"ถ้าปลายฝนแล้วมึงยังไม่รู้ว่าต้องออกไปไหน ปีนั้นโคตรไร้ค่าเลย...รู้ตัวมั้ย"
ประโยคสั้นๆ แต่มันช่างเสียดแทงใจเสียเหลือเกิน และนี่่จึงเป็นบ่อเกิดของทริป "ตามล่าหาหัวใจแห่งขุนเขา"
"เอ้ย!!!! ไปตามหาหัวใจกัน" จากคำชักชวนง่ายๆ เราก็เผลอปล่อยตัว ปล่อยใจไปกับเค้าซะแล้ว เพียงแค่ 2 สัปดาห์ก่อนแผนการเดินทาง เราจึงต้องรีบเตรียมตัวกันใหม่หมดทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่การหาข้อมูลการเดินทาง โปรแกรมทัวร์ที่มีอยู่ดาดดื่นทั่วโซเซียล อุปกรณ์การเดินป่า ซึ่งงานนี้ ได้โอกาสซื้ออุปกรณ์ใหม่ทดแทนอุปกรณ์เดิมที่เราใช้มานานด้วย รวมถึงข้อมูลจากบุคคลใกล้ชิดที่เราพอจะถามข้อมูลได้ รวมถึงสภาพอากาศเพราะช่วงที่เราไปมีพายุเข้าพอดี และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือลากเพื่อนมาให้ครบ....และเราก็พร้อมออกเดินทาง
การเดินทางและที่พัก ค่อยๆอ่านตามกันไปนะ ไม่ต้องรีบร้อน
วันแรกของการเดินทาง
เราออกเดินทางในช่วงค่ำของวันที่ 17 กันยายน 2563 โดยรถตู้แบบเหมารวมค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เริ่มรับสมาชิกกลุ่มแรกที่บางแสน ,ชลบุรี และสุดท้ายที่บางนา เมื่อทุกคนพร้อมเราก็มุ่งตรงสู่จุดหมายปลายทางกันเลย เราตั้งใจจะไปถึงตอนเช้าที่อุ้มผาง แต่การเดินทางในช่วงค่ำก็ต้องมีมื้อเย็นเป็นธรรมดา เราจึงบ่ายหน้าเข้าสู่ตัวเมืองนครสวรรค์ เพื่อเติมพลัง
เมื่อเราอิ่มท้องกันแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ...เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตัดภาพมาอีกที เราก็เข้าสู่เขตอุ้มผางกันแล้ว ลืมตามาก็เจอหมอกหนาท่ามกลางไร่ข้าวโพดของชาวบ้าน เห็นแล้วสดชื่น
"แม้ภาพจะเบลอ แต่หน้าเธอยังคงชัดเจน" แคปชั่นเสี่ยวๆก็ต้องมา
กว่า 1,219 โค้ง เราก็มาถึงที่หมายกันสักที อุ้มผางต้อนรับพวกเราด้วยอากาศชุ่มชื้นกำลังเย็นสบาย โดยทริปนี้เราเลือกใช้บริการจากพี่ยุ้ย และพี่อู๊ดดี้ เจ้าของอาณาจักร "ตูกะสู คอทเทจ รีสอร์ท" โดยคำแนะนำจากพี่ชายรูปหล่อที่เคารพ ผอ.หนึ่ง เจ้าถิ่นเมืองอุ้มผาง และตอนนี้พี่ยุ้ย และพี่อู๊ดดี้ได้กลายเป็นพี่ที่เคารพของผมไปเป็นที่เรียบร้อย
ตูกะสู คอทเทจ รีสอร์ท
เมื่อมาถึง พี่ยุ้ยก็ให้เราเอาสิ่งของไปเก็บที่ห้องพัก จัดการภารกิจส่วนตัวให้เรียบร้อย แล้วค่อยออกมาทานอาหารเช้าก่อนเดินทาง ตอนนี้แม่ครัวกำลังสาละวนกับการเตรียมมื้อเช้าและมื้อกลางวันที่พวกเราจะต้องกินกันกลางป่าด้วย
โปรแกรมที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้นะครับ แต่ต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่าทางทีมผมสลับสับเปลี่ยนตารางพอสมควร เพื่อให้เหมาะสมกับตัวตนของพวกเรามากที่สุด ซึ่งทางพี่อู๊ดดี้และพี่ยุ้ยก็ให้การดูแลพวกเราอย่างดีเช่นกัน
มื้อเช้า - เสริ์ฟด้วยข้าวต้มร้อนๆ ในขณะที่เรากำลังกินอาหารเช้า พี่ยุ้ยก็กระซิบบอกว่ารอบนี้พี่อู๊ดดี้จะขึ้นไปกับพวกเราด้วย เพราะมีภารกิจสำรวจพันธุ์ไม้ในเส้นทางที่เราจะไปด้วย
อีกด้านนึง พี่อู๊ดดี้และน้องๆทีมงานลูกหาบ ก็กำลังเตรียมรถ เตรียมอุปกรณ์ อย่างขมักเขม้น พี่อู๊ดดี้เตรียมรถ 2 คัน สำหรับการเดินทาง เรามานั่งนับจำนวนสมาชิกกันเล่นๆ ว่ากี่คนกันนะ??? สมาชิกกลุ่มเรา 7 คน พี่อู๊ดดี้ 1 และน้องๆลูกหาบ อีก 5 คน คนขับรถอีก 1 เอ้ย!!! 14 คน แทบจะมีน้องๆประกบ 1 ต่อ 1 เลยนะเนี่ย
เมื่อเราพร้อมออกเดินทาง ก็แวะซื้อเสบียงเพิ่มอีกสักนิดหน่อย
หลังจากนั้นใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงหมู่บ้านกุยเลอตอ ตรงนี้นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะมาจากทัวร์ไหนๆ ก็ต้องมาเริ่มเดินจากตรงนี้ เสียค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเดินทางด้วยนะ ตามมาตรการรัฐ
แค่มองจากจุดเริ่มเดิน ต่อม Adrenaline ก็เริ่มทำงานแล้วหล่ะ
เมื่อทุกคนพร้อมเราก็เริ่มเดินกันเลย จากจุดนี้เราจะใช้เวลากันประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความเร็วในการเดินของแต่ละคน
เริ่มต้นก็จะพบกับสายน้ำเบาๆ และดินลื่นๆอีกสักหน่อย แต่แค่นี้เองสบายมาก
ระหว่างทางก็จะพบป้ายนี้ ซึ่งแปลไม่ออกว่าอะไร รู้อย่างเดียวยังเดินไม่ถึงไหนเลย หนทางข้างหน้าอีกยาวไกล
หลังจากที่เราเดินมาได้สักชั่วโมงก็ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว นั่งกินริมลำธาร หาที่นั่งตามอัธยาศัย
มื้อกลางวันวันนี้ที่พี่ยุ้ยเตรียมไว้ให้เป็นหมูทอดกระเทียม ไข่เจียว และแตงโมหวานฉ่ำ
และแล้วเราก็มาถึงแคมป์ค้างแรมของทริปนี้ เบื้องหน้าของเรา ถ้าในสภาพอากาศเปิด เราจะเห็นน้ำตกได้จากจุดนี้ แต่...ช่วงที่เรามามีฝนตกอยู่หลายวัน ผลพวงมาจากพายุโนอึล ทำให้สภาพอากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และจากการพยากรณ์อากาศบอกว่าคืนนี้ พายุเคลื่นตัวมาทางที่อยู่พอดี คืนนี้รู้กัน,,,โนอึล ที่รัก
ในเมื่อมองจากตรงนี้แล้วไม่เห็น ก็เดินไปดูให้เห็นกับตาซะสิ เอ้า วางของที่เต๊นท์แล้วหยิบเฉพาะน้ำดื่ม กล้องถ่ายรูป ติดตัวไป ช่วงนี้ทีมงานพี่อู๊ดดี้แบ่งงอกเป็น 2 ทีม ทีมแรก อยู่ที่แค้มป์เพื่อหุงหาอาหารสำหรับมื้อเย็น และทีมที่2 นำทีมโดยน้องวันดี เด็กหนุ่มวัย 20ปีเศษ พร้อมด้วยเพื่อนๆอีก 2คน พาพวกเราเดินสู่น้ำตกปิตุ๊โกร จากจุดนี้ เราจะใช้เวลาเดินอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นเอง
เราก็เดินขึ้นๆลง มากันเรื่อยๆ ลุยลำธารบ้าง ข้ามสะพานบ้าง ใครเมื่อยก็หยุดพัก ไม่ต้องกลัวหลงเพราะเรามีน้องๆคอยดูแล ก็บอกแล้ว ทีมงานกับคนเที่ยวอัตราส่วนพอๆกัน
เห็นป้ายแล้ว ดีใจใช่มั้ย ดีใจเก้อนะสิ ต้องเดินไปอีกพักนึง แต่ในระยะนี้เราเริ่มที่จะได้ยินเสียงน้ำตกลอยมาๆ ยิ่งเดินก็ยิ่งได้ยินชัดเจน
เห็นลางๆแล้ว นั่นไง น้ำตก และเมื่อถึงจุดนี้ เราก็ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินของเราเอง ซ้ายเดินขึ้นไป อ้อมนิสสสสเดียว แต่เดินง่าย ส่วนทางขวาปีนขึ้นไป แล้วถึงเลย มีเหรอเราจะพลาด ขวาจ้า ปีนไปๆๆๆๆ
นี่ไง โอ้วโหว...สวยจังง "หัวใจแห่งขุนเขา" ในที่สุดเราก็ค้บหาหัวใจ (ตัวเอง) เจอแล้ว เเต่น้ำน้อยไปหน่อย หัวใจเลยไม่เต็มเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไร แค่นี้เราก็ดีใจแล้ว
และก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปเซเลปแห่งขุนเขา น้องหมา...
เราใช้เวลาถ่ายรูปกันอีกสักพักก็เดินกลับไปที่แคมป์ เพราะว่าตอนนี้ท้องเริ่มร้องแล้ว กลับไปกินข้าวเย็นกันเถอะ ขากลับเราก็ต้องกลับเส้นทางเดิมนะ
ตัดภาพมาที่แคมป์ ระหว่างที่พี่อู๊ดดี้และน้องๆกำลังเตรียมอาหารเย็น เราก็มาอาบน้ำที่ลำธาร ซึ่งก็ไหลมาจากน้ำตกนั่นแหละ บอกเลยน้ำเย็นมากกก ทำใจอยู่สักพัก กัดฟันโดดตู้ม!!!! หายหนาวเลย ปล.เนื่องจากภาพอาจไม่เหมาะสม ดูแค่วิวก็พอ
อาบน้ำเสร็จแล้วก็ตรงดิ่งมาที่บริเวณเรากางเต๊นท์กันเลย มื้อนี้มีต้มยำไก่ กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา ไข่เจียว และน้ำพริก มีของหวานด้วยนะ เป็นมันม่วงต้มน้ำขิง อร่อยม๊วกกกก ไม่อิ่มก็เติมได้ตลอด ส่วนไส้กรอก เราซื้อเองแหละ ที่แค้มป์มีอาหาร ขนมและเครื่องดื่มขายด้วยนะ ไม่ต้องกลัวอด
เป็นมันม่วงที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมาเลย
ทั้งหมดนี้ พี่อู๊ดดี้เป็นคนทำเองทั้งหมด อ้อ ลืมบอก พี่อู๊ดดี้เคยเป็นเชฟมาก่อน ตอนนี้เป็นช่างภาพด้วย
หลังจากกินข้าวกันเสร็จก็มานั่งคุยกันตามประสาผองเพื่อน พร้อมด้วยเครื่องดื่มที่โฆษณาไม่ได้ เราแบกกันมาส่วนนึง แต่ไม่พอ ก็หันไปซื้อที่ข้างๆเต๊นท์นั่นแหละ ป๋องละ 50 บาท เพลินๆบอกเลย ส่วนใครอยากเข้าเต๊นท์ก็ตามสบาย เราเพลิดเพลินกับเสียงหรีดเรไรกันอยู่พักใหญ่ ก็เเยกย้ายกันพักผ่อน เก็บแรงไว้สำหรับวันรุ่ง พรุ่งนี้
และคืนนี้เราต้องลุ้นกันว่าโนอึลจะเล่นเราแรงขนาดไหน
โนอึล เมื่อคืนเล่นเราหนักมาก ถึงขนาดต้องขยับเต๊นท์หนีน้ำ น้องๆที่นอนแปลยังต้องย้ายที่ผูกเปล แต่นั่นก็ทำให้เช้านี้ เราได้เห็นน้ำตกจากจุดที่ตั้งแคมป์
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ ด้วยข้าวต้มหมูหอมกรุ่นไปทั่วทั้งเขา กับกาแฟจากแก้วไม้ไผ่ ที่น้องๆบรรจงสรรสร้างสำหรับพวกเราทุกคน ลองหลับตาเบาๆ แล้วนึกถึงกาแฟร้อนๆ มีกลิ่นหอมละมุนที่มันมีกลิ่นหอมของเยื่อไผ่ blend เข้ากัน ผสานกับอากาศเย็นๆยามเช้า ทั้งยังมีกลิ่นหอมๆของควันไม้ที่แต่ละกลุ่มได้ออกมาหุงหาอาหารกันยามเช้า มันคือกาแฟที่คุณจะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
วันที่ 2
สำหรับโปรแกรมวันนี้จะเป็นการเดินสู่ยอดดอยมะม่วงสามหมื่น ใครใคร่ไปก็ไป ใครไม่พร้อมก็นอนเล่นที่แคมป์หรือจะออกเดินไปที่น้ำตกอีกรอบ เช้านี้พี่อู๊ดดี้ บอกกับพวกเราว่าวันนี้น้ำตกจะสวยกว่าเมื่อวาน เพราะฝนเมื่อคืนมาเติมเต็ม และสำหรับคนที่เดินขึ้นดอยมะม่วงสามหมื่น ขากลับต้องเดินเลี้ยวเข้าไปที่น้ำตก และต้องไปให้ได้นะ
นี่คือผู้กล้าที่จะพิชิตยอดดอยวันนี้ เพื่อนคนซ้ายแค่มาให้กำลังใจ ส่วนน้องผู้หญิงออกเดินไปกับเราได้แค่ 2-300 เมตร ร่างกายก็ฟ้องว่าไม่ไหว เลยต้องขอตัวเดินกลับไปที่แคมป์ก่อน ปล่อยให้พวกเราเหลือผู้กล้าแค่ 3 คน พร้อมน้องๆ อีก 3 คน ประกบ 1 ต่อ 1 เลยทีนี้ VVIP มาก
คำเตือน จากใจนะ ไม่ไหว อย่าฝืน ถ้าหากเจ็บขึ้นมาแล้วมันไม่สนุก
เริ่มเดินก็ขึ้นทางชันกันเลย เดินไป พักไป
ระยะการมองเห็นได้เท่านี้จริงๆ จุดฟ้าๆตรงกลางภาพเป็นกรุ๊ปที่เดินไปที่ยอดมะม่วงเหมือนกัน
วิวตลอดทางมันทำให้เราร้องว้าวๆๆ ไปตลอดทาง เหนื่อยก็เหนื่อย สวยก็สวย โอ้ย...อะไรจะขนาดนี้เนี่ย
เดินกันมาได้พักใหญ่ น้องก็ชวนหาที่กินข้าว ข้าวหลักสิบ วิวหลักพันล้าน ตรงที่เราพักกินข้าวมีดอกไม้สวยๆด้วยนะ
มื้อนี้ อร่อยทุกอย่างอีกแล้ว เมื่อกินเสร็จพวกเราเก็บกลับไปทิ้งข้างนอกนะครับ ไม่ปล่อยให้เป็นขยะอยู่ด้านบน หวังว่าทุกคนจะช่วยกันรักษาธรรมชาตินะจ๊ะ
ดอกไม้สวยๆพวกนี้ กำลังจะประกาศชื่ออย่างเป็นทางการนะครับ เพิ่งค้นพบได้ไม่นาน รอการตรวจสอบเพื่อยืนยันอีกครั้งจากนักวิชาการ ห้ามมือบอน ไปเด็ด ไปดึง ไปถอนหรือทำอะไรทั้งนั้นนะครับ ปล่อยให้น้องสวยอยู่ที่น้องควรอยู่นะครับ
และนี่คือดอยหมื่นห้าที่เค้าเรียกกันครับ เป็นจุดที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ใครจะติดต่อโลกภายนอกก็ทำได้เลยนะครับ มีทุกเครือข่าย และไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน ทัศนียภาพก็ขาวโพลนไปหมด
เราคงยังต้องไต่ระดับความสูงต่อไปเรื่อยๆ ข้ามเขาลูกแล้ว ลูกเล่า จากที่เราหยอกกันเล่นๆว่า ข้ามเขาไปอีก 2 ลูก ซึ่งมันก็จริง ถามกี่ครั้งก็อีก 2 ลูก เราก็เริ่มไม่แน่ใจว่าเริ่มนับจากเขาลูกไหน เอ้า.... เดินต่อ ฮึ๊บๆๆ
กลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ต้องไปให้ถึง
ถึงช่วงนี้ก็ต้องใช้เชือกดึงตัวขึ้นไปนะครับ ตอนขึ้นไม่เท่าไหร่ ตอนลงเนี่ยสนุกกว่าเยอะ
ยัง ยัง ยังไม่ถึงอี๊กกกกก
อ่ะ ถึงเลยดีกว่า ดอยมะม่วงสามหมื่น เราใช้เวลาเบ็ดเสร็จไปทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง ซึ่งตลอดระยะทางที่เราเดินเราเจอฝนตลอดทางเลยครับ ทั้งหนัก ทั้งเบาสลับๆกันไป ซึ่งบางทีก็ไม่รู้ว่าฝนหรือละออง
เรามาถึง จริงๆนะ ไม่ได้เอารูปใครมาอวด
และเราต้องไม่พลาดที่จะต้องถ่ายรูปเป็นที่ระทึกสักหน่อย
หลังจากที่เรามาถึงได้เพียง 4 นาที เพื่อนก็บอกว่า "เรากลับกันเถอะ" เอ้ย มรึงงงง ใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการเดินขึ้นมา แต่มึงใช้เวลาเพียง 4 นาที ในการชื่นชมธรรมชาติ เพื่อ!!!
เราใช้เวลาครู่นึงเราก็ต้องกลับแล้วครับ เพราะเรามีภารกิจกลับเข้าไปที่น้ำตกอีกรอบ เพื่อพิสูจนืความงามของหัวใจอีกครั้ง
ขากลับเราต้องใช้ความระวังมากกว่าเดิม เนื่องจากฝนที่ตกตลอดวัน และความชื้นของต้นหญ้า ทำให้ดินมีความลื่นมาก หลายคนลื่นล้ม รวมทั้งตัวผมเองก็ด้วย เหยียบไม่มั่นคงนิดเดียว ไถลเลย
ขาไปเราไม่เห็นวิวจากจุดชมวิวนี้นะครับ เพิ่งจะได้เห็นตอนกลับ และที่สำคัญมาให้เห็นไม่ถึง 2 นาที อากาศก็ปิด
เมื่อเราซูมเข้าไปให้ใกล้ขึ้นอีกนิด เราก็จะเห็นใจกันมากกขึ้น เราเร่งฝีเท้ากันมากขึ้น เพราะเวลาเราค่อนข้างกระชันมากแล้ว เราต้องกลับไปพักที่รีสอร์ทกันคืนนี้
เราก็กลับมาถึงน้ำตกกันอีกครั้ง คราวนี้หัวใจเต็มดวงแล้ว ภารกิจตามหัวใจสำเร็จแล้ว เย้!!!!
หลังจากนี้ ต้องรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเหลืออยู่อันน้อยนิด พร้อมกับขาที่อ่อนล้า เดินกลับที่แคมป์ แล้วจากที่แคมป์ออกไปสู่หมู่บ้านกุยเลอตอ เราถามน้องๆว่าเราจะใช้เวลาเร็วสุดที่เท่าไหร่ คำตอบที่ได้จากน้ำตกลงไปแคมป์ก็ชั่วโมงนิดๆ แล้วจากแคมป์ออกไปเร็วสุดที่น่าจะอยู่ที่ชั่วโมงครึ่ง แต่อย่าลืมว่าตอนที่เราเดินมาใช้เวลาอยู่ที่ 2-3 ชั่วโมง
ในระหว่างที่เราเร่งเดินกลับมาที่แคมป์ สามชิกชุดที่รออยู่ก็ออกเดินกลับออกไปก่อน เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลารอกันในขากลับ
เมื่อเราทั้ง 6 คน มาถึงที่แคมป์ก็นั่งพัก พร้อมทั้งจัดกระเป๋าสัมภาระของแต่ละคนให้พร้อม แล้วเร่งออกเดินตามชุดที่ออกไปก่อนหน้า
เราใช้เวลาไม่นานนักก็ออกมาถึงปากทางเข้าป่า นั่งพักกันสักพัก ความรู้สึกในตอนนี้ขาแทบจะไม่มีแรงก้าว 5555 นี่แหละหนอสังขาร
ในที่สุดเราก็ถึงรีสอร์ทจนได้ เราไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะหยิบกล้องมาถ่ายรูปใดๆอีก เราโหยหาการอาบน้ำและข้าวเย็นมากกกก ขอรวบรัดตัดความแยกย้ายกันไปนอน ตื่นมาตอนเช้าเตรียมตัวกลับกรุงเทพเลยแล้วกันนะ
ร่ำลาเจ้าของบ้านด้วยความรักและเคารพ สัญญาว่าผมจะกลับไปหาพี่ๆอีก
Specials thanks พี่อู๊ดดี้และพี่ยุ้ย แห่งอาณาจักร ตูกะสู คอทเทจ ที่จัดสรรทริปดีๆ ตามใจเรา ดูแลเราจะพวกเราเสียจริต
ผอ. หนึ่ง ที่แนะนำพี่ชายและพี่สาวให้ผมรู้จักเพิ่ม
เพื่อนๆ ในทีมที่ร่วมหัว จมท้ายกันจนตลอดรอดฝั่ง
ขอบคุณตัวเองที่เข้มแข็ง
และขอบคุณอุ้มผางที่รักษาธรรมชาติที่สวยสดงดงามไว้ให้พวกเราได้ชื่นชม
"แล้ววันนึงผมจะกลับไปให้อุ้มผางโอบกอดอีกครั้ง"
Hacks Krub
วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เวลา 22.58 น.