Canadian Rockies

เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Rocky Mountains ในทวีปอเมริกาเหนือ ในส่วนของเทือกของเหล่านี้เป็นส่วนทางด้านตะวันออกของเทือกเขา Canadian

โดย Canadian Rockies Mountain นี้จะทอดยาวจากจังหวัด Alberta ประเทศ Canada และทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด British Columbia ไปยัง รัฐ Idaho และ รัฐ Montana ประเทศ USA

ในพื้นที่ Canadian Rockies นี้ มี national park อยู่ 5 แห่ง โดยมี national park 4 แห่งที่อยู่ติดกัน คือ Banff, Jasper, Kooternay และ Yoho โดยทั้ง 5 parks ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดย UNESCO ในปี 1984




ทริปนี้ถูกวางแผนมาหลายเดือนครับ จากกระทู้ใน pantip และเพื่อนๆชาว Bay Area ใน SF ที่เคยไปมา เป็นแรงบันดาลใจให้ภรรยาผม (ไม่ใช่ผมนะ) อยากไปมากกก ความจริงผมไม่รู้จัก Banff มาก่อนหรอกครับ จนภรรยามาบอกว่าจะไปให้ได้นี่แหละ ถึงไปหาข้อมูล ถึงได้รู้ว่า มันสวยเว้ย


หลังจากกลับมาจาก Alaska และรู้ตารางเรียนของแต่ละคนแน่นอนแล้ว จึงได้กำหนดวันที่แน่นอนกันเลย

เราเลือกช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ที่เราว่างทั้งคู่ และมีพี่หญิงใหญ่ของเราซึ่งเคยอยู่ SF บินกลับมาประชุมที่ Seattle ซึ่งจะบินไปเที่ยวกับเราด้วย คือเสร็จจาก Seattle ก็บินต่อไปที่ Calgary ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในแถบนั้นเลย เลยมีเพื่อนๆขอตามไปด้วยเป็นทั้งหมด 7 คน (ความจริงมีขอตามไปด้วยมากกว่านี้ แต่รถเต็ม เพราะทั้งรถมีผมที่มีใบขับขี่อเมริกาอยู่คนเดียว ภรรยาผมกับคุณพี่หญิงใหญ่ก็มี International License แต่ไม่กล้าให้ขับทางไกลมากๆ


ในทริปประกอบด้วยผม ผู้ชายคนเดียวของทริป (ทุกคนเรียกว่าคุณพ่อ) ทำหน้าที่ขับรถ วางแผนเที่ยว ถ่ายรูป ทำครัว (ทำเกือบทุกอย่าง)

ภรรยาผม (ทุกคนในทริปเรียกว่า mom) ทำหน้าที่นั่งข้างๆกับหลับ

คุณพี่หญิงใหญ่ ผู้เตรียมเสบียงมากมายมาจากเมืองไทย(น้องหญิงเล็กบอกเล็งไว้หลายวันละ) คนเดียวผู้ซึ่งมี International License มาจากไทย เพื่อช่วยผมขับรถ แต่ขับไปได้แค่ 20 นาทีทั้งทริป เธอมีพลังดึงดูดตำรวจ ใครอยากรู้ว่าทำไม เชิญอ่านไปเรื่อยๆ

คุณพี่หญิงกลาง ทำหน้าที่ส่องสัตว์ คนในทริปเชื่อว่าพี่หญิงกลางมีพลังพิเศษเรียกสัตว์ได้ แม้กลับไปแล้วก็ส่งพลังนั้นมาช่วย

น้องหญิงเล็ก มีจุดเด่นที่เรื่องกิน พอมีของกินจะหัวเราะตลอด แม้จะโดนพี่ๆจิกกัดตลอดทาง พอไม่กินก็หลับ

น้องหญิงจาก stanford มีจุดเด่นเรื่องการโพสต์ท่าถ่ายรูป ท่าไหนก็สวย

และคนสุดท้าย เพื่อนหญิงจาก Canada ทำหน้าที่นักบัญชี คิดเลขเก่งมาก เก่งกว่าเครื่องคิดเลข (เพราะเรากดไม่ทัน)


ได้มวลสมาชิกครบแล้วเราก็เลือกสายการบินที่จะไป เราเลือกออกจากสนามบิน San Francisco International Airport แล้วไปต่อเครื่องบินที่ Seattle แล้วจึงไปลงที่สนามบิน Calgary International Airport ด้วยสายการบิน Alaska Airline

การจะไปเที่ยว Canadian Rockies นั้น ถ้าบินไปจะไปลงที่สนามบิน Edmonton หรือสนามบิน Calgary ก็ได้ เพราะเป็น International Airport ทั้งคู่ และเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ๆกัน แต่เราเลือกที่จะไปและกลับจาก Calgary เพราะไม่ต้องคืนรถเช่าต่างสนามบิน ทำให้เสียเงินเพิ่มขึ้นอีกเยอะ แต่ที่สำคัญกว่านั้น มีสมาชิกในทริปเราต้องกลับก่อน ซึ่งจากเมือง Banff ไป Cangary แค่ 1.30 ชม.เท่านั้น


จากนั้นคือขั้นตอนการขอวีซ่า Canada เพราะหากเราเป็นคนไทยโดยไม่ใช่ US citizen เราต้องขอวีซ่าครับ ซึ่งการขอวีซ่า Canada ต้องทำ online ทั้งหมด ซึ่งเดี๋ยวว่างๆผมจะเขียนกระทู้เรื่องนี้ต่างหากนะครับ (เพราะตอนทำยุ่งยากมาก และไม่มีข้อมูลที่เป็นภาษาไทยเลย หากขอจากที่ USA)


เราเริ่มทริปกันจาก San Fran เมืองที่เราเรียนกันอยู่ (มีสมาชิก 1 คนของทริปบินมาจาก Montreal Canada) เครื่องเราออกตอน 6 โมงเช้า ทำให้เราต้องตื่นกันตี 3 เพื่อไปให้ถึงสนามบินตอนตี 4 แล้วเป็นสายการบินระหว่างประเทศด้วย ซึ่งเราไม่สามารถ check-in online แล้วถือ Boarding Pass ในโทรศัพท์เดินเข้า gate ได้เลย ต้อง check-in หน้า counter สายการบินเท่านั้น เสียเวลากันเข้าไปอีก


จาก Seattle ไป Calgary เป็นเครื่องบินลำเล็กครับ 2 ที่นั่ง บินต่ำๆไปเรื่อยๆ แต่ๆๆตอนนั่งไปเราดันได้ที่นั่งไปนั่งใกล้กับครอบครัวแขก ซึ่งกลิ่นตัวแรงมากกกก ตอนนั่งไปนี่เวียนหัวมาก ไม่ใช่จากเครื่องบินนะครับ จากกลิ่นตัวคนนั่งใกล้ๆ ลงเครื่องนี่เวียนหัวมาก


Calgary

เมือง Calgary เป็นเมืองใหญ่เมืองนึงของจังหวัด Alberta ประเทศ Canadaเป็นเมืองที่มีแม่น้ำ Bow และแม่น้ำ Elbow มาไหลบรรจบกันทางตอนใต้ โดยเมื่องนี้มีประชากรประมาณ 1 ล้านคน ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด Alberta

ในปี 1988 Calgary ได้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาว ซึ่งถือเป็นเมืองแรกของ Canada ที่ได้รับเลือก

ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง The Revenant ที่ Leonardo Di Caprio ได้รับรางวัลออสการ์จากเรื่องนี้ หลายฉากก็ถ่ายทำที่ Calgary นะครับ


เราถึง Calgary กันตอน 11.40 ครับ เวลาที่ Calgary เร็วกว่าเวลาที่ San Fran 1 ชม. ที่สนามบิน Calgary มี Wifi ให้ใช้ฟรีทั่วทั้งสนามบิน สะดวกสบายทีเดียว

ทริปนี้เป็นทริปที่เราจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ใช้ social network เหมือนทริป Alaska ที่เราเพิ่งไปมาเมื่อต้นเดือนมีนาคมนะครับ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกดีมากกับการท่องเที่ยวที่ตัดขาดจากโลก social แต่เราจะมี Internet แค่ในโรงแรมเท่านั้น แต่ผมโหลด google map offline เก็บไว้หมดแล้ว

ถึงสนามบินผ่าน ตม.(ตอนนั้นพยายามหลีกเลี่ยงไม่เดินใกล้ครอบครัวแขกเต็มที่ เพราะถ้ายังได้กลิ่นอีกขับรถไม่ไหวแน่) ก็ไปศูนย์เช่ารถของสนามบิน ซึ่งเพียงแค่ข้ามถนนหน้า terminal ไปก็ถึงเลย เราจองรถคันใหญ่นั่งได้ 7 คนของ Enterprise ไว้

รถคันนี้เลย



ออกจากสนามบินก็ตอนเที่ยงๆละ วันแรกเราต้องขับรถ 5 ชม.เพื่อไปนอนเมือง Hinton ซึ่งอยู่ทางเหนือของ Jasper National Park เราไม่ไปนอนที่ Jasper คืนแรกเพราะที่พักในเมือง Jasper นั้นแพงมากกกกกกก และ Hinton ห่างจากสถานที่แรกที่เราจะไปเที่ยวแค่ 1 ชม.เท่านั้น

เส้นทางระหว่าง Calgary ไป Hinton นั้น ช่วงแรกๆจะเป็นทาง 4 เลน freeway แต่จะตัดเข้า ทาง 2 เลนก่อนถึงเมือง Red Deer เป็นระยะทางยาวเลย จนกว่าจะถึง freeway หมายเลข 16 ซึ่งทาง 2 เลนจะขับทำความเร็วมากไม่ได้


ช่วงทาง 2 เลนนั้น ผมง่วงมาก เพราะตื่นเช้าไม่ค่อยได้นอนบนเครื่อง บวกอาการเวียนหัวจากกลิ่นตัวแขก ทำให้ไม่ไหวจริงๆ เลยต้องให้พี่หญิงใหญ่ของผมขับแทน ช่วงที่ผมขับหลับกันทั้งรถ พอเปลี่ยนขับเท่านั้นแหละ ตื่นกันหมดเลยทีเดียว ซึ่งผมกะว่าจะของีบซักชั่วโมง แต่ขับได้ประมาณ 20 นาทีเท่านั้น เหตุการณ์คล้ายๆกับที่เจอที่ Alaska ก็เกิดขึ้นคือ มีรถมากระพริบไฟสีแดงน้ำเงินอยู่ด้านหลัง มันคือรถตำรวจนั่นเอง ซวยแล้วววววว

คราวนี้เราไม่พลาดเหมือนที่ Alaska คือคราวที่ Alaska เราไม่รู้ว่ามันคือรถตำรวจ เลยไม่หยุดรถ (โดนค่าปรับข้อหาขัดขืนการปฎิบัติหน้าที่ไปด้วย) แต่คราวนี้พอเห็น พี่หญิงใหญ่คนสวยของผมก็แอบข้างทางโดยทันที ปรากฏว่าเป็นตำรวจหนุ่มรูปหล่อขับมาประกบข้างๆ พร้อมกับบอกว่าขับรถเร็วกว่ากำหนด ซึ่งคราวร้ายยังมีโชคที่เป็นพี่หญิงใหญ่ขับ เพราะหลังจากโดนตำรวจบอกว่าขับรถเร็วกว่ากำหนด พี่หญิงใหญ่ก็ถอดแว่นดำออกโดยทันที ทำสายตาอ้อนวอนยอมรับผิด บอกว่าเป็นนักท่องเที่ยว เป็นช่วงลงเขาลดความเร็วไม่ทัน คุณตำรวจเห็นดังนั้น จากเสียงดุๆก็อ่อนลงโดยทันที และแค่ว่ากล่าวตักเตือนเท่านั้น นี่สินะ....ไม่อยากพิมพ์ต่อ เดี๋ยวโดนด่า


ผมได้พักแค่ 20 นาทีเท่านั้น หลังจากเจอคุณตำรวจ ผมก็เปลี่ยนมาขับบยาวเลย ไม่ให้ใครขับละ เดี๋ยวดึงดูดคุณตำรวจมาอีก สุดท้ายเราไปถึง Hinton กันเกือบ 2 ทุ่ม (พระอาทิตย์ตก 3 ทุ่ม) เพราะแวะกินข้าว ซื้อขนม เข้าห้องน้ำกันตลอดทาง


วันที่ 2

เราออกจาก Hinton กันแต่เช้า ที่แรกที่เราจะไปคือ Maligne Canyon ครับ อยู่ห่างจาก Hinton ประมาณ 1 ชม. ระหว่างทางก็มีวิวสวยๆให้แวะถ่ายรูปตลอดทางเลย


พอเข้ามาเราจะเจอด่านเกิบเงินครับ ค่าเข้า national park เค้าจะคิดให้เราหมดตามจำนวนคืน ขอย้ำนะครับ คิดเป็นจำนวนคืนตลอดที่เราอยู่ใน Park ครับ โดยคิดเป็นราคาต่อหัว คือคนละ 9.8 CAD/วัน แต่หากเรามาไม่เกินจะ 7 คน เราจะให้เค้าคิดเป็นราคา family แบบเหมารวมก็ได้ คือ 19.6 CAD/วัน (ถ้ามา 2 คนให้คิดเป็นราคา family ไปเลย) เพราะฉะนั้นตอนที่ผมไปกัน 7 คนพอดี คิดเป็นราคา family ไปเลย เราอยู่ที่นี่ 3 คืน 4 วัน เจ้าหน้าที่คิดเงินเรา 3 คืน ที่ราคา 58.8 CAD ซึ่งเมื่อเราจ่ายแล้วเราจะได้ใบเสร็จให้มาติดหน้ารถ แล้วเราสามารถเข้า national park ได้ทั้งหมดแถบนี้ครับ คือทั้ง 5 national park ที่ผมกล่าวถึงตอนต้น

(รูปนี้เป็นด่านเก็บเงินที่ Banff national park นะครับ)


ไม่นานนักเราก็มาถึงที่เที่ยวที่แรก Marigne Canyon

Maligne Canyon

เป็นลักษณะ canyon ทางธรรมชาติอยู่ใน Jasper National Park ถูกกัดเซาะจาก The Palliser Formation โดยมีความสูงมากกว่า 50 เมตร

สำหรับการเดิน trail ที่ Maligne Canyon นี้ จะมี 3 แบบให้เราเลือกครับ คือแบบสั้น กลาง และยาว แบบสั้นนี่จะเดินชมแค่ 2 สะพาน ใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาที

แบบกลางระยะทางประมาณ 3.7 กม. ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชม. เราเลือกอันนี้

และแบบยาวระยะทาง 6.7 กม. อันนี้ใช้เวลานานครับ 2-3 ชม.เลยทีเดียว นานไปครับ เวลาเรามีไม่เยอะ ต้องไปอีกหลายทริป



ทางเดิน trail จะวนเป็น loop ครับ วิวนี้ก่อนจะถึงสะพานหมายเลข 2 ซึ่งใกล้ๆกับจุดสิ้นสุดของ trail


ออกจาก Maligne Canyon เราขับรถไปต่อกันที่ Medicine Lake อยู่ไม่ไกลจาก Maligne Canyon เท่าไหร่นัก แต่น่าเสียดายครับ เหตุการณ์จากไฟป่าทำให้พื้นที่ป่าด้านนึงของ Medicine Lake ดำเป็นตอตะโกเลยทีเดียว แวะแป๊บเดียวครับ ไม่สวย ดำๆ

จุดหมายต่อไปของเราคือ Maligne Lake ซึ่งอยู่ลึกไกลออกไปประมาณ 20 กม. แต่ๆๆๆ เลยเที่ยงมาพักใหญ่ๆแล้ว ลูกสาวในรถ(ผญ 6 คน) ร้องหิวกันมาก โดยเฉพาะน้องเล็กนี่ปล่อยให้หิวไม่ได้ เพราะถ้าหิวแล้วอารมณ์จะแปรปรวน เราเลยต้องรีบหาที่กินข้าวโดยด่วน โชคดีครับ ก่อนถึง Maligne Lake ไม่ไกลนัก มีสถานที่ปิกนิกริมแน่น้ำ Maligne River เลยขอแวะกินเสบียงหลังรถตรงนี้ละกัน


บริเวณที่ปิคนิคนี้ กระรอกเพียบเลยครับ แทบวิ่งชนขาเรา มันมาเพื่อมาขออาหาร แต่ห้ามให้มันเด็ดขาดนะครับ


ท้องอิ่มแล้วเดินทางอีกไม่ไกลก็ถึง Maligne Lake

Maligne Lake

เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของ Canadian Rockies มีความยาวถึง 22 กม. ตั้งอยู่ใน Jasper National Park ที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องของสีน้ำทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยยอดเขา Rockies ที่สวยงาม สามารถมองเห็นยอดเขา Glacier 3 แห่งจาก lake และที่ทะเลสาบนี้ เราสามารถนั่งเรือไปชม spirit island ซึ่งเป็นเกาะกลางน้ำที่มีชื่อเสียงของทะเลสาบน้ำได้ด้วย (เรือจะมีเฉพาะช่วง spring ถึง autumn เท่านั้น) ราคาค่าตั๋วอยู่ที่คนละ 65 CAD ซึ่งผมมองว่าแพงไป และเห็นรูปที่ถ่ายก็ไม่ค่อยฟินขนาดที่ต้องเสีย 65 CAD เท่าไหร่นัก เลยไม่ไป

มีหลาย trails ให้เลือกเดินรอบทะเลสาบครับ ลองหาดูนะครับ อยากเดิน trail ไหน http://www.pc.gc.ca/eng/pn-np/ab/jasper/activ/ete-summer/randon-hike/c-2013.aspx



เราเลือก Mary Schaffer Loop ระยะทางประมาณ 3.2 กม. ซึ่งจากลานจอดรถ เดินไปเจอทะเลสาบ ก็จะเดินไปทางซ้ายของทะเลสาบ ซึ่งเป็นทางที่ง่าย ไม่สูงชันมาก และมี view point หลายจุด




เราเดินได้ไม่ครบ Loop ครับ เพราะเรามีโปรแกรมไป Jasper Sky Tram ต่อ ซึ่งมันปิด 5 โมงเย็น เลยต้องรีบออกจาก Maligne Lake


ก่อนถึง Jasper Sky Tram เห็นรถคันนึงจอดอยู่ข้างถนน ก็ งง ว่าจอดทำไม พอชะโงกหน้าดู OMG!!! ฝูง Bighorn Sheep จำนวนมาก นอนอยู่ข้างทางนั่นเอง ผมนี่ร้องเสียงดังเลย จอดข้างทางทันที เพื่อถ่ายรูป

เจ้า Bighorn Sheep นี่เจอได้บ่อยมากใน National Park แถวๆนี้นะครับ ตอนผมอยู่ที่นี่ 4 วันเจอเกือบทุกวันถ่ายรูปได้มั่ง ไม่ได้มั่ง แต่เจอตลอด

Bighorn Sheep เป็นสัตว์สายพันธุ์แกะพื้นเมืองของทวีปอเมริกาเหนือ ลักษณะเด่นของมันจะอยู่ที่เขาครับ คือจะมีเขาโค้งๆเป็นวงกลม หรืออาจเข้าแหลมๆตั้งขึ้นก็มี


จากนั้น ก็ไปต่อที่ Jasper Skytram ครับ เป็นกระเช้าของเมือง Jasper ที่จะพาเราไปอยู่บนยอดเขา –ของภูเขา Whistlers ที่ความสูง 2,277 เมตรจากระดับน้ำทะเล ค่าขึ้นก็คนละ 39.95 CAD http://www.jasperskytram.com/

ขึ้นไปแล้วมีแต่ดินแดงๆ ไม่มีหิมะเลย สวยตรงที่มองเห็นเมือง Jasper และทะเลสาบรอบๆเมือง แต่บรรยากาศด้านบนเฉยๆมาก

อยู่ได้ไม่นาน ก็ลงมาดีกว่า ก่อนกระเช้ารอบสุดท้าย


จาก Skytram เราเข้าโรงแรมก่อนเพื่อไป Check-in ช่วงทางระหว่างไปโรงแรม เจอกวางเดินข้างทางกันหลายจุดเลยทีเดียว แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะผมว่ามันไม่ใช่ rare item ที่ผมอยากเจอ

เราพักกันที่ Mouth Robson Inn กลางเมืองเลย ค่าที่พักแพงมากกกในเมืองนี้ ห้องก็ธรรมดาๆ ในเมืองมีร้านอาหารหลายแห่ง แต่มี Supermarket ขนาดใหญ่แห่งเดียว (ซึ่งเล็ก) คือ Robinson ด้วยเรามีจุดหมายต่อไปที่ยังเที่ยวไม่ครบของวันนี้ เลยต้องหา fast food กิน ในเมืองมี KFC กับ Pizza Hut อยู่ในร้านเดียวกันครับ กลางเมืองเลย ร้านนี้แหละ ขอบอกว่า คนเยอะมากในร้าน


กิน dinner กันเสร็จ เรารีบออกจากเมืองเพื่อไปจุดหมายต่อไป คือ Mouth Edith Cavell ระยะทางจากเมืองไปแค่ 27 กม.เท่านั้น แต่ใน google บอกว่าใช้เวลาเกือบ 1 ชม. ทางชันแหงๆ ขับรถไปถึงปากทางเข้า ปรากฏว่า ทางปิด!!! เซ็งเลย


เลยต้องหาที่ใหม่ไป ซึ่งน้ำตก Athabasca อยู่ไม่ไกลนัก จากเมือง Jasper สามารถขับบนเส้น Icefield Parkway ถนนหมายเลข 93 ไปถึงได้นะครับ แต่จาก Mouth Edith Cavell ไป มันต้องไปอีกทาง เป็นทาง 2 เลนเล็กๆ แต่ๆๆๆ กวางเพียบ (ไม่ทันได้ถ่ายรูป)


Athabasca Fall

เป็นน้ำตกทางส่วนด้านบนของแม่น้ำ Athabasca มีความสูงประมาณ 23 เมตร โดยมีระยะทางจากตัวเมือง Jasper ประมาณ 30 กม.


โดยน้ำตกนี้จะไหลผ่านช่องแคบเล็กๆลงไปสู่แม่น้ำ Athabasca


สีน้ำของแม่น้ำ Athabasca สวยมากกก


เราออกจากน้ำตกตอนพระอาทิตย์ตกพอดี คือช่วงประมาณ 3 ทุ่ม กลับเส้น 93A ระหว่างทางกลับนั้น เห็นรถ 2 คันจอดอยู่ข้างทาง ต้องมีอะไรแน่ๆ เลยชะลอรถ ปรากฏว่า เราเจอเจ้า Black Bear หรือหมีดำ กำลังกินหญ้าอยู่ข้างทาง Oh my God!!! นี่คือ rare item ขนานแท้ ดีใจมากแต่ต้องถ่ายรูปจากบนรถเท่านั้นนะครับ ห้ามลง


American Black Bear

เจ้า Black Bear เป็นสัตว์พื้นเมืองของทวีปอเมริกาเหนือ เป็นหมีขนาดกลาง เจ้าหมีดำนี้เป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและสถานที่ โดยส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ และชอบออกมาหาอาหารกินนอกป่า

ทุกคนบอกว่า พี่หญิงกลางคงทำพิธีกรรมอะไรซักอย่าง เพราะก่อนหน้านี้ เห็นบ่นตลอดว่าอยากเจอหมี

กว่าจะมืดเกือบ 3 ทุ่มครึ่ง เป็นช่วงเวลาที่กลางวันยาวนานจริงๆ เที่ยวช่วงนี้เหนื่อยนะครับ



วันที่ 3

เมื่อคืนเรากลับมาไม่ทันซื้อของที่ Robinson ตอนเช้าเลยต้องไปซื้อ และวันนี้ออกเช้ากว่าปกติ ออกโรงแรมกันเกือบ 10 โมง

วันนี้เราจะขับกันยาวๆบนถนนหมายเลข 93A หรือ Icefield Parkway

Icefield Parkway

เป็นถนน scenic rout หรือเส้นทางชมทิวทัศน์ที่สวยที่สุดของจังหวัด Alberta เส้นทางนี้จะล้อมรอบไปด้วย Canadian Rockies เกือบตลอดทาง โดยขับผ่านไปใน Banff national park และ Jasper National Park เป็นเส้นทางที่เชื่อมเมือง Jasper – Lake Luise – Banff เข้าด้วยกัน โดยมีระยะทางกว่า 230 กม.


จุดหมายแรกของเราคือ Sunwapta Falls แวะไม่นานเพราะไม่สวยครับ และมีลูกทริปของผมอยากเข้าห้องน้ำ แต่ไม่กล้าเข้าห้องน้ำของอุทยานครับ ขอบอกห้องน้ำของอุทยานส่วนมากเป็นส้วมหลุมครับ ผมนี่เจอภาพติดตาบ่อยๆ เข้าไปนี่ต้องถอยกรูดดดดดออกมา แล้วเดินออกไปฉี่ตามต้นไม้ก็ได้(วะ) ลูกทริปของผมซึ่งเป็นผู้หญิงทั้ง 6 คน ขออดทนไปเข้าที่สำนักงาน Columbia Icefield Discovery Center อยู่ห่างจากน้ำตกนี้ประมาณ 50 กม.ครับ



สำหรับ Columbia Icefield Discovery Center เป็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับธารน้ำแข็ง Columbia Icefield

ที่นี่เป็นสำนักงานหลักที่จะซื้อตั๋วต่างๆ เช่น ตั๋วรถตีนตะขาบพาไปธารน้ำแข็ง ตั๋วไปเดินบนกระจกที่ Skywalk หรือซื้อตั๋วรวมทั้งหมด รวมทั้ง Banff Gondola ถ้าเป็นตั๋วรวมทั้งหมด 4 อย่าง คือ Columbia Icefield, Skywalk, Banff Gondola และ เรือไป Spirit Island ที่ Maligne Lake ถ้าผมจำไม่ผิดราคาจะอยู่ที่ 150 CAD นะครับ (ถ้าผิดขออภัย)


รูปนี้เป็นธารน้ำแข็ง Columbia Icefield ซึ่งผมถ่ายจากสำนักงาน Columbia Icefield Discovery Center ที่อยู่ตรงข้ามกัน

Columbia Icefield

เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดใน Rocky Mountains ของอเมริกาเหนือ ตั้งอยู่ใน Canadian Rockies คร่อมระหว่างชายแดนของจังหวัด British Columbia กับ จังหวัด Alberta ของ Canada ธารน้ำแข็งนี้ทอดยาวจากส่วนตะวันตกเฉียงเหนือของ Banff National Park กับ ส่วนของทางใต้ของ Jasper National Park โดยมีพื้นที่ถึง 325 ตร.กม.


เราเลือกไปเฉพาะเดินบนกระจกที่ Skywalk ครับ ราคา 32 CAD ครับ แต่ถ้าอยากไปเดินบน Glacier ด้วยราคา 80 CAD ครับ (ไม่มีแยกเฉพาะไป glacier อย่างเดียว ต้องซื้อรวมกับ skywalk) ซึ่งเวลาไปทั้ง 2 ที่นั้น ดูแล้วไม่พอสำหรับเรา เลยเลือกที่เดียว

จะไป skywalk เอารถส่วนตัวไปไม่ได้นะครับ ไม่มีที่จอด ต้องนั่งรถบัสของที่นี่ไป รถออกตลอดเวลาครับ นั่งรถไปไม่ถึง 15 นาที

จากที่จอดรถจะมีทางเดินเลียบหน้าผา จนกว่าจะถึง skywalk เดินไปไม่ไกลครับ


มุมขวามือของรูปคือสำนักงานของ Skywalk ครับ เป็นจุดเริ่มต้น ก่อนเดินเลียบหน้าผา


ตอนที่อยู่บน skywalk เราโชคดีอีกแล้ว ได้เห็นสัตว์หายากอีกชนิดคือ mountain goats หรือ แพะภูเขาอยู่ใต้ skywalk เลยครับ คนท้องถิ่นของที่นี่บอกว่า แถวๆนี้เป็นแหล่งที่อยู่ของมัน และมันชอบมาเลียเกลือที่อยู่ตามซอกหินของหน้าผา


ขากลับจาก Skywalk ไป Columbia Icefield Discovery Center มีรถบัสมารับนักท่องเที่ยวทุกๆ 15 นาทีครับ


กลับมาถึงประมาณบ่ายโมง ก็เลยเวลากินอาหารกลางวัน มาพักใหญ่ละ เราจะให้เลยเวลามากไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะน้องเล็กของเราจะไม่สนุกสนามเหมือนเคย เพราะหิว

ชั้น 2 ของสำนักงาน เป็นส่วนของโรงอาหารและร้านอาหาร ซึ่งเดินออกไปตรงดาดฟ้าของสำนักงาน ก็เป็นพื้นที่ปิกนิกครับ มีโต๊ะ เก้าอี้ ให้นั่งกินอาหารพร้อมกับชมวิวธารน้ำแข็งเบื้องหน้า เราเลยไปยกเสบียงหลังรถ มาม่า ไวไว อาหารกระป๋อง ขนมต่างๆ มานั่งกินอาหารกลางวันบริเวณนี้กัน


กินอาหารเสร็จ ตอนแรกว่าจะขับไปถ่ายรูปใกล้ๆ Glacier ซะหน่อย แต่พอดูนาฬิกา ไม่น่าจะทัน เลยต้องข้าม แล้วไปจุดต่อไปเลย

จุดต่อไปที่เราจะไปคือ Peyto Lake ห่างจาก Columbia Icefield Discovery Center ประมาณ 80 กม. ก็ชั่วโมงกว่าๆ ไปถึงจุดจอดรถต้องเดินฝ่าหิมะไปอีกประมาณ 400 เมตร ทางค่อนข้างลื่นครับ แต่พอไปถึงจุดชมวิวเท่านั้นแหละ มันสวยมากกกกก


Peyto Lake

เป็นทะเลสาบที่อยู่ใน Banff National Park ทะเลสาบตั้งอยู่ตรงกลางของหุบเขา Waputik Range ซึ่งอยู่ระหว่าง ยอดเขา Candron กับยอดเขา Peyto ทะเล1สาบนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1860 เมตร

โดยในช่วงหน้าฤดูใบไม้ผลิและหน้าร้อน ธารน้ำแข็งของทั้งสองยอดเขาจะไหลลงมายังทะเลสาบนี้ ทำให้น้ำในทะเลสาบนี้มีสีที่สว่างเป็นสี turquoise


จาก Peyto Lake สถานที่ถัดไปซึ่งอยู่ไม่ไกล ขับรถประมาณ 5 นาที ก็คือ Bow Lake


Bow Lake

เป็นทะเลสาบขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัด Alberta โดยทะเลสาบนี้ตั้งอยู่บนแม่น้ำ Bow ตอนไปนี่น้ำแข็งของทะเลสาบนี้เพิ่งเริ่มละลาย

เราไปจอดรถกันที่ลานจอดรถของทะเลสาบ พอลงจากรถภรรยาผมบอกว่า ข้างนอกหนาวเท่าไหร่(ซึ่งตรงลานจอดรถไม่หนาวจริงๆ) ด้วยความที่เชื่อเมีย เลยเอาชุดกันหนาวบางๆไป พอเดินไปถึงที่ทะเลสาบ มันมีลมเย็นๆพัดที่ทะเลสาบตลอดเวลาบวกกับน้ำแข็งของทะเลสาบ พระเจ้า!!! โคตรหนาววววว เอามืออกมาจากเสื้อคือ เจ็บ เสื้อก็บาง สาวๆในทริปอยากถ่ายรูป ก็ต้องควักมือออกมากดชัตเตอร์ ด้วยความสวยของบรรยากาศ สาวๆไม่ถ่ายกันรูปเดียวอยู่แล้วครับ โดยเฉพาะภรรยาผม



ในบรรดาทั้งหมดทั้งมวล ชอบรูปนี้สุดละ


ถ่ายได้ไม่กี่รูป ช่างกล้องขอลาครับ ไม่งั้นได้โดนแช่แข็งแถวทะเลสาบแน่ๆ แม้ลูกๆในทริปจะเรียกร้องให้ไปถ่ายรูปขนาดไหน ก็ต้องเดินหนีละ ลงรถคราวหน้า เลยรู้แล้วว่าขอจัดเต็มไว้ก่อน



จุดต่อไปครับ Lake Louise ตอนแรกเรามีแผนจะไป Moraine Lake ก่อน เพราะเป็นทะเลสาบที่สวยมากกก แต่ๆๆๆ ทางมันปิดครับ เปิดเดือนมิถุนายน แทบอยากจะร้องไห้ เราเลยไปแค่ Lake Louise

Lake Louise

เป็นทะเลสาบที่มีชื่อเสียงมากของ Banff National Park รวมทั้งยังเป็นชื่อของเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ในระแวกเดียวกันด้วย ส่วนชื่อของ Lake Louise นั้นมาจากเจ้าหญิง Louise Caroline Alberta ธิดาองค์ที่ 4 ของราชินี Victoria และเป็นภรรยาของ Marquess of Lorne ผู้ปกครอง Canada ในช่วงปี 1878 – 1883

ทะเลสาบนี้มีสีเขียวมรกต เนื่องจากน้ำจากทะเลสาบมาจากการละลายของธารน้ำแข็งซึ่งอยู่ทางด้านหลังทะเลสาบ ทะเลสาบมีพื้นที่ 0.8 ตร.กม.และไหลลงไปสู่ Bow river


ตรง Lake Louise มีโรงแรมชื่อดังอยู่ติดทะเลสาบเลยครับ ชื่อ Fairmont's Chateau Lake Louise เป็นโรงแรมระดับหรูหรา

ตรง Lake Louise มีทางเดิน trail ให้เดินหลาย trail นะครับ เดินไปดูมุมสูงของทะเลสาบก็สวยมาก และเดิน trail ไปทางด้านหลังเรื่อยๆ ก็จะมี tea house ซึ่งวิวสวยงามมาก แต่เราไม่ได้ขึ้นไป เพราะเราต้องไปนอนกันที่ Canmore ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 1 ชม.


จาก Lake Louise ไป Canmore หรือ ไป Banff เราสามารถเลือกขับรถไปได้ 2 ทางคือ

  • 1.ขึ้น freeway หมายเลข 93 ซึ่งสามารถขับทำความเร็วได้ ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชม. หรือ
  • 2.ไปเส้นทางหมายเลข 1A ซึ่งเป็นทางขนาดเล็กอยู่กลางป่า ทำความเร็วได้แค่ 60 กม./ชม. เพราะสัตว์ป่าเยอะ

เราเลือกขึ้น freeway ครับ เพราะจะมืดแล้ว ทุกคนในรถหิวมากกก และเหนื่อยมากกกก

ถึง Canmore ก็ Check-in เข้าที่พัก เรานอนที่ Mystic Spring Chalet & Hot Pool ซึ่งเป็นโรงแรมที่เหมือนได้บ้านทั้งหลังครับ มีห้องครัว มีห้องนอน 2 ห้อง ห้องนั่งเล่น มี 2 ชั้น เมื่อมีห้องครัว การทำอาหารกินเองคือสิ่งที่วิเศษที่สุด ในเมือง Canmore มี Safeway เป็น Supermarket ขนาดใหญ่อยู่ในเมืองครับ shop อาหารได้เต็มที่


Canmore

เป็นเมืองขนาดกลางอยู่ท่ามหลางหุบเขา Canadian Rockies โดยอยู่ห่างจากเมือง Calgary ประมาณ 80 กม. (ขับรถไปสนามบินประมาณ 1 ชม.) และอยู่ห่างจากเมือง Banff ประมาณ 30 นาที

ที่เลือกนอนเมืองนี้ เพราะที่พักราคาไม่แพงเหมือนที่ Banff และเราต้องขับรถไปส่งสมาชิกในทริป 2 คนที่สนามบิน Calgary ก่อน แล้วกลับมาเที่ยว Banff ใหม่ ซึ่ง Canmore อยู่ระหว่างกลางระหว่าง Banff และ Calgary



วันที่ 4

วันนี้ช่วงบ่ายๆ พี่หญิงใหญ่กับพี่หญิงกลางต้องบินกลับกันก่อนตอนช่วงเย็นๆ เราต้องขับรถไปส่งที่ Calgary แต่ก่อนอื่นเรายังพอมีเวลาช่วงเช้า โปรแกรมช่วงเช้าคือ Banff Gondola

ที่ Banff Gondola มีที่จอดรถขนาดกว้างขวาง และมีอาคารสำนักงาน ที่มีทั้งร้านกาแฟ gift shop สำหรับค่าขึ้น Banff Gondola นั้น คนละ 42 CAD ครับ



Banff Gondola

กระเช้าลอยฟ้า ซึ่งพาเราขึ้นไปยังยอดเขา Sulphur Mountain ทางฝั่งตะวันออก ที่ความสูง 2,256 เมตรโดยบนยอดเขาจtมีทางเดินทำด้วยไม้ยาวเหยียด




เราสามารถชมเทือกเขา Bow Valley และตัวเมือง Banff ได้ด้วย


ทริปที่แล้วที่ Alaska ไปกับ ผญ 3 คน คุณลุงเจ้าของหมาลากเลื่อนถามผมว่า what is your secret? ตอนแรก งง เลย ถามอะไรวะ ความลับอะไร คือ แกหมายถึง อะไรที่เป็นความลับของคุณ ถึงมากับ ผญ ถึง 3 คนได้ 5555

ทริปนี้ ผญ 6 คน ผมเห็น คนที่ถ่ายรูปให้ยืนยิ้มขำๆ ถ้าเจอลุงแกอีกรอบ จะไปบอกแกว่า ผู้ชายคนเดียว ทำทุกอย่างของทริป โคตรเหนื่อย อยากลองมั่งไม๊ เหอะๆๆๆๆ

รูปถ่ายรูปเดียวที่มีครบทุกคนในทริปเกิดขึ้นที่นี่


ขึ้นไปข้างบนโชคดีอีกแล้ว เจอสัตว์หายากอีกตัว Columbia Ground Squirrel ลองหาดูนะครับว่าอยู่ตรงไหนของภาพ


ใช้เวลาอยู่ด้านบนนานครับ เพราะทางเดินไม้ค่อนข้างยาว


ลงมาด้านล่างก็เกือบเที่ยง ที่ Banff Gondola ไม่มีที่ให้เราปิกนิกครับ เราเลยว่าไปหาที่กินข้าวจุดต่อไปดีกว่า จุดต่อไปคือ Surprise Corner เพื่อไปถ่ายรูปฝั่งตรงข้ามของ Fairmont Banff Spring Hotel ที่มีความสวยงามมาก ตั้งอยู่ติดกับ Bow river

เรากินอาหารกลางวันกันตรง Surprise Corner นี่แหละครับ



ถึงเวลาที่ต้องไปส่งพี่หญิงใหญ่กับพี่หญิงกลางที่สนามบิน Calgary จาก Banff ไป สนามบินใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งครับ เราเลือกที่จะผ่านถนนเส้น Tunnel Mountain Road เพื่อชมวิว ก่อนจะขึ้น Freeway ไป Calgary

เมื่อส่งเสร็จแล้ว ตอนผ่านเส้น Tunnel Mountain Road เราเห็นจุดชมวิวจุดนึง ซึ่งมีเก้าอี้สีแดงสวยมากกก เราเลย point กันว่า จะกลับมาอีกครั้งหลังจากส่งพี่หญิงทั้งสองเสร็จ

มันคือจุดนี้ ไม่รู้เรียกว่าอะไร


เสร็จจากจุดนี้ ก็ขอเดินเมือง Banff ช่วงเย็นๆ

Banff Town

เป็นเมืองขนาดกลางภายในอุทยานแห่งชาติ Banff ซึ่งล้อมรอบไปด้วยหุบเขา Canadian Rockies เมืองนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400 เมตร Banff นั้นถือเป็นเมืองพักตากอากาศของประเทศ Canada มีรีสอร์ทมากมาย และราคาค่อนข้างแพง

สะพานกลางเมือง Banff ครับ ตรงบริเวณใกล้ๆสะพานมีที่จอดรถมากมาย สามารถจอดรถใกล้ๆสะพาน แล้วเดินเล่นในเมือง หรือเดินชม Bow River ได้เลย


Bow River


เสร็จจากเมือง Banff เราก็กลับที่พักเดิมที่ Canmore


วันที่ 5

วันสุดท้ายที่เราจะเที่ยวใน Banff ละ วันนี้เราตั้งใจกันว่าจะเก็บสถานที่ท่องเที่ยวใน Banff ให้หมด ที่เที่ยวที่แรกที่เราจะไปคือ ขับรถเที่ยวถนน Bow Valley Parkway หรือถนนหมายเลข 1A


Bow Valley Parkway

เป็นถนนที่ขนาบข้างกับถนนหลัก โดยถนนเส้นนี้เริ่มต้นจากเมือง Banff ไปสิ้นสุดที่เมือง Lake Loiuse ระยะทางประมาณ 65 กม.เป็นถนนขนาดเล็กที่วิ่งสวนกัน 2 เลนบ้าง หรือเป็น 4 เลนเล็กๆบ้าง แต่ตลอดเส้นทางจะถูกจำกัดความเร็วให้วิ่งสูงสุดได้แค่ 60 กม./ชม. เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่จะมีสัตว์ป่า อยู่มากมาย

เส้นทางนี้จะเจอเจ้าหน้าที่อุทยานตรวจใบเสร็จค่าเข้า Park ที่เราต้องติดหน้ารถ ตลอดเส้นทางนะครับ เพราะงั้นเตรียมกันไว้ด้วย

จุดแรกที่เราจะไปเลยคือ Johnstone Canyon เป็น Canyon ที่อยู่ใน Bow Valley Parkway


Johnstone Canyon

เป็น Canyon ที่อยู่ใน Bow Valley Parkway โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเดิน trail ไปยังด้านล่างของ canyon ซึ่งมีทางเดินเหล็กอย่างที่ถูกทำขึ้นติดกับ Canyon โดยการเดิน trail นั้นมีทั้ง trail สั้นเพื่อไปชมน้ำตกด้านล่าง ระยะทาง 1.1 กม. หรือจะเดินต่อจากน้ำตกด้านล่างไปชมน้ำตกด้านบน ระยะทาง 2.7 กม. หรือนักท่องเที่ยวสามารถเดิน trail ยาวเพื่อไปชม Ink Pot ระยะทาง 5.8 กม.



Lower Fall, Johnstone Canyon


สำหรับเราเลือกเดินถึงแค่ Upper Fall ระยะทาง 2.7 กม. พอครับ

Upper Fall, Johnstone Canyon


เราใช้เวลากันเดินบวกกับถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เกือบ 2 ชม. ออกมาข้างนอกก็บ่ายๆละ กินข้าวแถวลานจอดรถของ Jonstone Canyon ละกันที่ปิกนิกเพียบ ห้องน้ำอย่างดี


แต่ระหว่างที่ผมกำลังไปที่รถเพื่อเอาเสบียงนั้น ไปเจอเจ้าสิ่งนี้ครับ Red Fox หรือสุนัขจิ้งจอกแดง คนท้องถิ่นที่นั่นบอกว่า สัตว์ชนิดนี้เจอโคตรยาก คนที่ผมคุยด้วยเค้าบอกว่า เค้าอยู่เมือง Banff มา 28 ปี เพิ่งเคยเห็นเจ้า Red Fox แค่ 4 ครั้ง Wowwww แต่เจ้าตัวนี้มันลงมาที่ลานจอดรถเลย คนรุมถ่ายรูปเพียบ


กินข้าวกลางวันเสร็จ จุดต่อไปคือ ทางผ่านที่เป็นจุดชมวิวของ Castle Mountain เนื่องจากเมื่อคืน ฝนเพิ่งตกดอกหญ้าจึงบานสะพรั่งเลยทีเดียว สวยมาก มี Castle Mountain เป็น background



ระหว่างทาง ก็มีจุดชมวิวเรื่อยๆ ครับ


เราขับไปเรื่อยๆครับ เพื่อหาสัตว์ป่า หายากของที่นี่ ขับไปซักพักก็เห็นรถจอดอยู่ข้างถนน 2-3 คัน เลยชะลอ เลยได้เห็นเจ้ากวาง moose ครับ แม่เจ้า ตอนไป Alaska ไม่เห็นเจ้านี่ซักตัว มาเจอที่นี่



ขับไปก็ไม่เจออะไรแล้วครับ แต่พวกกวาง หรือ Bighorn sheep นี่เจอเรื่อยๆครับ ไม่ถ่าย

ออกมาจาก Bow Valley Parkway เราก็มีจุดหมายที่จะไปชมทะเลสาบต่างๆของเมือง Banff ก่อนกลับ จุดแรกที่เราจะไปเลยคือ Vermillion Lake


รูปนี้คือข้างทาง Icefield Parkway เมื่อคืนฝนตก ดอกหญ้าเลยขึ้นตลอดทาง



ตอนแรกผมเห็นเจ้า Lake นี้จากด้านบน มันไม่เห็นสวยเลยครับ สีน้ำก็ไม่สวย มีหญ้าสีเหลืองๆยาวๆขึ้นเต็ม เหมือนไป บึงแถวบ้าน แต่ภรรยาและลูกทริปผมบอกว่ามาแล้วก็ต้องไป

ก่อนเข้าก็ งงๆ ว่าทำไมมีรถเจ้าหน้าที่อุทยานมาจอดข้างทางหลายคันเลย ผมก็เลยพูดหยอกๆไปว่า สงสัยมีหมีมาวิ่งเล่น ปรากฏว่าพอถึงทะเลสาบ จริงครับ!!! เจ้า Grizzly Bear มันวิ่งไล่นกอยู๋ที่ทะเลสาบ คนจอดดูอยู่ไกลๆกันเพียบเลย ผมนี่ดีใจมาก จอดรถวิ่งไปถ่ายรูปให้ใกล้ที่สุด คุณภรรยาเลยบอกว่า เป็นไงล่ะ หนองแถวบ้าน มี Grizzly Bear มาให้ดูมั่งป่าว 5555

Grizzly Bear เป็นหมีขนาดใหญ่ มีความดุร้ายนะครับ รวดเร็วมากเพราะฉะนั้น ห้ามอยู่ใกล้เด็ดขาด โดยเฉลี่ยน้ำหนักมันจะอยู่ที่ประมาณ 180 – 360 กก.สูงโดยเฉลี่ยเกือบ 2 เมตร พบมากในทวีปอเมริกาเหนือฝั่งตะวันตก

มีความสุขละครับ เก็บสัตว์หายากได้เกือบหมดละ


ตอนดูหมีเสร็จ ก็หามุมถ่ายรูปแถวๆทะเลสาบ ก็มีลุงคนหนึ่งมาคุยด้วย แกบอกว่าแกมาจากจังหวัดข้างๆ ชื่อ Saskatchewan (ซัซแคตเชวัน) ชื่อไม่น่าเป็นเมืองที่ Canada 555 (เหมือนแถวๆบ้านเรา) แกให้ผมส่องดูตรงข้ามทะเลสาบ แกบอกมีกวางมูซ ผมส่องแทบตายก็ไม่เห็น แกบอกงั้นมันคงไม่มี แกนึกว่าใช่ แล้วเรียกให้ผมไปตรงทะเลสาบ เพื่อถ่ายรูปเป็ดแทน.... กวนตีนกูละ คนที่นี่ nice นะครับ friendly แอบตลกนิดๆ ผมบอกขอบคุณมาก (แต่ไม่ถ่ายเป็ด) แล้วเดินขึ้นรถเลย

อันนี้ Vermillion Lake



ที่ต่อไปที่เราไปคือ Johnson Lake อยู่ห่างจาก Vermillion Lake ประมาณ 12 กม.


ที่อยู่ติดๆกับ Johnson Lake ครับคือ Two Jack Lake ที่ Lake นี้มีเกาะกลางน้ำด้วย แต่ที่สำคัญ มันมีเก้าอี้แดง 2 ตัว ที่คนทั้งรถตามหา เพราะมันเป็นภาพๆนึงในโบชัวร์ที่เจ้าหน้าที่อุทยานแจกให้เรา และทุกคนพูดถึงตลอด


ทะเลสาบสุดท้ายของทริปนี้ครับ Lake Minnewanka ทะเลสาบนี้มีเรือพาไปชมทะเลสาบ สัตว์ป่าต่างๆด้วยนะครับ คนละ 60 CAD แต่ตอนที่เราไปมันปิดแล้ว



จากทะเลสาบสุดท้าย เราก็ขับรถตรงเข้า Calgary เลยครับ เรานอนคืนสุดท้ายที่ Calgary เพราะวันรุ่งขึ้น ผมกับภรรยาต้องบินเที่ยวบิน 6.00 ไป Seattle ซึ่งมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ทำให้เราตกเครื่อง



เราถึงสนามบิน Calgary กันตอนตี 4 ซึ่งเครื่อง 6 โมงเช้านั้น ทันแน่ๆ เช็คอินเสร็จ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของอเมริกาซึ่งตั้งอยู่ที่ Canada แบบสบายๆ (ใครบินจาก Canada ไป USA มันมีด่าน ตม.ต่างห่าง แยกออกมาเลยนะครับ ที่สนามบิน ตรวจก่อนขึ้นเครื่อง) มีปัญหานิดหน่อยตอน scan กระเป๋า

ขอเตือนทุกคนนะครับ สำหรับกระเป๋า carry on ตอนเข้า USA กระเป๋าถูกตรวจเข้มมาก ของเหลวต้อง pack อยู่ในถึงซิปล๊อค และต้องยัดให้หมดในถุงเดียวเท่านั้น ถ้ายัดไม่หมด ทิ้ง!!! เราเลยต้องทิ้งของเพียบ

ทุกอย่างผ่านหมด จนกระทั่งขึ้นเครื่องแล้ว แล้วเราหลับไป ตื่นขึ้นมา 1 ชม.หลังจากนั้น ภรรยาผมนึกว่าถึง Seattle แล้ว ปรากฏว่า เครื่องยังไม่ออกไปไหนเลยครับ ก่อนกัปตันจะมาประกาศว่า เครื่องขัดข้อง ให้ทุกคนลงไปรอที่ Gate ผู้โดยสารเลยต้องลงยกลำ วุ่นวายมาก โดยเฉพาะคนที่จะไปต่อเครื่อง ส่วนเราชิวๆ เพราะจะไปเที่ยว Seattle ต่ออยู่แล้ว

นั่งรอไปเรื่อยๆ จนเรามัวแต่นั่งคุยกัน มีผู้โดยสารสายการบินอื่นปะปนมาด้วยใน gate เดียวกัน เพราะเราลงเครื่องฉุกเฉิน ผมคุยกับคุณภรรยาไปมา หันมาอีกที ผู้โดยสารเครื่องที่จะไป Seattle กับเรา หายไปไหนหมดวะ มีแต่คนหน้าไม่คุ้นเต็มไปหมด

เลยวิ่งไปถามหน้า counter ซึ่งเปลี่ยนเป็นสายการบิน westjet แล้ว (เราบิน Alaska Airline) ว่า สายการบิน Alaska ที่ไป Seattle หายไปไหน เค้าตอบว่า ไปแล้ว และเค้าเป็นสายการบินอื่น ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

เราก็ขอความช่วยเหลือไป ว่าเราควรทำยังไง บอกเราที เจ้าหน้าที่สายการบินนี้ ก็ไม่ช่วยอะไรเลย บอกให้ไปดูที่ Board แล้วให้ไปหาเจ้าหน้าที่สายการบิน Alaska เอาเอง ส่วนตรงนั้น เจ้าหน้าที่สายการบิน Alaska ก็หายไปหมด

เราวิ่งกันไปดูที่ Board ก็ไม่ขึ้นอะไรเลย วิ่งไปดูที gate ที่มีสายการบิน Alaska ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ กลับไปดูที่ Board อีกครั้ง มันขึ้นว่า flight เราขึ้นไปแล้ว Oh my god

เราเลยกลับไปที่ gate เดิมอีกครั้ง เพื่อถามเจ้าหน้า westjet ต้องไปขอร้อง ซึ่งก็ไม่ช่วยอะไร จนเจ้าหน้าที่ของสายการบิน Alaska มาแถวนั้น เจ้าหน้า westjet จึงเรียกให้ (คือเจ้าหน้าที่ Alaska อยู่ในช่องทางเดินงวงช้าง)

เจ้าหน้าที่ Alaska จึงแก้ปัญหาให้ โดยการออกตั๋วเครื่องบินให้ใหม่ แต่เป็นรอบเวลาเที่ยงครึ่ง และต้องออกไปข้างนอก gate เพื่ออกตั๋วใหม่ ผ่าน ตม.ใหม่ทั้งหมด สรุปเสียเวลาไปทั้งสิ้น 6 ชม. T_T ต่อไปจะไม่มัวคุยกันจนไม่ฟังอีกแล้วววว



Bye Bye Canadian Rockies จนกว่าจะพบกันใหม่








ความคิดเห็น