2 วัน 1 คืน ที่ลานกางเต็นท์อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น
"ใครกำลังเหงา ไปปลดปล่อยความเหงา ที่เขาสามหลั่นกันเถอะ"
สวัสดีผู้อ่านทุกท่านนะครับ ก่อนอื่นต้องขอถามก่อนเลยว่า มีใครกำลังเหงาอยู่รึป่าว เพราะถ้าใครกำลังเหงา อย่างน้อยก็มีเขารออยู่ “เขา” ในที่นี้หมายถึง ภูเขานะค้าบ เพราะทริปนี้เราจะพาหนีความวุ่นวาย แล้วไปผ่อนคลายกันที่เขาสามหลั่น รับลองหวั่นไหวหลงรักที่นี่แน่นอน
ขอบอกก่อนเลยนะครับว่าลานกางเต็นท์อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่นนั้นจะอยู่ริมอ่างเก็บน้ำโอบล้อมไปด้วยภูเขา มองไปทางไหนก็เจอแต่เขา ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในอ้อมกอดเขาตลอดเวลา เหมาะสำหรับใครที่ชีวิตมันเศร้า แนะนำให้เก็บของละออกไปให้เขากอดกันดีกว่า แต่จริงๆแล้วใครไม่เศร้าก็ไปได้นะครับ เพราะจะได้รับความฟินจากธรรมชาติกลับไปแน่นอน
เชื่อได้เลยว่าหลายคนที่ได้ยินหรือเห็นคำว่า “เขา” ก็คงท้อแล้ว เพราะคิดว่าต้องขึ้นเขาหรือเปล่า เดินทางลำบากหรือเปล่า ไปแล้วเหนื่อยแน่เลย จะบอกเลยว่าสำหรับที่แห่งนี้ คุณคิดผิด!! เพราะลานกางเต็นท์อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่นแห่งนี้ ไม่ต้องขึ้นเขา ไม่ต้องเดินทางลำบาก แค่เราขับรถเข้าไประหว่างเขา ก็หายเหงาแล้วจ้าาา
เริ่มต้นทริปนี้ด้วยการออกเดินทางไปที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น เราออกเดินทางในช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563 ด้วยรถยนต์ส่วนตัว และรถมอเตอร์ไซค์อีก 3 คัน สภาพอากาศวันนี้ค่อนข้างครึ้มเหมือนฝนจะตกตลอดทั้งวัน ถือว่าเป็นข้อดีเพราะทำให้อากาศไม่ร้อนมาก สำหรับทริปนี้เราเดินทางไปด้วยกันทั้งหมด 5 คน ออกเดินทางจากสระบุรี เพราะผมเป็นคนจังหวัดสระบุรีอยู่แล้ว จึงใช้เวลาไม่นานมากจากบ้านไปยังอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองสระบุรีมากนัก โดยใช้ถนนเส้นเลี่ยงเมือง เพียง 10 นาที จากถนนมิตรภาพ ก็ถึงทางเข้าไปยังอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่นแล้ว เป็นทางเดียวกับทางไปวัดพระพุทธฉาย เมื่อเลี้ยวเข้าไปประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะถึงจุดหมาย
ก่อนที่จะถึงอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น เราก็จะผ่านวัดพระพุทธฉาย ซึ่งเป็นวัดที่ขึ้นชื่อของจังหวัดสระบุรี เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธฉายหรือเงาของพระพุทธเจ้า อยู่บริเวณหน้าผา อีกทั้งยังมีรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า อยู่บนยอดเขาภายในวัดแห่งนี้ด้วย
เมื่อเราขับรถเข้าไปในวัดพระพุทธฉาย ก็เจอกับเจ้าถิ่นประจำวัด หรือเจ้าลิงน้อยใหญ่ ออกมาต้อนรับ ยิ่งทางขึ้นไปบนยอดเขาของวัดยิ่งเจอกับลิงเยอะมาก ส่วนตัวผมเป็นคนกลัวลิงอยู่แล้ว จึงขอไม่ขึ้นไปจะดีกว่านะครับ
หลังจากที่เข้าไปในวัดพระพุทธฉายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขับรถต่อไปอีก 3 กิโลเมตร ก็จะเจอกับจุดคัดกรองของอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น ซึ่งบริเวณนี้เราต้องทำการตรวจวัดอุณหภูมิ และซื้อตั๋วก่อน เพื่อที่จะเข้าไปยังลานกางเต็นท์ (ราคาค่าตั๋วสำหรับกางเต็นท์คนละ 30 บาท และค่าตั๋วสำหรับรถยนต์ส่วนตัวอีก 30 บาท ส่วนใครที่ไม่ได้นำเต็นท์มาด้วย ทางอุทยานมีบริการให้เช่าเต็นท์นะครับ ราคา 250 บาท ซึ่งเป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ สามารถนอนได้ 4 คน มีหมอนและผ้าห่มรวมอยู่ด้วย)
เมื่อผ่านจุดคัดกรองมาเรียบร้อยแล้ว เราก็จะถึงลานกางเต็นท์ของอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น โดยจะอยู่ริมอ่างเก็บน้ำที่ชื่อว่า อ่างเก็บน้ำเขารวก
ในช่วงที่เรามาถึงนั้นเป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็น พื้นที่โดยรอบมีคนมากางเต็นท์กันค่อนข้างเยอะพอสมควร เมื่อหาที่จอดรถกันได้แล้ว เราก็ช่วยกันขนของสัมภาระต่างๆไปยังจุดที่จะตั้งแคมป์กันคืนนี้ ในการขนของหรือสัมภาระ ทางอุทยานมีรถเข็นไว้บริการนะครับ ช่วยให้ขนของได้สะดวกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้รองรับนักท่องเที่ยวที่มากางเต็นท์อีกมากมาย เดี๋ยวเราดูตามกันไปเลยนะครับ
นี่คือส่วนของห้องน้ำ มีอยู่ 2 จุด เป็นห้องน้ำเก่าและห้องน้ำที่สร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆกัน ถือเป็นห้องน้ำที่ดีพอสมควรเลยครับ เทียบจากหลายๆที่ที่เคยไปมาก่อนหน้านี้ ที่นี่ถือว่าโอเคมาก
ด้านหน้าหรือตรงข้ามกับห้องน้ำจะมีพื้นที่สำหรับล้างจาน
บริเวณด้านข้างรวมไปถึงด้านหลังของห้องน้ำ จะเป็นพื้นที่สำหรับทิ้งขยะ
ในจุดนี้จะเป็นร้านค้าสวัสดิการ สำหรับขายอาหารต่างๆให้แก่นักท่องเที่ยวซึ่งจะมีทั้งร้านส้มตำรวมไปถึงร้านอาหารตามสั่ง และหน้าร้านยังมีโต๊ะสำหรับนั่งทานอาหารไว้คอยบริการอีกด้วย
ถัดมาจะเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่งมีพื้นที่สำหรับนั่งจิบกาแฟและถ่ายรูป ไว้คอยบริการ
ต้องบอกก่อนนะครับว่าลานกางเต็นท์แห่งนี้ห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดเข้ามาดื่ม และห้ามส่งเสียงดังหลัง 4 ทุ่มเป็นต้นไปนะครับ ตามป้ายประกาศของอุทยานนี้เลย
ก่อนที่จะกางเต็นท์กัน มีฝนรินลงมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ช่วยให้อากาศเย็นสบายกว่าเดิมเสียอีก โดยฝนตกได้ไม่นานมาก เมื่อฝนหยุดเราก็ช่วยกันกางเต็นท์จนเสร็จเรียบร้อย
หลังจากกางเต็นท์และจัดอุปกรณ์กันเสร็จแล้ว เราก็ไปถ่ายรูปเล่นกันตรงบริเวณที่เป็นจุดไฮไลท์ของอุทยานแห่งนี้ ซึ่งเป็นสะพานเล็กๆ เพื่อเชื่อมถนนสำหรับปั่นจักรยานออกกำลังกายของผู้ที่มากางเต็นท์หรือนักท่องเที่ยว เป็นถนนที่ตัดผ่านเนินเขารวก เมื่อขึ้นไปบนเนินเขา จะเห็นวิวทั้งหมดของอ่างเก็บน้ำ ทำให้เห็นความสวยงามของพื้นที่โดยรอบ นักท่องเที่ยวจึงนิยมไปถ่ายรูปบริเวณนี้ โดยถนนเส้นนี้มีเส้นทางรอบอ่างเก็บน้ำเขารวกยาวไปจนถึงทางเข้าน้ำตกสามหลั่น และวนกลับมายังอ่างเก็บน้ำเขารวกเช่นเดิม ในวันที่ไปเราได้เห็นนักท่องเที่ยวนำจักรยานมาปั่นกันเยอะมาก เมื่อสอบถามแล้ว จึงรู้ว่าส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่บ้านอยู่แถวนี้ รู้จักพื้นที่แห่งนี้ดี มาปั่นจักรยานออกกำลังกายที่อุทยานอยู่บ่อยครั้ง
ภาพนี้ผมตั้งใจจะถ่ายความสวยงามและบรรยากาศของถนนเส้นนี้ แต่ดูภาพนี้ดีๆแล้ว คนโสดก็คงสะเทือนใจอยู่พอสมควร เพราะมากันเป็นคู่ๆเลย เอิ่ม มองบนแปป
และนี่คือภาพของผู้ร่วมเดินทางมากับเรา ซึ่งเดินทางมาจากจังหวัดขอนแก่น เป็นรุ่นพี่ของเพื่อนผมเอง มากันไกลเลยทีเดียว แถมยังขับรถมอเตอร์ไซค์มากันอีกด้วย ผมนี่ยอมใจเลยค้าบบบ แต่บอกเลยว่าพวกพี่กลุ่มนี้ ดูจากภายนอกเวลาเจอด่านตำรวจอาจจะไม่ต้องตรวจ จับได้เลย 5555 ล้อเล่นนะค้าบ เห็นแบบนี้พี่กลุ่มนี้เป็นคนตลก เฮฮา และยังจิตใจดีมากๆอีกด้วย ไม่ได้อวยนะครับ พวกพี่กลุ่มนี้ล้วนมีประสบการณ์ด้านการตั้งแคมป์กันมาหลายที่พอสมควร ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน พวกพี่กลุ่มนี้ก็ไปกันมาหมดแล้ว ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปนะครับ ผมว่าต้องมีความชอบจริงๆถึงจะทำแบบนี้ได้
เมื่อถ่ายรูปกันเสร็จแล้ว เราก็เตรียมทำอาหารเย็นกินกัน ซึ่งวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารมื้อนี้ ประกอบด้วย เนื้อหมู เห็ดเข็มทอง และผักกาดขาว นำไปต้มในหม้อที่เราเตรียมมาด้วย ก็จะได้เป็นสุกี้หมูนั่นเอง กินกับน้ำจิ้มสุกี้แสนอร่อย โดยรวมแล้วรสชาติก็ถือว่าได้อยู่ (ได้อยู่แปลว่าไม่ได้นะครับ) แนะนำให้เตรียมมาม่าหรืออาหารสำเร็จรูปมาเผื่อไว้ด้วยจะดีมากครับ
นี่คือหน้าตาของสุกี้หม้อรวมของเรานั่นเอง น่ากินใช่มั้ยละครับ
ในระหว่างที่กินอาหารกันอยู่นั้น ก็มีกลิ่นกุ้งเผา และบาบีคิว จากเต็นท์ข้างๆโชยมา ทำให้ทุกคนหยุดกินและหันไปมองที่เตาย่างของเต็นท์ข้างๆนั้น ก่อนที่จะพูดพร้อมกันเบาๆว่า พวกเราไปขอเขากินด้วยได้มั้ยว่ะ แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำจริงๆ ทำได้แต่ก้มหน้ากินสุกี้หม้อรวมแสนอร่อยของเราต่อไป และหลังจากกินเสร็จก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดเราก็ได้มานั่งล้อมวงดูแสงดาวระยิบระยับส่องประกายไปทั่วท้องฟ้า รวมทั้งพูดคุยกันตามประสาทั่วไป เปิดแสงไฟอ่อนๆ เปิดเพลงเบาๆฟังกันอย่างผ่อนคลาย ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอน
ก่อนที่จะหลับก็มีเสียงกรนจากเต็นท์ข้างๆ ทั่วทุกทิศทางดังขึ้นมาประสานเสียงกันอย่างไพเราะ จนกล่อมให้ผมหลับได้ไปในที่สุด (แต่ก็นานอยู่นะครับ กว่าจะหลับ)
หลัง 4 ทุ่มเป็นต้นไปจะมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานมาตรวจสอบความเรียบร้อยของพื้นที่โดยรอบด้วยนะครับ
อรุณสวัสดิ์ยามเช้า ซึ่งเป็นวันเสาร์ที่ 5 กันยายน เราตื่นมาเวลา 6 โมงเช้าพอดี พร้อมกับอากาศที่สดชื่น ไม่ร้อนมาก มองไปรอบๆ ก็เห็นว่าคนอื่นๆหรือเต็นท์ที่อยู่ข้างๆ ตื่นกันเกือบหมดแล้ว ต่างคนต่างทำกิจกรรมของตัวเอง บ้างก็ทำอาหารเช้ากินกัน บ้างก็นั่งจิบกาแฟชมบรรยากาศ บ้างก็ถ่ายรูปเก็บความประทับใจ แต่สำหรับพวกเรานั้น ยังไม่มีใครตื่นเลย ผมจึงรีบชิงไปอาบน้ำก่อน เพราะกลัวว่าในช่วงเช้ามีคนใช้ห้องน้ำเยอะแล้วจะเต็ม ที่สำคัญกลัวแดดไล่ด้วยค้าบบ
เมื่อทุกคนต่างทำธุระส่วนตัวของตัวเองเสร็จแล้ว ก็ช่วยกันเก็บเต็นท์และสัมภาระอื่นๆขึ้นรถ รวมถึงช่วยกันเก็บขยะในบริเวณพื้นที่ที่พวกเรากางเต็นท์กัน เพื่อเป็นการรักษาความสะอาดและความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติในอุทยานให้คงอยู่อย่างสวยงามต่อไป
หลังจากที่เก็บของขึ้นรถกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางไปน้ำตกสามหลั่นกันต่อ ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก ขับรถเข้าไปอีกนิด ห่างจากลานกางเต็นท์ประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงบริเวณหน้าทางเข้าไปยังน้ำตกสามหลั่นแล้ว
ในการเข้าไปยังน้ำตกสามหลั่นต้องจอดรถไว้หน้าทางเข้า และเดินเท้าเข้าไปต่อนะครับ ประมาณ 300 เมตร
และก่อนที่จะเดินเข้าไป มีเจ้าหน้าที่บอกก่อนเลยว่าช่วงนี้น้ำตกไม่มีน้ำนะครับ เมื่อได้ยินอย่างนั้น พวกเราต่างมองหน้ากัน และถามว่าเอาไงดี จะไปต่อมั้ย พี่คนนึงก็บอกว่า มาถึงเขาสามหลั่น ก็อย่าไปหวั่น ไปดูให้เห็นกับตา เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง เราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปยังน้ำตกกันต่อ ซึ่งทางเดินก็ไม่ลำบากมาก สบายๆ แต่จะมีหินเยอะหน่อย ต้องคอยระวังเป็นพิเศษ เพราะกลัวว่าข้อเท้าจะพลิก
เมื่อเราเดินกันมาถึงบริเวณน้ำตกสามหลั่น ก็พบว่ามันไม่มีน้ำจริงๆ มีเพียงแอ่งน้ำที่มีน้ำขังอยู่บางส่วนเท่านั้น และน้ำที่ไหลลงมาจากหน้าผาเบาๆ ไม่แรงมาก
มาถึงทั้งที ก็ขอเก็บภาพไว้เป็นความประทับใจหน่อยแล้วกันนะครับ จะได้ไม่เสียเที่ยว
หลังจากที่ถ่ายรูปกันเสร็จแล้ว เราก็เดินออกมาที่รถ และบอกลากลุ่มรุ่นพี่ที่ร่วมกันตั้งแคมป์ในครั้งนี้ เพื่อแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เชื่อแล้วจริงๆ ว่าช่วงเวลาพักผ่อนหรือเวลาแห่งความสุขย่อมผ่านไปเร็วเสมอ ต้องบอกเลยครับว่า คุ้มค่าที่มาปลดปล่อยความเหงาที่นี่ ดีกว่านอนเหงาอยู่บ้านจริงๆครับ ไว้มีโอกาสอีกเมื่อไหร่ จะเดินทางไปกางเต็นท์ที่อื่นอีกเรื่อยๆแน่นอน เพราะรู้สึกว่าตัวเองหลงรักธรรมชาติสีเขียวและการตั้งแคมป์ไปแล้วสิครับ
สำหรับทริปนี้ผมได้เจอ ได้พบ ได้เห็น ได้ลอง ได้สัมผัส กับอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของธรรมชาติ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง ความลำบาก ความเหนื่อยล้า ความหิว ความง่วง ความสนุก รวมถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งทริป และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นมนต์เสน่ห์ของการออกเดินทางในทุกๆเส้นทางอยู่แล้ว ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าหลายๆคนเรียกหรือนิยามสิ่งเหล่านี้ว่าอะไร แต่สำหรับตัวผม ผมเรียกมันว่า "ความสุข"
ยังไงก็ขอฝากอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น ซึ่งเป็นสถานที่แคมป์ปิ้งใกล้กรุงเทพฯ อีกที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาด สำหรับใครที่ต้องการพักผ่อนในช่วงวันหยุดสั้นๆ ก็สามารถใช้ที่แห่งนี้เป็นทางเลือกได้ เพราะอยู่ห่างจากกรุงเทพเพียงหนึ่งร้อยกิโลเมตร ใช้เวลาขับรถไม่เกินสองชั่วโมง บอกได้เลยว่าคุ้มค่ากับการมาเยือนแน่นอน
สุดท้ายนี้ก็ขอจบทริปด้วยภาพสุดประทับใจภาพนี้เลยครับ ถึงกับต้องเงียบกันเลยทีเดียว เพราะไม่ต้องพูดอะไรเยอะ ปล่อยให้ภาพเล่าเรื่องของมันเองแล้วกันนะครับ (ภาพแทนอารมณ์แห่งความสุข และประสบการณ์อันล้ำค่าในชีวิต)
“เห็นแล้วใช่มั้ยครับ ว่าเวลาเหงา เขาคือคำตอบ”
Yean Wittaya
วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เวลา 13.19 น.