนั่งเล่นที่ Lobby เท่านั้น

Youth Hostel Interlaken : 46.690384, 7.867983


วัดดวงกับ Matterhorn

เมื่อมาถึง Interlaken ผมดู Live Cam ของยอดเขาต่างๆ บริเวณนี้ อากาศไม่ดีเอาซะเลย จะไปล่องเรือก็คงไม่สวยแล้วพาลจะเบื่อซะเปล่า จะเดินเล่นในเมืองก็อึมครึมเหลือเกิน ทำให้ไม่รู้จะไปเที่ยวไหนดี

นั่งเล่น Smart Phone ดูไปดูมาก็พบ Live Cam ของ Matterhorn ซึ่งปรากฏว่าท้องฟ้าใสมาก แถมเห็นยอดภูเขาทรงปิรามิดอย่างชัดเจนเลย

แต่ผมก็ยังสงสัยในใจว่าทำไมพยากรณ์อากาศที่ Zermatt ก็ไม่ดีเหมือนๆ Interlaken นี่ล่ะ แล้วจะเห็น Matterhorn ได้ยังไง?

และถึงตอนนี้จะเห็นจริงๆ แต่กว่าจะเดินทางไปถึงจะเห็นอยู่รึเปล่านะ? เพราะรถไฟจาก Interlaken ไปถึง Zermatt ก็เกือบๆ 3 ชั่วโมงแล้ว แต่ไหนๆ เราก็มี Swiss Pass อยู่ในมือ แถมไม่รู้จะไปไหนในวันอากาศแย่ๆ อย่างนี้ เลยตัดสินใจเสี่ยงดวงโดดขึ้นรถไฟไป Zermatt บ้านของ Matterhorn กันดีกว่าครับ

นั่งรถไฟ 3 ต่อ กับเวลาอีกเกือบๆ 3 ชั่วโมง ผมก็ได้มายืนอยู่ที่เมือง Zermatt ก่อนกำหนดการในแผนท่องเที่ยวของผม ที่จะมาพักที่นี่ในอีก 3 วันข้างหน้า เมื่อมาถึงผมเดินออกมานอกสถานีเพื่อมองไปหายอดเขา Matterhorn เป็นอันดับแรก ปรากฎว่าฟ้าขาวมองไม่เห็นยอด Matterhorn ซักนิดเลย!!!!

เอาล่ะซิ! ใจเริ่มเสียแล้วล่ะครับ แต่ผมก็ยังไม่ละความหวัง เดินเข้าไปในสถานี Gornergrat Bahn พบจอโทรทัศน์ที่เดาว่าเป็น Live Cam ที่สถานี Gornergrat ด้านบน ซึ่งยังคงมองเห็นยอด Matterhorn ชัดเจนอยู่เลย!!!

ผมตัดสินใจเดินเข้าไปซื้อตั๋วขึ้นไปด้านบนทันที ในราคา 45 CHF (Swiss Pass ลดแล้ว 50% จากราคาเต็ม 90 CHF) แล้วเข้าไปนั่งรอรถไฟออกอย่างใจจดใจจ่อ...


เมื่อรถไฟวิ่งออกมาซักพักจะเห็นวิวของเมือง Zermatt ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ที่ดูแล้วเพิ่งน่าจะตกมาเมื่อคืนนี้ สวยงามไปอีกแบบ

(อย่าลืมนั่งฝั่งขวามือ เพื่อวิวที่สวยงามกว่านะครับ)

ขณะรถไฟวิ่งขึ้นไป ผมก็มองหายอดเขา Matterhorn ไป ก็ยังไม่เห็นอยู่ดี

แถมนั่งๆ อยู่ รถไฟยังวิ่งเข้าไปในหมอกสีขาว จนมองอะไรแทบไม่เห็นเลยอีกด้วย

แต่แล้วเมื่อรถไฟวิ่งฝ่าหมอกนั้นขึ้นมาได้ ผมก็ได้เห็นสีน้ำเงินเข้มของท้องฟ้าเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 วันที่มาเที่ยว!!!

ยอมรับว่าดีใจจนอยากตะโกนออกมาจริงๆ แต่ก็ยังดีใจได้ไม่สุดเพราะผมยังมองไม่เห็นยอด Matterhorn เลย

ที่ไหนได้ พอผ่านสถานี Rotenboden ก่อนถึง Gornergrat พอหันไปมองย้อนไปข้างหลังเล็กน้อย เจ้ายอดเขาทรงปิรามิดที่ผมใฝ่ฝันก็ปรากฎออกมาให้เห็นจนได้ นาทีนั้นดีใจมากๆ ครับ แม้ทริปนี้วันต่อๆ ไปจะอากาศไม่ดีก็ไม่เสียใจเท่าไหร่แล้ว เพราะไฮไลท์อันดับ 1 ของผม ปรากฎออกมาให้เห็นในวันนี้แล้ว



Superb View "Matterhorn"


พอรถไฟจอดให้ลง ผมก็รีบเอาตั๋วลงไปแตะเข้าไปด้านใน เพื่อจะได้รีบถ่ายรูป Matterhorn ให้สะใจ คล้ายกับกลัวว่าจะมีเมฆมาบดบังวิวอีก โดยข้างบนนี้วิวสวยมากจริงๆ ครับ ใครมาสวิสแล้วไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ

วิวนี้จะเห็นว่ามีเมฆหมอกลอยอยู่ใต่ฐาน Matterhorn เป็นจำนวนมาก ทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นยอดเขา Matterhorn จากในตัวเมือง Zermatt ได้ และโชคดีมากๆ ที่เมฆหมอกไม่ลอยสูงไปกว่านี้ ไม่เช่นนั้นคงบดบัง Matterhorn จนทำให้มองไม่เห็นความสวยงามอีกแน่ๆ

วิวภูเขาหิมะอื่นๆ รอบๆ ก็สวยงามเช่นเดียวกัน


เดี๋ยวผมจะเดินขึ้นไปบนอาคารดังกล่าว ซึ่งมีโรงแรมให้บริการด้วยนะครับ

น่าเสียดายมากที่ผมเพิ่งคิดได้ว่าควรมานอนค้างบนนี้ซักคืน ซึ่งก็ช้าเกินไปแล้ว ห้องเต็มไปก่อนหน้านี้นานแล้วครับ

ขึ้นลิฟท์มาจะเจอเจ้ามาสคอตรูปแกะยืนชูป้ายบอกความสูงของสถานี Gornergrat แห่งนี้ โดยมี backgroud เป็นยอดเขา Matterhorn นั่นเอง


ชมยอดเขาทรงปิรามิดกันแบบเต็มๆ ตากันเลยครับ

รถไฟอีกขบวนนึงที่กำลังพาคนมาชมความสวยงามบน Gornergrat กันครับ


วิวของสถานี Gornergrat กับ Matterhorn


วิวของภูเขาลูกอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบครับ


หลังจากชมวิวจนพอใจแล้วผมก็นั่งรถไฟกลับเมือง Interlaken ครับ กว่าจะถึงก็มืดแล้วเลยจบทริปของวันไว้ด้วยความประทับใจครับ


ยามเช้าที่สดใสของ Interlaken


เช้าวันนี้ตื่นมาเจอกับอากาศที่แจ่มใสที่สุดตั้งแต่เริ่มทริปนี้มาครับ ที่ Youth Hostel มีอาหารเช้าให้รวมในราคาห้องแล้วด้วยนะครับ แต่ไหนๆ ก็เจออากาศแจ่มๆ แบบนี้ในรอบหลายๆ วัน ผมอดไม่ได้ที่จะเดินถ่ายรูปเมือง Interlaken ก่อนกลับมากินข้าวเช้าครับ

วิวหน้าโรงแรมก็สวยซะแล้ว

เดินมาจนถึง Höhematte หรือที่คนไทยไปตั้งชื่อว่าสนามหลวงของอินเตอร์ลาเค่น

มีสนามหญ้าสีเขียวขจีกว้างๆ โดยมีภูเขาหิมะเป็นฉากหลังให้ด้วยครับ

ถนนยังไม่ค่อยมีรถวิ่ง และผู้คนส่วนใหญ่ออกกำลังกาย หรือพาสุนุขมาเดินเล่นกัน ดูมีความสุขจริงๆ


ยอดโบสถ์แห่งนึงในเมือง ซึ่งสามารถมองเห็นภูเขาหิมะข้างหลังได้อย่างชัดเจน


ระหว่างเดินกลับมาโรงแรมเจอรถไฟกำลังวิ่งข้ามสะพานพอดี เลยเก็บรูปไว้ซะหน่อย



เดินทางบนรถไฟที่จะพาเราไป Top of Europe


หลังจากอิ่มกับอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกเดินทางเพื่อไปยังไฮไลท์อีกแห่งนึงของทริปนี้ นั่นคือ Jungfrau “Top of Europe" กันครับ

ค่าตั๋วรถไฟขึ้น Jungfrau ไม่ใช่ถูกๆ เลย แถม Swiss Pass ใช้ลดได้เพียง 25% เท่านั้นเองด้วย แต่ก็กัดฟันซื้อละครับ เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว ไม่อยากพลาดเลยจริงๆ

Swiss Pass ใช้เป็นส่วนลดได้ 25% เหลือคนละ 133 CHF (ตั๋วไป-กลับ)

ระหว่างรถไฟไต่ขึ้นไปใกล้ๆ Jungfrau จะมีจุดที่เค้าจอดให้ลงไปชมวิว หรือเข้าห้องน้ำกันได้ครับ ซึ่งจุดแรกคือ Eigerwand

วิวนอกหน้าต่างที่สถานี Eigerwand


สถานีถัดไป Eismeer


วิวนอกหน้าต่างของ Eismeer ผมว่าสวยกว่าตรงจุดแรกที่ Eigerwand นะครับ


ผลึกน้ำแข็งก้อนใสๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนา ดูสวยแปลกตาดี



Jungfraujoch “Top of Europe"


หลังจากการเดินทางกว่า 2 ชั่วโมงผมก็มาถึงสถานี Jungfraujoch ที่ได้ชื่อว่าเป็น Top of Europe ในระดับความสูง 3,454 เมตรจนได้ครับ

ในวันที่ผมมาเที่ยวที่นี่ นักท่องเที่ยวเต็มขบวนรถไฟจนแทบเลือกไม่ได้เลยว่าจะนั่งฝั่งซ้ายหรือขาวเพื่อชมวิวดี

ที่ Jungfrau เค้าจะมีจุดให้เดินเที่ยวตามเส้นทางไปเรื่อยๆ ประมาณ 8-9 จุด (ไม่รวมจุดที่เป็นพวกร้านค้า) เราก็เดินชมตามเส้นทางไปเรื่อยๆ ได้เลยครับ

อ้อ...แต่ก่อนเริ่มต้นท่องเที่ยว ในอาคารของสถานีรถไฟ เค้าจะมีตัวประทับตราลงใน Jungfrau Passport ที่เราได้รับมาตอนซื้อตั๋วด้วยนะครับ อย่าลืมประทับก่อนล่ะ!!!

มุมนี้เราจะได้ชมก่อนเลย แต่เป็นการชมผ่านกระจกนะครับ หากต้องการชมวิวนี้แบบรอบทิศไร้สิ่งกีดขวาง ให้รอเดินไปถึงจุดที่ 9 ซะก่อน ไม่ผิดหวังแน่นอน

วิวภูเขาหิมะสวยๆ แบบนี้มีให้มองตลอดครับ


บางจุดจะอยู่ในตัวอาคาร ในห้องปิดทึบ แต่ก็มีอะไรให้ดูเช่นเดียวกัน


เดินมาเรื่อยๆ จะมีอีกจุดที่ผมชอบก็คือตรงอุโมงค์น้ำแข็งตรงนี้ล่ะครับ


รูปสลักน้ำแข็งที่มีให้ชมใน Ice Palace (Eispalast)


เจ้าตัวละครจากการ์ตูน Animation เรื่อง Ice Age



ชมวิวภูเขาหิมะ 360 องศา


หลังจากเดินผ่านจุดต่างๆ มาหมดแล้ว จะมาถึงจุดสุดท้ายที่เราจะได้ออกมาชมวิวด้านนอกอาคาร แบบไร้กระจกกั้นกันแบบจุใจเลยล่ะครับ

ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ผมรอคอยมากที่สุดในการขึ้นมาบน Jungfraujoch นี่เลยล่ะ

ธารน้ำแข็ง Aletsch Glacier ที่หิมะปกคลุมขาวจ้าไปหมด (ด้านนอกผมไม่สามารถถอดแว่นกันแดดได้เลยครับ)

ภูเขาสวยๆ อยู่รอบตัวเต็มไปหมด


Sphinx อาคารที่เพิ่งเดินผ่านมาไม่นาน


ภูเขาสวยๆ ที่อยู่รอบตัวอีกมุมนึงครับ


เมื่อชมวิวเต็มอิ่มแล้วผมก็เดินทางกลับลงมาเพื่อเดินทางไปที่อื่นต่อครับ

จุดนี้คือรถไฟสีแดงที่พาผมขึ้นไปชม Jungfraujoch ขณะจอดอยู่ที่สถานี Kleine Scheidegg


ไปหา James Bond ที่ Schilthorn


จริงๆ แล้ว Schilthorn อยู่ในแผนการวันพรุ่งนี้เช้าของผม แต่เนื่องจากสภาพอากาศเอาแน่เอานอนไม่ได้ ผมเห็นว่าไหนๆ วันนี้ก็อากาศดีขนาดนี้แล้ว ลุยไปเลยก็แล้วกัน

ผมเลือกเดินทางไป Schilthorn โดยเมื่อลงจาก Jungfraujoch ถึงสถานี Lauterbrunen แล้วจากนั้นนั่งรถบัสสาย 141 ที่จะวิ่งไปทาง Stechelberg จากสถานีหน้าสถานีรถไฟ Lauterbrunen (ลงจาดรถไฟแล้ว เดินลงมาในอุโมงค์ มองป้ายที่ชี้ทางมาที่รถบัส >>> ออกจากอุโมงค์มาเดินทางถนนจะเจอป้ายที่รถจอดดังรูป)

นั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Schilthornbahn ซึ่งรถบัสจะมาจอดในสถานี Cable Car ให้เลย เราก็ลงไปแล้วเดินไปซื้อตั๋วขึ้นไป Schilthorn จากหน้าสถานี Cable Car นี้ได้เลยครับ ซึ่ง Swiss Pass พาเราขึ้นไปได้ถึงแค่ Mürren ฟรีเท่านั้นนะครับ หากจะไปถึง Schilthorn ต้องจ่ายเพิ่ม โดย Swiss Pass ใช้ลดได้ 50% เหลือคนละ 40 CHF (ไป-กลับ)


ในส่วน Cable Car นั้น เราไม่ได้นั่งยาวทีเดียวถึง Schilthorn นะครับ ต้องมีการเปลี่ยน Cable Car ตามสถานีต่างๆ 4-5 สถานี จึงจะถึง Schilthorn

วิวบน Cable Car ช่วงท้ายๆ จะเต็มไปด้วยหิมะปกคลุม และวิวที่ร้องว้าว!!! ได้เรื่อยๆ ครับ


เห็นหินก้อนนี้ก็ใกล้ถึง Schilthorn แล้วล่ะครับ



ชมความยิ่งใหญ่ของ 3 ขุนเขาบน Schilthorn


เมื่อมาถึง Schilthorn ตรงอาคาร Piz Gloria จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับ James Bond ครับ เพราะภาพยนต์ James Bond เคยมาถ่ายทำที่นี่นั่นเอง (แต่ภาคเก่ามากๆ แล้วล่ะครับ) แถมที่ Schilthorn เรายังสามารถชมวิวความยิ่งใหญ่ของ 3 ขุนเขา Jungfrau / Mönch / Eiger ได้อีกด้วย

เดินออกมาด้านนอก Piz Gloria ก็จะได้ชมวิวสวยๆ แบบ 360 องศา แบบจุใจอีกครั้งนึงครับ

3 ขุนเขาที่ยิ่งใหญ่ คือ Jungfrau (4,158 m.) Mönch (4,099 m.) และ Eiger (3,970 m.) เรียงลำดับจากขวาไปซ้ายในรูปครับ


จุดชมวิวอีกจุดนึงบน Schilthorn ที่ต้องเดินลัดเลาะไปชม


วิวภูเขาหิมะรอบตัวมองไปทางไหนก็สวยไปหมด ซึ่งหากเป็นคนชอบชมภูเขาหิมะ ผมว่าที่ Schilthorn มีวิวหลากหลายกว่าที่บน Jungfrau นะครับ


อีกมุมนึงที่อลังการณ์มากๆ



ชมวิวภูเขารอบตัวแบบไร้สิ่งกีดขวางให้สะใจไปเลย!!!


มาชมบรรยากาศบน Schilthorn กันต่อนะครับ เรียกได้ว่าที่ Schilthorn แทบจะทำให้เราเอียนกับภาพของภูเขาหิมะกันเลยล่ะ เพราะมันมีเต็มไปหมด และยิ่งใหญ่เอามากๆๆๆๆ

มาชมบรรยากาศกันล้วนๆ เลยดีกว่าครับ


ตก Cable Car!!! (ไม่ใช่ Cable Car ตก)


หลังจากชมวิวบน Schilthorn เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาลงจาก Schilthorn กันซะที

แต่ปัญหาคือตอนเปลี่ยน Cable Car ที่สถานีถัดลงมาจาก Schilthorn นั้น ผมออกไปถ่ายรูปช่วงรอ Cable Car ขึ้นมารับ และเมื่อได้เวลาเดินกลับมาจะขึ้น Cable Car ปรากฎว่าเต็มครับ คนไปได้ไม่หมด ต้องรอรอบถัดไปกันหลายคนเลย รวมทั้งผมด้วย ดีที่ยังไม่ใช่เที่ยวสุดท้าย แต่ก็ต้องรออีกตั้งครึ่งชั่วโมงแน่ะ

การตก Cable Car รอบนี้นอกจากจะต้องรอเที่ยวถัดไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว พอไปถึงข้างล่างก็ต้องรอรอบรถบัสไปสถานี Lauterbrunen อีกเกือบชั่วโมงอีก ส่งผลกระทบเป็นทอดๆ เลยล่ะครับ

Cable Car กำลังพาลงจาก Schilthorn

ที่สถานีนี้ผมออกมาถ่ายรูป แล้วกลับไปขึ้น Cable Car ไม่ทัน

คนออกมาชมวิวข้างนอกเต็มเลย

ตรงจุดชมวิวที่นี่ทำทางเดินเป็นตะแกรงให้เห็นพื้นข้างล่างด้วย คนกลัวความสูงอดเดินแน่ๆ


พอ Cable Car รอบถัดไปมา ก็กรูกันขึ้นเพื่อลงมาข้างล่างกันครับ


ซึ่งพอลงมาถึงตรง Schilthornbahn ก็ต้องรอรสบัสอีกตั้งเกือบชั่วโมงกว่าจะมาพาเราไปยังสถานี Lauterbrunen รอกันนานเลยครับ สุดท้ายก็กลับมาถึง Interlaken โดยสวัสดิภาพ เป็นอันจบทริปของวันนี้ด้วยความสนุกสนารและประทับใจกับวิวมากๆ ครับ


หมู่บ้านแห่งน้ำตก Lauterbeunen


เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศที่เมือง Interlaken ยังคงแจ่มใสเหมือนเดิม

ผมจัดแผนการท่องเที่ยวใหม่ ซึ่งเป็นการจัดแบบวันต่อวันหลังจากเจออากาศแย่ๆ ไป 3 วันติดต่อกันในช่วงแรก ทำให้แผนเดิมของผมเสียศูนย์ไปเลยครับ 555+

เช้าวันนี้ผมตั้งใจไปเดินเล่นในเส้นทาง Mürren - Gimmelwald ที่ว่ากันว่าสวยงามน่าเดินเป็นอย่างยิ่ง อ่านรีวิวของหลายๆ คนก็บอกเส้นทางนี้สวยนักสวยหนา ดังนั้นผมจึงต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้เลย แต่ก่อนจะไปเดินเล่นในเส้นทางดังกล่าว ผมเลือกไปเดินเล่นในเมือง Lauterbrunen ก่อน เพราะไหนๆ ก็เป็นทางผ่านอยู่แล้วด้วย

เริ่มต้นกันจากสถานีรถไฟ Lauterbrunen ครับ ยามเช้าๆ แสงแดดยังส่องเข้ามาไม่ถึงเมืองนี้เลย

ที่เมือง Lauterbrunen แห่งนี้จะมีน้ำตกใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้จากตรงบริเวณสถานีรถไฟเลย

น้ำตกนี้มีชื่อว่า Staubbach Falls แม้ว่าในช่วงที่ผมไปจะยังมีน้ำไม่เยอะมากนักก็ตาม

เมืองเล็กๆ ที่มีภูเขาหิมะเป็นฉากหลังแบบนี้ เป็นบรรยากาศของสวิสที่ผมโปรดปราณที่สุดเลยล่ะครับ


ยิ่งเดินเข้ามาในตัวเมือง ยิ่งเข้าใกล้น้ำตกมากขึ้นเรื่อยๆ


น้ำตก Staubbach Falls ยามเช้าแบบชัดๆ



เดินทางไปยัง Mürren


พอได้เวลาผมจึงเริ่มเดินทางไปยัง Mürren ซึ่งผมเลือกเดินทางไปอีกทาง ไม่ใช่ทางที่ไป Schilthorn แบบเมื่อวาน ซึ่งตรงสถานีรถไฟจะมีสถานี Cable Car “Bergbahn" ให้บริการในเส้นทาง Lauterbrunen ไป Mürren

สถานี Cable Car “Bergbahn" ในเส้นทางไป Mürren สามารถใช้ Swiss Pass ขึ้นไปได้ฟรีครับ

เมื่อ Cable Car ออกจากสถานีมาแล้ว จะสามารถชมวิวเมือง Lauterbrunen และน้ำตก Staubbach Falls ได้อย่างชัดเจน


Cable Car จะนำเรามาถึงที่สถานี Grütschalp ซึ่งจะมีรถไฟจอดรออยู่แล้ว เพื่อนำเราไปยัง Mürren ครับ



Mürren เมืองสวยสไตล์สวิส


ผมไม่รู้ว่าเมืองสวยสไตล์สวิสของแต่ละคนเป็นยังไงนะครับ แต่สำหรับผม บ้านไม้แบบชาเล่ต์ กับวิวภูเขาหิมะ คือ "เมืองสวยสไตล์สวิส" แบบของผมล่ะ

การเดินในเส้น Mürren - Gimmelwald จะเป็นการเดินลงเนินนะครับ ทำให้ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่หากใครอยากออกกำลังกาย และกำลังขามากหน่อย ให้เดินในเส้นทางย้อนกลับกลับกันเป็นจาก Gimmelwald - Mürren ก็ย่อมได้ครับ

อาคารไม้แบบสวิส กับวิวภูเขาหิมะด้านหลัง สวยจริงๆๆๆๆๆ

เสียดายอย่างที่สนามหญ้าบนนี้ยังไม่เขียวขจีเท่าไหร่นักครับ น่าจะเข้าช่วงเดือนพฤษภาคมไปแล้ว จึงจะฟื้นกลับมาเป็นสีเขียวอีกครั้ง


ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ยอดเขานี้คือ Eiger ครับ


ที่ Mürren มีโรงแรมให้บริการหลายแห่งเหมือนกัน ใครสนใจจะมานอนพักค้างคืนนั้น คุ้มค่าแน่นอนครับ



เส้นทางระหว่าง Mürren - Gimmelwald


ระหว่างทางเดินจาก Mürren - Gimmelwald ไม่ค่อยมีร่มไม้เท่าไหร่นะครับ แดดแรงมากๆ แม้อากาศจะยังหนาวอยู่ แต่เดินๆ ไปก็เหงื่อตกได้เหมือนกัน ใครไม่ชอบตากแดดเยอะๆ แนะนำพกร่มมาซักคันนึง เผื่อช่วงที่เดินตากแดดนานๆ จะได้มีร่มเงาบ้างครับ

เส้นทางช่วงแรกจะเป็นการเดินภายใน Mürren นะครับ ไม่ค่อยมีรถวิ่งหรอก เดินสบายๆ ครับ

ภูเขาหิมะที่มองเห็นได้ตลอดเส้นทาง


วิวนี้น่าอิจฉาคนที่มีบ้านแถวนี้ หรือมาพักโรงแรมแถวนี้จริงๆ นะครับ ตื่นมามองออกจากหน้าต่างก็เจอวิวสวยๆ แบบนี้เลย

แต่ไม่รู้ว่าเค้าเห็นทุกวันจะเบื่อไปแล้วหรือเปล่า


บรรยากาศใน Mürren มีบ้านเรือน โรงแรม ร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกระหว่างทาง แต่ช่วงเช้าๆ แบบที่ผมมาเดินก็ยังปิดกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะเงียบเหงานะครับ

บ้านเรือนสไตล์สวิส กับภูเขาหิมะ ในวันอากาศแจ่มใส เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมจริงๆ

ระหว่างทางจะเห็นคนมาเล่นเครื่องเล่นแบบนี้หลายคนเลย


ป้ายบอกทางใน Mürren


เดินไป ชมวิวแบบนี้ไป ไม่มีเหนื่อย ไม่มีเบื่อเลยล่ะครับ



เส้นทางนี้ออกแนวลูกทุ่งๆ หน่อยนะครับ คือชาวบ้านเค้าทำเกษตรกัน มีเลี้ยงลา เลี้ยงม้า ดังนั้นบางจุดอาจมีอุจาระของสัตว์พวกนี้ตามทางเดินบ้าง หรือเจอรถขนมูลสัตว์เหล่านี้ เอามูลมาเทลงในพื้นที่เพาะปลูกระหว่างทางบ้าง ยิ่งถ้าเพิ่งเทสดๆ กลิ่นตลบอบอวลมากๆ ครับ 555+

(ไม่รู้บรรยายแบบนี้จะเสียบรรยากาศสุนทรีย์ไปบ้างหรือเปล่า ถือว่าได้สัมผัสบรรยากาศจริงๆ อีกมุมดูแล้วกันนะครับ 555+)

บรรยากาศเส้นทางเดินระหว่าง Mürren - Gimmelwald เป็นถนนเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่านเท่าไหร่

แต่นานๆ ก็มีรถวิ่งสวนมาทีนึงนะครับ ต้องหาจุดหลบกันข้างๆ ให้ดีๆ


Cable Car ที่นำคนไปยังปลายทางที่ Schilthorn


มองลงไปยังหมู่บ้านด้านล่าง


บ้าน หรือโรงเก็บอะไรซักอย่างเล็กๆ กับภูเขาหิมะที่ใหญ่โตมากๆ

เป็นส่วนผสมที่กลมกลืน ลงตัวเอามากๆ


เดินไปถ่ายรูปไปเพลินๆ บางทีก็สวนกับนักท่องเที่ยวคนอื่นที่เดินสวนทางกันขึ้นมาบ้าง เชื่อเถอะครับว่าไม่มีเบื่อ (ถ้าคุณไม่เอียนกับวิวภูเขาหิมะไปซะก่อน)

เดินมาซักพักก็เริ่มเข้าเขต Gimmelwald แล้วล่ะครับ

มีเก้าอี้ให้นั่งพัก และชมวิวสวยๆ กันด้วย


วิวที่ Gimmelwald ก็สวยไม่แพ้แถว Mürren เลย

แต่ถ้าเลือกได้ที่เดียว ผมคงเลือก Mürren ล่ะครับ

แถว Gimmelwald ก็มีที่พักให้บริการเช่นเดียวกัน


มาถึงสถานี Cable Car ที่ Gimmelwald แล้วครับ มี Slider ให้เด็กๆ เล่นด้วยตรงนี้


ได้เวลาเดินทางกลับลงมายัง Lauterbrunen


ผมเลือกกลับทาง Cable Car ทางเดิมที่กลับลงมาจาก Schilthorn เมื่อวานนี้ครับ โดย Swiss Pass ฟรีเหมือนเดิม คือจากสถานี Gimmelwald ลงมายัง Schilthorbahn แล้วต่อรถบัสกลับสถานี Lauterbrunen

วิวจาก Cable Car ขาลงจาก Gimmelwald มา Schilthorbahn ข้างล่าง

เห็นรุ้งกินน้ำจากสายน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาด้วย


เนื่องจากผมทำเวลาการเดินในเส้นทาง Mürren - Gimmelwald เร็วกว่ากำหนด เลยตั้งใจหาที่ฆ่าเวลาเล่นๆ ก่อนเดินทางไปยังสถานที่ตามแผนที่วางเอาไว้ต่อไป ซึ่งใช้บริการรถบัสสาย 141 เหมือนเดิม ในเส้นทางที่วิ่งกลับสถานี Lauterbrunen ครับ



น้ำตกในถ้ำ Trümmelbachfälle


ผมเลือกมาเที่ยวฆ่าเวลาที่ Trümmelbachfälle ซึ่งสามารถนั่งรถบัสสาย 141 มาลงที่ป้าย Trümmelbachfälle ได้เลยครับ

เอาจริงๆ คือผมไม่เคยรู้จักน้ำตกแห่งนี้มาก่อนเลย แต่เมื่อตอนนั่งรถผ่านเมื่อวานเห็นชื่อป้าย Trümmelbachfälle แล้วเดาว่าเป็นน้ำตกแน่นอน แถมยังเห็นมีคนลงไปหลายคนด้วย วันนี้มีเวลาเหลือเลยขอแวะเข้าไปชมซะนิดนึงครับ

Trümmelbachfälle
เวลาเปิด: 09:00 - 17:00
ค่าเข้าชม: 11 CHF (ใช้ Swiss Pass ไม่ได้)
พิกัด: 46.569312, 7.914624
การเดินทาง: นั่งรถบัส 141 จาก Lauterbrunen มาลงที่ป้าย Trümmelbachfälle

ป้ายทางเข้า Trümmelbachfälle

ที่ Trümmelbachfälle จะมีจุดให้เที่ยวชมประมาณ 10 จุดครับ ซึ่ง 2 จุดแรกสามารถเดินมาชมตามป้ายได้เลย

จุดนี้น่าจะเป็นจุดที่ 1 ครับ

Trümmelbachfälle เป็น Glacier Waterfalls ที่อยู่ภายในภูเขาครับ โดยน้ำตกเกิดจากการละลายของภูเขาน้ำแข็ง


น้ำที่ไหลออกมาจากซอกหน้าผา เป็นจุดหนึ่งของ Trümmelbachfälle



เมื่อชม 2 จุดแรกเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เดินลงมาตรงชั้นล่างอีกครั้ง เพื่อขึ้นลิฟท์ไปชมจุดต่อไปครับ

ลิฟท์ที่พาเราขึ้นไปจะเป็นลิฟท์แบบที่ใช้ในเหมืองเลยล่ะครับ

ด้านบนหลังจากขึ้นลิฟท์มาแล้ว จะเป็นทางเดินชมในถ้ำนะครับ อากาศหนาวๆ ชื้นๆ มีแสงไฟส่องทางเดินได้สบายๆ


น้ำตก Trümmelbachfälle ผมเห็นเค้าเขียนป้ายเอาไว้ว่าที่นี่เป็น Glacier Waterfalls ในภูเขาที่สามารถเข้าถึงได้เพียงแห่งเดียวในยุโรปเลยนะครับ


เดินชมวิวเล่นๆ สบายๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงน่าจะพอครับ


วิวสุดท้ายในถ้ำ Trümmelbachfälle


จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ประทับใจอะไรที่นี่มากนักนะครับ ใครมีแผนท่องเที่ยวแน่นอยู่แล้ว ไม่ต้องแวะมาก็ได้ แต่ถ้าต้องการมาชมเพื่อฆ่าเวลาเล่นๆ ก็ไม่ได้เสียหายอะไรครับ


แวะพักกินอาหารกลางวันที่ Coop Restuarant


ผมกลับมาที่เมือง Interlaken เจอร้าน Coop Restuarant อยู่ตรงข้ามสถานี เลยเดินเข้าไปดู เจออาหารแบบคิดราคาตามขนาดจานที่ใช้ตัก น่ากินดีเลยจัดมาชิมดู ปรากฏว่าอร่อยคุ้มค่าดีเลยนะครับ

ที่เห็นในรูปคือจานขนาดกลาง ราคาจานละ 9.95 CHF


ล่องเรือในทะเลสาบ Thun


กิจกรรมในช่วงบ่ายผมเลือกที่จะไปล่องเรือชมวิวในทะเลสาบ Thun ครับ สำหรับผู้ถือ Swiss Pass สามารถใช้ขึ้นได้ฟรีเลยนะครับ (ตาม Class นะครับ)

สำหรับรอบเรือสำหรับทั้ง Thun และ Brienz สามารถตรวจสอบได้ที่ https://www.bls.ch/e/schifffahrt/fahrplan.php

ออกเดินทางแล้วครับ

บ้านเรือนริมทะเลสาบดูสวยงาม และสบายตาดีนะครับ


บรรยากาศสบายๆ ของทะเลสาบ Thun


วิวจากหน้าต่างบนเรือขณะล่องผ่านทะเลสาบ


วิวบ้านเรือนและคฤหาสถ์หบังใหญ่รอบทะเลสาบ Thun ที่ดูแล้วคุ้มค่าที่ยอมเสียเวลากว่า 2 ชั่วโมงในการล่องเรือครั้งนี้จริงๆ

หนึ่งในจุดที่สวยที่สุดระหว่างล่องเรือที่ทะเลสาบ Thun ก็คือตอนเรือกำลังเข้าจอดที่เมือง Spiez ครับ

ชมวิวกันไปเพลินๆ นะครับ



ปราสาทอีกแห่งที่สวยงาบบนทะเลสาป Thun ครับ


Oberhofen am Thunersee

Arts at Schadau Castle เข้ามาใกล้ท่าเรือเมือง Thun เต็มทีแล้วครับ



เดินเล่นชมเมือง Thun


มาถึงเมือง Thun ก็เย็นมากๆ แล้วครับ จากท่าเรือเดินมาโผล่มาตรงสถานีรถไฟกันก่อนเลย

จุดหมายผมคือบริเวณนี้ครับ Schloss Thun หรือ Thun Castle นั่นเอง


บรรยากาศระหว่างทางเดินไปยังปราสาทครับ



ชมวิวเมือง Thun


มองเห็นปราสาทอยู่ไม่ไกลแล้วครับ ดูโดดเด่นเป็นสง่าจริงๆ

วิวสวยๆ ที่สามารถมองเห็นเมืองพร้อมทะเลสาบในมุมสูงได้อย่างชัดเจน


วิวเมือง Thun อีกมุมนึงครับ


เนื่องจากผมเดินทางมาถึงเมือง Thun เย็นมากๆ แล้ว ซึ่งปราสาทก็ปิดให้เข้าชมไปแล้วด้วย จึงพลาดไม่ได้เข้าไปชมด้านในครับ


โบสถ์ที่อยู่ติดๆ กับ Thun Castle ครับ



อิ่มท้องกับอาหารไทย รสชาติไทยๆ


หลังจากผมเดินทางกลับจาก Thun มายัง Interlaken ก็ได้เวลาหาอาหารเย็นกินแล้วล่ะครับ

เดินมากลางๆ เมืองแถวๆ Höhematte ที่เป็นสนามหญ้าใหญ่ๆ กลางเมือง ฝั่งตรงข้ามมีร้าน Hooster กำลังจะแวะกินไก่ทอดเลย ตาเหลือบไปเห็นร้านเล็กๆ ข้างหลังมีเมนูอาหารไทยกับจีนเลยแวะไปดูซะหน่อย

ร้าน Noodle Bar เป็นร้านเล็กๆ ตรงนี้ล่ะครับ

มีคนขาย 2 คนในร้าน รับออเดอร์ และปรุงอาหารด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคนไทยด้วยครับ


อาหารวันนี้มีข้าวแกงเผ็ดไก่ และข้าวต้มยำไก่ครับ ซึ่งรสชาตินั้นขอบอกว่าอร่อยใช้ได้ ทำให้หายคิดถึงอาหารไทยได้เลยล่ะครับ



เดินเล่นในเมือง Interlaken


คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะค้างในเมือง Interlaken แล้ว หลังจากอิ่มท้องเลยถือโอกาสเดินเล่นชมเมืองก่อนลาไปเมืองอื่นซะเลย

บรรยากาศในเมือง Interlaken เจอคนไทยเยอะมากๆ ครับ

บ่อน้ำหน้า Höhematte


วิวจาก Höhematte หรือที่บางคนเรียกสนามหลวงสวิส เป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่ คล้ายๆ สนามหลวงเราจริงๆ นั่นล่ะครับ


วิวภูเขาหิมะที่อาบแสงเย็น ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับเหลี่ยมเขาไป


โบสถ์ในเมือง Interlaken ที่มีวิวภูเขาสวยเป็นฉากหลัง


สวนดอกไม้เล็กๆ พร้อมป้ายเมือง Interlaken



พระอาทิตย์ตกที่เมือง Interlaken


สุดท้ายของวันก็เดินมาชมวิวแสงสุดท้าย ก่อนที่ท้องฟ้าจะถูกความมืดเข้ามาปกคลุมครับ

วันนี้เมฆเยอะไปหน่อย แต่ก็ยังได้เห็นแสงสีทองขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าครับ เป็นอันจบทริปไปอีกหนึ่งวัน..


อำลาเมือง Interlaken


วันนี้ผมจะเดินทางไปยัง Zermatt ครับ ในช่วงเช้ายังพอมีเวลาก่อนถึงเวลารถไฟออกเดินทางจึงได้เดินชมเมือง Interlaken อีกครั้งนึง

ร้าน Coop เมืองนี้มีวิวภูเขาหิมะเป็นฉากหลังนะครับ

เรือที่จอดตรงตรงท่าเรือไปยังทะเลสาบ Brienz ซึ่งตอนแรกวางแผนจะมาล่องเรืออีกซักรอบ

แต่เมื่อวานไปทะเลสาบ Thun มาแล้ว เลยตัดใจไม่ไปอีกดีกว่า



มองไปบนภูเขาหลัง Youth Hostel จะเห็นจุดชมวิว Harder Klum ซึ่งช่วงสงกรานต์ที่ผมไปนั้นยังไม่เปิดให้ขึ้นชมครับ



แวะเปลี่ยนขบวนรถที่ Spiez


หลังจากเมื่อวานผมนั่งเรือผ่านท่าเรือ Spiez แล้วพบว่าเมืองนี้สวยถูกใจ ดังนั้นขณะเปลี่ยนขบวนรถไฟไป Zermatt พอมีเวลาผมเลยเดินไปหน้าสถานี Spiez แล้วได้วิวสวยๆ อีกมุมของเมืองนี้อีกทีครับ

ซึ่งการชมวิวเมือง Spiez ก็ไม่ยากเลย แค่ลงรถไฟแล้วหาทางเดินไปด้านหน้าสถานี ก็จะได้เจอวิวสวยๆ ของเมืองนี้แล้ว

เดินออกมาหน้าสถานี Spiez ตรงนี้เลย

วิวยอดฮิตของเมือง Spiez ที่แค่มองไกลๆ ก็สวยแล้วครับ


อีกมุมนึงของเมือง Spiez จากตรงกน้าสถานีรถไฟ



สวัสดีอีกครั้งนะ Zermatt


จากที่ผมตัดสินใจมาเยือน Zermatt ก่อนเวลาในวันก่อนๆ หน้านี้แล้ว วันนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะมาค้างคืนที่ Zermatt จริงๆ ซะที ผมชอบบรรยากาศเมืองนี้เป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่แค่เดินเข้ามาในเมืองก็รู้สึกชอบขึ้นมาซะเฉยๆ ครับ

แต่วันนี้ผมยังไม่ค้างในเมือง Zermatt ซะทีเดียวนะครับ แต่ผมจะไปค้างที่ Schwarzsee ก่อนคืนนึง

วิวธารน้ำที่มองขึ้นไปก็เห็นยอด Matterhorn อย่างสวยงาม

ชมยอด Matterhorn ชัดๆ อีกครั้ง ซึ่งสามารถมองเห็นได้แทบทุกที่ในเมือง Zermatt ครับ


ผมเดินมาถึงสถานี Zermatt ZBAG-lz ซึ่งเป็นสถานี Cable Car ที่จะพาผมไปยังที่พักในคืนนี้

Zermatt ZBAG-lz : 46.014807, 7.742915



Cable Car ไต่ระดับความสูงไปยัง Schwarzsee


จริงๆ สถานี Cable Car ตรงนี้ก็คือจุดที่จะพาเราไปยัง Klein Matterhorn (Matterhorn Glacier Paradise) จุดชมวิวอีกจุดที่โด่งดังไม่แพ้ Gornergrat เลยทีเดียว แต่ผมจะไปแค่สถานี Schwarzsee ซึ่งอยู่ระหว่างทางขึ้นไปยัง Klein Matterhorn เท่านั้น โดยมีแผนจะขึ้นไปยัง Klein Matterhorn ในเช้าวันพรุ่งนี้ครับ

ก่อนขึ้นไปก็ต้องมาจัดการเรื่องตั๋วกันซะก่อน โดยผมซื้อตั๋ว Klein Matterhorn Return Ticket หรือตั๋วไปกลับ Klein Matterhorn นั่นเอง ซึ่งตั๋วใบนี้สามารถพาผมขึ้นไปยัง Schwarzsee วันนี้เพื่อค้างคืน ก่อนในวันรุ่งขึ้นค่อยเดินทางต่อไปยัง Klein Matterhorn แล้วจึงเดินทางกลับลงมาที่เมือง Zermatt ได้

โดยราคาเต็มของตั๋วแบบไป-กลับ คือ 100 CHF ใช้ Swiss Pass ลดได้ 50% เหลือ 50 CHF ครับ

วิวจาก Cable Car ครับ อากาศดีๆ แบบนี้วิวสวยจริงๆ

มองย้อนกลับไปที่ Zermatt เริ่มเห็นเป็นเมืองเล็กๆ แล้ว


ยิ่งขึ้นมาสูงขึ้น ยิ่งเข้าใกล้ Matterhorn จนบางทีรู้สึกว่ามันอยู่แค่ตรงนี้เองจริงๆ


มองเห็นโรงแรมที่ผมจะค้างในคืนนี้แล้วครับ



Hotel Schwarzsee โรงแรมสำหรับผู้คลั่งใคล้ Matterhorn


โรงแรมที่ผมจะพักคืนนี้ชื่อ Hotel Schwarzsee ครับ เป็นโรงแรมที่ราคาแพงที่สุดในทริปนี้ของผมเลย แต่ยอมทุ่มทุนมาขนาดนี้ เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับ Matterhorn แม้จะเป็นเพียงชั่วขณะก็ตาม

วิว Matterhorn ของโรงแรมนี้ อยู่ใกล้ชิดกับ Matterhorn มากๆ มากว่าในเมือง Zermatt แบบคนละเรื่องเลยครับ

Hotel Schwarzsee จุดนี้เป็นระเบียงสำหรับห้องพักแบบ Matterhorn View ซึ่งมีราคาแพงกว่าห้องพักฝั่ง Zermatt View นะครับ

ห้องพักขนาดกำลังดี เตียงนุ่มนอนสบาย Wifi แรงดีไม่มีหลุดครับ


มีห้องน้ำในตัวด้วยครับ


จุดพีคที่สุดคือสามารถมองเห็น Matterhorn จากหน้าต่างภายในห้อง แบบใกล้ชิดเต็มตาไปเลยยยยยยย

Hotel Schwarzsee : 45.990883, 7.710276


วิวพันล้านที่อยู่เพียงแค่นอกหน้าต่าง!!!


อาจจะดูโอเว่อร์ไปมากซะหน่อย แต่สำหรับคนที่ชอบภูเขาหิมะสวยๆ โดยเฉพาะภูเขาหิมะที่มีรูปทรงเป็รนเอกลักษณ์อย่าง Matterhorn ผมเชื่อว่าคงต้องเห็นด้วยกับผมแน่นอน

จะนั่งชมวิว นอนชมวิว หรืออกมาเดินชมวิวยังไงก็ไม่เบื่อเลยจริงๆ ติดอย่างเดียวที่อากาศภายนอกห้องหนาวจัดมากๆๆๆ แถมลมแรงสุดๆ ไปเลยครับ

วิวจากตรงนะเบียงห้องพัก ให้ดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ

Matterhorn มันตั้งอยู่ตรงนี้จริงๆ แทบจะรู้สึกเอื้อมมือถึงเลย


สถานี Cable Car ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม


วิวโดยรอบก็สวย แม้จะแพ้ความสวยของ Matterhorn ก็เถอะ


บางจังหวะก็มีกลุ่มเมฆเข้ามามะรุมมะตุ้ม Matterhorn ของเราแบบนี้ ดูแปลกตาดีเหมือนกันครับ



อาหารเย็นที่ Hotel Schwarzsee


สำหรับผู้ที่มาพัก Hotel Schwarzsee ราคาที่พักจะรวมอาหารเช้า และอาหารเย็นไปด้วยเลยนะครับ (อยู่บนนี้คงไม่มีใครลงไปหาอาหารเย็นกินข้างล่างแน่ๆ) โดยอาหารเย็นจะเหมือนกันทุกๆคน เลือกไม่ได้นะครับ

เริ่มจากเสริฟขนมปังกับสลัดผักก่อนเลย

จากนั้นก็มาถึง Main Course วันนี้เป็น Beef Steak ครับ (อร่อยๆๆๆ)


แต่ติดใจอยู่อย่างนึงคือค่าห้องรวมอาหารเช้า และอาหารเย็นไว้แล้ว แต่ดันไม่รวมค่าน้ำดื่มระหว่างมื้อเย็น ต้องจ่ายต่างหาก ซึ่งน้ำเปล่าขวดใหญ่ก็แพงมากๆๆๆๆๆๆวิวพลบค่ำและกลางคืน


หลังจากอิ่มกับอาหารมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว ตรงบริเวณหน้าต่างของห้องอาหารจะมองเห็นวิวภูเขาหิมะล้อมรอบเมือง Zermatt อยู่ เป็นภาพที่สวยงาม และผมชอบมากๆ อีกจุดนึงของโรงแรมนี้เลยล่ะครับ

แสงของพระอาทิต์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ส่องมากระทบกับภูเขาหิมะ

วิวยามค่ำของเมือง Zermatt ที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา


วิวเมือง Zermatt แบบชัดๆ ท่ามกลางแสงไฟอีกที


ตอนกลางคืน ผมกะจะตื่นออกมาถ่ายดวงดาวพร้อม Matterhorn ซะหน่อย แต่โชคไม่ดีที่เมฆออกมาบังซะมิดเลยครับ



หรือว่าโชคของผมจะถูกใช้ไปหมดแล้ว


ผมคิดว่าการที่จะได้เจอวิวสวยๆ อย่างที่ตั้งใจ ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งก็คือโชค หรือดวงของเรานั่นเอง

หลังจากวันแรกๆ ผมเจออกาศแย่ๆ ไป แล้วกลับมาเจออากาศดีๆ หลังจากนั้นอีกหลายวัน จนได้เจอวิวสวยๆ บนภูเขาหิมะหลายแห่งอย่างที่ต้องการ แต่เช้าวันนี้ผมตื่นมาพบกับสิ่งที่ไม่อยากยอมรับว่าโชคที่ผมใช้ไปนั้นน่าจะหมดซะแล้ว เพราะเช้านี้มองไม่เห็น Matterhorn เลย มีเมฆหมอกบังมิดเลยครับ มองไม่เห็นอะไรเลย

แน่นอนว่าโปรแกรมขึ้นไปบน Klein Matterhorn ของผมในเช้าวันนี้ก็ต้องพับเก็บไปโดยปริยาย

นี่คือช็อตที่เห็น Matterhorn ชัดเจนที่สุดในเช้าวันนี้แล้วครับ

ตัดใจยกเลิกการขึ้นไปชม Klein Matterhorn แล้วนั่ง Cable Car กลับลงมาที่ Zermatt ดีกว่า


ใกล้ถึง Zermatt แล้วครับ



Hotel Rhodania มาลุ้นวิว Matterhorn กันอีกครั้ง


ผมจองโรงแรมในเมือง Zermatt ไว้ชื่อ Hotel Rhodania ซึ่งแน่นอนว่าผมเลือกห้องแบบ Matterhorn View เอาไว้ครับ ห้องพักที่ Hotel Rhodania ดีทุกอย่าง ยกเว้นภายในห้องมีกลิ่นบุหรี่นิดๆ แต่วิวที่ระเบียงน่าจะสวยมากๆ ครับ

ที่ใช้คำว่าน่าจะสวยมากๆ ก็เพราะตั้งแต่ผมลงมาจาก Hotel Schwarzsee จนเช็คอินเข้ามาในห้องของ Hotel Rhodania ผมยังไม่เห็นวิวของ Matterhorn ซักนิดเดียวครับ

วิวจากระเบียงของ Hotel Rhodania

ห้องใหญ่ กว้วงขวาง มีห้องน้ำในตัว Wifi เล่นได้ดี


วิวนอกหน้าต่าง จะเห็นว่าหมอกปกคลุมไปทั่ว แม้เวลาตอนนี้จะล่วงเข้ามาเกือบ 15:00 น. แล้วก็ตาม


ตรงมุมนี้ผมควรจะได้ชมวิว Matterhorn อย่างเต็มตา ซึ่งก็ไม่น่าใช่ในวันนี้ครับ


วันนี้มีแต่หมอกปกคลุมภูเจ้าเต็มไปหมดเลย

Hotel Rhodania : 46.017663, 7.748396


วันพักผ่อนในเมือง Zermatt

หลังจากยังไงๆ ก็คงไม่เห็น Matterhorn มาจึงออกมาเดินเล่นในเมือง เพื่อหาอะไรกินเย็นนี้ซะหน่อย ซึ่งก็มาถูกใจร้านขายไก่ย่างๆ ใกล้ๆ โบสถ์ในเมืองนี่เองครับ

พาหนะในเมือง Zermatt ที่ปลอดรถยนต์ ก็คือ Taxi ไฟฟ้า หน้าตาแบบนี้ ซึ่งผมว่ามันเยอะไปหน่อย วิ่งกันเต็มเมืองไปหมด

พาหนะอีกแบบนึงที่หรูหรามีระดับขึ้นมาอีกระดับ นั่นคือรถม้าครับ


ไก่ย่างร้านตรงโบสถ์ ไม่ไกลจากที่พักของผม น่ากินมากๆๆๆๆๆ


พลบค่ำหมอกยังคงบัง Matterhorn อยู่ แต่มีลุ้นได้เห็นมากยิ่งขึ้นครับ



Zermatt สวยยันค่ำ


หลังจากกินอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกมาเดินชมวิวยามค่ำคืนของเมืองแห่งนี้บ้างครับ

แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ Zermatt กลับไม่ได้คึกคักมากมายอย่างที่ผมคิด (หรืออาจเป็นเพราะไม่ใช่ High Season) มีร้านอาหาร และร้านนั่งดื่มเปิดอยู่หลายร้านอยู่เหมือนกัน แต่คนบนถนนกลับไม่ค่อยเยอะนัก เดินเล่นสบายๆ ครับ

วิวเมือง Zermatt ยามค่ำคืนจากหน้าระเบียงหห้องพักของผม

วิวถนนในเมือง ที่ดูชิลๆ สบายๆ ดีครับ (ผมชอบมากๆ)


พอเดินมาใกล้ๆ สถานีรถไฟคนก็คึกคักขึ้นมาบ้าง เพราะมีร้านค้าอยู่เยอะครับ


โรงแรมบนเนินเขาภายในเมือง


ช่วงกลางคืนฟ้ากลับเปิดซะอย่างงั้น มองเห็น Matterhorn ชัดเจนเชียว


มองกลับมาอีกฝั่งนึงครับ

จากนั้นผมก็เดินกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม โดยหวังว่าฟ้าจะเปิดในวันรุ่งขึ้นครับ


แสงสีทองที่เฝ้ารอ


เช้าวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าผมมีโชคเล็กๆ ที่ฟ้าเปิดในช่วงเช้าครับ แต่เป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น ก่อนที่บรรดาเมฆจะเข้ามาตีซี้ Matterhorn จนกลืนหายไปอีกครั้ง

จังหวะลุ้นว่าจะได้เห็น Matterhorn แบบเต็มๆ ตาหรือไม่

ชั่วขณะสั้นๆ ที่ฟ้าเปิดให้ผมได้ยลโฉม Matterhorn อีกครั้ง ก่อนที่เมฆจะมากลบจนมองไม่เห็นอีก



Zermatt ยามเช้า


วันนี้ผมมีโปรแกรมเที่ยวยาวเหยียดทั้งวัน แต่ก่อนอื่นขอเดินชมเมือง Zermatt พร้อมๆ กับการเดินไปยังสถานีรถไฟกันก่อนดีกว่าครับ

บรรดาโรงแรมที่อยู่บนเนินสูงของเมือง Zermatt

วิวนี้ชอบตรงที่มองไปฉากหลังของเมือง Zermatt แล้วเห็นภูเขาหิมะ กับเหล่านกที่ออกจากรังบินไปหาอาหารยามเช้ากันครับ


รูปปั้นแพะภูเขา สัญลักษณ์ของเมือง Zermatt


มาถึงสถานีรถไฟ เจอขบวน Glacier Express จอดรอนิ่งอยู่ในสถานี แต่ผมไม่ได้นั่งหรอกนะครับ เนื่องจากเวลาไม่พอจริงๆ



ขบวนรถไฟ Matterhorn Gotthard Bahn


รถไฟขวนที่จะนำพาเราเข้า-ออก ของเมือง Zermatt ก็คือ ขบวนรถไฟ Matterhorn Gotthard Bahn สีแดงนี่ล่ะ วิวสองข้างทางที่ขบวนนี้วิ่งผ่านนั้นดูเพลิน จนแทบลืมเวลาไปเลยล่ะครับ

รถไฟขบวนนี้ล่ะครับที่จะพาผมออกจาก Zermatt ไปที่เมืองอื่น รวมถึงพาผมกลับเข้ามาในคืนนี้ด้วย

บ้านเรือนระหว่างทาง พร้อมสายหมอกที่อยู่เต็มภูเขา


หมอกปกคลุมบริเวณนี้เต็มไปหมด จนบางทีแทบมองไม่เห็นเมืองด้านล่างเลย


วิวภูเขารูปร่างแปลกตา ที่มีสายหมอกพันอยู่รอบๆ ชอบแบบนี้จริงๆ ครับ



Bern เมืองหลวงแห่งสวิสเซอร์แลนด์


มาถึงตรงนี้ผมเชื่อว่าหลายคนคงทราบดีแล้วว่าเมืองหลวงของประเทศ Switzerland คือ เมือง Bern ไม่ใช่ Zurich หรือ Geneva โดยผมเริ่มต้นเที่ยวเมืองหลวงแห่งนี้เป็นที่แรกของวันนี้ครับ

ถนนในเมือง Bern ดูวุ่นวาย คนเยอะกว่าทุกเมืองที่ผมเคยไปมาในสวิสเลยนะครับ อีกทั้งรถราง และรถบัสก็วิ่งกันเยอะไปหมด

บริเวณถนน Spitalgasse และ Marktgasse ดูคึกคัก และมีรูปปั้นสวยๆ ให้ชมตลอดทาง


Zeitglockenturm หอนาฬิกาดาราศาสตร์ที่ทุกๆ ชั่วโมงจะมีตุ๊กตาออกมาเริงระบำให้ชมกัน

แต่ผมไม่ได้อยู่ชมหรอกนะครับ เพราะขี้เกียจรอครับ

บริเวณถนน Spitalgasse และ Marktgasse อีกครั้ง จะว่าไปผมว่ามันคืนถนนสายช็อปปิ้งของเมืองเลยนะเนี่ย

Zeitglockenturm : 46.947927, 7.447674


ชมวิวเมือง Bern จาก Berner Münster


สาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ได้ไปรอชม Zeitglockenturm ทุกต้นชั่วโมง ก็เพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับการชมวิวเมืองในมุมสูงๆๆๆๆ นั่นเอง

ซึ่งสถานที่จะสามารถให้ผมชมวิวอย่างนั้นได้ก็ต้องเป็นที่ Berner Münster แห่งนี้ล่ะครับ

Berner Münster
ค่าเข้าชม: ฟรี / 5 CHF สำหรับขึ้นชมวิวบนหอคอย
พิกัด: 46.947468, 7.451117

มหาวิหาร Berner Münster สูงสง่ามากๆ

ประตูวิหารก็มีลวดลายสวยงาม


การขึ้นมาชมวิวเมือง Bern ในมุมสูงแบบนี้ เราต้องจ่ายค่าขึ้นชมคนละ 5 CHF แล้วก็เดินๆๆๆๆ ขึ้นมาบนนี้ครับ (เหนื่อยพอสมควร แต่มาถึงก็ได้ชมวิวสวยคุ้มครับ)

วิวเมือง Bern หลังคาสีเดียวกัน คุมโทนดีจริงๆ


มาชมวิวบน Berner Münster กันต่อเลยครับ


Bern เมืองแห่งหมี


เดินชมวิวเมือง Bern กันต่อครับ หลังจากลงมาจาก Berner Münster แล้ว ซึ่งยังมีจุดชมวิวสวยๆ อีกจุดนึง อยู่แถวๆ กรงหมีครับ

จุดชมวิวยอดนิยมอีกแห่งของเมือง Bern ครับ พิกัดตามนี้เลย 46.948445, 7.458526

จุดเดิมแต่อีกมุมนึงครับ


เมืองแห่งหมีก็ต้องมีเลี้ยงหมีไว้ในเมือง (เกี่ยวมั๊ย?) มีอยู่หลายตัวเลยล่ะครับ ตัวอ้วนเชียว


เดินชมถึงจุดนี้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องเดินกลับทางเดิมหรอกนะครับ ให้เดินมาฝั่งตรงข้ามกับบ่อเลี้ยงหมี แล้วขึ้นรถบัสสาย 12 กลับมาลงที่สถานีรถไฟได้เลยครับ (Swiss Pass ขึ้นฟรี)


Fribourg เมืองเก่ายุคกลางของสวิส


ห่างจากเมือง Bern ไม่ไกล นั้งรถไฟเพียง 20 นาที ก็จะมาถึง Fribourg เมืองที่เค้าว่ากันว่าบรรยากาศเหมือนเข้าไปอยู่ในยุโรปยุคกลางเลยทีเดียว ยอมรับว่าผมมาเที่ยวเมือง Fribourg แบบกระทันหัน ไม่ได้วางแผนล่วงหน้ามาก่อนเลย อาศัยข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตสดๆ แล้วไปเที่ยวกันเลยล่ะครับ

บรรยากาศของเมือง Fribourg

วิหาร Cathédrale Saint-Nicolas de Fribourg สูงดูเด่นเป็นสง่า มองเห็นแทบทุกจุดในเมืองเลยครับ


อาคารสวยๆ มีให้ชมทั่วไปในเมืองนี้ครับ


เดินไปเดินมาก็มาถึงสะพานสูงแห่งนึง ซึ่งวิวตรงนี้สวยถูกใจมากๆ ครับ

ซูมเข้ามาชัดๆ อีกหน่อย


ใครชอบชมอาคารบ้านเรือนแนวๆ นี้ มาเมืองนี้ไม่ผิดหวังแน่นอน


ชมวิวอยู่บนสะพานแห่งนี้จุดเดียวก็พอใจล่ะครับ


เที่ยวชมเสร็จแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเดินกลับไปทางเดิมอีกนะครับ ให้เดินข้ามสะพานมาแล้วเลี้ยวซ้ายเล็กน้อย จะเจอป้ายรถเมล์อยู่ฝั่งเดียวกับสะพานเลย แล้วนั่งรถบัสสาย 2 หรือ 6 กลับมาที่สถานีรถไฟได้เลย (Swiss Pass ขึ้นฟรี)


วิวข้างทางที่ไม่ธรรมดา


เส้นทางระหว่าง Fribourg ไปยัง Geneva เราจะได้เห็นวิวข้างทางที่สวยถูกใจมากๆ ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่วิ่งผ่านทะเลสาบเจนีวา วิวทะเลสาบและทุ่งหญ้าสีเขียว พร้อมดอกไม้สีเหลืองช่างสมบูรณ์เหลือเกิน

ฝูงวัวที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ข้างทาง

วิวทุ่งหญ้ากับบ้านเรือนแถบนี้ ดูสดชื่นดีนะครับ


วิวทะเลสาบเจนีวาขณะที่รถไฟวิ่งผ่าน


หญ้าสีเขียว ทะเลสาบ และภูเขาหิมะ นี่มันวิวของสวิสชัดๆ


บ้านเรือนริมทะเลสาบ

ระหว่างทางจะเห็นทุ่งดอกไม้สีเหลืองนี้เยอะมากครับ สวยสดชื่นจริงๆ


ทุ่งหญ้าสีเขียวกับดอกไม้สีเหลือง ขณะที่รถไฟวิ่งผ่านอย่างเร็ว เกือบถ่ายรูปไม่ทันแน่ะ


ทุ่งดอกไม้ที่กว้างสุดสายตา ผมนี่อยากจะกระโดดลงจากรถไปซะเดี๋ยวนั้นเลยจริงๆ



Geneva ในวันที่ไม่มีน้ำพุ


ในที่สุดหลังจากชมวิวสวยๆ เพลินระหว่างทางจนหมดแล้ว ผมก็มาถึงเมือง Geneva จุดหมายปลายทางถัดไปของผม จริงๆ ผมแวะมา Geneva เพื่อทำธุระบางอย่างแป๊บเดียว แต่ไหนๆ ก็มาแล้วก็เลยถือโอกาสเที่ยวซะเลยดีกว่า

ผมตั้งใจจะมาชมน้ำพุ Jet d'Eau แต่ปรากฏว่าวันนี้น้ำพุไม่เปิดครับ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เดิยเที่ยวเพลินๆ แทนก็ได้

ทะเลสาบเจนีวาในวันไม่มีน้ำพุ

นกน้อยที่กำลังว่ายน้ำอย่างสบายใจ


บรรยากาศสบายๆ ในวันฟ้าสดใสริมทะเลสาบ


มาชมบรรยากาศรอบๆ ทะเลสาบเจนีวากันนะครับ


ชมโบสถ์ใหญ่เมือง Lausanne


ถัดจากเมือง Geneva ผมมาต่อที่เมือง Lausanne ครับ

โดยเมือง Lausanne ผมแบ่งจุดที่ผมจะไปออกเป็นทางเหนือ และทางใต้ จากสถานีรถไฟนะครับ โดยผมจะไปเที่ยวทางเหนือก่อนนั่นก็คือ Lausanne Cathedral (Place de la Cathédrale)

การเดินทางไปยัง Lausanne Cathedral นั้นง่ายมากครับ เพียงแค่เดินเข้าไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน ฝั่งที่จะวิ่งไป Croisettes โดยเราจะลงกันที่สถานี Ripponne-M.Béjart ซึ่งห่างจากสถานีรถไฟเพียง 2 สถานีเท่านั้นเองครับ (Swiss Pass ขึ้นได้ฟรี)

เมื่อมาถึงสถานี Ripponne-M.Béjart ก็ออกจากสถานีมา มองไปข้างหน้าก็จะเห็น Lausanne Cathedral แล้วล่ะครับ เดินตรงไปกันเลย

ภายในโบสถ์สวยงามอลังการมากครับ โดยเฉพาะแท่นออแกน


ทางเดินในโบสถ์ครับ


ผมไม่ค่อยได้เข้าชมโบสถ์มากเท่าไหร่นัก แต่ผมชอบโบสถ์ที่นี่มากเลยครับ


มาดูแท่นออแกนของ Lausanne Cathedral กันชัดๆ (เสียดายมากที่ถ่ายมาไม่ชัด)


Lausanne Cathedral

เวลาเปิด: 09:00 - 17:30
ค่าเข้าชม: ฟรี
พิกัด: 46.522599, 6.635219

ชมด้านในจนพอใจแล้ว ออกมาชมวิวด้านนอกกันต่อนะครับ ซึ่งด้านหน้าโบสถ์มีจุดชมวิวเมือง Lausanne อยู่ด้วย


วิวเมือง Lausanne จากหน้า Lausanne Cathedral

รูปนี้ถ่ายตรงบันไดทางขึ้นครับ



ฝั่งใต้ของเมือง Lausanne


จากนั้นผมเดินทางไปเที่ยวอีกฝั่งนึง นั่นก็คือฝั่งใต้ของ Lausanne นะครับ

การเดินทางก็ใช้บริการรถไฟใต้ดินเหมือนเดิม แต่ครวนนี้นั่งกลับมาอีกทาง โดยมีจุดหมายปลายทางที่สถานี Ouchy-Olympique ซึ่งเป็นสถานีปลายทางเลยครับ

เดินออกมาจากสถานีนิดเดียวก็เจอวิวทะเลสาบสวยๆ แบบนี้แล้วครับ

ช่วงเย็นๆ แบบนี้มีชาวเมืองมาเล่นหมากรุกขนาดใหญ่กัน


สัญลักษณ์อะไรซักอย่างริมทะเลสาบ



ชมศาลาไทยเฉลิมพระเกียรติ


จากนั้นเดินลัดเลาะๆ ทะเลสาบไปเรื่อยๆ ชมวิวเพลินๆ แต่มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่สวนสาธารณะที่มีศาลาไทยเฉลิมพระเกียรติตั้งอยู่ครับ

อาคารสวยๆ ระหว่างทางเดิน

วิวทะเลสาบกับภูเขาหิมะ ชอบวิวแบบนี้จริงๆ


ระหว่างทางจะผ่านพิพิธภัณฑ์โอลิมปิคด้วยนะครับ ใครมีเวลาก็แวะเข้าไปชมได้ แต่สำหรับผมขอเดินผ่านอย่างเดียวก็พอ เพราะเวลาใกล้มืดเต็มทีแล้วล่ะครับ

พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้วล่ะครับ


ในที่สุดเราก็เดินมาถึงศาลาไทยเฉลิมพระเกียรติแล้วล่ะครับ โดยศาลาไทยเฉลิมพระเกียรติแห่งนี้มีชื่อว่า Le Pavillon Thailandais ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ Le Denantou ซึ่งสมเด็จพระเทพฯ ได้มีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดศาลาไทยแห่งนี้ เมื่อ 17 มีนาคม 2552

แม้ศาลาไทยจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่พอมาตั้งในสวนสาธารณะต่างประเทศแบบนี้ ก็ดูโดดเด่นออกมาเลยล่ะครับ

มาชมกันใกล้ๆ เลยครับ ลวดลายของศาลาไทยฯ สวยมากๆ


จากข้างในศาลาไทยฯ มองออกมาข้างนอก


มองดูพระอาทิตย์อีกที ก็พบว่าใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกมากๆ แล้ว แต่โปรแกรมเที่ยวของผมวันนี้ยังเหลืออีกตั้งแห่งนึงแน่ะ

Le Pavillon Thailandais

เวลาเปิด: เปิดตลอดเวลา
ค่าเข้าชม: ฟรี
พิกัด: 46.506095, 6.640919


Chillon Castle ปราสาทสวยใกล้ Montreux

สถานที่สุดท้ายของวันนี้ก็คือ Chillon Castle ซึ่งผมต้องนั่งรถไฟจาก Lausanne มาลงสถานี Veytaux-Chillon

ซึ่งในเวลาช่วงเย็นๆ แบบนี้ คนแน่นมากๆๆๆๆๆๆ แน่นแบบเบียดกันหายใจแทบไม่ออกครับ แต่โชคดีที่คนลงไปเกือบหมดที่สถานีที่ห่างจาก Lausanne ไม่ไกลนัก ใช้เวลานั่งรถไฟประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานี Veytaux-Chillon ครับ

การจะเที่ยว Chillon Castle จะต้องมุดทางใต้รางรถไฟมาอีกฝั่งก็จะเจอปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่ริมทะเลสาบครับ

โชคดีมากๆ ที่มาทันช่วงพระอาทิตย์กำลังตกดินพอดี ผมไม่ได้เข้าชมภายในปราสาทหรอกนะครับ แต่ตั้งใจมาเก็บภาพมุมนี้ เวลานี้เท่านั้นเลยล่ะ

วิวปราสาทอีกมุมนึงครับ


พระอาทิตย์กำลังจะถูกเมฆกลืนเข้าไป แต่ยังส่องแสงสีทองมาให้ได้


หลังจากนั้นไม่นาน พอเริ่มมืดปราสาทก็เปิดไฟส่องตัวอาคารครับ ซึ่งเป็นเวลาที่ผมกำลังรอรถไฟกลับพอดี จริงๆ ใครจะนั่งรถบัสสาย 201 กลับสถานี Montreux ก็ได้นะครับ แต่ผมเลือกรอรถไฟเพราะลงตัวกับแผนที่วางไว้มากกว่าครับ

Chillon Castle

เวลาเปิด: 09:00 - 19:00
ค่าเข้าชม: 12.50 CHF
พิกัด: 46.414539, 6.927299

หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับ Zermatt โดยมาถึงห้องพักเกือบเที่ยงคืน และเป็นรถไฟเที่ยวสุดท้ายเลยด้วย


Matterhorn Under The Stars

สุดท้ายนี้ผมก็ได้เห็นภาพของ Matterhornภายใต้ดวงดาวจนได้ หลังจากเฝ้ารอมาหลายคืน เลยขอทิ้งท้ายไว้ด้วยรูป Matterhorn ภายใต้แสงของดวงดาวบนท้องฟ้าเอาไว้นะครับ

เที่ยวสวิสไม่ยากครับ เที่ยวง่ายๆ สบายๆ แต่วิวสวยมากจริงๆ ยิ่งเป็นคนชอบชมความงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะพวกภูเขาหิมะ ไม่ควรพลาดเลยจริงๆ


ขอบคุณที่ติดตามมาจนจบทริปนะครับ แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าครับ



สวัสดีครับ


Live Cam ช่วยวางแผนได้!


แถมๆๆๆๆ ครับ

ช่วงที่ผมไปนั้นก่อนจะขึ้นไปชมวิวบนภูเขาจุดไหน ผมจะตรวจสอบสภาพอากาศบนนั้นด้วยการดู Live Cam หรือการถ่ายทอดสด (หรือเกือบๆ สด) ที่มาจากจุดนั้นๆ ซะก่อน ซึ่งผมแนะนำให้คนที่จะไปเที่ยวตามยอดเขาต่างๆ ว่าขอให้ตรวจสอบ Live Cam ที่ว่านี้ก่อนทุกครั้งนะครับ จะได้ไม่ผิดหวัง หรือเสียเงินไปโดยไม่ได้เห็นวิวที่ต้องการ

ส่วนการซื้อตั๋วล่วงหน้าจากไทยที่ระบุวันไปเลย ผมไม่รู้ว่าถูกกว่าไปซื้อที่สถานีวันที่จะขึ้นจริงมากแค่ไหนนะครับ เพราะผมไม่คิดจะซื้อเลย

อันนี้แล้วแต่บุคคลแล้วกันนะครับ ถ้าโชคดีก็ได้ทั้งถูกและวิวสวย แต่ถ้าโชคไม่ดีก็ได้ถูกแต่วิวไม่สวยครับ แต่ถ้าเป็นผมซึ่งซีเรียสกับวิวมากๆ ผมยอมจ่ายแพงกว่า สำหรับการได้เจอวิวที่ต้องการแบบชัวร์ๆ ครับ

แนะนำเว็บไซด์สำหรับดู Live Cam ตามยอดเขาดังๆ นะครับ


Titlis
http://www.titlis.ch/de/titlis-gebiet/webcams


Rigi Klum

http://www.rigi.ch/Reiseinformationen/Webcams


Pilatus
http://www.pilatus.ch/de/webcams/


Jungfrau
http://www.jungfrau.ch/en/tourism/destinations/jungfraujoch-top-of-europe/live-cams/


Schilthorn
http://schilthorn.ch/en/Info/Schilthorn_Live/Livecams


Matterhorn (Gornergrat)
http://www.zermatt.ch/en/Webcams/Gornergrat-3-089-m


Matterhorn (Matterhorn Glacier Paradise)
http://www.zermatt.ch/en/Webcams/Matterhorn-glacier-paradise-3-883-m


*** ทั้งนี้ Link อาจจะเปลี่ยนไปได้ในอนาคต วิธีหา Link ใหม่ก็ง่ายมากครับ เข้า Google พิมพ์ชื่อยอดเขา + Live Cam ก็เจอแล้ว เช่น "Titlis live cam" แบบนี้เป็นต้นครับ

The Cloud

 วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.37 น.

ความคิดเห็น