สวัสดีค่า จริงๆทริปนี้เป็นทริปที่ไปมาเมื่อวันที่ 8-13 เมษายน 2559 ค่ะ
ใกล้จะหมดปีแล้ว มา remind กับทริปสุดทฤหรรษ์นี้กัน เผื่อ Summer หน้าใครสนใจจะตามไป
หรือ ใครอยากจะไปซะหนาวนี้เลยก็ไม่ว่า ก็น่าจะดีนะคะที่จะได้เจอนาวมากและร้อนมากปนกันแน่นอน
อีกอย่างคันไม้คันมือมากอยากจะเล่าจริงๆเพราะมันมันส์สุดยอดไปเลย
ทริปนี้ไปเที่ยวกัน 3 หน่อหญิงล้วนค่ะ เคยสัญญากันว่าจะไปเที่ยวเวียดนามด้วยกันตั้งแต่เรียนแต่
ก็พึ่งจะได้ไปก็หลังจากเรียนจบร่วมเกือบหนึ่งปีแหนะ โอเค ตกลงปลงใจ
ลางงลางานกันได้ทั้งสามแล้วก็เริ่มเดินทางกันเลยยย.
ด้วยความที่พวกเราทำงานกันแบบไม่มีเวลาที่ตรงกันอย่างแน่นอน และบางคนไม่ได้หยุดตามที่ตนอยากหยุด เราจึงต้องเลือกที่จะเดินทางในคืนวันศุกร์ที่ 8 เมษา ซึ่งนังตัวที่พิมพ์ก๊องแก๊งอยู่นี่ต้องไปทำงานและลาออกมาบ่าย 3 เราจองตั๋วเครื่องบินกันประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนบินค่ะ เพราะเราตัดสินใจกันไวมาก เพราะรอเพื่อนคนนึงคอนเฟิร์มว่าลางานได้หรือไม่ ด้วยโปรโมชั่นขณะนั้นพอดีที่ Nokair บินไปโฮจิมิน / ฮานอย เริ่มต้นที่ 1,050 บาท ตอนแรกเราก็ตั้งใจว่าเอ่อดีเนาะ ไปกลับก็แค่ 4000 กว่าๆแน่ๆเลย สบายละเพื่อนๆ พอจองจริงๆ วันที่ 8 มีค่ะ รวมภาษีก็คนละ 2,015 บาทเอง แต่พอกดเลือกวันกลับ ซึ่งเราแพลนว่าจะกลับวันที่ 13 เมษา มันดันโหนขึ้นไปถึง 2,900 นี่ยังไม่รวมภาษีนะคะ เราเลยตัดสินใจจองแค่ขาไปก่อน เดี๋ยวขากลับขอคิดแป๊บ.... หลายวันผ่านไปเรากลับมาดูกันอีกครั้งว่ามันลงบ้างมั้ย (ซึ่งไม่น่าจะลงแต่มองโลกในแง่ดี) เราต้องเจอเรื่องช็อกหนักกว่าเดิมคือมัน Sold out! ค่ะ หงายเงิบทั้งอัลบั้ม มีอีกที่ก็คือ Business Class เราไม่น่าสู้กันไหว จึงจับไม้จับมือตกลงกันว่า
' ไ ป ! ไ ป ต า ย เ อ า ด า บ ห น้ า '
ก่อนหน้านี่เราตกลงกันแล้วด้วยว่า เรามี Budget กันไม่เยอะ เลยตั้งใจเอาไปคนละ 5000฿ ก็คือแลกเงิน USD ได้แค่ 140$ (ไม่ถึง 5000 ค่ะได้แค่ 4920 บาท) แล้วค่อยไปแลกเอาที่นู่นเค้าบอกว่าได้เยอะกว่าเอาเงินไทยไปแลก แต่เราก็กันเหนียวไว้ในกระเป๋าคนละประมาณ 1000฿ ค่ะ เผื่อไม่พอ แต่ก็ริบหรี่มากชีวิตพวกเรา มีเงินน้อยมาก แพลนก็แน่น จะไหวเหรอเพื่อน....
แพลนของเรามีดังนี้นะคะ
วันที่ 8 เมษา : กรุงเทพ (ดอนเมือง) 18.30 - โฮจิมินห์ 20.00
หารถบัสจากโฮจินมินห์ ไป ดาลัดคืนนั้น
วันที่ 9 เมษา : ถึงดาลัด นอนดาลัด 1 คืน
วันที่ 10 เมษา : ออกเดินทางไป Mui ne / Half Day trip เสร็จนั่งบัสกลับ โฮจิมินหฺ์
วันที่ 11 เมษา : ถึงโฮจินมินหฺ์ หารถไปพนมเปญ
วันที่ 12 เมษา : ถึงพนมเปญ ตอนเย็นหารถกลับประเทศไทย (ให้ได้!)
วันที่ 13 เมษา : ต้อง ถึง ไทย !
1. เริ่มต้นความบันเทิง
วันที่ 8 เมษายน 2559 : เห็นโฮจิมินห์แว้บเดียว
เราเดินทางกับ Nokair อย่างที่บอกข้างต้นค่ะ บนเครื่องก็มีเค้กรสชาติแสนน่ารักให้กินตามปกติ คนในเครื่องไม่เยอะมาก แต่พวกเราเหนื่อยจากการทำงานกันมาก สภาพเหมือนผักเลยค่ะ เครื่องมีการดีเลย์นิดหน่อยแต่ไม่น่าเกลียด พอถึงโฮจิมินห์ก็ตื่นสิคะ รออะไร เพราะนี่คือการเดินทางออกนอกประเทศด้วยกันของพวกเราครั้งแรก!
พอถึงเวียดนามแล้วที่นี่ไม่มีการกรอกใบ ตม. อะไรเลย จะมีเคาท์เตอร์บอกว่า ASEAN อยู่ ซึ่งพวกเราเป็นประชากรจากประเทษอาเซียนเนาะ ก็ร้องเพลงอาเซียนเดินเข้าไปตัวปลิวๆเลยค่ะ ส่งยิ้มให้คุณเจ้าหน้าที่ ตม. หนึ่งทีแบบสวยงาม สดงสแตมป์อะไรเสร็จสับ รอกระเป๋าก็ไม่นานอีก เอ้า ง่าย เดินออกมาเจอเคาร์เตอร์ให้ซื้อ Sim Card แลกตังกันเพียบ อยากลงเคาร์เตอร์ไหนลงเลยค่ะ แต่เรายังไมซื้อ Sim นะคะ เพราะคิดว่าเดี๋ยวไป ฟาม งู เหลา น่าจะถูกกว่า แต่ก็แลกเงินไว้ค่ะ พวกเราแลกไปแค่ 120$ ค่ะ เก็บ 20$ ไว้เผื่อต้องได้ใช้จ่าย เราได้เงินมาประมาณ 2,688,000 ด่องค่ะ ดูรวยมาก....
คือก่อนหน้าที่จะมาได้เคยอ่านไว้ว่าให้นั่งรถบัสสายอะไรซักอย่าง เค้าจอดรออยู่หน้าสนามบินในราคาแค่ 5,000VND ก็แค่ประมาณ 5 บาทเอง เราก็ชะเง้อหูตาคอจมูกดูก็ไม่เจอ เจอแต่นังรถบัสคันนั้นอะค่ะจอดอยู่ (ในรูป) พอเดินไปเงิบอีกละ 20,000 ด่องไปอีก เออเอาก็เอาตอนนี้ก็ 2 ทุ่มจะ 3 แล้วไม่รู้ว่าจะมีรถไปดาลัดมั้ย เราเลยตัดสินใจเสียเงินไป ล่องห้ายยยย T_T
พอนั่งรถไปซักพักนี่แหละค่ะ ตื่นเต้นของจริง แค่เคยได้ยินมาว่า ที่นี่เค้าบีบแตรกันโผงผางมาก เราไม่ได้ตกใจตรงนั้นหรอกค่ะ แต่ตกใจตรงการจราจรที่งงหนักมาก ถ้าเป็นที่ไทยคือไม่ต่อยก็ยิงกันตายไปแล้ว รถบัสที่นี่อินดี้ไม่เบานะคะ จอดเติมน้ำมันด้วย เราก็รอไปด้วยใจตื่นเต้นกลัวไม่มีรถไปดาลัด เพราะเราไม่ได้จองมาค่ะ เสี่ยงไปอีก 1 ดอก พอถึงฟามงูเหลา เราเดินเดินวัดดวงค่ะ ข้ามถนนมาได้นี่ก็โคตรเก่งแล้ว เสี่ยงเดินมาทางขวาอีก ปรากฏว่า มาถูกทางค่ะ เจอบริษัทนี้เลย FUTA BUS LINES
เราได้ตั๋วรอบ 4 ทุ่ม 50 ไปดาลัด ในราคา 210,00VND ค่ะ ตอนนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่ม 10 และหิวข้าวมาก พวกเราจึงขอไปหาอะไรกินกันก่อนแถวๆนี้ โอ้ยยังไงก็ทันแหม่ เดินตรงมาอีกหน่อยพบว่า ฟาม งู เหลา ก็เหมือนถนนข้าวสารบ้านเรานี่เอง ที่ที่มีนักท่องเที่ยวพักอาศัย มีร้านเหล้า ร้านเบียร์ บารากุ บลาๆ และมีร้านอาหารเล็กๆที่เราอยากกิน มื้อแรกที่เวียดนามคือ มาม่าผัด! แต่ตอนนั้นกินอะไรก็กินแล้วค่ะเดี๋ยวนั่งรถยาวๆจะไม่ได้กิน ก็บอกเพื่อนไว้ว่า เออเดี๋ยวซัก 30 เราก็มูฟได้แล้วนะเดี๋ยวตกรถ ทุกคนก็เข้าใจกันดีก็รีบจ้วง เก้าอี้ที่นี่จะเล็กๆ เท่ากับเก้าอี้ซักผ้า ลุกนั่งทีอย่างปวดเข่าเลย
พอเรากินอะไรกันเสร็จเรียบร้อย เวลาเหลือด้วย เลยเดินเตร็ดเตร่ซื้อของจุกจิกไว้กินบนรถ เดินไปซื้อ Sim Card เราซื้อมาในราคา 150,000 VND ซึ่งถูกกว่าสนามบินถึง 20,000VND คิดถูกจริงๆเลย (จนวันสุดท้ายที่อยู่เวียดนามก็ยังไม่หมดเลยค่ะ) ใกล้เวลารถจะมาแล้วเราก็เดินไปรอเลยค่ะ ปรากฏว่ามีรถคันเล็กๆมาจอด พวกเราก็งงๆไหนบอกว่าเป็นรถนอนไงหละ พอเดินไปถามเอาตั๋วให้ดู เค้าพูดกลับมาว่า โอ้ววววว ยูเลทๆ เทค เดอะ บัส นาว แอนด์ โก เดย์ วิว เช้นจ์ เดอะ บัส ฟอยู นาว! เราก็เลยถึงบางอ้อออออออ อิศอก เราสาย นี่คือเราต้องนั่ง Shutter Bus ไปขึ้นรถใหญ่อีกที ฉะนั้นเราควรออกตั้งนานแล้ว พูดง่ายๆคือ ตกรถ! พอขึ้นรถไปพบว่าคนไทยเพียบเลย แต่ที่ไปๆนี่รอบ 5 ทุ่มกันหมดเลย เราก็ไม่เข้าใจพนักงานขายตั๋วชี้อะไรให้เราไปไหน เราก็แบบอ๋อ รู้แล้วให้ไปขึ้นรถอีกฝั่ง อ๋อ ใช่ไง (คิดเองเออเองจนตกรถอะค่ะ) พอถึงท่ารถ เค้าก็จัดแจงเปลี่ยนตั๋วให้เราได้ขึ้นรถในรอบ 5 ทุ่ม 10 ทันที แต่ระหว่างนั้นก็ไม่เข้าใจว่าการเป็นคนไทยของเรา 3 คน ทำไมทุกคนต้องตื่นเต้น คนเวียดนามที่เป็นพนักงานเวียดนามพยายามจะพูดไทยกับเราให้ได้ เรียกเราเดินไปนู่นนี่จนเราขึ้นรถอะค่ะ จบวันแรกอย่างเหนื่อยๆ งงๆ พรุ่งนี้ที่ดาลัดจะเป็นยังไงต่อไปคอยดูค่ะ อะตอนนีนอนได้!
สรุปค่าใช้จ่ายวันแรก
ค่ารถบัส 20,000D
ค่ารถบัสไปดาลัด 210,000D
ค่ามาม่าผัด 35,000D
ค่า Sim Card 150,000D
ค่าของกินจุกจิกในมินิมาร์ท 54,000D (นี่ขนาดจุกจิก)
รวมทั้งสิ้น : 469,000VND (ช็อคคคค)
2. ฉันงงไปหมดแล้วหนะพี่ชาย?
วันที่ 9 เมษายน 2559 : ทำไมหนาวหละดาลัดเค้าร้อนกันโครมคราม
ถึงงงงงงงง ดาลัดด้วยอุณหูมิ 18 องศา อะไรกันนี่ ฉันก็เตรียมชุดร้อนมาเต็มที่เลยคุณพี่ขา หนาวหนักมาก ต้องขุดผ้าพันคอมาใส่ แต่ดีหน่อยที่ใส่กางเกงขายาวซึ่งขายาวแบบผ้ามัดย้อมอะค่ะ ก็บางอยู่ดี เรายืนงงขี้หูขี้ตากันพักนึง ไม่เข้าใจว่าเราจะออกจากที่นี่กันยังไงขณะนั้นก็มี คนไทยเอย ฝรั่งมังค่าเอย ที่ยืนงงว่า ตรูไปยังไงต่อดีฟะเต็มไปหมด ซักพักมีพี่ไทยคนนึ่งเดินมาถามเราว่า "เป็นคนไทยหรือเปล่า?" เราก็ตอบไปว่า "ใช่ค่ะ" "แล้วเดี๋ยวเราจะเข้าไปในเมืองยังไง" "หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะพี่" จังหวะนั้นก็ยิ้มให้แกแฮะๆ ไป แต่แล้วก็มีคุณพี่รถตู้เดินผ่านมาเราจึงเข้าชาร์ตแล้วบอกว่า เราจะไปที่นี่ค่ะ (ให้ที่อยู่ Hostel ไป) พี่เค้าก็อ่านแป๊บนึงแล้วตะโกนถามเพื่อนๆที่อยู่ไกลมากและเสียงดังมาก ซักพักพี่เค้าก็พาเราไปขึ้นรถไปเลย ทิ้งพี่ไทยที่ถามเราไปเลย ขอโทษนะคะพี่ พวกหนูไม่ได้ตั้งใจ ถ้าพี่ได่้อ่านข้อความนี้โปรดรู้ไว้ว่าหนูไม่ได้ตั้งใจทิ้งพี่ค่ะ มันสุดวิสัยจริงๆ T_T รถตู้ที่นี่มีบริการรับส่งถึงที่ที่เราจะไปค่ะ เค้ามาส่งถึงปากซอยโฮสเทลเลยค่ะ มีคนเวียดนามช่วยเราด้วยนิดหน่อย ช่วยย้ำว่าเราจะไปที่นี่กันระหว่างทางคือ หมอกเต็มเลยค่ะ นึกว่าอยู่ในเรื่อง the mist คือ เยอะมากจริงๆ อากาศดีมากๆเช่นกัน อะแต่อะไรกันนี่มันเดือนเมษานะเหวยยยยย แกจะหนาวแบบนี้ไม่ได้
และนี่ก็คือ Hostel ที่เราได้ทำการจองไว้ก่อนจะถึงเวียดนามเพียง 1 วันในราคา 189฿ (เสียงแบบทีวีแชมเปี้ยน) เราจองกับ Hostelworld ค่ะ ถูกๆไปเลยประมาณนี้
เราจองที่พักชื่อ Dalat Family ไว้ค่ะ จากรีวิวแล้วบรรยากาศน่ารัก อบอุ่น มีวิวเนินเขา เล็กน้อย มีบาร์ด้วย (ซึ่งเหมาะเหม็ง) มีชั่วโมง Happy Family อันนี้เดี๋ยวเล่ายาวๆเลยค่ะ ค่อนข้างฮาแบบน้อยใจชะตากรรมตัวเอง 555
แปะลิ้ง Facebook Dalat Family นะคะเผื่อใครสนใจ
พอมาถึงที่พักก็เข้าไปเช็คอินทันที แต่ตอนนี้ยัง 7 โมงอยู่เลยไม่รู้ว่าเค้ายอมมั้ย เลยนั่งรอไปก่อน ระหว่างนั้น staff ก็เรียกเราออกไปดูว่าคุณนอนเตียงไหนได้บ้าง ไปที่แรกก็ดูอับๆ ผู้ชายเพียบ ไปที่ที่สองคืออับหนักกว่า คนอยู่กันเป็นดง เราก็บอกเค้านะว่าเราไม่ซีเรียสนะ เราอยู่ได้ เค้าก็แคร์เราเพราะเราเป็นผู้หญิงไทยกัน 3 คนเค้าอาจจะแอบเข้าใจในวัฒนธรรมของเรา แต่จริงๆแล้วพวกเราไม่พรือเลยค่ะ พวกเราสบายๆ กว่าเราจะได้เตียงก็เกือบชั่วโมงแหนะ ก็พอถึงเตียงคือ อาบน้ำ นอนเลย รูปไม่ได้ถ่ายมาเลย เสียดาย ความเหนื่อยอะเนาะ
แอบงีบหลับกันไปพักใหญ่เลยตื่นมา 10 โมงกว่าขุ่นพระ ตั้งใจออกไปหาไรกิน และซื้อตั๋วไปไปมุยเน่พรุ่งนี้เช้าให้ได้ เดินไปเจอกลุ่มชาวต่างชาติทั้งชายหญิงยืนออกันอยู่ตรงปากทาง ได้ความว่าเค้ากำลังจะไป canyoning กันคือการปีนผา กระโดดน้ำ บลาๆ พวกเราก็อยากไปแต่เรามีแพลนที่งอกไม่ได้แล้ว T_T ฉะนั้นกินข้าวเถอะเนาะ แล้วจองตั๋วไปมุยเน่พอ อาหารเช้าของที่นี่ก็จะมี มาม่าผัด ข้าวผัด ขนมปัง ขาย ราคาก็ประมาณ 20,000 - 40,000 VND เท่านั้นเอง อ้อ! ลืมบอกเค้ามีกล้วยให้กินฟรีด้วยแหละ อิอิ
ไม่น่าเชื่อนะคะคุณกิตติ 10 โมงที่นี่ร้อนแล้วค่ะ ราวกับว่าเมื่อเช้าชั้นฝันไปว่าเธอมีหมอก / ระหว่างนั้นเราก็เอาแผนที่เมืองดาลัดมากางว่าจะเอายังไงกันดี แต่ที่มองๆไว้ตั้งแต่ก่อนมาก็คือเราจะไปน้ำตก Datanla ที่มี Roller Coaster นันแหละค่ะ อยากเล่น เลยถาม Staff ของ Hostel ว่าเราไปยังไงดี staff แนะนำให้เราไป Crazy House ค่ะ เป็นพิพิทธภัณฑ์ซัมติง แล้วค่อยต่อไป น้ำตก เดินจาก Hostel ไป Crazy House ประมาณ 30 นาที เราก็โอเคไป!
ออกมาได้ซักพักนังเพื่อนคนนึงนางเป็นคอกาแฟ นางต้องการกินกาแฟค่ะ เราก็เห็นว่าหน้าปากซอยบ้านมีร้านกาแฟเลยบอกนางว่าลองมะ? กาแฟเวียดนามนะ ลองมะ? นางสนค่ะ ก็เลยเดินเข้าไปในร้านทันที และสั่ง Coffee with Milk 2 ค่ะ
กาแฟที่นี่น่าสนใจมากค่ะ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ขั้นตอนมันแปลกๆ แต่ง่าย เค้าจะมีถ้วยสแตนเลสไว้ให้กาแฟมัน หยดลงไปในถ้วยเล็กๆ นมที่เค้่าใส่มันจะไม่ข้นอะค่ะ จะเป็นน้ำใสๆ นี่คิดเองนะ เพราะแกบอกว่าแกใส่แล้ว มันมีกลิ่นนมแต่ไม่มีสีข้นเหมือนบ้านเรา พอมันหยดหมดก็เทใส่น้ำแข็งโอ้ววววเข้มปั๊กกกกกกก ตาแข็งโป๊ก
วันนี้พวกเราว่าง เลยตัดสินใจเดินตามคำบอกของ Staff แต่พอเดินๆไปคือ มันหลงทางหวะ 5555 ไม่ถึงซักที เดินเตร็ดเตร่คุยกันไป ไหนฟระทางที่จะไป เลยตัดสินใจไม่ไป Crazy House ก็ได้ ไปน้ำตกเลยดีกว่า
ได้ความดังนั้นพวกเราจึงโบกแท็กซี่ทันที ซึ่งไม่ได้รู้เลยว่ากำลังโบกคันใหญ่ที่สตาร์ทที่ 7,000VND เจี๊ยกกก
รถแท็กซี่ของที่นี่เค้าจะเปิดกระจกตลอดนะคะ อากาศดีมาก รู้สึกว่ามันช่วยประหยัดน้ำมันอีกด้วย เราก็ได้ฟิวมองฟ้ามองป่า ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ วิวก็สวยมาก ต้นไม้สมบูรณ์มากด้วยรู้สึกอิจฉาเค้านิดๆ เสียดายที่พอถึงที่หมายเราไม่ได้เก็บภาพทางเข้าด้านหน้ามาเลย เพราะตอนนั้นแดดแรงมากมาก รู้สึกเพลียที่จะต้องต่อสู้เลยตัดไปตอนที่เราเข้าไปเล่น Roller Coater เลยแล้วกันนะคะ
ค่าเข้าน้ำตกของที่นี่ตอนแรกต้องเสีย 20,000VND ค่ะ พอเข้าไปอีกก็จะเจอ Roller Coaster เลย เสียอีก 50,000VND เป็นแบบ Round trip ค่ะ ตอนเล่นคือ ไม่ได้ถ่ายรูปเลยค่ะ ไม่โปรจริงๆ ตอนนั้นกลัวๆ ว่าชะตากรรมจะเป็นอย่างไร พอสุดทางเราก็จะเจอน้ำตกค่ะ ทีนี้ก็เลยเดินลงไปดูซะหน่อยว่าข้างในมีอะไร เพื่อนคนนึงแกอย่ากปีนผาค่ะ แต่เนื่องด้วยเราไม่รู้จะเริ่มยังไง บวกกับทุกท่านไม่ค่อยอยากเล่น เลยเลิกที่จะไม่เล่นค่ะ แต่แอบไปถ่ายรูปมานะ
พอเราเพลินเพลินกับธรรมชาติที่นี่เสร็จสิ้นไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องหาที่ไปใหม่ได้แล้ว เลยตัดสินใจไป Crazy House ที่ซึ่งเราตั้งใจจะไปตั้งแต่แรกแต่ไม่ถึง เลยโบกแท็กซี่ซึ่งคราวนี้คันเล็กแล้วค่ะ ไปถึงที่หมายก็ประมาณ 60,000VND หารกันก็ตกคนละไม่เท่าไหร่ อุ่นใจ ไม่โดนโกง มีแต่คนเตือนมาว่าระวังโดนโกงนะ
ข้างใน Crazy House ก็จะเป็นสถาปัตยกรรมรูปทรงแปลกประหลาด พิลึกกึกกือ มีห้องให้เข้าพักด้วย แต่ก็งงๆว่า นอนได้ไงวะ มีคนเดินผ่านตลอดเวลา ทางเจ้าของเองแกก็เปิดให้คนที่เข้ามาดูห้องตามออัธยาศัย บอกเลยว่าแค่ เดินจริงๆ ขึ้นลงบ้านที่มีโครงสร้างแปลกประหลาด ไม่มีอะไรเพิ่มเติม เสียค่าเข้าคนละ 40,000VND อีกตางหาก นึกว่าจะมีอะไร คือเราเป็นคนไทยมั้งเลยเฉยๆรึเปล่า ไม่รู้สิ ในตอนนั้นเราหิวข้าวกันมากๆ เลยตั้งใจว่าออกไปจะไปหาไร Local กินซักกะหน่อย ตอนแรกก็จะเดินนี่แหละค่ะ เดินไม่ไหวแล้ว นั่งแท็กซี่ไปอีก จิ้มจุด Hostel เลย เพราะแถวนั้นเป็นตลาดน่าจะมีอะไรให้กิน แต่แท็กซี่แกไม่รู้ที่เลยไปส่งที่วัดอะไรซักอย่าง พร้อมบอกว่าจะรอรับ เราก็เซย์โนว์ไปว่าเราเดินเองได้ค่ะ พักใกล้ๆเอง
ในจิตใจถวิลหา เฝอ ตลอดเวลาอยากกิน เฝอ เลยหาแต่ เฝอ แต่ก็หาไม่เจอจนไม่เจอร้านแหนมเนือง ซึ่งบอกเลยว่าอร่อยมาก ตอนแรกกะสั่งอันเดียวแล้วกินด้วยกัน หมดแล้วไปที่อื่นเพราะเห็นว่ามีร้านหม้อไฟซัมติงอยู่เยื้องๆกัน ปรากฏว่าเจ้าแหนมเนืองนี่คือ ดีย์มาก อร่อย พวกเรากรี้ดการกินผักอยู่แล้วด้วย
ที่ดาลัดจะมีของอีกอย่างที่อยากให้กินเลยก็คือ โยเกิร์ต และ พุดดิ้ง ถ้วยละ 6,000VND แต่รสชาติอร่อยกว่าของแพงบ้านเราเจ้าใดๆทั้งปวง ชนิดที่ว่าอยากเซ้งกิจการแล้วไปขายที่ไทย เรากินไปอย่างละอันเอง กลัวว่าจะแพง แต่พอเช็คบิลเท่านั้นแหละ อันละหกพัน โอ้โห รู้งี้กินหมดเลยก็ดี
ช่วงที่เราออกจากร้านแหนมเนืองได้ไม่นาน เราก็ลงความเห็นกันว่า พวกเรายังหิว อยากกินอะไรต่อ แม้ว่าเราจะรู้ว่าตอน 5 โมงเย็นที่ Hostel จะมีการ Family hours กัน คือการที่ทุกคนใน Hostel มากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน นำเสิร์ฟโดย Mama หรือ ขุ่นแม่ นั่นเอง แต่ตอนนั้นเราหิวแบบคนพาลอะค่ะ เราอยากกินต้องได้กิน เลยเดินเข้าร้านหม้อไฟทันที และสิ่งที่ได้ก็คือ อันนี้แหละค่ะคุณกิตติคะ
มันเป็นหม้อไฟเนื้อ ที่อร่อยดีค่ะ ให้เยอะแบบ 3 บ้าน 8 บ้านทานไม่หมด ราคาก็ 200,000 มั้งถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นซัดโฮกอย่างเดียว กินผักเป็นสวน แต่ที่ตกใจคือ น้ำจิ้มค่ะ น้ำจิ้มรสชาติไม่ถูกปากเลย มันเหมือนอะไรข้นๆสีส้ม โปะด้วยน้ำมันพริกกระเทียม ตอนชิมน้ำจิ้มคือ หน้าเหยเกกันทุกคน เลยพยายามคิดในแง่ดีว่า ลองคนผสมกันดูมั้ยเผื่อจะอร่อยผลลัพธ์คือ ไม่อร่อยอยู่ดี
กินมื้อนี้เสร็จพวกเราเลยแจ้นกลับ Hostel ก่อนเลยเพราะแบทหมดกันแล้ว อีกอย่างเพื่อนคนนึงปวดหัวระหว่างนั้นเราเลยเดินไปซื้อยูกยา จุกจิก บ้าบอไปเรื่อยๆ
ถึงเวลาแห่งครอบครัวแล้วค่ะ นางไทย สามคนก็เดินไปทีหลังเค้าเพื่อนเลย ปรากฏไม่มีโต๊ะให้พวกเราค่ะ เต็มทุกที่ เพื่อนเตียงข้างๆก็ไม่ได้ช่วยเหลือมีเยื่อใยใดๆเลย แต่ก็เข้าใจแหละเพราะตรงนั้นเต็มจนเบียดกันเลย ไม่รู้กินข้าวกันยังไง เราเลยได้ออกมานั่งข้างนอกหวิวๆกัน 3 คน ตอนนั้นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ปนขำ แล้วแซวกันว่า ใช่สิ้ เรามันประเทศโลกที่ 3 หนิ งอน 5555555 เราเหมือนลูกเมียน้อยที่นั่งมองดูพวกเค้ากินข้าวกันอย่างครึกครื้น สนุกสนาน ระหว่างนั้น Staff ก็ทยอยนำอาหารมาให้โต๊ะเราเรื่อยๆ ซึ่งเรานั่งกันสามคน กินทุกอย่างไม่หมดแน่ๆ อีกอย่างเราก็พึ่งอิ่มจากหม้อไฟหน้ามืดมาแล้วด้วย ตอนนั้นแบบแอบเซ็งนะคะ ที่เราอยากไปจอยบรรยากาศนั้นแต่เราก็เข้าใจแหละ มาทีหลังหนิ เค้าบอกให้รีบมาๆ
นั่งไปซักพักนึงก็มีชายหนุ่มจากประเทศสวีเดนมานั่งด้วย เค้าก็เหมือนถูกเนรเทศมาเหมือนกันเพราะมาช้าเพราะพึ่งมาเช็คอิน เค้าก็มานั่งอึดอัดกับชะนีไทยสามคนนี่อยู่นาน เราก็พูดคุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย ถามสารทุกข์ สุขดิบ กลัวแกเหงา สั่งเบียร์ ตักข้าวให้ ได้ความว่าแกเรียนวิศวะ อยู่ในระหว่างปิดเทอมกำลังทยอยเที่ยว บลาๆ พอเราสี่คนอิ่มกันซักพักก็เริ่มย้ายเข้าข้างในแล้วค่ะ คนดาลัดเค้าพยายามให้เราข้างในก่อนฟ้าจะมืดแกบอกเราว่า ข้างนอกหนาวมากนะ ไม่อยากให้นั่งนาน เราก็แบบ ไหนคือหนาว (staff อยู่ในชุดเสื้อกันหนาวกันเรียบร้อยแล้ว) เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ unseen อีกเรื่องนึงของทริปนี้เลยค่ะ ขอนอกเรื่อง ตอนเช้าของที่นี่จะมีร้านรวงมาตั้งขายชุดและอุปกรณ์กันหนาวกันแบบฟูออฟชั่น พอซักสายๆ ก็เก็บร้านไป เย็นๆจะมาอีกรอบ เพราะที่ดาลัด หนาวๆร้อนอยู่แบบนี้เค้าบอกว่าทุกวัน ก็แปลกดีค่ะ
Happy Hour เริ่มขึ้นแล้วค่ะ เราก็ดื่มเบียร์กันไปคนละขวดสองขวด ซึ่งเบียร์ที่นี่ราคา 10,000VND เองค่ะ ถูกกกกกกก แต่รสชาติจะจืดๆชืดๆกว่าบ้านเราที่กินไม่เท่าไหร่ก็ลมตึงได้ แต่เบียร์ไซง่อนในคราวนี้ออกแนวกินยาวๆค่ะ
ในระหว่างนั้นการปฏิสัมพันธ์เฉกเช่นการประชุมระดับนานาชาติก็ได้เริ่มขึ้นค่ะ ทุกประเทศรวมตัวกินดื่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ได้เพื่อนเยอะขึ้นมากเลย เราก็ได้นั่งฟังวีรกรรมของหลายๆคนว่าเค้าใช้ชีวิตกันมายังไงก็สนุกดีนะคะ ได้ฝึกภาษาไปด้วยเลย กึ่มๆก็สั่งเพิ่มเลยค่ะ มีโปรสั่งคอกเทล 1 แก้ว แถม 1 ชอต ราคาคอกเทลก็ไม่แพงค่ะ เราสั่งแก้วใหญ่ที่เค้าเรียกว่า bucket ราคา 55,000VND ชอตที่แถมนี่อะไรไม่รู้ค่ะ หายเกลี้ยงเข้าไปในท้องทันที ได้่ข่าวอีกว่า เดี๋ยวตอน 3 ทุ่ม ครึ่งจะมูฟไปร้านเพลงตื๊ดที่มันส์ที่สุดในดาลัดค่ะ
คนส่วนนี้ชื่อ จิน ค่ะ เป็นสต๊าฟของที่นี่ที่ที่คอยบริการพวกเราเป็นอย่างดี กลัวไทยเหงา เดินมาสอนเกมส์โน่นนี่บางทีก็ยาก ขี้เกียจเล่น พูดทั้งคืนว่า I Love Thai now
ด้วยความที่เราสตาร์ทในการด่มเบียร์และคอกเทลไวไปหน่อย บวกกับอาการอ่อนล้าจากการเดินทาง พวกเราก็ง่วงตามระเบียบค่ะ เลยแอบหนีไปนอน จนเค้ามาเรียก แต่พอไปที่นันก็ไม่ได้สนุกอะไรมากมายเลยหนีกลับ แต่ก่อนกลับแอบไปกินเฝออีกแล้ว ซึ่งอร่อยมากค่ะ มันคล้ายๆ ก๋วยจับญวณ ผสม เฝอ แต่ไมได้ถ่ายรูปมาขอโทษค่า
คืนนี้จินแนะนำเราว่าให้เราเคลียร์เรื่องเงินไปเลยจะได้ไม่มีปัญหาตอนเช้า เพราะพวกเราออกไปมุยเน่เช้าเลยค่ะ 7 โมง จากที่เราจองมากับ Hostelworld ก็ 189 บาทใช่มั้ยคะ ก็คนละ แต่เราต้องเสียค่าอาหาร Happy Family อีกคนละ 50,000 ค่ะ
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 9 เมษายน
ค่าอาหารเช้า 25,000D
ค่าน้ำ 5,000D
ค่า Bus ไป มุยเน่ 95,000D
ค่ากาแฟ 10,000D
ค่าเข้าน้ำตก 20,000D
ค่า Roller Coaster 50,000D
ค่าแท็กซี่ประมาณคนละ 60,000D
ค่าแหนมเนืองคนละ 10,000D
ค่าหม้อไฟ คนละ 66,000D
ค่าเบียร์ส่วนเราส่วนตัวนะคะ ประมาณ 100,000D ค่ะ
ค่าโฮสเทล 120,000D + ค่าอาหาร 50,000D
รวมเป็น : 611,000D
3.ฉันเสียเงินอะไรไปเยอะแยะขนาดนี้กับมุยเน่เนี้ย?
วันที่ 10 เมษายน 2558 : เพราะหรอยไง ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะช็อต
เช้านี้ตื่นมาด้วยความรีบร้อนแบบสุดชีวิตเพราะเราตื่นสายยยยเพคะ มีความซ่าอยู่เต็มหลอดไงเลยเป็นแบบนี้ ข้าวเช้าไม่ได้รับประทานกันเลยทีเดียว 7 โมงกว่าๆเราก็จำต้องจากโฮสเทลสุดแสนหรรษาไปด้วยความเศร้า Shutter Bus มารอรับเราเพื่อไปขึ้นรถไปมุยเน่ ในรถบัสที่ไปมุยเน่ เป็นรถไม่ใหญ่มากค่ะ เราต้องแยกกันนั่งเพราะว่าที่เต็ม เพื่อนอะนั่งด้วยกันค่ะ แต่อินี่นั่งคนเดียวอีกแถวนึงแบบเหงามากๆ แต่ระหว่างนั้น เราเจอพี่ไทย ที่เราทิ้งเค้าไว้ที่ท่ารถที่ดาลัด เค้าและครอบครัวนั่งรถคันเดียวกับเราค่ะสรุป กรี้ด พี่เค้าไม่ทักไม่ทายเลย เราคาดว่าพี่เค้าคงเกลียดเราไปแล้วแน่ๆ รถเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เราก็หลับกันไปตามระเบียบ ระหว่างนั้นมีการจอดรับคนในพื้นที่ด้วย เค้ามานั่งกับเราข้างๆ แกไอหนักมาก เราเหลือบไปเห็นซองโรงพยาบาล เราเลยเข้าใจว่าแกป่วยแน่ๆ รถไปมุยเน่จะจอดให้เรากินข้าวกินปลาบนดอย 1 ที่ ตอนนั้นหิวมาก ซัดโฮก มาม่าใส่ไก่ด้วยความหิวโหยมากๆ ด้วยราคา 35,000D ค่ะ กว่าจะถึงคือนั่งรถจนเบื่อมากๆแล้ว 5 ชั่วโมงงงง
บรรยากาศวันนั้นคือเงียบๆค่ะ ไม่รู้ว่าริมหาดตอนกลางวันมันเงียบเป็นปกติแบบนี้อยู่รึเปล่า เราหิวอีกแล้วค่ะ เลยหาเฝอกินอีกแล้ว เฝออีกแล้ววววว แต่คราวนี้เป็นเฝอทะเลค่ะ ตามโลเคชั่นเลย ปรากฏว่าอร่อยกว่าเฝอทุกที่ หมู ไก่ เนื้เอ หลบไปทันทีออกไปปปป เพื่อนนางนึงนางอยากกินข้าวค่ะ นางไม่ชอบกินเส้น นางเลยสั่งผัดผักบุ้งกับข้าวเปล่า
เมื่อเราถเลถไลกันจนเพลิดเพลินแล้วเราเลยเดินไปซื้อทัวร์มุยเน่กัน คือการไปมุยเน่นี่นะคะ เราเคยอ่านมาว่ามีทัวร์แบบ private และ mix เราเลือกที่จะไป private ค่ะเพราะเรามากัน 3 คนแล้วอีกอย่างต้องรอคนให้เต็มอีก 4 ที่ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาตอนไหน แล้วเราก็อยากไปเที่ยวแล้วด้วย ราคาก็จะอยู่ที่คนละ 17$ ค่ะ นั่งรอซักพักรถก็มารับค่ะ รับไปซื้อตั๋ว ATV ก่อน แต่ตอนนั้นงงมากค่ะ เพราะพี่แกไม่ได้มีเราแค่ 3 คนค่ะ เค้าเอาญาติพี่น้องแกมาอีก 2 คน แล้วมานั่งเบียดเรา คืออะไร? แบบเซ็งเรื่องนี้มากค่ะ เพราะมันร้อนแล้วเป็นไอทะเลอะค่ะ ตัวเราก็เหนียวใช่มั้ยคะ แต่ก็ดันมาเบียดกันหนุบหนับกับเค้าอีก
อ้อ ค่า ATV 20 นาที 200,000 30 นาที 300,000D / เราก็คิดกันอยู่ว่าเอาไงดี เรามี 3 คน คันนึงซ้อนได้ 2 งั้นก็ต้องมีเศษ หรือว่าจะจ่ายคนละ 300,000 ก็ไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะมันแพงเกินไป ตกลงไปมาได้ 2 คันนี่แหละค่ะ 20 นาทีพอหอมปากหอมคอ ก็ตกคนละ 134,000 นั่นแหละค่ะ
ที่แรกที่พี่ "ส้มฉุน" พาไป (ขอเรียกเป็นชื่อนี้นะคะ เหมือนในเรื่อง เราสองสามคน ไงคะ แต่อาจจะไม่มีความเหมือนพี่เจ มณฑล เลย แต่แกชอบฉุนด้วยค่ะ เอาชื่อนี่แหละ) นั่นก็คือ " Fairy Steam" ที่แห่งนี้จะเป็นธารน้ำเล็กๆระหว่างหุบเขาค่ะ เราต้องถอดรองเท้าเดินไปเรื่อยๆ ฝ่าความร้อน ให้อารมณ์แพะเมืองผี ที่ จ.แพร่ ระหว่างทางก็จะมีทะเลทรายอันร้อนฉ่าให้เราไปวิ่งเล่น มีสวนสัตว์เล็กๆที่มีตุ๊กแก T__T มีนกกระจอกเทศให้ขี่ค่ะ
พี่ส้มฉุนสั่งไว้ว่าให้เวลา 40 นาทีเท่านั้นนะ เราก็รีบเลยค่ะ เดินกลับมาไม่เจอพี่ส้มฉุน พวกเราเดินออกไปตามหาปรากฏเจอพี่แกเล่นเฮลลโลวได้ที่เลย เราเลยเดินไปแอบดู เอาหน้าไปโผล่ให้แกเห็นอยู่พักนึง จนลูกทัวร์คนอื่นที่เจอชะตากรรมเดียวกับเราเค้าขึ้นรถไปแล้วมีคนสังเกตุเห็น วงเลยแตกค่ะ
แบ่งตังกันอย่างสนุกสนานค่ะ ถามพวกอิฉันด้วยว่าบันเทิงด้วยมั้ยยยยยยย
ไปที่อื่นกันเถอะค่ะพี่ส้มฉุน....
จากนั้นแกก็พาเราไปที่ Fish Village ค่ะ เป็นหาดที่ชาวประมงของระแวกนี้เค้าออกหาปลากันด้วยเรือเล็กและกะละมังใบใหญ่ๆค่ะ เรือที่นี่มีความพิเศษตรงที่สีสันของมัน ขนาด และการจอดใกล้กันๆ มันเลยดูน่ารัก ดูกรีซมาก ดูเหมือนภาพศิลปะยังไงยังงั้น เรามีเวลา 10 นาทีในการจอดถ่ายรูปค่ะ
ต่อจากหมู่บ้านชาวประมงอันสวยงาม เราก็เริ่มจะเข้าโหมดทะเลทรายกันจริงๆจังๆแล้วค่ะ ที่แรกที่เราเค้าเหมือนจะเรียกวา Yellow Dune (มั้ง) บางทีก็เห็นว่า Red บางอันก็ Yellow พี่ส้มฉุนกับพวกก็พูดไม่รู้เรื่อง ที่นี่แหละค่ะที่เราไปขับ ATV กัน ระหว่างทางที่ไปทะเลทรายขอบอกว่าสวยมากค่ะ เหมือนไม่ได้อยู่เอเชีย เหมือนเส้นทางหลวงของเมกา (จากที่เคยดูหนัง Road Movie) เลย
พอเรามาถึงพี่ส้มฉุนจะมอบใบคิวให้เราสองใบค่ะ แล้วล้อบบี้กับเราว่า เล่นไปเกินเวลา 30 นาทีก็ไม่เป็นไร เล่นไปเหอะ หลังจากนั้นแกหนีไปกินมาม่า ปล่อยให้เรายืนงงตั้งนาน และรอนานมาก จนเกือบเอากระดาษไปยัดใส่มือคนให้คิวเค้าถึงให้เราไป เราไปกับเพื่อนค่ะ เพื่อนอีกคนก็ไปของมันไป ได้ขับจริงๆ แค่กระหย่อมเดียว นอกนั้นมีเซอร์วิสจากพี่เจ้าถื่น ช่วยเราในการบังคับและพาเราลงเนินอันหวาดเสียว แต่เรากับเพื่อนอีกคนต้องผลัดกันไปค่ะ ก็โดนเทกลางทะเลทรายกันละทีสองที ยืนรอนาน รถเสียก็ต้องรออีก แต่ก็พอสนุกแล้วค่ะ
พี่คนนี้แหละค่ะที่เป็นสารถีแบกร่างอ้วนเทอะทะของเราไปไหนไปด้วย ขอติ้ปเราด้วย เราให้ 10,000D ไม่เอา ขอ 100,000 นึง พี่คะหนูก็ไม่มีค่ะ ฮืออออ ขอโทษ
เสร็จจากที่นี่ก็บ่ายแก่มากแล้วค่ะ เราอยากไปที่ White Sand Dune มากค่ะ เพราะอยากไปเอาวิวพระอาทิตย์ตก เราเลยมูฟเลย เล่นจนฝ้าขึ้นแล้ว พอแล้วเนาะ
เราเดินทางมาถึง White Sand แล้วค่ะ ด้วยแสงแดดที่จะกำลังจะตก เราอยากจะถ่ายรูปกัน แต่เรื่องที่พีคกว่าคือ มีเด็กน้อยประมาณเกือบ 10 คนรุมตอมเราเหมือนเราเป็นกองขี้ น้องเสนอแผ่นสไลด์ทรายให้เราคนละอัน เราก็เออเอาๆ สายตามองไปที่เนินทราย เพราะฉันจะไปถ่ายรูป แก๊งส์เด็กนี่ก็รุมจังงง พูดภาษาอังกฤษดีด้วยนะ บริการดีมากเลย ถือของให้ ถ่ายรูปให้
ตอนนั้นเริ่มเอะใจแล้วว่าต้องมีกลอุบายอะไรแน่ๆเลย น้องเค้าบอกว่า ลื่นที่นี่ก่อน เดี๋ยวไปที่นู่นหนูทำให้ ถือให้ รองเท้าหนูถือให้ เอากล้องมา เราแบบเอ้ะะะะ เอาติ้ปแน่ๆ เพื่อนพยายามไล่ก็ไม่ไป จนอุบายรอบสุดท้ายคือ น้องๆแสนน่ารักให้เราทิ้งกระเป๋าไว้ข้างบนแล้วให้เราไถลงมา เราก็เอ้ะ แล้วเราจะเห็นกระเป๋าตัวเองได้ไง ก็แอบไม่ไว้ใจจริงๆ อะขอโทษเลยนะ น้องๆบอกว่าเดี๋ยวหนูดูแลเองค่ะ พี่ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพอพี่ไถไปเดี๋ยววิ่งเอาไปให้เลย เห้ยแปลกๆละ ระวังนะคะถ้าเจอแก๊งซ์เด็กคือเลี่ยงเลยบอกว่า ฉันทำได้ ดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องไปกับฉัน ไม่รักเด็ก อินี่โดนมาแล้วเสียใจ เลย สุดท้ายคือ เราก็ดุๆค่ะ บอกว่าให้เอากระเป๋าลงมาเดี๋ยวนี้ น้องก็รีบเอาลงมา แต่วินาทีที่จะผละจากเรา รุมขอตังแบบ รุมทึ้งอะค่ะ เราให้ไปแล้วบ้าง เป็นเศษๆด่อง แต่ก็บอกว่าให้ทุกคนสิๆๆๆๆๆๆ เราก็แบบไม่ไหวหวะ ตะคอกไปด้วยความเหลืออดว่า ฉัน ไม่ มี ตัง แล้ว เทานั้นแหละค่ะ จบ หายไปเลยยยย แต่ได้ยินว่าแกก็แอบด่าไล่หลังเรา แล้วไงคัยแคร์ กว่าจะผละจากเด็กคือ พระอาทิตย์ตกแล้วค่ะ โอ้วววชิท โชคชะตของเรา 3 คน ก็ได้มาแต่รูปแบบนี้แหละค่ะ ประเด็นเพื่อนตังหายไป 1000 บาทไทยค่ะ ไม่รู้ว่าตอนไหนไม่อยากโบ้ยว่าเป็นน้องๆเค้า
พอเริ่มจะมืดแล้ววกเราก็กลับค่ะ พี่ส้มฉุนแกก็พาเรามาส่งที่ที่เราซื้ทัวร์มา ตอนนั้นคือต้องการอาบน้ำค่ะ ทรายติดเต็มตัว บวกกับเหลือที่ผิว เพราะเราซื้อตั๋วไปโฮจิมินห์คืนนั้นเลย เราต้องได้อาบน้ำก่อน เลยลองเดินเข้าไปที่ซื้อตั๋วนั่นแหละค่ะ เค้ามีห้องพักให้เราพักก่อน เหมือนว่านักท่องเที่ยวหลายคนคงเป็นแบบเราค่ะ ราคา 200,000D อย่างนั้นเราก็ได้วางของ อาบน้ำ กินข้าวกันก่อนได้ เพราะรถที่เราจะไปเป็นรอบ 00.20 ค่ะ
พอเราเก็บของกันเสร็จอะไรเสร็จก็ออกไปหาอะไรกินกันค่ะ เจอแบบลูกจระเข้เสียบไม้ ถลกหนักปิ้งด้วย แต่ไม่กล้ากิน มีงู มีปลาไหลตัวใหญ่ๆเต็มไปหมด สุดท้ายเราก็ไปกินหม้อไฟกันอีกแล้วค่ะ บวกกับปลาหมึกผัดเห็ดไรซักอย่าง ตอนนั้นยังไม่่ 3 ทุ่มเลยมั้งคะ เวลาเรามีเหลือๆเลยในการอาบนงอาบน้ำสุดท้ายเราก็หลับกันได้ตั้งตื่นนึง เจ้าของโรงแรมแกก็บอกว่าซักตี 1 โน่นแหละ เราก็โหววววว กลัวววไม่กล้าจะออกแบบนั้นเลยออกมารอตั้งแต่เที่ยงคืนครึ่ง รถไปไซง่อนคราวนี้งงมากค่ะ ให้เรานั่งรอนานมากๆที่หน้าบริษัทที่เราซื้อ แต่ก็ไม่มีคันไหนมารับเราเลย จนมีมอไซด์ขี่วนมาถามว่าจะไปไซง่อนเหรอ ซื้อตั๋วรึยัง เราก็บอกว่าซื้อแล้ว เค้าก็ขอดูแล้วก็ขี่ไป สักพักก็กลับมาบอกว่าให้ซ้อนไปออฟฟิศเค้า เราก็ไป เค้าก็ให้ไปนั่งรอ ตอนนั้นเป็นฟิวแบบจริงๆ รถเราไปแล้วรึเปล่า แต่เค้าลืมเรา พอตีหนึ่งกว่าๆ รถก็มา มีกลุ่มชาวรัสเซียลงจากรถค่ะ เค้าก็บอกให้เราขึ้นไปๆ เราก็งง ทำไมไม่ใช่รถใหม่หละ ไหนหละที่นั่ง ไม่บอกอะไรเราเลยให้เราไปซุกกับผ้าเก่าของชาวรัสเซียที่มีขยะเต็มเตียง เราก็แบบอ่าวไหนคือการจ่ายเงินที่คุ้ม่ค่า ตอนแรกไปนั่งรถนอนคือ เรามีที่ของเรา แต่นี่คือ เค้าให้หาเลยว่าว่างตรงไหนก็นั่งๆทับที่คนลงไปละกัน ยังไ่ม่ทันจะได้ที่เลยค่ะ รถออกและ อันนี้เซ็งมากเพราะคราบเหงื่อไคลที่ติดตามผ้าของชาวรัสเซียยังอยู่แล้วเราต้องนอน เพราะเราง่วงแล้ว
สรุปค่าใช้จ่ายที่มุยเน่
ค่าเฝอ 45,000
ค่าน้ำ 10,000
ค่าทัวร์ 17$
ค่า ATV คนละ 134,000
ค่าเข้า Fairy steam 5,000
ค่าไอติมที่ Fish village 20,000
ค่าเข้าทะเลทรายเหลือง 5,000
ค่าติปเด็ก 5,500
ค่าห้อง ุ67,000
ค่าอาหารประมาณคนละ ุ60,000
ค่าไอติม 20,000
รวมทั้งสิ้น : 635,500
นี่แหละค่ะจุดพีคคือตังเราจะหมดแล้วนี่แหละค่ะ ใช้ไปทั้งสิ้น 1,715,500 แล้ววววววเงินดอลก็เหลือแค่ 3$ เอง
4. วันสุดท้ายที่เวียดนามแล้วนะ
11 เมษายน : มีความจนเข้าครอบงำ กับการหาตั๋วไปพนมเปญไม่ได้
ถึงโฮจินมินห์ตอนเช้าตรู่มากๆค่ะ ยังแบบเด๋อๆด๋าๆกันอยู่เลย ไม่ได้เตรียมตัวก่อนด้วย รู้แค่ว่าคืนนี้เราจะไปพนมเปญกันให้ได้ แต่ไม่รู้เลยว่าจะเอาไง ลืมเตรียมตัว เรานั่งคุยกันอยู่ที่สวนสาธารณะอยู่พักนึงและตกลงหาห้องกันดีกว่า จะได้วางของอาบน้ำไง
ตอนนั้นเราลงกันที่ฟาม งู เหลา เปิดแอป Hostelworld หาก็เจอแล้วจำๆชื่อไว้ เทียบๆกันว่าอันไหนที่เราอยู่ 3 คนใน 1 ห้องได้มั้ย ต่อรองกับเค้าว่าเราจะไปคืนนี้แล้ว บลาๆ จนเรามาเจอโฮสเทลที่ชื่อ My my Arthouse นี่แหละค่ะ ตอนแรกที่นี่ปิดค่ะ แ่ต่เพื่อนลั่นเอามือไปกดกริ่งแล้วเดินหนี ไปถาม รร อื่น ปรากฏเดินกลับมามีคุณตาเปิดบ้านแล้ว ที่นี่เป็นตึกแถวสูงๆค่ะ พื้นที่ไม่มาก
ที่นี่บริหารงานโดยคุณยาย คุณตา และหลานยยายตุ๊ดน้อยค่ะ น่ารักดี เราต่อรองจนได้ห้อง 2 เตียง 1 king size 1 เตียงเล็ก ตอนนั้นคือเราบอกยายว่าเราจะไปพนมเปญคืนนี้ อ้อ ที่บอกไว้ข้างต้นว่าเราไม่ได้ซื้อตั๋วกลับไทยใช่มั้ยคะ เราเลยต้องหาทางกลับที่ถูกและถึงที่สุด ลองเข้าไปอ่านที่ TripAdvisor ค่ะเค้าบอกว่า มีรถบัสมาไทยจาก พนมเปญนะ เราเลยคิดว่าจะกลับทางนี้แล้วกันค่ะ อีกอย่างยายก็มีบริการขายตั๋วรถให้เราอีก แต่การไปพนมเปญไม่ใช่เรื่องถูก เพราะมันใกล้เขาเทศกาลเค้าคิด 17$ เราก็โอ้วช็อค ไม่มีเงินแล้วจ้า เลยขอลายายขึ้นห้องไปอาบน้ำนอนกันก่อน เดี๋ยวสายๆ เราจะขอไปลุยโฮจิมินห์ให้เต็มที่ เราหลับกันไปนานเลยค่ะ ตื่นมาก็เกือบกลางวัน ทีนี้เราก็เดินไปหาของกินเป็นอันดับแรก ได้ความว่าตลาด Binh Tay มีของกินเยอะดี เราก็อะไป เดินไป ตาม Google Map ไป
การมีชีวิตที่เมืองหลวงแบบนี้มันเสี่ยงมากๆ เลยนะคะกับการข้ามถนนที่นี่ ปกติไม่ชอบข้ามถนนอยู่แล้ว สะพานลอยจึงเป็นไอเทมที่ใช้บ่อยมากๆ แต่ที่นี่คือวัดใจมากๆ เดินข้ามถนนหลายรอบมากกว่าจะถึง พอไปถึง โอ้วววโหวที่มันกาดหลวงที่เชียงใหม่ชัดๆ
พวกเราค่อนข้าง งง เลยค่ะไม่รู้จะกินอะไรดีเต็มไปหมด ตอนเดินไปคือร้อนมากเลยทีเดียวเชียว เลยลงซักร้านนี่แหละค่ะ ผลไม้ที่นี่ชวนให้คิดถึงที่บ้านเรามากๆ อยากกินให้มันฉ่ำๆ หาแบบปลอกแล้วยากเหมือนกัน แต่ก็ไปสอยมะม่วงมาได้กล่องหนึ่ง พริกเกลือเหมือนบ้านเราเลย มื้อนี้เราก็จบลงที่เฝออีกแล้ว 5555
ต่อจากของคาวก็ไปของหวานต่อค่ะ บอกเลยว่าของหวานที่นี่อรอ่ยนะ ประทับใจตั้งแต่ดาลัดแล้ว เลยสั่งอีก ปรากฏว่าดาลัดอร่อยกว่า 10 กะโหลกเลยโอ้ยยย รวมมิตรที่นี่ก็อร่อย กล้วยบวชชีก็อร่อย ปลื้มมมม
พอเราอิ่มไรกันแล้วก็อยากจะเดินเล่นค่ะ อยากหากาแฟกิน ก็เดินไปเรื่อยๆ ชมวิวทิวทัศน์ จนมาเจอร้านกาแฟร้านนึงที่ทำให้เราไม่ได้ไปไหนต่อจนเย็นเลย คือตอนนั้นอากาศร้อนมากถึงมากที่สุด ไม่เหมาะแก่การเดินเล่น 5555
ตอนนั้นเราพึ่งคิดได้ค่ะว่าเราต้องหาตั๋วไปพนมเปญ เราต้องกลับบ้านเราใช่มั้ยเพื่อน เลยต้องใช้เวลาในตอนบ่ายแก่ๆในการเดินหาค่ะ ไปมาหมดทุกร้านค่ะ เทียบราคาเอาที่ถูกสุดเลย จะไปคืนนี้ แต่พอเช็คที่ที่เราจะไป เต็มซะอย่างนั้น เลยมีคนเสนอมาว่าเอางี้มั้ย ไปพรุ่งนี้เช้ามั้ยหละ มันถูกกว่านะ เราก็เออดีเหมือนกัน เพราะถ้าไปเช้าเราจะเสียค่าโรงแรมไปอีก ไปเช้าๆก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี เลยตกลงถามราคาซึ่งจำได้ลางๆว่า ทุกที่ที่เค้าบอกมาแพงกว่าของยายหมดเลย เลยต้องกลับรังไปอ้อนยายคนเดิม
พอเราตกลงว่าเราจะไปกับยายด้วยค่าตั๋วไปพนมเปญคนละ 230,000D ก้อนที่เราใกล้จะหมดก็รู้สึกโล่งใจเพราะจะจากเวียดนามไปแล้ว เราหิวกันอีกแล้วค่ะ เราอยากกินอาหารพื้นถิ่นค่ะ อะไรก็ได้ ตอนนั้นหลานคุณยายก็ขันอาสาจะพาไปหาของกินค่ะ เดินไปได้ซักพัก สุดท้ายเดินไประแวกนั้นมันก็ไม่เจออยู่ดีเพราะเหมือนเค้าขายชาวต่างชาติอะค่ะ เลยลงที่ร้านหอยข้างทาง เพราะอยากลองกินหอยแปลกๆ และร้านอาหารเวียดนาม กึ่งๆ อินเตอร์ประมาณนี้ค่ะ ก็ไม่เป็นไรไว้คราวหน้ามาหาใหม่ก็ได้
เราเดินดูถนนระแวกนั้นที่เคยบอกว่าที่นี่เหมือนถนนข้าวสารบ้านเราที่เป็นโซนบาร์ โซนนักท้่องเที่ยว ซื้อรูป ซื้อเสื้อ เราก็เดินเล่นๆวนๆในนี้แหละค่ะ ไม่รู้ไปไหนดี
พอฟ้ามืดเราก็เริ่มออกตามหาของกินไปเรื่อยๆอีกแล้ว คราวนี้มาเจอน้ำแข็งไสผลไม้ข้างทาง คนไทยผู้หิวโหยเลยทรุดกายลงตรงร้านทันที แต่ป้าคนขายคุยกับเราไม่รู้เรื่อง จนต้องให้น้องวัยรุ่นลูกคาป้าบอกว่ากี่บาท ถ่้วยนี้แ่ค่ 15,000D ค่ะ ข้างในมีชมพู่ แตงโม มะม่วง ละมุด สาลี่ บลาๆ อยู่ในนั้นอร่อยมาก คลายร้อนได้ยอดเยี่ยมมาก อยากยกซด
เนื่องด้วยคืนสุดท้ายเนาะ ตอนแรกก็กะจะนอนเลย แต่ก็เสียดาย mood and tone ของถนนเส้นนี้ ไม่หรอกจริงๆ เจอผู้ชายหล่อมากนั่งกินเบียร์อยู่ เลยไปนั่งกินบ้างแต่ก็ไม่ได้ใกล้กันเลยนะคะ กินไปงั้นแหละ
พอมันไม่ใช่ฟิว เราก็หิวเดินเข้ามินิมาร์ทซัดของกินอีกแล้ว คราวนี้อยากลองกินมาม่าเวียดดู ปรากฏก็อร่อย ขนข้าวขนเสบียงกักตุนเพื่อวันพรุ่งนี้ก็เรียบร้อย นอนจ้า บ้ายบายเวียดนามมมมมม พรุ่งนี้เช้าต้องไปขึ้นรถตอน 6 โมงงงงง
ไม่สรุปค่าใช้จ่ายให้ได้มั้ยเราจำไม่ได้แล้วอะ...
ที่แน่ๆคือ เงินเหลืออยู่ 400,000กว่า VND พีคมั้ยหละะะ ตั๋วกลับไทยยังไม่มีเลย
นั่งไปไม่นานเราก็ต้องลงเพื่อข้ามฝั่งไปกัมพูชา
พอถึงกัมพูชาเท่านั้นแหละค่ะ ตกใจมาก เพราะตื่นมาจากการหลับไหล เป็นเมืองฝุ่น เราก็แบบเห้ยยยยย ถ้าลงตอนนี้ต้องขาวสะอาด โพลนไปด้วยฝุ่นแน่นอน แต่เดชะบุญเค้าข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไป เป็นเมืองอันปกติดีค่ะ เค้าส่งเราลงที่บริษัทรถบัสนี้ มีตุ๊กๆมาถามไถ่ว่าเราจะไปไหน เราขอแลกเงินก่อนเลยค่ะ แล้วไปส่งฉันที่บริษัทขายตั๋วรถไปกรุงเทพที เค้าก็โอเคๆ 5$ นะ ที่กัมพูชาเค้าจะใช้เป็นดอลล่าค่ะ แต่เรียลจะได้จากการที่เค้าทอนดอลมา ซึ่งแบบเราจะเอาไปทำอะไรได้หละลูก มาครั้งนี้เตรียมใจใช้ตังให้หมดเลย
ด้วยความที่เหลือกันคนละ 300,000-400,000 กว่าด่อง เลยต้องควักแบงค์ 1000 บาทไทยออกมาช่วยชีวิต ถือซะว่าเป็นค่ารถกลับเนาะ 400,000 สุดท้ายคือค่ากิน พนมเปญที่นี่มีอะไรให้เที่ยวเยอะค่ะ แต่เดี๋ยวจะเล่าความพีคค่ะ
เราแลกเงินกันไปได้ประมาณ 48$ และซื้อตั๋วรถกันไปคนละ 28$ เหลือ 20$ ใช้ชีวิต โอ้วเธอววววววว ได้ยินม้าย ทำอะไรมากไม่ได้แล้วค่ะ กินได้อย่างเดียว
ไหนจะค่ารถตุ๊กๆที่เราต้องจ่ายเค้าอีก พอได้ตั๋วอะไรเรียบร้อย เราก็จะไปหาอะไรกินกันค่ะ ตอนนั้นบอกเลยว่าอยากลองกิน Happy Pizza ค่ะ ได้ยินมาว่าดีนะคะ เราเลยให้รถตุ๊กๆพาไปต่อที่ร้านเลยค่ะ สรุปค่าตุ๊กๆทั้งหมด 8$
ด้วยความคึกคะนองอยากรู้ ค่ะเราสั่ง Super Happy ไปค่ะ ในหน้าพิซซ่าอันใหญ่ยักษ์ไป และเพิ่มในน้ำมะม่วงที่เรากินด้วย 55555 กินไปกินมาทำไมมันช้าๆนะ มันเริ่มขำค่ะ แล้วก็งงๆ แต่บอกเลยว่าพิซซ่าอร่อย น้ำมะม่วงก็อร่อย
เราคุยกันน้อยลง เพื่อนคนนึงนางง่วงไปเลย อยากไปหาที่อื่นนั่ง อีกคนก็ซึมๆ เหวี่ยงๆ เราก็ง่วงๆ งงๆ อึนๆ เลยตัดสินใจว่า เดี๋ยวพอดีขึ้นเราไปถ่ายรูปริมแม่น้ำกันนะ เพื่อนก็เออได้ เอาหมด ตอนข้ามถนนนี้พีคสุด จับมือไว้แล้วไปด้วยกันแบบจิกแขนเพราะโลกดูเหวี่ยงแปลกๆ พวกเราก็ขำบ้างซึมบ้างสลับไปมา
พวกเรารู้สึกว่าช่วงเวลานี้เป็นอะไรที่ยาวนานมากเลยทีเดียว ต้องประคับประคองกันเดินกลับบริษัทรถบัสที่เราฝากกระเป๋าไว้ให้ปลอดภัยที่สุด
ระหว่างทางก็หาของกินไปด้วย ลูกชิ้นทอดนี่แหละค่ะตัวช่วยเลย
ดีหน่อยที่จำทางได้ ตอนแรกมันก็ไม่ค่อยขำหรอกค่ะ มันดันมาขำตอนฟ้ามืดนี่แหละ ยืนขำนานมากหน้าสีแยก ไม่กล้าข้ามถนน จับมือกันแบบจะกอดกันอยู่แล้ว พอจะข้ามถนนก็ถามกันว่า เรากำลังทำอะไรกันอยู่นะ 5555 แล้วก็ขำ
จนสุดท้ายก็ถึงบริษัท ตอนนั้นเราเหนื่อยเหมือนกัน ต้องสลับกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้า แปรงฟันให้ชีวิตดีขึ้น เพราะมันก็ยังอึนกันอยู่ รถออก 2 ทุ่มค่ะ ตอนนี้ 1 ทุ่มครึ่ง ก็ยังนั่งรออยู่
ผ่านไป 2 ทุ่มแล้ว ไหนรถยังไม่มาทีหละ จนใกล้จะ 2 ทุ่มครึ่ง เราเลยเดินเอาตั๋วไปให้เค้าดูค่ะ เค้าก็ตกใจนิดๆแล้วบอกว่า อ้อๆ เดี๋ยวอีก 10 นาทีรถจะมานะ เราก็โอเคค่ะ รอค่ะ ซักพักมีคนวิ่งมาเรียกๆ
"ไปกรุงเทพเหรอ?"
"ใช่ค่ะ"
"ตามมานี่มาขึ้นตุ๊กๆนี่"
เราก็เอ๊ะเอาละได้ไปซักทีก็ตื่นเต้นดีดดิ้งกันอยู่หารู้ไม่ว่าอีกไม่นานเราจะเจออะไรบ้าง...
.
.
.
.
และหลังจากนี้ก็เป็นอะไรที่เราไม่สามารถถ่ายภาพได้อีกเลย....ขอเล่าแบบเพียวๆละกันนะคะเผื่อเป็นประสบการณ์เพื่อนๆคนอื่นจะได้ไม่เจออะไรแบบเรา ตอนแรกเราว่าเราใจกล้าหาญแล้วนะ เพราะปกติเที่ยวส่ายบู๊บ่อย นั่งพื้นรถไฟไปใต้ก็ทำมาแล้ว ไปเหนือนั่งตู้ไม่มีไฟเลยก็ทำมาแล้ว แต่นี่เราว่าพีคกว่า เพราะมันงงตรงที่มันไม่ใช่บ้านเราด้วยแหละค่ะ ความหวาดระแวงมาเพียบ เสริมกับอาการอึนจากพิซซ่านั่นแหละ
รถตุ๊กๆจอดเทียบรถบัสคันไม่ใหญ่มากคันหนึ่ง ภายนอกดูไม่น่ากลัวอะไรเลย เรามีเลขที่นั่งตามบัตรกันทุกคน คิดเหมือนกันเลยว่าต้องดีเหมือนรถจากเวียดนามไปกัมพูชาที่เรานั่งมาตอนเช้าแน่นอน พอเราขึ้นรถไป โหลดกระเป๋าอะไรเรียบร้อย เราก็ต้องตกใจกับสภาพรถที่เห็นค่ะ รถกัมพูชานั่งเบียดเสียดเต็มเกือบทุกพื้นที่ เป็นรถที่ไม่มีทีท่าว่าจะไปกรุงเทพเลยแต่อย่างใด ที่นั่งเราอยูเกือบท้ายสุดของตัวรถ คราวนี้เราก็แยกกันอีก เราคนเดิมนั่งข้างชาวกัมพูชา ชายหนุ่มวัยรุ่นร่างฉกรรจ์ ตอนนั้นสวดมนต์แล้วค่ะว่าขอให้ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพเถอะ
เพื่อนพูดมาทันทีเลยว่า ไม่มีฝรั่งเลยเนาะมึง ปกติรถไปกรุงเทพต้องมีดิวะ ทุกคนในรถออกอาการประหลาดใจในชาติพันธุ์ของเรา อ้อลืมบอกไปมีฟิลิปปินส์ 3 คน ขึ้นรถมาแบบงงๆเช่นเราเหมือนกัน เค้านั่งหลังสุด
รถเคลื่อนตัวไปไม่นานก็รับรู้ได้ถึงความแออัดในรถ กลิ่นอับเบาะและความแคบ เรานั่งของเราเฉยๆนี่แหละ แต่เบาะแคบวัยรุ่นชายผู้นั้นก็นอนหลับค่ะ แต่นางเอาหัวมาอิงที่เบาะเราทำให้ตัวเราติดกับเขา ซึ่งเราก็ขยับหนี เพราะตัวเราเหนียวไม่อยากโดนใคร เพื่อนก็ไม่อยากให้โดนเลยตอนนี้ หนุบหนับๆกันอยู่ซักพัก รถบัสก็จอดให้ลงไปซื้อของกิน ตอนนั้นยอมรับว่าหลับแบบไม่กล้าถอดคอนแทคเลย ปกติจะถอดคอนแทคแล้วใส่แว่น แต่คราวนี้คือ ไม่กล้าถอดไม่มั่นใจอะไรใดๆ
รถบัสจอดที่พื้นที่ว่างๆร้างๆแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีเพิงสังกะสีเล็กๆ โครงสร้างเป็นไม้ๆ มองไปทางขวาสุดลุกหูลูกตามีห้องน้ำแบบโบกปูนหยาบๆไว้ สีผนังทำให้รู้เลยว่ามันเก่าแล้วเพราะตามขอบมีตะไคร่จำนวนมากเกาะอยู่ ผู้คนยืนต่อแถวจะเข้าห้องน้ำ
พวกเราผู้หิวเสมอจึงพยายามหาอะไรกินค่ะ เจออาแปะคนหนึ่งขายซาลาเปาอยู่ คุยนานมากไม่เข้าใจ เค้าดูเหมือนงงมากที่มีนักท่องเที่ยว เราก็งงมากว่านี่มันคือรถอะไรกันแน่ เดือดร้อนคนแถวนั้นหมดให้มาพูดภาษาไทยหรืออังกฤษให้หน่อยจนสุดท้ายเราก็ได้กินซาลาเปา
รสชาติซาลาเปาตัวหมูอร่อยดีค่ะ แต่แป้งคือเหม็นๆหน่อย เราเดินทางกันต่อคืนนั้นก็ดึกมากแล้ว ขอเวลางีบซักหน่อยเถอะ เราตัดสินใจ ย้ายเบาะไปนั่งเบาะที่แคบที่สุด แคบแบบเดินขวางไม่ได้อะค่ะ ความกว้างเท่ากับ 1 ศอก ที่เราเปลี่ยนเพราะเราอยากนอนแบบไม่ต้องเกรง นึกว่านอนไปเรื่อยๆแล้วจะถึงไทยเอง แต่ปล่าวเลย ตอนตี 2 รถจอดอีกครั้ง คราวนี้ให้เราลงค่ะ เปลี่ยนรถไปอีกคัน
คันแรกว่าแย่แล้ว คันที่สองนี้แหละค่ะที่พีคคคคคคคคคคค คราวนี้ไม่มีเลขที่นั่งเลยค่ะ อยากนั่งไหนนั่ง เราโดนแยกกันโดยสิ้นเชิง แต่เราได้นั่งกับเพื่อน เพื่อนอีกคนคือไปนั่งเกือบๆหน้าเลยเรานั่งข้างหลัง
สภาพรถจากที่สังเกตุจะเป็นรถเก่าที่ส่งมาจากประเทศเกาหลีดูจากภาษาอะไรแล้ว ความกว้างของทางเดินก็ไม่กว้างมากค่ะ ชาวบ้านเอากระเป๋าเดินทาง วางตามทางเดิน และทางเดินนี่แหละค่ะ มีขวดน้ำพลาสติกจำนวนมหาศาลนอนอยู่บนพื้น รวมกับเก้าอี้เสริมซักผ้าเล็กๆ เราต้องเดินแบบลุยขยะกับหลีกคนไปถึงที่นั่งค่ะ
ตอนแรกที่เดินขึ้นไป ข้างหลังรถเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์กัมพูชาเต็มไปหมด เราก็กลัวสิคะ ผู้หญิงสามคน เลยเดินไปแบบหวั่นๆ เค้าก็ชี้ๆว่าตรงใกล้ๆเค้านี่ว่างสองที่
รถนี้เป็นรถแอร์ค่ะ แต่มีช่องเปิดด้านบนเหมือนรถเมล์บ้านเรา อากาศก็เย็นจากตรงนั้น รถวิ่งไปได้พักใหญ่ๆ เราก็หลับๆตื่นๆ คิดมากมากๆ เพราะเป็นบรรยากาศที่ไม่โอเคเลย ไฟรถสีส้มอ่อนสลัวๆ ภายในรถทาด้วยสีแดงมารูนเข้มตัดกับสีสนิม รถวิ่งไวมากๆ และรอบข้างคือสีดำ รถที่สวนกับเราก็ผ่านไปเร็วเพียงแค่แสงแว้บเดียว เราเลยหันไปถามเพือนว่า
"หรือว่าจริงๆแล้วเราตายไปแล้ววะ? แล้วนี่คือทางไปนรกอะไรแบบนี้" เพื่อนด่าเลยค่ะ บอกว่าเราพูดทำไมไม่ดีเลย
แต่มันไม่เหมือนโลกแห่งความจริงเลยค่ะ ทุกอย่างดำมืด กับบรรยากาศที่ไม่สบายตัว ดูผิดพลาดไปหมด 28$ ของฉันคือแบบนี้เองเหรอ
รถใกล้จะถึงที่ไหนซักแห่งเพราะคนเริ่มทยายลงจนจะหมด ครอบครัวที่เราดูไว้ใจได้ข้างหลังก็ลงแล้ว ทีนี้ก็มีคนเดินมาตรวจตราบนรถ แกกวาดขยะที่อยู่บนพื้น ใส่เก้าอี้ไปให้มันหนีบไว้ โอ้วววแม่เจ้า เราเห็นภาพนั้นเต็มสองลูกกะตา น้ำขยะเยิ้มๆ เปื้อนเต็มเบาะข้างหน้า เรากลืนน้ำลายกันเฮือกใหญ่ แสดงว่าเบาะที่ตูนั่งก็เคยถูกทำมาแล้ว
เวลาจะตี 4 รถจอดอีกครั้งคราวนี้ต้อนให้ทุกคนลง เราลงมาแบบสลึมสลือเดินไปถามว่า ไหนคือรถจะไปกรุงเทพ? ทุกคนที่นี่ดูตกใจบอกว่า ไม่มีรถไปกรุงเทพหรอก แต่ที่นีใกล้ประเทศไทยสุดแล้ว เพราะที่นี่คือ "ปอยเปต"
คุณพระ อะไรกันนี่ ฉันผ่านอะไรมานี่ เค้าบอกว่าถ้าอยากกลับไปต้องรอด่านเปิด 7 โมงนะ เราก็โอ้วนี่พึ่งจะตี 4 เองอะ เค้าก็บอกว่างั้นเอางี้ไปนั่งร้านก๋วยเตี๋ยวข้างๆก่อน เดี๋ยว 7 โมงจะมารับ เราก็งงเลยค่ะ ไหนรถบัสที่เราวาดฝันว่าเราจะได้นั่งไปกรุงเทพ T__T เรานั่งรอกินเตี๋ยวอะไรไปจนฟ้าสาง ต้องขอบคุณ พี่สิงห์ ชาวกัมพูชา ที่พูดไทยได้ช่วยเหลือพวกเราไทย 3 ฟิลิปปินส์ 3 ซึ่งเค้าดูตกใจหนักกว่าเราอีกค่ะ
7 โมงเช้าก็มีรถตุ๊กๆไปส่งเราจริงๆค่ะ เค้าเดินมาถามว่านี่คนไทยมั้ย ถ้าอยากกลับไปเร็วๆ ให้ไปจ่ายช่อง ฟาสเทค 200 บาท เรื่องอะไรจะจ่าย คนงกก็ต่อแถวสิคะ พอไปถึง ตม. ถามว่า
"มากี่คน?"
" 3 คนค่ะ"
"มีค่าเข้าไทย 100 บาท"
เราก็เอ้าาาาาาาจ่ายทำไมจ่ายด้วยเหรอ "จ่ายทำไมอะคะ?" พูดไทยแม่งเลย
เค้าก็ถอนหายใจเฮือกละบอกว่า เออๆไม่ต้องจ่ายๆ ละปล่อยให้เราผ่านไป
เอ้างงเลย คืออะไร ค่าอะไรกัน นี่ยังจะเอาจนวินาทีสุดท้ายเลยเหรอ T___T
สุดท้ายเราก็ถึงกระบวนการเข้าไทยจริงๆแล้วค่ะ ฟิลิปปินส์ 3 คนนั้นเราขอเดินไปรอข้างใน แต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทย พอเข้าไทยมันเลยเร็วมากๆ ฟิลิปปินส์ 3 คนนั้นจึงหายไป หายไปจนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ ไม่เจอเลยค่ะ
ตอนที่เดินข้ามไปแล้วเจอธงไทยตอนนั้นรู้สึกอยากร้องไห้เลย แบบฉันถึงบ้านแล้ว ดีใจมากจนบอกไม่ถูก ย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็ยังงงๆ กลัวๆ ทุกอย่างแปลกไม่เหมือนโลกแห่งความจริงเลย สุดท้ายเรายังไม่ตายหวะเพื่อน เราถึงไทยแล้ว
จริงๆก็แอบพูดกันว่า มึงลองหยิกตัวเองดิ้ ว่าเจ็บมั้ย?
ได้กลิ่นธูปรึเปล่า?
ถ้าเราตายเราตายตอนไหนวะ? ตอนข้ามถนนที่พนมเปญแน่ๆเลย
ที่คนไม่เห็นเราเพราะเป็นผีไง
555555
สุดท้าย เรายังไม่ตาย เรามานั่งพิมพ์อยู่นี่ไง
ถึงไทยแล้วจ้า หัวเราะกันร่วนเลยยยยยย ต้องขอขอบคุณทุกอย่างจริงๆที่ทำให้เราเดินทางกลับได้อย่างสำเร็จ เอานี่ สงกรานต์ทั้งทีสรงน้ำพระไปเลย
มันยังไม่จบแค่นั่นค่ะ พอเราข้ามมาก็นึกได้ว่า เราจะออกจากปอยเปตไป กรุงเทพยังไงงงงงงง แต่ตอนนั้นคือ ฉันขอกาแฟก่อนเลย จึงวิ่งเข้าไปทีอะเมซอนแผ่นดินแม่เลย นั่งคิดอยู่นาน พี่สิงห์ เค้าให้เบอร์มา เลยโทรเค้าว่าเอาไงค่ะพี หนูไม่จ่ายเพิ่มนะคะ เพราะรถมันบอกว่าถึงกรุงเทพ ตอนนี้เราก็นั่งรอดูชาวฟิลิปปิส์อยู่ แค่ก็ไม่เห็น พี่สิงห์บอกว่า เดี๋ยวโทรกลับมานะ เราก็ชิวๆไป มองหาชาวผินไป ก็ไม่เจอ คิดแล้วค่ะว่าเราคงคาดกันไปจริงๆแล้ว ซักพักพี่สิงห์โทรมาบอกให้เราไปขึ้นรถตู้บริษัท สำอางค์ กลับกรุงเทพ โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่มค่ะ
สุดท้ายรถตู้ก็มาส่งเราที่ BTS พญาไท เราโบกมือลากันอย่างใจหายจริงๆ นี่เรารอดมาได้ไง
ประเด็นตังเหลือ 7$ โอ้วคุณพระ....
ฝากถึงเพือนๆที่จะทำตามทางนี้นะคะ เราเชื่อว่าจริงๆมันอาจจะมีบริษัทที่ดีกว่านี้ค่ะ ตอนนั้นเราถามแล้วแต่ไม่ได้ย้ำว่ามีบริษัทอื่นอีกมั้ย เค้าบอกว่ามีที่เดียว ให้ดีคือศึกษาข้อมูลไปก่อนค่ะ เราก็จะเก็บไว้เป็นบทเรียนค่ะ ถามว่ามันเครียดมั้ยตอนกลับไปเครียดนะคะ สนุกดี ตลก เพราะเพื่อนร่วมทางไม่ได้ทำให้ทุกอย่างนอย เรายังใจดีสู้เสือ ยังคอยให้กำลังใจและด่ากันเสมอๆ ค่ะ ขอบคุณผู้อ่านทุกคนนะคะ รักเลยยยยย เขียนย้าวยาวก็อ่านด้วย
daisydour
วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.40 น.