ในช่วงนี้คงไม่มีใครไม่คิดถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เราคิดถึงมากที่สุด

หนีไม่พ้นต่างประเทศที่เรายังไปกันไม่ได้..

ทริปนี้เป็นทริปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่ไม่เคยเขียนที่ไหน แม้ว่ารูปที่ถ่ายมาทั้งกล้องฟิล์ม และดิจิตอล มันจะสวยมากๆ สวยจนไม่รู้จะเอาให้ใครดู แต่ก็ยังไม่เท่ากับสายตาที่เรามองวิวด้วยความตื่นตะลึง ความที่กำลังวนมาครบ 3 ปีบริบูรณ์ เลยอยากจะเขียนเพราะคิดถึงอากาศหนาวๆ คิดถึงวิวสวยๆ กับความรู้สึกที่เวลาคิดถึงมันชื้นใจแปลกๆ แม้ว่าอากาศจะแห้งมากก็ตาม ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เมื่อไหร่เราจะได้กลับไปเที่ยวกันอีกครั้ง ไม่มีใครรู้ถึงสถานการณ์ที่เราไม่สามารถคาดเดาได้เลย ตอนนั้นจำได้ว่ากลับมาได้ไม่นาน เลห์ ก็ต้องปิดเพราะสงครามไปพักนึง 

*รูปภาพทั้งหมดมาจากกล้องฟิล์ม OLYMPUS MJU PANORAMA / COLOURPLUS 200 / iphone by p'nan


① เดินทางยังไง?

ก่อนอื่นอยากจะบอกว่า ทริปนี้เป็นทริปที่พ่วงการไปเที่ยวอินเดียภาคพื้นดินด้วย (ขอเรียกแบบนี้เพราะขึ้นเขาลวงห้วยของจริง) กอบไปเที่ยว 12 วัน แบ่งเป็น เลห์ ลาดักห์ 7 วัน ชัยปุระ นิวเดลี อักรา 5 วัน 

กรุงเทพ-ชัยปุระ ไปกลับ ตอนนั้น Air Asia เปิดเส้นทางใหม่ ซึ่งราคาถูกมาก เราเลยเลือกเส้นทางนี้แล้วค่อยไปหานั่งรถไฟต่อไป นิวเดลี

ถึงชัยปุระช่วงค่ำ เราเรียก Uber ไปที่สถานีรถไฟทันทีเพราะหิว ด้วยความที่รถไฟ ชัยปุระ-นิวเดลี ของเราจะมาในรอบ 06.00 เราเลยเลือกวิธีนอนที่สถานีรถไฟไปเลย ตั๋วที่เราจองมาเป็นรถไฟ VIP จึงมีห้องแอร์ให้นั่งและนอนรอกันอยู่นาน และใช้ชีวิตเฉกเช่นคนอินเดียทั่วไปเลย ซึ่งพวกเราอยู่ได้และกลมกลืนมากๆ

ไม่นานรถไฟเราก็มาถึง เราจองรถไฟ 2 ชั้นขบวน Dee Double Dcker  ซึ่งตอนนั้นรถไฟที่เราจองนึกว่าเป็น 2 ชั้นแบบเตียงเหมือนที่เราเคยเห็นภาพรถไฟของบ้านเค้ามาก่อน แต่เปล่าเลย รถไฟเค้าเป็นรถไฟ 2 ชั้นเหมือนรถทัวร์บ้านเรา ซึ่งมันสูงมาก เอาจริงๆอินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายในเรื่องประเภทรถไฟมากๆ ตอนแรกเลือกกันแทบไม่ถูก แต่ต้องเลือกรถที่จะทำให้เราได้เข้าเช็คอินโรงแรมและได้เที่ยวกรุบกริบก่อนเดินทางไปเลห์

รถไฟมาถึง นิวเดลี ประมาณ 10.30 เลือกลงสถานีใกล้โรงแรมมากที่สุด ซึ่งติ๊ต่างกันเองว่าใกล้ ตอนแรกกะว่าจะนั่งรถไฟใต้ดินเค้าต่อไปโรงแรม แต่ถอดใจเพราะ ประสาทได้กินแล้วกับคนที่เยอะมาก และเสียงแตรทำให้สติหายไปหมดเลย สุดท้ายต้องเรียก uber ตามเดิม และมันก็ยากเหมือนกันในเรื่องการสื่อสารกับคนขับถึงจุดรับ และนานมากกว่าจะได้ขึ้นรถ คนขับก็คือด่าเราหรือด่าโลกก็ไม่รู้ตอนเราขึ้นรถ ฟังไม่ออก

เราเลือกพักโรงแรม Bloomrooms Delhi โรงแรมสีเหลืองที่เด่นที่สุดในย่านนั้น ใกล้สถานีรถไฟ และย่านช๊อปปิ้ง อาหารแถวนั้นก็อร่อย แต่เรื่องแตรก็คือ ปกติของอินเดีย บุญบาปได้ห้องติดถนนไปอีก ปวดหัว

ยังไม่ทันได้หลับลึกเลยเราต้องออกเดินทางไปสนามบินเพื่อเดินทางไปเลห์ตอนตี 03.00 เพราะไฟล์ทเรา 06.00 อีกแล้ว 

เราออกเดินทางไปสนามบิน นิวเดลีเพื่อต่อไปยัง Leh Kushok Bakula Airport ด้วยสายการบิน Go Airline ซึ่งเกือบตกเครื่องเพราะ KFC อร่อยมาก อร่อยจนกินเพลินเกินไป วิ่งย่อยไปหนึ่งจุก 

ด้วยความที่ท้องมันอิ่มมากแล้วเราก็นอนแทบไม่เต็มอิ่มเลย เลยหลับจ้าาาา หลับลึกเลย ตื่นตอนที่แอร์แอบมาสะกิดว่า "ดูวิวข้างนอกสิคะ สวยมากนะคะ" นี่ก็ลืมตามาแบบ โอ้ววววววโหวววววว สวยจริ้งงงงงงแม่ สวยจนอยากร้องไห้ 

Tips : การเตรียมตัวสู่เลห์ ลาดักห์ อย่างแรกควรทานยา Diamox กันก่อนบินด้วยนะคะ เพื่อเตรียมร่างกายเข้าสู่ที่สูง ไม่งั้นหลายคนอาจจะเกิดอาการแพ้ความสูง แล้วจะเที่ยวไม่สนุกเลย  บทความเกี่ยวกับยา Diamox

ตื่นตาตื่นใจกับวิวอยู่นานมาก กดชัทเตอร์จากกล้องโทรศัพท์ไปเยอะมากพอสมควร ซักพักก็ถึงเลห์ ลาดักห์ค่ะ อ้อลืมบอก ช่วงที่ไปเป็นช่วงเข้าหน้าหนาวแล้ว ซึ่งการไปอินเดียครั้งนี้เป็นงงกับการเตรียมเสื้อผ้ามาก เพราะมีทั้งเสื้อผ้าร้อน เสื้อผ้าหนาว ยัดกันมาในเป้ 55 ลิตรเพียงใบเดียว 

ลงมาปุ๊บคือ โอ้โหเป็นความหนาวที่ไม่เหมือนหนาวญี่ปุ่นเลยค่ะ แม้ว่าจะมีแดดรำไร แต่ทุกคนเมื่อลงเครื่องต้องนั่ง shuttle bus แล้วเดินต่อเข้า Terminal เอง ใครเจอแดดคือวิ่งไปเป็นขบวน ไปยืนตากแดด

Tips : การเตรียมเสื้อผ้าควรเตรียมเสื้อให้ความอุ่นแบบไส้ในไปเยอะๆ ทานน้ำเยอะๆ ครีมเพิ่มความชุ่มชื้นโบกได้โบกตลอดเวลา 

② ไปไหนบ้าง?

เราเลือกที่จะซื้อทัวร์ของ Himalaya Insight โปรแกรม 7  วัน 6 คืน รวมโรงแรมคนละ 12,000 บาท รวมอาหารวันละ 2 มื้อ รถรับส่งตลอดทัวร์ ซึ่งเป็นทัวร์ที่เพื่อนแนะนำมาอีกทีจากการที่เพื่อนมีแฟนเป็นชาวอินเดีย และพึ่งมาเลห์กันเมื่อไม่นาน ทริปคร่าวๆคือ 

  • DAY 1 : LEH MARKET & SHANTI STUPA.
  • DAY 2 : SHAM VALLEY
  • DAY 3 : LEH–NUBRA VALLEY
  • DAY 4 : NUBRA VALLEY– LEH
  • DAY 5 : LEH TO PANGONG LAKE - LEH (นอน Pangong Lake ไม่ได้เพราะฤดูที่มีข้อจำกัดค่ะ)
  • DAY 6 : LEH - MONASTERIES
  • DAY 7 : DEPART LEH (FLY OUT)

③ DAY 1 : ถึงเลห์ปุ๊บ ถูกบังคับให้นอนก่อนแล้วค่อยเที่ยว

โรงแรมของเราทริปนี้คือ The Mir Villa ซึ่งทัวร์เป็นคนจัดการไว้หมดแล้ว โรงแรมนี้บริหารงานโดยครอบครัวชาวมุสลิมครอบครัวหนึ่ง ห้องมีไม่เยอะมาก ซึ่งห้องที่เราได้ ได้ห้องที่วิวสวย ริมสุด ซึ่งมันน่าจะมีความสุขใช่มั้ยคะ แต่ปล่าวเลยค่ะ ห้องริมสุดมันหนาวสุดค่ะ เพราะความหนาวจากด้านนอกเข้ามาเต็มๆ ไม่สามารถเดินได้ปกติ ฮีทเตอร์ก็ไม่ช่วยเลย ต้องเอาลองจอนตัวเองปูตามทางที่จะเดินในห้องแล้วเหยียบบนลองจอนอีกที ห้องน้ำก็คือมีน้ำอุ่นแต่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ผ้าห่มไม่อุ่นเลยหรือห้องหนาวเกินไปก็ไม่รู้ ฮีทเตอร์นี่คือเอาความหนาวไม่อยู่ เอามือไปจับฮีทเตอร์ ฮีทเตอร์ยังเย็นเจี๊ยบเลย

โรงแรมเสริฟอาหารเช้าปกติ 1 มื้อ ส่วนกลางวันเมื่อเราไปเที่ยวเราก็กินข้างนอกตามเส้นทางที่เราไป ส่วนตอนเย็นเราเลือกได้ว่าจะกินหรือไม่ ถ้าอยากประหยัดเงินก็มากินที่โรงแรมค่ะ หรือ ถ้าอยากกินที่ตลาดก็ให้รถจอดส่งเราที่ตลาดแล้วหากินจากร้านอาหารได้ค่ะ เดินกลับโรงแรมได้สบายมากเลย 

แต่ด้วยความคนไทยอะเนาะก็เตรียมอาหารพร้อมทานไปเยอะมาก หมูฝอยเอย มาม่าเอย แต่ก่อนจะกินหมุฝอยก็แอบไปขออนุญาตเจ้าของบ้านเค้าก่อนแล้วนะคะ โดยปกติแล้วอาหารของที่เลห์จะไม่มีเนื้อสัตว์เลย อาจจะเพราะว่าเนื้อสัตว์ในช่วงหน้าหนาวหายากมาก และที่ รร เป็น Veg กันเลยได้กิน ผัดกระเจี๊ยบ ผัดถั่ว ผัดมัน แกงถั่ว แกงมัน แกงกระเจี๊ยบ ตอนเช้า ขนมปัง กาแฟ (ฟรีแค่ 2 แก้ว) นอกนั้นจ่ายจ้า นี่ไม่รู้กดไปมื้อละเป็นเหยือก ก็เธอดูแก้วแค่นั้นอะ ตอนหลังโดนเก็บเพิ่มคือ ขนลุก มากโดนไปคนละ 3,000 กว่าบาท

หลังรับประทานอาหารเสร็จ ต่างคนต่างก็ต้องทานยาอะไรเตรียมพร้อมวันนี้ไกด์บอกว่า 

"ถ้าอิ่มแล้ว ยูเข้านอนก่อนเลยนะ กินน้ำให้เยอะๆ ทั้งขวดไปเลย ห้ามทำอะไรเยอะ เพราะยูต้องปรับระดับก่อน ร่างกายมันยังไม่ชิน ประมาณบ่าย 3 เจอกัน เดี๋ยวเราจะไป Santi Stupa กัน" 

แล้วก็ส่งเราเข้านอนเป็นลูก พร้อมปิดม่านให้เรียบร้อย ไอ่เราก็ยังงง หนาวก็หนาว วิ่งเข้าที่นอนและหลับทันที ช่วงบ่าย 3 ไกด์พาเราไปเที่ยว Santi Stupa มันเป็นเหมือน เจดีย์สถูป ของศาสนาพุทธ ซึ่งเราเป็นคนชอบวัฒนธรรมธิเบตมากๆอยู่แล้วก็คือกรี้ด ถ่ายรูปเยอะกว่าโรงแรมอีก

 ④ DAY 2 : Sham Valley ไกด์พาไปว้าวที่ Moon Land จบสวยที่ปากน้ำโพแม่น้ำ สินธุ กับ แซนซการ์

เข้าวันที่ 2 กับอาการงงๆ แอบกินเบียร์ไปกรึ้บนึงอยากลอง ซึ่งไม่ควรมากๆความห้าวนี้ แต่มันช่วยให้อุ่นขึ้นจริงๆ ไกด์บอกกลายๆว่าวันนี้จะเป็นการเที่ยวแบบจิปาถะหน่อย เอาจริงๆไกด์พาไปเยอะมาก จนจำไม่ได้ เค้าก็ถามว่า 

"ยูจะลงมั้ย ชอบมั้ย ถ่ายรูปมั้ย?"

แก๊งส์เราคือ ลงจากรถค่ะ แต่ไปยืนซึบซับมองวิวกันจนไกด์เดินลงมาบอกว่า ถ่ายรูปให้มั้ย เราเลยตื่นจากภวังค์ กดกันตามประเพณีไปงั้น แต่จริงๆ เมมไว้ให้หัวหมดแล้ว

จริงๆวันนี้เป็นวันที่ไปเที่ยวเยอะมาก เที่ยวแบบชะโงกทัวร์ ขอเอาบางรูปมาให้ดูนะคะ

เชื่อว่าการเดินทาง 92 กิโล การหาห้องน้ำมันต้องยากมากๆ แล้วการที่เราต้องกินน้ำมากๆกับการเฝ้าระวังให้ร่างกายไม่แพ้ความสูงนั้น มันทำให้เราอยากเข้าห้องน้ำตลอดเวลา 2 ข้างทางที่เป็นเขาทั้งหมดนั้นมันยากที่จะหาพุ่มไม้แน่ๆ เราตัดสินใจขอไปเข้าห้องน้ำที่จุดตัดกันของแม่น้ำสินธุและแซนซการ์ ห้องน้ำที่เข้าเป็นห้องปูนฉาบหยาบๆ เดินเข้าไปไม่ถึง 100 เมตรก่อนถึงประตู กลิ่นยูเรียสุดอึ้บ ตีหน้าแรงกว่าอากาศหนาว แต่ด้วยความที่ไม่ไหวแล้ว เลยวิ่งเข้าไป สภาพห้องน้ำขอไม่เอาลงเพราะว่ามันไม่สวย แต่ประมาณว่า ไม่มีโถใดๆ มีแต่พื้นที่ถูกเจาะเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดเท่ากระเบื้องที่บ้าน นั่นแหละรูที่ต้องหย่อนลงไป ใครไม่ลงรู ก็คือ สแปลช เข้าตัวหนึ่ง แต่เมื่อเสร็จกิจ เรารู้สึกดีใจอย่างประหลาดเพราะเราได้พิชิตความกลัวการเข้าห้องน้ำที่ไม่ใช่บ้านตลอดชีวิตไปเลย อีกทั้งได้เข้าห้องน้ำที่ต้นแม่น้ำของอินเดียไปอี้ก

⑤ DAY 3 : Nubra Valley 3 วันแล้วที่ไร้สัญญาณอินเตอร์เน็ต 

จะขอเล่ารวบ Nubra Valley 2 วัน ใน 1 นะคะ เพราะส่วนใหญ่การไปเที่ยว Nubra Valley มันเป็นการเดินทางที่ไกลมากพอสมควร ขับรถเกือบวัน มากน้อยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และ อุปสรรคของถนน ตอนที่เราไปเจอเรื่องดินถล่ม ก็ต้องค่อยๆขับ มันโค้งเยอะบวกกับที่เค้าทำถนน

ก่อนที่จะถึง Nubra ต้องผ่าน Khardung La Pass ถนนที่ใช้สัญจรที่สูงที่สุดของโลก อุณหภูมิบนนี้อยู่ที่ ประมาณ -11 แต่บนนี้ถึงแม้จะสูงมากเกือบ 18,390 ฟุต แต่ด้วยความที่อาจจะใกล้พระอาทิตย์มากๆ แดดมันเลยจ้ามาก ไม่หนาวเท่าไหร่แต่หิมะหนามาก 

อยู่ได้ไม่นานเราก็ต้องลงจากจุดที่สูงที่สุดเพราะห้องน้ำที่นี่คือ บะได้เลยขนานแท้ เลยบอกให้ไกด์ไปต่อเลยค่ะ ความมหัศจรรย์ก็คือ ลงไปได้ไม่นาน หินถล่มอีกแล้ว แต่คราวนี้ใหญ่มาก แล้วถล่มเพราะรถที่ทำทางกวาดหินลงมา ไปไม่ได้เลย ต้องจอดรอรถของทางการมาเคลียร์ทาง ซึ่งจอดอยู่ 3 ชั่วโมง ไอ่ที่ปวดฉี่ก็เลยต้อง เลทอิทโก สุดท้ายเปิดประสบการณ์ นั่งฉี่ Open air หันหน้ามองยอดเทือกเขาสูง มีหิมะหน่อยๆ  ลมเย็นๆ เกือบติดลบ หันซ้ายไปเจอรถบรรทุกขับมา ก็คือ แจกก้นให้ชาวเลห์ไปหนึ่ง ค่ะ สุดยอดจริงๆ 

อาหารประทังชีวิตของชาวเราก็ไม่ลืมหมูฝอยค่ะเพราะเอามาเป็นกิโล กับ โมโม่ ที่เป็นเหมือนเกี้ยวซ่าแบบต้ม กับ แม๊กกี้ มาม่าสุดปังของอินเดีย 

ถ้าดูจากพระอาทิตย์แล้วก็จะเห็นได้ว่ามันกำลังจะตกค่ะ แต่เราก็ยังไม่ถึงที่พักเลย แพลนวันนี้เลยต้องพับไปเลยเพราะว่า มาถึงโรงแรมก็ดึกแล้ว เราเลยขอเข้านอนแล้ววันรุ่นขึ้นค่อยไป Hunder ที่เป็นทะเลทรายสีเงิน

ความปั๊วะของชีวิตอีกอย่างคือ พอไปถึงโรงแรมแล้วอินเตอร์เน็ตก็ยังใช้ไม่ได้ค่ะ แต่ได้ยินคนบอกว่า ต้องมาเล่นที่ห้องอาหารถึงจะมี เราเลยมากองกันที่ห้องอาหาร จนสุดท้ายไปเจอกลุ่มคนไทยกลุ่มใหญ่มาก ในโรงแรมพร้อมกัน ทีนี้ก็คือสนุกไปเลยค่ะ สัญญาณซึ่งมีอยู่น้อยนิดมาก แต่ก็ยังส่งข่าวไปที่ไทยได้ค่ะ แม่ก็คือด่าว่า 

"วันหลังถ้าจะไปที่ที่ติดต่อไม่ได้แม่ไม่ให้ไปละนะ"

ความปั๊วะ 2 คือ โรงแรมตัดไฟตอน 5 ทุ่มค่ะท่านผู้ชม ไฟมาอีกทีตอน 5 โมงเย็นค่ะ ปั๊วะมั้ยคะ

อยากจะบอกว่า การขี่อูฐนี่ตอนแรกก็ตื่นเต้นนะคะ แต่พอได้ขี่เค้าจริงๆแล้ว มันไม่สนุกเลยค่ะ สงสารอูฐมาก ตัวที่เราขี่น้องเค้าเหมือนเป็นผู้หญิง แล้วคงเป็นอะไรซักอย่าง อาจจะมีน้อง อูฐก็คือจะสะบัดเราทิ้งตลอด ๆ ต่อจากนี้คือสัญญากับตัวเองเลยว่าจะไม่ขี่อูฐอะไรอีกแล้วสงสารน้องมาก

ที่ต่อไปที่ไกด์พาไปคือ Diskit Monastery ที่นี่มีความอลังเรื่องพระธิเบตปางนั่ง ที่สูงและสวยมากๆ แต่เราอยู่ไม่นานค่ะ เพราะเหมือนมีงาน หรืออะไรซักอย่าง ช่วงนั้นเป็นเทศกาลคล้ายๆ กฐิน คล้ายๆลอยกระทงบ้านเราพอดี คนเยอะมากเลยออกจากที่นั่นไวหน่อย

ก่อนจะจบวันนี้พวกเราแวะตลาดหาเนื้อสัตว์กินเพราะมีคนในกลุ่มเกิดอาการงอน หรือเรียกว่าคลุ้มคลั่งเพราะเค้าไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานานมากค่ะ เราเลยต้องพาเค้าไปหาเนื้อสัตว์กิน ระหว่างทางเจอคุณลุงทำธุรกิจเครื่องชั่งน้ำหนักเหมือนในการ์ตูนที่เราเคยอ่านตอนเด็กๆเลย

 ⑥ DAY 4 : Pangong Lake ไปกลับ ไม่ใช่เล่นนะเธอ

การกลับมาจาก Nubra Valley ได้สอนอะไรเราหลายอย่างมากกับการนั่งรถนานมากๆ คือมันเหนื่อยมากๆ วันนี้เอาอีกและ ไป Pangong Lake ค่า ใครที่ไม่อยากไปตามทัวร์ก็บอกไกด์ได้นะคะว่าไม่ไป แต่เราอยากไปก็ต้องทนค่ะ จาก Leh ไป Pangong lake 140 กิโล แต่เราว่าทางไปมันง่ายกว่า Nubra หรือไม่ก็หลับไปเยอะมากเพราะเหนื่อย จำได้ว่าทางมันหวาดเสียวกว่า แคบกว่า ทางด้านขวาคือเหวไปเลย แบบขับบนภูเขาวิ่งทางเดียว คราวนี้เราข้าม Changla Pass ถนนที่สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลกกันค่ะ

อุณหภูมิที่วัดจากรถอยู่ที่ -6 ถึง -10 ค่ะ หลายคนไม่ยอมลงรถเพราะสู้ไม่ไหว แต่เรามีปณิธานว่าเราอยากจะเช็คอินสถานที่ที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองของโลก อันดับหนึ่งเช็คอินไม่ไหวเพราะบ้งมาก พอลงรถเท่านั้นแหละ จับความรู้สึกว่าจมูกมันแห้งแบบเฉียบพลันแล้วมันก็ตึงเหมือนจะแตกออกมา นี่ตกใจมากรีบวิ่งเลย ไปเข้าห้องน้ำ....

ที่นี่อยู่ได้ไม่นานค่ะเพราะหนาวกว่า Khadungla เลยรีบโกนกันขึ้นรถ หลับไปอีกหมื่นยก กว่าจะถึง ระหว่างทางเจอจามรีก็ขอลงไปถ่ายรูปโดยไม่กลัวน้องจะขวิดเพราะตื่นเต้นอยู่

และแล้วเราก็มาถึง Pangong Lake ซึ่งเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมากเพราะวิวมันสวยจริงๆ ผืนน้ำที่สะท้อนกับภูเขา เหมือนกระจกใสๆ 

ขอปนรูปที่ถ่ายจากมือถือนะคะ เพราะในกล้องฟิล์มมีแค่นี้จริงๆ T_T

ใครที่ชอบเรื่อง 3diots ต้องมาที่นี่มากๆ เพราะที่นี่เป็นโลเคชั่นถ่ายทำและยังมีรถเวสป้าอยู่ที่นี่ให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปอีกด้วยค่ะ

อยู่ Pangong Lake ไม่นานจริงๆค่ะ เพราะต้องรีบกลับไม่งั้นมันจะมืด เลยอยู่ได้แค่ทานข้าวเที่ยงแล้วกลับเลย โถ่ว นั่งรถนานมาก จริงๆแล้วที่นี่เราควรได้มานอน 1 คืนแต่ไกด์บอกว่าด้วยเดือนที่เรามา เค้าไม่มีที่ให้นอนอาจจะด้วยข้อจำกัดต่างๆ เราเลยต้องกลับค่ะ ไม่งั้นก็คือได้ประสบการณ์นอน Camp อันหนาวสะท้านโลกันต์ เพราะไกด์บอกว่ากลางคืนหนาวแบบเอาไม่อยู่

⑦ LAST DAY IN LEH ไปเรื่อยๆ ไปดูวัดที่ชอบที่สุดที่เคยเกิดมา จนอยากจะบวชที่นี่แต่เค้าไม่รับชี กับ การมั่วบ้านงานชาวเลห์ ลาดักห์ กลายเป็นอาคันตุกะไปหน้าตาเฉย

วันนี้ไกด์บอกว่าชิวๆละกันค่ะ เลยพาไปดูวัดบ้างประปราย มีที่นึงที่เราชอบมากๆ คือ Thiksay monastry ตอนแรกดูจากข้างนอกเหมือนแทบจะไม่อินเลย พอได้เข้าไปเท่านั้นแหละ มันเหมือนกับสำนักวัดเส้าหลิน ที่มีการแสดงโชว์จากเณร และการเล่นเครื่องดนตรีที่เราชอบมากๆ เลยถ่ายรูปมาเยอะจริงๆ

เราใช้เวลาที่วัดนี้ไปนานมากค่ะ เลยไปที่อื่นได้นิดเดียว ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ Unseen กับวัดมากจริงๆ เพราะทุกที่สวยมาก นี่คืออินศิลปะธิเบตเป็นทุนอยู่แล้วคือกรี้ดเลย อยู่ได้เป็นวันๆ

ก่อนที่กิจกรรมวันสุดท้ายของเราจะหมดลง ความเป็นคนไทยอะเนาะ ชอบเสียงดนตรีเป็นทุนเดิม หลังจากไกด์มาส่งเรากลับโรงแรม เราดันไปได้ยินเสียงดนตรีดังอยู่ไม่ไกล เราเลยตัดสินใจเดินตามไปค่ะ เดินตามไปเรื่อยๆ จนไปเจองานงานนึง ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเป็นงานอะไร เดินไปด้อมๆมองๆอยู่ซักพักนึง ก็มีชาวลาดักห์เดินมาชวนเข้าไปบอกว่า เวลคัมนี่คืองานแต่ง แล้วก็พาเราไปสวัสดีบ่าวสาว บ่าวสาวรีบมารับใหญ่เลย บอกว่าขอโทษที่อาหารหมด เชิญเข้าไปในเต้นท์ งงสิคะ งงกันหมดแต่ก็เข้าไปค่ะ เต้นท์งานแต่งที่นี่เป็นเต้นท์ขนาดเกือบเท่าสนามบาลโรงเรียน แต่ปิดทึบหมดเลยเพราะกันอากาศหนาว โดยใช้พรมเป็นผนังบ้าง ผ้าบ้าง ทางเข้าปิดมิดชิด ดูภายนอกแทบไม่มีอะไร พอเข้าไปข้างในนึกว่าอยู่ในเรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์

FYI : หลังจากนี้เป็นรูปจากกล้องมือถือเป็นส่วนใหญ่นะคะ เพราะว่าไม่ได้เตรียมตัวมาเจอจริงๆ เซอร์ไพร์สสุดๆ

จู่ๆทุกคนในงานก็เป็นมิตรกับเรามากๆเลยค่ะ พ่อแก่แม่เฒ่าเดินมาหามาคุยกับเรา แต่เราไม่เข้า่ใจเค้า เค้าก็ไม่เข้าใจภาษาเรา แต่คุยกันรู้เรื่องได้ไงไม่รู้ เดินเค้าเอาวิสกี้มาให้ เอาน้ำมาให้เราก็ปฏิเสธเกรงใจ นั่งดูการแสดงของเค้า มีการแสดงนึงที่ชอบมากคือ การที่ผู้ใหญ่ เต้นระบำรอบไห ไหหนึ่ง ซึ่งลงอักขระทางศาสนาไว้ เราก็ดูเค้าเต้นไป จนเสร็จการแสดง เค้าก็เปิดฝาไห แล้วก็ตักน้ำในไหนั้น ซึ่งมันเหมือน สาโท แล้วก็เอามาให้โต๊ะเราใส่ขวดโพลาลิสหลายขวดเลย เสิร์ฟพร้อมกับชาเนย อันนี้ไม่มีใครชอบเลยยกเว้น นี่

และเจ้าสาโททิพย์นี่แหละค่ะ ที่คล่องคอสุดๆ คล่องคอเกินไป จนเมาไปเลย เมาจนออกไปนั่งหลังครัวกะเค้า ละก็ไปคุยอะไรกับชาวบ้านก็ไม่รู้ จนไปช่วยเค้ากวนชาเนย (ชาที่ใส่เนยเป็นเครื่องดิ่มเพิ่มความอบอุ่น) เดินไปเข้าห้องน้ำหลุมในความมืดกับชาวบ้าน หย่อนกันเป็นหลุมๆ สุดท้ายเมากันพอได้ที่กลัวกลับบ้านไม่ได้เลยขอตัวกลับ ก่อนกลับเจ้าภาพยัดสาโททิพย์ใส่มืออีก 2 ขวด ออกจากงานมาหิวกันเลยแวะกินไก่ร้าน Local แล้วมานึกได้ว่า เอ้า! ลืมสาโททิพย์ เดินกลับไปเอาอีก เจ้าภาพเป็นงงไปอีกหนึ่ง

⑧  บอกลาเลห์ ด้วยคำว่า Julley!

เช้าวันใหม่เป็นเช้าที่เราต้องออกจากโรงแรมเพื่อมุ่งหน้ากลับไปนิวเดลี ผจญภัยกันอีกครั้งค่ะ สิ่งที่พีคในเลห์ มีหลายเรื่องมาก เรื่องเซอร์ไพร์สก็เยอะ พิชิตความไม่กล้าของตัวเองก็หลายอย่าง เป็นแขกงานแต่งก็ทำมาแล้ว กินอาหารแปลกๆของชาวบ้านก็ได้กิน มันหายากจริงๆในประสบการณ์อะไรแบบนี้ ไว้ถ้าใครอยากอ่านอินเดียภาคพื้นดิน บอกมาได้เลยนะคะ เดี๋ยวจะเขียนให้อ่านเป็นภาคต่อนะคะ ความเศร้าของเราในตอนนี้คือ อยากกลับไปซ้ำเลห์มากๆ แต่หาโอกาสจนสุดท้ายก็มาเจอโควิดและสงคราม มันทำให้เรารู้เลยว่า ไม่รู้เมื่อไหร่ที่จะได้กลับมาอีก แต่ถ้าวันนึงเรามีโอกาสกลับไป สถานการณ์ดีขึ้น เราก็หวังว่าบล๊อกของเราอาจจะเป็นประโยชน์ต่อใครหลายๆ คนได้นะคะ 

สำหรับบล๊อกนี้ขอจบไปด้วยภาพนี้นะคะ ลาค่ะ Julley :)

daisydour

 วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เวลา 03.24 น.

ความคิดเห็น