สวัสดีครับ วันนี้ผมนาย “ภรรยาหา สามีใช้" จะพาทุกท่านไปพบกับอาณาจักรไดโนเสาร์ใจกลางกรุงเทพที่ชื่อว่า Dinosaur Planet กันครับ โดยเจ้า Dinosaur Planet นี่เป็น Project สั้นๆ มีระยเวลาในการเปิดแค่ 10 เดือนเท่านั้นเองครับ โดยเริ่มเปิดวันแรกคือวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา และเปิดทำการวันสุดท้ายคือ วันที่ 31 มกราคม 2560 ครับ


และด้วยความที่มันเปิดสั้นๆ แบบนี้นี่แหละครับ ทำให้ผมต้องกระกระสนอยากจะไปเที่ยวเล่นดูด้วยตาของตัวเองซักครา เพราะสื่อประชาสัมพันธ์ที่ออกมาแต่ละอันนี่มันดูน่าสนใจมากเลยครับ เดี๋ยวเราไปดูกันว่าสุดท้ายแล้วในความเห็นผมคิดว่าสวนสนุกแห่งนี้คุ้มค่าที่จะไปลัลล้าหรือเก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นดีกว่าครับ


พิกัดที่ตั้งของ Dinosaur Planet นั้น ตั้งอยู่ที่ The Em District แถวๆ BTS พร้อมพงษ์ครับ โดยหากใครที่เดินทางมาด้วยรถไฟฟ้า BTS นั้นก็ให้ลงที่สถานีพร้อมพงษ์จากนั้นก็เดินมาทางสวนเบญจสิริเรื่อยๆ ก็จะถึงครับ


หน้าตาของทางเข้าก็ประมาณนี้เลยครับ ดูเป็นอะไรที่แตกต่างและโดดเด่นจากสถาปัตยกรรมอื่นๆ ในละแวกนั้นพอควรครับ


สิ่งที่เราจะเห็นในบริเวณทางเข้า นอกจากจะมีก้อนหินใหญ่ยักษ์ลอยได้ 3 ก้อนแล้ว ก็จะมีเจ้าไดโนเสาร์คอยาว รวมทั้งรอยเท้าและกรงเล็บไดโนเสาร์ใหญ่ยักษ์แบบนี้ครับ



พวกนี้ใครที่เดินผ่านไปผ่านมาด้านหน้าก็สามารถถ่ายรูปเล่นได้เลยนะครับ เพราะอยู่ด้านนอกสวนสนุกอยู่แล้วครับ



สำหรับการเดินทางมายัง Dinosaur Planet นั้น เราสามารถเลือกมาได้ 4 วิธีหลักๆ คือ


1. ขับรถส่วนตัว สำหรับทางเลือกนี้เราต้องจอดรถที่ดิ เอ็มโพเรี่ยม หรือที่ ดิ เอ็มควอเทียร์ โดยต้องชำระค่าที่จอดรถตามเงื่อนไขของห้างครับ

2. นั่งรถเมล์ สำหรับคนที่เลือกการเดินทางแบบนี้ก็สามารถลงที่ป้ายรถเมล์หน้าสวนเบญจสิริได้เลยครับ

3. รถไฟฟ้า BTS สำหรับคนที่เลือกใช้วิธีการเดินทางแบบนี้ก็ให้ลงที่ BTS พร้อมพงษ์และออกทางออกที่ 6 ครับ

4. Taxi สำหรับคนที่เลือกการเดินทางแบบนี้ ก็สามารถลงได้ใกล้ๆ บริเวณทางเข้า Dinosaur Planet ได้เลยครับ


ซึ่ง 3 วิธีแรกนั้น เราต้องเดินเท้าต่อเพื่อไปยัง Dinosaur Planet เหมือนๆ กันนะครับ โดยมีระยะทางประมาณ 200 เมตรครับ สำหรับตัวผมเอง ผมเลือกเดินทางด้วย BTS เพราะสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า โดยเมื่อผมออกจาก BTS พร้อมพงษ์มา ก็เจอการ Intro เล็กๆ แบบนี้ครับ เป็นตู้ที่ติดป้ายว่าให้ระวัง มีไดโนเสาร์ที่มีชีวิตอยู่ และมีรั้วไฟฟ้าล้อมรอบเพื่อความปลอดภัยครับ


เจ้าตู้นี้บางทีมันก็ขยับได้ด้วยนะครับ ดังนั้นใครเดินผ่านแล้วเห็นมันขยับได้ ไม่ต้องตกใจไปนะครับ



สำหรับวันที่ผมเลือกไปนั้น ผมเลือกที่จะไปในวันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม ในช่วงเวลาประมาณ 14.00-19.00 น. เพื่อหลีกเลี่ยงปริมาณคนที่น่าจะเยอะพอควรในช่วงวันหยุดต่างๆ ครับ


ส่วนเวลาเปิด-ปิดของ Dinosaur Planet จริงๆ นั้น จะเปิดตั้งแต่เวลา 10.00 น. จนไปถึงเวลา 22.00 น. และไม่มีการหยุดซักวันจนถึงวันสุดท้ายครับ สำหรับราคาบัตรค่าเข้าก็ตามนี้เลยครับ

- ผู้ใหญ่ ราคา 600 บาท

- เด็กความสูง 90 – 120 เซนติเมตร ราคา 400 บาท

- เด็กความสูงตํ่ากว่า 90 เซนติเมตร เข้าฟรี


ราคาเครื่องเล่นอื่นๆ ที่ต้องจ่ายเพิ่ม :

- นั่งกระเช้า Dino Eye ราคาคนละ 200 บาท

- ขี่ไดโนเสาร์ Dino Farm ราคาคนละ 100 บาท


คนที่มองว่าราคาค่าเข้าเต็มๆ นั้นสูงไป ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ ผมเห็นมีการจัดโปรโมชั่นผ่านหลายช่องทางพอควรครับ ราคาก็น่าจะลดลงไปได้ราวๆ 20% ได้ครับ ส่วนผมกับภรรยานั้น ด้วยความที่ตอนแรกตั้งเป้าว่าอยากจะไปมากกกกกกก ก็เลยซื้อ Deal ผ่าน AIS Serenade ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ก่อนที่ Dinosaur Planet เปิดซะอีก โดยราคาที่ผมได้ตอนนั้นคือ 300 บาท/คน เท่านั้นครับ (ลดไป 50% จากราคาปกติ โดย 1 เบอร์สามารถซื้อได้ 2 สิทธิ์ แต่เป็นโปรโมชั่นที่ออกมาจำกัดและสั้นมาก ตอนนี้น่าจะหาซื้อราคานี้ไม่ได้แล้วครับ)


เอาล่ะครับ ทีนี้เรามาดูหน้าตาบริเวณขายตั๋วแล้วกันครับว่าหน้าตาเป็นอย่างไรกันบ้างครับ ลักษณะก็จะเป็นตู้ๆ ขายตั๋วมีช่องทั้งหมด 6 ช่องครับ



สำหรับผมที่มีคูปองราคาพิเศษอยู่ในมือถือก็เดินเข้าไปที่ช่อง 6 ซึ่งเป็นช่องพิเศษได้เลยครับ



หลังจากที่ผมโชว์คูปองในมือถือเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการเปลี่ยนเป็นตั๋วกระดาษแบบนี้ให้ครับ และทีนี้เราก็พร้อมที่จะเข้าไปตะลุยข้างในกันแล้วครับ



เมื่อเราเดินผ่านประตูทางเข้ามา สิ่งที่สายตาของเราจะมองเห็นก็ประมาณนี้ครับ คือมีไดโนเสาร์ใหญ่ยักษ์ขยับได้ และก็มีไดโนเสาร์ขนาดตัวใหญ่กว่าเราไม่มาก เดินเพ่นพ่านไปมา ก็ถือว่าเป็นภาพที่แปลกตาและสร้างความตื่นตาตื่นใจพอควรครับ



โดยปกติเวลาผมไปเที่ยวสวนสนุกที่ไหน สิ่งที่ผมมักจะต้องทำเป็นอันดับแรกคือ หยิบแผ่นพับ ใบปลิว มาศึกษาแผนที่ และก็ดูว่ามีการแสดงโชว์อะไรหรือเปล่า และเวลาไหน เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดโอกาสในการชมไป สำหรับที่ Dinosaur Planet นั้น ก็มีการแสดง The Great Volcano and the extinction show ครับ โดยมีทั้งหมด 3 รอบเวลาได้แก่ 18.45 น. , 19.30 น. และ 20.30 น. ของทุกวันครับ



หลังจากที่ผมศึกษาแผนที่เรียบร้อยแล้วก็พบว่าที่ Dinosaur Planet นี่จะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 8 โซน ดังนี้

- Betragro Dinosaur District

- Air Asia Star of Dino

- Bangkok Bank Dino Eye

- 4D-Deep World

- Coca Cola Raptor X-Theme

- AIS Dino Farm

- The Great Volcano and the extinction show

- Dino Square


ให้ตายสิ สวนสนุกบ้าอะไร มี Sponsor เยอะขนาดนี้ - -“ หลังจากนี้ผมขออนุญาตตัดชื่อ Sponsor ออกนะครับ ขี้เกียจพิมพ์ - -“


หลังจากที่ผมได้ทำการเที่ยวครบรอบในตอนเย็นแล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่า ทั้ง 8 โซนนี้ เราจะเลือกไปโซนไหนก่อนหลังก็ได้ตามใจเรา เพราะแต่ละโซนเป็นอิสระต่อกัน เพียงแต่หากอยากจะเข้าใจเรื่องราวๆ จริงๆ และรู้สึกอินไปกับมัน ผมแนะนำว่าให้ไปเริ่มที่ Dinosaur District ต่อด้วย Star of Dino แล้วหลังจากนั้นเราจะเที่ยวอะไรก็ได้ครับ ส่วนตอนจบทุกคนจะถูกบังคับให้ไปออกที่ Dino Square เหมือนๆ กันอยู่แล้วครับ


เอาล่ะครับ ถ้าพร้อมแล้ว เราไปเริ่มกันที่ Dino District กันเลยครับ ที่โซนนี้จะมีเวลาเปิดปิดเป็นรอบๆ นะครับ รอบนึงน่าจะเข้าไปได้ราวๆ 30 คนได้ครับ โดยห้องแรกที่เราเข้ามาเจอนั้นจะหน้าตาแบบนี้ครับ



ด้วยโทนสีของห้องและการจัดไฟทำให้ภาพรวมของห้องนี้ดูออกแนวอวกาศและล้ำๆ นิดนึงครับ ห้องนี้จะให้เรานั่งพื้น…….ใช่ครับนั่งพื้น เพื่อชม VTR แนะนำความเป็นมาว่า Dinosaur Planet คือออะไร แบ่งออกเป็นกี่โซน แต่ละโซนมีอะไรบ้าง สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องข้อเข่า หรือไม่สะดวกกับการนั่งพื้นก็สามารถยืนได้ครับ เพราะใช้เวลาไม่นานมาก


ปล. ในส่วนของ Dinosaur District ทั้งหมดนั้น มีการติดแอร์ทั้งหมดนะครับ ใครที่อยากหลบร้อนให้เข้ามาในนี้ได้เลยครับ ส่วนผนังห้องที่ดูล้ำๆ นั้น จริงๆ แล้วก็คือขวดน้ำธรรมดานี่แหละครับ @_@



จบจากห้องแรก ก้มาต่อกันที่ห้องนี้ครับ จะเป็นห้องที่ประหลาดเล็กน้อย คือจะมีรูปครึ่งทรงกลมใหญ่ๆ อยู่บริเวณผนังห้องด้านนึงครับ และจะมีการฉายภาพเคลื่อนไหวที่ผนังแห่งนี้ เนื้อหาจะเป็นเรื่องโลกดึกดำบรรพ์ที่ไดโนเสาร์ครองความเป็นใหญ่ จนไปถึงช่วงสูญสิ้นของไดโนเสาร์ครับ



นี่เป็นหนึ่งในห้องที่ผมค่อนข้างชอบเป็นพิเศษของที่นี่เลยครับ VTR ที่ฉายดูดี และมีการเล่นกับลูกทรงกลมที่อยู่บนผนังได้ดีมากครับ ข้อเสียเดียวของห้องนี้ก็เหมือนเดิมกับห้องเมื่อกี้ครับ นั่นคือ เราต้องนั่งพื้น - -“



เมื่อ VTR ฉายจบ ที่ด้านขวามือของเราจะมีประตูมิติที่สามารถพาเราย้อนเวลาไปสู่อดีตได้ ถ้าเราพร้อมแล้วก็ไปกันเลยยยยยยยยยยยย ระหว่างที่เราเดินเหมือนพื้นทางเดินมันจะสั่นนิดๆ ด้วยนะครับ



พ้นอุโมงค์กาลเวลาแล้ว ก็จะเจอโครงกระดูกของเจ้าไดโนเสาร์ 3 ตัว ตั้งประกอบกันอย่างสวยงามแบบนี้ครับ ซึ่งคนทั่วไปที่ไม่ได้เสียเงินเข้ามาที่ Dinosaur Planet นี่ก็สามารถดูเจ้าโครงกระดูก 3 ตัวนี้ได้เหมือนกันครับ เพราะว่าผนังด้านที่ติดกับทางเดินฟุตบาทของถนนสุขุมวิทจะเป็นผนังกระจกยาวตลอดแนวครับ



เสร็จจากห้องนี้เราก็จะเข้าสู่ห้องถัดไป ซึ่งห้องนี้จะเล่าเกี่ยวกับไข่ของไดโนเสาร์ การฟักไข่ของไดโนเสาร์ในอดีต จนไปถึงปัจจุบันที่เรามีเทคโนโลยีสมัยใหม่ จนสามารถฟักไข่ของไดโนเสาร์ได้ภายในห้อง Lab และวันนี้ก็เป็นวันที่โชคดีมาก เพราะมีไดโนเสาร์ตัวจิ๋วตัวนึงที่พึ่งจะกะเทาะเปลือกไข่ออกมาดูโลกด้วยครับ



ดูนักวิทยาศาตร์ฟักไข่ได้ไม่นาน จู่ๆ สัญญาณเตือนภัยของห้อง lab ก็ดังขึ้น และก๊มีเจ้า T-Rex จอมโหดโผล่มา…………………………….……..โอ้วววววว เราจะรอดมั้ย น่ากลัวจริงๆ



เมื่อเจ้า T-Rex จากไป เราก็สามารถโผล่ออกมาจากที่ซ่อนและก็ถือเป็นการจบการผจญภัยใน Dinosaur District ครับ โซนต่อมาที่เราจะเจอก็คือ Star of Dino โซนที่มีไดโนเสาร์ใหญ่ยักษ์ หลากสายพันธุ์ทั้งเล็กและใหญ่อยู่รวมกันกว่า 20 ตัว ที่สำคัญไดโนเสาร์เหล่านี้ขยับได้ด้วยนะครับ



ก่อนที่เราจะเข้าไปโซนนี้ได้นั้น จะมีเจ้าหน้าที่มาให้ข้อมูลเราสั้นๆ ครับ เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็เดินเข้าไปลัลล้าดับไดโนเสาร์ได้เลยครับ ส่วนผมนั้นรอให้คนอื่นเดินไปก่อน เพื่อที่จะได้ถ่ายรูปเล่นที่บริเวณต้นโซนครับ ผมว่าเค้าจัดฉากมาได้สวยดีนะครับ ถ่ายรูปเก๋ๆ ได้หลายมุมเลย โดย Prop ต่างๆ ในบริเวณนี่หากชิ้นไหนไม่ได้ติดกาวไว้ เราสามารถหยิบขึ้นมาถ่ายรูปได้นะครับ เพียงแต่เมื่อถ่ายเสร็จแล้วก็ให้นำกลับไปเก็บที่เดิมด้วยเท่านั้นเองครับ



พอถ่ายรูปเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวที่เราต้องออกไปผจญกับฝูงไดโนเสาร์ใหญ่ยักษ์ขยับได้กว่า 20 ตัวแล้วครับ โดยแต่ละตัวก็มี Action ที่แตกต่างกัน มีขนาดต่างกัน และมีทั้งชนิดกินพืชและกินสัตว์ครับ



บางตัวเราก็สามารถใส่ Action เราลงไปเล่นได้นะครับ ลองไปเล่นกันดูครับ



โซนถัดไปที่ผมจะพาทุกท่านไปชมก็คือกระเช้า Dino Eye หรือชิงช้าสวรรค์นั่นเองครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดโดยปกติโซนนี้จะมีการเก็บเงินเพิ่มท่านละ 200 บาท แต่เนื่องด้วยเหตุการอันนั้นแหละ……..เหตุการณ์ที่คุณก็รู้ว่าอะไร ทำให้วันที่ผมไปนั้น กระเช้า Dino Eye ปิดทำการและได้เปิดให้ชมโลกใต้ทะเลกับโลกน้ำแข็งฟรีๆ ครับ



ซึ่งในส่วนของโลกใต้ทะเลนั้นถือว่าดีงามอยู่ มีการจัดห้องเป็นโทนสีน้ำเงินเหมือนอยู่ในน้ำ มีไดโนเสาร์ขนาดยักษ์อยู่ในห้อง และบริเวณผนังห้องก็มีการฉายภาพ VTR ของโลกใต้น้ำที่มีไดโนเสาร์ว่ายไปมา ถือว่าน่าสนใจดีครับ และก็ที่สำคัญมีการเอาลูกบอลใสขนาดใหญ่มาวางไว้เต็มห้องเพื่อให้ดูแล้วเหมือนฟองอากาศในน้ำครับ สำหรับท่านใดที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ เดินเหินลำบากอาจจะไม่เหมาะกับการมาเดินที่ห้องนี้เท่าไหร่ครับเพราะเดินได้ค่อนข้างยากมาก และก็มักจะมีเด็กที่ชอบโยนลูกบอลไปมาด้วย……ซึ่งมันก็แอบอันตรายอยู่นะครับ T_T



ส่วนโลกน้ำแข็งนั้น ผมว่าไม่ค่อยมีอะไร จัดห้องเป็นแท่งน้ำแข็งใหญ่ๆ ที่ดูแล้วเหมือนเกลือมากกว่า แล้วก็มีแมมมอธ กับเสือเขี้ยวดาบ หลบอยู่บนเพดาน มองเห็นยากมาก ผมเดาว่ามันคงวางตำแหน่งมาไว้ให้คนที่ขึ้นนั่งกระเช้า Dino Eye เห็นชัดมากกว่าคนเดินไปดูแบบนี้มั้งครับ



ตัวกระเช้า Dino Eye เท่าที่ผมสังเกตุเห็นตอนที่เดินผ่านนั้น จะเป็นที่นั่งหุ้มหนังอยู่ฝั่งนีงขนาดสามารถนั่งได้สองคน โดยต้องนั่งฝั่งเดียวกันนะครับ



มาดูโซนถัดไปกันครับ โซนนี้ชื่อว่า 4D Deep World เป็นโซนที่พึ่งเปิดหลังสุด โดยพึ่งเปิดเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมานี่เองครับ การเข้าเล่นเครื่องนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มนะครับ สามารถเข้าได้เลย แต่อาจจะต้องต่อแถวนานนิดนึงเพราะรอบนึงเข้าได้แค่ราวๆ 20 คนเท่านั้นครับ



ลักษณะของเครื่องเล่นนี้คือจะบิ้วท์ว่าในอดีตมีนักสำรวจกลุ่มนึงได้สำรวจไปยังใต้พื้นพิภพและก็เจอโลกดึกดำบรรพ์ที่น่าอัศจรรย์ใจซ่อนอยู่ โดยเราจะได้โอกาสนั่งลิฟต์ลงไปใต้พิภพที่ลึกแสนลึกเพื่อชมโลกที่น่าอัศจรรย์นี้ ซึ่งระหว่างที่เราอยู่ในโลกใต้พิภพนั้นก็ดันมีเหตุที่ทำให้เราเกือบจะกลับขึ้นมาบนผิวโลกไม่ได้!! เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร ลองไปดูนะครับ



โดยรวมๆ เครื่องเล่นนี้ผมว่าแนวคิดดี แต่ภาพ 3 มิติที่ฉายให้ดูถือว่าคุณภาพยังด้อยไปเยอะเลยครับ ทำให้ขาดความสมจริงไปเยอะ แล้วก็บริเวณที่รอระหว่างทางค่อนข้างมืด จอ TV ที่แสดงเรื่องราวก็เหมือนจะมีปัญหาไม่แสดงภาพด้วยครับ



ปล. เครื่องเล่นนี้จะต้องมีการใส่แว่น 3 มิติในการดูด้วยนะครับ



มาต่อกันที่โซนถัดไป โซนที่ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าเป็นโซนที่ดูน่าสนุกและตื่นเต้นที่สุดใน Dinosaur Planet ครับ กับโซนที่ชื่อว่า Raptor X-Theme ครับ โซนนี้ห้ามคนอายุเกินกว่า 60 ปีเล่นนะครับ ส่วนเด็กที่ส่วนสูงไม่ถึง 90 ซม. ต้องมีผู้ปกครองคอยดูแลอย่างใกล้ชิดครับ



หลังจากผ่านการต่อแถวมาซักพัก เราก็จะถูกต้อนเข้ามาแออัดกันในตู้คอนเทนเนอร์หน้าตาแบบนี้ และเมื่อประตูตู้ปิดลง ที่หน้าจอ TV ก็ฉายภาพวีดีโอเล่าเรื่องว่า ฐานแห่งนี้เกิดความล้มเหลวในการดูแลเจ้า Raptor จอมโหด และตอนนี้เจ้า Raptor ได้หลุดออกมาจากที่คุมขัง ไล่เข่นฆ่าคนตายเกือบหมด วิธีที่เราจะรอดได้นั้น เราจะต้องไปหารหัสเพื่อไปไขกระเป๋าและทำการเปิดประตูหนีออกไป โดยมีเวลาให้ทำภารกิจนี้แค่ 4 นาที!!



หลังจากวีดีโอจบลง ประตูตู้คอนเทนเนอร์ก็เปิดออกพร้อมทั้งมีเสียงดังที่เกิดจากการกระแทกอย่างต่อเนื่อง มีกลุ่มควันลอยไปมาในบางจุด และที่สำคัญมี Raptor วิ่งไล่ล่าเราเพื่อไม่ให้เราหากุญแจสำเร็จ



โดยภาพรวมถือว่าสนุกดีครับ แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ไดโนเสาร์จริงๆ แต่เด็กๆ นี่ร้องไห้กันเยอะมากเลย ส่วนผ้ใหญ่บางคนก็มีกลัวๆ แหยงๆ ในจังหวะที่เจอเจ้า Raptor วิ่งเข้ามาขู่ใกล้ๆ ครับ เอาเป็นว่า หากใครได้ไปเที่ยวที่นี่ นี่เป็นหนึ่งในเครื่องเล่นที่ไม่ควรพลาดครับ



หลังจากที่เมื่อกี้ไล่ล่ากันเกือบตาย พอหมดเวลาเล่นก็ได้เวลาถ่ายรูปเซลฟี่กันมุ้งมิ้งล่ะครับ


……….

…..


อ้าว ยิ้มมมมม 3 2 1


โซนถัดไปที่ผมจะพาทุกท่านไปชมต่อก็คือ Dino Farm โซนนี้เป็นโซนที่เหมาะกับเด็กมากกกกกครับ โดยจะแบ่งเป็น 2 ส่วน



ส่วนที่ 1 คือการขี่ไดโนเสาร์ โดยต้องจ่ายเพิ่มคนละ 100 บาท ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าไม่แพงนะครับ หากคุณมีลูกมีหลาน ให้โอกาสเด็กได้ลองขี่ ลองเล่นซักครั้งก็ดีครับ ไดโนเสาร์มีให้เลือกหลายสายพันธ์มาก และมีหมวกกันน็อคที่น่ารักมากๆ ให้ใส่อีกด้วย โดยระหว่างที่คุณน้องๆ หนูๆ เล่นอยู่นั้น จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด หรือเราสามารถลงไปดูแลเองก็ได้ครับ



ส่วนที่ 2 ของ Dino Farm ก็คือส่วนที่สอนให้เด็กรู้จักการขูดหาหวยจากกระดูกไดโนเสาร์


.

.

.

.

ไม่ใช่สิ คือจะให้เด็กๆ ได้ลองขุดหาซากกระดูกไดโนเสาร์ในบ่อทรายที่ค่อนข้างกว้างครับ โดยส่วนนี้เด็กๆ สามารถเล่นได้ฟรีนะครับ ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติมครับ



สำหรับในโซนนี้ จะมีอยู่อีกอย่างนึงที่ผมคิดว่าคนที่พาลูกหลานไปน่าจะต้องเสียเงิน นั่นก็คือโดนัทสุดน่ารักแบบนี้ครับ มีตัวไดโนเสาร์เป็นทอปปิ้ง ใครอยากถ่ายรูปหรือลองชิมก็เดินเข้าไปดูที่โซนนี้ได้เลยครับ ส่วนราคาก็แอบโหดนิดนึงครับ



โซนถัดไปก็คือโซน The Great Volcano and the extinction show โดยเป็นโซนที่จะมีการแสดงของไดโนเสาร์และภูเขาไฟ ซึ่งจะมีการแสดงวันละ 3 รอบได้แก่เวลา 18.45 น., 19.30 น. และ 20.30 น.



สำหรับผู้ที่สนใจชมการแสดงนี้ ผมแนะนำให้ไปรอล่วงหน้าอย่างน้อย 45 นาทีนะครับ เพราะอย่างวันที่ผมไปนั้น ผมจะไปดูการแสดงรอบ 18.45 น. แต่ตอน 18.10 น. ที่ผมเดินไปถึงนั้นที่นั่งที่เป็นเก้าอี้เต็มหมดแล้วครับ ผมต้องนั่งพื้นแทนและที่นั่งที่พื้นนี่ก็มีการจำกัดจำนวนด้วยนะครับ ไม่ใช่จะนั่งเท่าไหร่ก็ได้ครับ



การแสดงรอบที่ผมดูนั้นจะเริ่มเวลา 18.45 น. แต่ทาง Dinosaur Planet ได้มีโชว์เรียกน้ำย่อยจากคุณเก่ง Thailand Got Talent #4 ก่อน ในช่วงเวลา 18.20-18.40 น. ครับ เป็นโชว์มายากลและแสดงความสามารถที่ทำเอารู้สึกทึ่ง และขำในหลายๆ ดอกเลยครับ



และเมื่อถึงเวลา 18.45 น. การแสดง The Great Volcano and the extinction show ก็เริ่มขึ้นครับ โดยจะมีการเล่าเรื่องของไดโนเสาร์ในอดีต จุดเด่น และการต่อสู้ของไดโนเสาร์ ปิดท้ายด้วยการระเบิดของภูเขาไฟครับ



โชว์นี้ใช้เวลาทั้งหมด 15 นาทีครับ เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมคิดว่าถ้ามาแล้วก็ไม่ควรจะพลาดชมครับ ดูสบายๆ ดีครับ แต่เนื่องจากเวลาที่มันแสดงค่อนข้างค่ำมาก ดังนั้นหากใครวางแผนว่าอยากจะดูโชว์นี้ผมแนะนำว่าให้เริ่มเข้าสวนสนุกช่วงเดียวกับผม คือราวๆ บ่าย 2- บ่าย 3 เพราะถ้าเรามาเช้าตั้งแต่สวนสนุกเปิดเดี๋ยวเราจะไม่มีอะไรทำและต้องนั่งรอนานครับ



เอาล่ะครับ ในที่สุดตอนนี้เราก็เดินทางมาถึงโซนสุดท้ายกันแล้วครับ กับโซนที่ชื่อว่า Dino Square ครับ โซนนี้เหมาะมากกับคนที่ต้องการหลบร้อนครับ เพราะว่ามีแอร์และที่นั่งครับ โดยจะมีการแบ่งออกเป็น 4 ส่วนย่อยๆ ได้แก่



ส่วนที่ 1 : เป็นที่กินข้าวครับ มีร้านอาหารให้บริการหลายร้านเลยครับ อาหารก็มีหลายประเภท ราคาก็แอบสูงนิดนึงตามสถานที่แบบนี้ แต่ที่น่าสนใจก็คือหลายๆ ร้านมีเมนูที่ล้อกับธีมไดโนเสาร์ให้เราลองชิมด้วยครับ


ส่วนที่ 2 : เป็นที่เพ้นท์หน้าครับ มีหลายขนาดและราคาก็แตกต่างกันตามขนาดครับ ลองแวะไปดูได้ครับ


ส่วนที่ 3 เป็นที่ระบายสีเจ้าไดโนเสาร์ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ และเมื่อเราระบายสีมันเสร็จแล้ว เราก็สามารถส่งมันขึ้นไปเดินเล่นบนจอ TV ใหญ่ยักษ์ที่อยู่ข้างๆ กันได้ครับ เป็นอะไรที่ผมว่าเจ๋งดีนะครับ เจ้าที่ระบายสีนี้มีทั้งหมด 2 เครื่อง (1 เครื่องเล่นได้ 4 คนครับ)



ส่วนที่ 4 คือส่วนขายของเล่น ของที่ระลึก เรียกได้ว่าคนวาง Layout Dinosaur Planet นี่แอบเขี้ยวเลย เพราะเจ้าส่วนนี้เป็นส่วนที่ทุกคนที่ต้องการเดินออกต้องเดินผ่านครับ ของที่ขายก็มีหลายอย่างเลยครับ คนที่ชอบไดโนเสาร์หรือพาลูกๆ หลานๆ ไปด้วยนี่น่าจะมีกระเป๋าตังค์เบากันได้เลยครับ



และในที่สุดตอนนี้ผมก็พาทุกท่านเดินครบทั้ง 8 โซนแล้วครับ เอาล่ะ……มาดูกันดีกว่าว่าในความเห็นของผมคิดว่าสวนสนุกแห่งนี้เหมาะกับใครและคุ้มหรือไม่ที่จะไปครับ



โดยส่วนตัวผมคิดว่าสวนสนุกแห่งนี้เหมาะกับคนที่รักและชื่นชอบไดโนเสาร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือครอบครัวที่มีลูกหลาน มีเด็กตัวเล็กๆ เพราะมันหาสวนสนุกที่มีธีมแบบนี้ได้ยากจริงๆ นานๆ ถึงจะมีคนลงทุนทำซักที เมื่อมีโอกาสคนเหล่านี้ไม่ควรพลาดที่จะไปครับ โดยเฉพาะเด็กๆ ถือเป็นการเรียนรู้นอกสถานที่ที่ดีพอควรรวมทั้งเป็นการใช้เวลากับครอบครัวที่ดีมากอีกด้วยครับ


สำหรับคนหนุ่มสาวทั่วไป ไม่วาจะเป็นแก๊งค์เพื่อน หรือคนที่เป็นแฟนกัน ผมว่ามันเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างเฉยๆ นะ เพราะไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นหวาดเสียว รวมทั้งค่าเข้าที่ถือว่าค่อนข้างแพง ถ้าเป็นผมผมเลือกเอาเงินก้อนนี้ไปเที่ยว Dream World หรือ สวนสยามกับเพื่อนดีกว่า สนุก ตื่นเต้นกว่า ดีไม่ดีเหลือเงินกลับบ้านด้วยครับ


ส่วนกลุ่มที่ยังลังเล หรือแบบชอบความแปลกใหม่ในชีวิต อยากลองซักครั้งเพราะมันก็เปิดไม่นาน เดี๋ยวต้นปีปีหน้าก็ปิดแล้ว ก็ลองไปดูก็ได้ครับ แต่รอจังหวะ Promotion ราคาดีๆ แบบซัก 450 บาท/คน ผมว่าโอเคนะเป็นราคาที่พอรับได้ และก็ไม่ต้องเสียเงินขึ้น Dino Eye เพราะผมว่ามันไม่คุ้มเท่าไหร่ครับ ส่วนการนั่งไดโนเสาร์ที่ Dino Farm มันน่าจะเหมาะกับเด็กมากว่า แต่หากผู้ใหญ่คนไหนอยากจะลองนั่งก็ได้นะครับ เห็นมีคนนั่งอยู่เหมือนกันครับ


เรื่องของพนักงาน เจ้าหน้าที่ของ Dinosaur Planet ผมค่อนข้างประทับใจนะครับ แต่ละคนเต็มใจบริการและมีอัธยาศรัยที่ดีเลยครับ ส่วนเรื่องของวัสดุในการสร้างหรือวัสดุต่างๆ ในหลายๆ ส่วนผมว่าเป็นวัสดุที่ดีมากเลยนะครับเมื่อเทียบกับระยะเวลาในการจัดแสดงที่สั้นๆ ไม่ถึงปีแบบนี้ เช่น พวกผิวของไดโนเสาร์ ภาพ VTR บางอัน แต่ก็มีบางส่วนที่ผมคิดว่างานยังไม่ดีพอครับ โดยเฉพาะโซน 4D Deep World ที่เปิดทีหลังสุดแต่งานดูแล้วหยาบในหลายๆ จุดเลยครับ โดยเฉพาะภาพ 3 มิติที่เป็นไฮไลท์ มันน่าจะทำได้ดีกว่านี้อีกหลายระดับเลยครับ


สำหรับเวลาในการไปเที่ยวที่นี่นั้น ผมว่าใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงสำหรับวันธรรมดากำลังดีครับ เพราะแม้สถานที่จะไม่ใหญ่มาก แต่บางอย่างก็ต้องรอคิวและบางอย่างเราก็ต้องใช้เวลาในการดู ในการถ่ายรูปพอควรครับ ส่วนวันหยุดนี่ผมคิดว่าอาจจะต้องเผื่อเวลาเพิ่มขึ้นอีก 1-2 ชั่วโมงได้ครับ เพราะคนน่าจะไปเยอะกว่า และก็น่าจะเจอปัญหาเรื่องอึดอัดพอควรเพราะสถานที่ไม่เหมาะที่จะรองรับคนปริมาณมากๆ ครับ


ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวในครั้งนี้นะครับ หากขาดตกบกพร่องประการใดผมต้องขออภัยด้วยนะครับ โดยทุกท่านสามารถทักท้วงกันมาได้เลยครับ และก็หากใครมีอะไรสงสัยก็สามารถสอบถามได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะกลับมาตอบครับ


ปล. ใครที่ชอบการรีวิวของผม สามารถแวะเวียนไปพูดคุยเพิ่มเติมกับผมได้ที่ www.facebook.com/amazingcouples นะครับ


แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ


ความคิดเห็น