ฮาย~

ไปโรมาเนียกันนนนน !!

จริงๆ แล้วทริปเราเริ่มจากแมนเชสเตอร์ > ปารีส > โรมาเนีย (หลายเมืองมาก) > บูดาเปสต์

แต่ที่ลงบูดาเปสต์ก่อนเพราะความชอบส่วนตัว เหตุผลอื่นไม่มี 555555555



หลายคนอาจจะไม่ค่อยรู้จักโรมาเนียดีนัก ตอนแรกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่รู้เพราะ Sebastian Stan (พี่เต๋า Bucky จากกัปตันฯ) บอกว่านางมาจากโรมาเนีย ผมนี่รีบเปิดอากู๋เลยครัช ว่าโรมาเนียอยู่ไหน จะไปบุกบ้านนาง (ความติ่งต้องมา)

พอดูไปดูมา เห้ยยยย ประเทศสวยจุง ...

แต่ก็ไม่ได้อะไร ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ จนกระทั่งมาเรียนต่อที่อังกฤษ แล้วก็ได้ผู้เป็นคนโรมาเนีย (ด่าได้ แต่อย่าแรง คริคริ)

นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเซบาสเตียน สแตน เลยนะ จริงๆ โฮ๊ะๆๆ

เอาหละ ไม่พล่ามมาก คนไม่อยากฟัง (ผู้ไม่ใช่จุดขายของกระทู้นี้... เท่าไหร่)



แพลนเที่ยวเป็นงี้:

แลนด์ที่ Cluj-Napoca

ค้างที่ Cluj-Napoca หนึ่งคืน (airbnb)

ขับรถไป Salina Turda

ขับรถไป Sighisoara

ขับรถไปบราชอฟ

ค้างบราชอฟ 3 คืน

นั่งรถไฟไป Sinaia

ขับรถไป Arad

นั่งรถไฟไปบูดาเปสต์



เพราะเที่ยวหลายเมือง เลยจะขอแบ่งเป็นพาร์ทๆ แต่จะรวมไว้ในทู้นี้

นอกจากรูปแล้ว จะมีการบ่นด้วย 555555

ถือว่าเราเตือนคุณล้าววววววววว



ไปดูรูปกันนนนนน!!



Part 1



Locations:

- Cluj-Napoca

- Salina Turda

- Sighisoara



จากปารีส (BVA) มาลงเมือง Cluj-Napoca ประเทศโรมาเนีย ใช้เวลาประมานสองชั่วโมง ถือว่าไกลอยู่ (ตามแผนที่ในรูปที่สอง) จริงๆ นั่งรถไฟมาก็ถึง แต่ว่าใช้เวลานานและราคาแพงมาก ค่าตั๋วเครื่องบินประมานคนละ £50 ไม่รวมกระเป๋าที่ซื้อใบใหญ่เพิ่มเพราะของเยอะมากอีกประมาน £10



เรามาต่อกันตอนที่โรมาเนีย

สำหรับใครที่จะมาเที่ยวโรมาเนียและกังวลเรื่องวีซ่า ขอบอกเลยว่าไม่ยาก.. แต่แอบยุ่ง

การเข้าประเทศโรมาเนีย (สำหรับพาสปอร์ตไทย) มีสองวิธี:

1. วีซ่าท่องเที่ยวโรมาเนีย

2. วีซ่าเชงเก็นแบบ Multiple Entry



แบบแรกสามารถติดต่อสถานทูตโรมาเนียนตามลิ้งค์นี้ค่ะ http://bangkok.mae.ro/en/node/871



แบบที่สองคือผู้ที่ถือวีซ่าเชงเก็นแบบ Multiple Entry สามารถเข้าโรมาเนียได้เลยโดยไม่ต้องทำวีซ่าโรมาเนีย



ก่อนไปเราสอบถามทางสถานทูตโรมาเนียที่ไทยและสถานทูตไทยที่โรมาเนียแล้วว่าเรามีวีซ่าเชงเก็น (ออกโดยสถานทูตฝรั่งเศส ณ กรุงลอนดอน) เราเข้าโรมาเนียได้หรือไม่ ทั้งสองที่บอกว่าได้ ได้ ได้ ไปเลย ยินดีต้อนรับ Bun venit în România มาเลยยยย



เราก็ไปเลย



ที่ฝรั่งเศสตรวจพาสปอร์ตเราตอนเช็คอินแล้วก็บอกว่าได้ ตรวจคนออกเมืองแล้วก็บอกว่าได้ ถามแล้วว่าต้องมีเอกสารอะไรหรือเปล่า เค้าก็บอกว่าไม่ต้อง ผ่านได้เหมือนยุโรปที่อยู่ในเชงเก็นเลย



พอไปถึงเท่านั้นแหละ ....



ตม. ไม่ให้ผ่าน บอกว่าไม่มีวีซ่า พอเราบอกว่าเราใช้เชงเก็นเข้า นางก็ดูเชงเก็นเราแล้วก็พูดกับเราเป็นภาษาฝรั่งเศส เราก็ตอบไปตรงๆ ว่าเราพูดฝรั่งเศสไม่ได้ (ตอนนั้นตกใจมากๆๆ นึกว่าเราจะไม่ได้เข้าโรมาเนียซะแล้ว)

ตม. ก็ถามเป็นภาษาอังกฤษว่า "พูดฝรั่งเศสไม่ได้แล้วได้วีซ่าเชงเก็นฝรั่งเศสมาได้ไง"

.

.

.

งงมะ

คือวีซ่าเชงเก็นเรามันเป็น Tourist มะ คืออะไรหรอ นักท่องเที่ยวทุกคนต้องพูดภาษาประเทศที่ตัวเองไปได้หรอ? เราก็งงมั้ยอะ เราก็เลยบอกเค้าว่าเรามาเที่ยว ถามที่สถานทูตแล้วเค้าบอกว่าได้ นางก็ไม่เชื่อไง นางก็จะค้นกระเป๋า ถามว่ามีกระเป๋าแค่นี้หรอ เราก็บอกว่ามีกระเป๋าใหญ่อีกใบ แล้วก็บอกว่ามากับเพื่อน มาอยู่บ้านเพื่อน นางก็ยังไม่เชื่อ ไม่ให้เข้า จนเรารำคาญ เราพูดอะไรไม่ฟังเราเลย พอเราจะอธิอบาย ก็ตอบเรามาเป็นฝรั่งเศสจนเราโมโห เลยพูดเป็นภาษาอังกฤษไปว่าจะโทรหาสถานทูตไทยที่โรมาเนีย นางก็บอกว่าไม่ให้โทร จนต้องเรียกเดนิสกับครอบครัวมายืนยันว่ามาด้วยกันจริงๆ นางถึงจะปล่อยให้เข้า



พอออกมาก็โทรถามสถานทูตไทยที่โรมาเนียว่าตกลงยังไงคะ ก็เล่าเรื่องให้เขาฟังไป

ทางพนักงานก็พูดดีมาก จากโมโหอยู่นี่อารมณ์ดีขึ้นรัวๆ ทางสถานทูตบอกว่าไม่ค่อยมีใครใช้เชงเก็นเข้ามาเท่าไหร่ ปกติจะใช้วีซ่าโรมาเนียเลย เพราะระบบนี้เพิ่งเปิดใช้ได้ไม่นาน ตม. บางคนอาจจะยังไม่อัพเดท ต้องขอโทษด้วย ซึ่งเราก็เข้าใจ เค้าเป็นด่านหน้าของประเทศ แต่ช่วยพูดกับนักท่องเที่ยวดีๆ หน่อยไม่ได้หรอ -_-

หงุดหงิดสุด



บ่นยาวไปหน่อย ข้ามได้ น้องไม่ว่า

เอาเป็นว่าไปดูรูปกันเถอะค่ะ!



เปิดด้วยรูป title ตามธรรมเนียม (ความฮิปสะเตอร์ต้องมี ความฮิปสะเตอร์ต้องมาาาา)


Bun venit în România!!



แผนการเดินทางเป็นแบบนี้ ต้องขออภัยในควางง่อยของรูป ต้องขอขอบคุณแผนที่เปล่าจาก google และ google map


น้องความสามารถเท่านี้จีจี (._.)/



เมืองแรกที่ไปถึงคือเมือง Cluj-Napoca ซึ่งเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ มีประชากรประมานสี่แสนคน แต่เป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงที่สุดในโรมาเนีย สูงกว่าเมืองหลวงอย่างกรุงบูคาเรสต์ซะอีก เสียดายที่เราอยู่เมืองนี้แค่คืนเดียว แต่เป็นหนึ่งคืนที่เริ่ดมาก เราจองที่พักผ่าน Airbnb เป็น Art Apartment เล็กๆ ที่อาร์ทมาก ตามลิ้งค์นี้เลย https://www.airbnb.co.uk/rooms/5415622



เช้าวันต่อมาก็ไปกันที่เหมืองเกลือเก่า Salina Turda ณ เมือง Turda ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมือง Cluj-Napoca ซะเท่าไหร่ การคมนาคมของโรมาเนียก็คล้ายๆ กับบ้านเราที่ว่าสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ ที่ไม่มีขนส่งมวลชนไปถึง ต้องขับรถหรือรถไฟถึงจะได้เที่ยว 55555 ที่นี่ก็เหมือนกัน Salina Turda เป็นเหมืองเกลือที่อยู่กลางหุบเขา ในรูปคือทางลง ตอนถ่ายคือเดินมาแล้วเยอะมากเพราะต้องลงไปลึกมาก พอลงไปถึง เจ้าหน้าที่บอกว่านี่แค่ชั้นกราวน์ มีลงไปอีกประมานสองชั้น ลึกมากจริงๆ



เดินตามถ้ำมาเรื่อยๆ จะเจอระเบียงอันนี้ มองลงไปจะเห็นชึ้นใต้ดินชั้นแรกซึ่งจะมีชิงช้าสวรรค์ สนามบาสเก็ตบอล สนามมินิกอล์ฟและสนามเด็กเล่นเล็กๆ



รูปนี้คือลงลิฟท์มาแล้ว 1 ชั้น ยังมีอีกชั้น (ตอนขึ้นถ้าลิฟท์เต็มที่ตะกายบันไดกันสนุกเลยนะเอออออ)



จากรูปที่แล้ว มองลงไปจะเจอชั้นใต้ดินที่สองซึ่งเป็นสวนสาธารนะกลางน้ำ เมื่อก่อนไม่มีตาข่ายกั้นแล้วมีคนทำของหล่นไปบ่อย ตอนนี้เลยต้องมีตาข่ายกั้น รูปที่ถ่ายมาก็เลยเป็นอย่างที่เห็น



อันนี้คือลงลิฟท์มาชั้นล่างสุดแล้วเดินสะพานต่อ จริงๆ จะพายเรือก็ได้ แต่กลัวตกน้ำแล้วหนาว จริงๆ เดินบันไดลงมาก็ได้เหมือนกัน แต่บันไดชันมาก ยิ่งซุ่มซ่ามอยู่ ถ้าหน้าทิ่มมาเดี๋ยวจะหน้าพัง หรือบันไดพัง หรือทั้งคู่ 555555



เช่าเรือพายได้ แต่พายไม่เป็น


นักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นบอกว่าให้อธิฐานแล้วโยนเหรียญข้ามไหล่ลงไปในน้ำ ถ้าได้ยินเสียงเหรียญกระทบน้ำ คำอธิฐานนั้นจะเป็นจริง เราก็เลือกเหรียญที่ใหญ่ที่สุด ตอนนั้นมีเหรียญ 2 euros เป็นเหรียญประมานใหญ่กว่าเหรียญสิบบาทหน่อยนึง เราก็โยนเลย ไม่ทันได้คิดว่านั่นก็ประมานหนึ่งร้อยบาท โธ่ -___-

โดนหลอกแล้วโดนหลอกอีก โดนหลอกซ้ำไปซ้ำมา เจ็บช้ำเหลือเกิร์ลลลลลลลลลล



เมืองต่อไปคือเมือง Sighisoara เมืองพาสเทลและเมืองเกิด Vlad III หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Vlad Dracula นั่นเอง เค้าท์แดร็กคูล่าเป็นคนคิ้วท์ๆ เพราะเกิดเมืองคิ้วท์ๆ 55555 ที่เที่ยวหลักนอกจากตึกสีสวยงามแล้วก็คงจะเป็นหอนาฬิกาที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 และยังใช้งานได้อยู่ถึงทุกวันนี้



เป็นเมืองที่สดใสและเงียบสงบมากๆ ได้บรรยากาศความเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักที่สุด


แต่แบบ ถึงจะเป็นเมืองที่ดูไม่ค่อยมีคน แต่ทุกคนพูดอังกฤษได้นะครัชชช คือตกใจมาก เพราะเพิ่งมาจากปารีศที่น้อยคนนักจะพูดอังกฤษ แต่แบบ โรมาเนีย ทุกคนพูดอังกฤษได้ในระดับที่พอสื่อสารได้ แกกกกก พอเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยว นางแบบ โอ้ยยยย ไม่ใช่คนโรมาเนียหรอ มาจากไหน มาๆ เดี๋ยวลดราคาให้ คือดีย์อ่ะ ชอบบบบบบบ (ของถูกชอบหมด ไม่มีการปกปิดหรือปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น 55555)



หอนาฬิกาที่จะมีตุ๊กตาออกมาเต้นทุกๆ ชั่วโมง ตอนแรกนึกว่าตุ๊กตาจะโผล่ออกมาแบบสามมิติ ที่ไหนได้ นางเต้นอยู่ในนั้นแหละ มองจากมุมล่างไม่เห็นอะไรเลย ได้ยินแต่เพลง เสียใจรัวๆ นี่แบบรอนานมาก ยืนสั่นอยู่หน้าหอนาฬิกานี่ อากาศไม่หนาวหรอก แต่ไม่ได้แต่งตัวมาอุ่นพอ (ร้องไห้หนักมาก เช็กก่อนมาแล้วว่าไม่หนาวไปกว่า 12 แน่นอน พอมาถึงนี่ 4 องศาเบาๆ แอ๊ปเปิ้ล จำไว้นะแกกกกกกก)



ทางเดินตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 แต่หอนาฬิกาเพิ่งมาสร้างเมื่อศตวรรษที่ 14 แต่ยังอยู่คงทนถึงทุกวันนี้ สวยมากจริงๆ



อาคารนี้เคยเป็นบ้านเกิดของ Vlad III หรือเค้าท์แดร็กคูล่าของเรานี่เอง (แดร็กคูล่าโอป้าเป็นคนคิ้วท์ๆ) ห้องที่เขาเกิดก็ถูกรักษาไว้อย่างดี ทางเข้าแคบมาก ค่าเข้าแพงด้วย ข้างล่างเป็นร้านกาแฟซะน่ารักมุ้งมิ้ง ถามว่าเข้ามั้ย บอกเลยว่าไม่ ไม่ใช่ไม่อยาก ไม่มีเงิน ._.



Town Square พาสเทลสุดอะไรสุด เงียบสงบและหนาวมาก


ปล: รูปที่ชอบที่สุดในอัลบัมนี้ ชอบความพาสเทลที่ตัดกับประวัติศาสตร์ของเมืองรัวๆ 555555



รูปสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนจะไปต่อกันที่เมืองใหญ่อย่าง Brasov และ Sinaia ซึ่งจะประกอบไปด้วย Bran Castle (ปราสาท บราน หรือที่เรียกกันว่าปราสาทแดร็กคูล่านั่นเอง) และ Peles Castel (ปราสาท เปเลช ปราสาทเทพนิยายของประเทศโรมาเนีย)




ใครจะมาโรมาเนียขอแนะนำเมือง Brasov (Brașov อ่านว่า บรา-ชอฟ)

โดยส่วนตัวชอบเมืองนี้มากและถ้ามีโอกาศจะกลับไปอีก เพราะนอกจากจะเป็นเมืองใหญ่ที่เงียบสงบแล้ว ยังมี Shopping Street ที่ของถูกมากกกกกกกกกกกกกกกก

เราพกเงินไปประมาน 5,000 บาท ทั้งเที่ยวทั้งช็อปทั้งกินยังเหลือมาประมานพันกว่าบาทสำหรับค่ารถไฟไปบูดาเปสต์



ที่พักที่เราพักเป็นโรงแรมเล็กๆ อยู่กลาง Town Square เลย ข้างล่างเป็นคาเฟ่เล็กๆ แนวโมเดิร์น ชิคๆ ที่อบขนมอร่อยมาก

วันแรกที่เราไปถึงคือคืนวันที่ 23 แต่วันนั้นหิมะตกหนักมาก เราเลยไม่สบาย วันที่ 24 เลยไม่ได้เที่ยว มาเที่ยวเอาอีกทีวันที่ 25 ซึ่งตามแพลนแล้ว 24 ต้องไป Bran Castle แล้ว 25 ค่อยไป Peles Castle แต่เพราะเราไม่สบาย (และตื่นสายด้วย) เลยต้องยัดทั้งสองที่ไว้วันเดียว



ภาพเปิดทู้ต้องมา บอกแล้วว่าเป็นธรรมเนียม มันเป็นสไตล์ของโผ้มมมมมมมม



ต่อด้วยแผนที่ง่อยๆ ตามเคย ._.



เช้าวันที่ 25 เดือน 3 ปี 2016 ณ เวลาประมาน 8 โมง เราเดินทางมาถึงสถานีรถไฟเมือง Brasov เพื่อที่จะขึ้นรถไฟไปเมือง Sinaia ณ เวลา 8:44 แต่รถไฟดีเลย์ไปประมานครึ่งชั่วโมง กว่าจะถึง Sinaia ก็ปาเข้าไป 10 โมงครึ่ง รถไฟที่โรมาเนียก็คล้ายๆ กับรถไฟที่บ้านเรานี่แหละ แค่ดีกว่าตรงที่หลายๆ อย่าง (เช่นประตูกับบันได) เป็นออโต้ แค่กดปุ่มประตูก็เปิด แค่กดปุ่มบันไดอ็ยื่นออกมาสำหรับผู้พิการหรือผู้ที่มีสัมภาระเยอะ ตอนมาถึง อากาศก็ไม่ได้หนาวมาก เช็คแล้วประมาน 2 องศา ถือว่ากำลังดี พอนั่งรถไฟไปได้สักพัก หิมะตก มองออกไปนี่ขาวโพลนอย่างกับวินเทอร์วันเดอร์แลนด์ ผิดแต่ช่วงนั้นควรเป็นช่วง Spring


อุณหภูมิตกฮวบลงมาที่ -3 องศา

ณ ตอนนั้นรู้ชะตากรรมตัวเองทันทีว่าต้องหนาวหน้าสั่นชัวร์



ปล: ตั๋วรถไฟเราซื้อไปอย่างเดียวเพราะขากลับพ่อแม่แฟนมารับ ค่าตั๋วรถไฟจาก Brasov ไป Sinaia อยู่ที่ประมาน 130 บาท (13 Ron) แต่ถ้ามีบัตรนักเรียนได้ส่วนลด 25% เหลือ 90 บาท (9 Ron) ถูกกว่านี้มีอีกม้ายยยยยยย?



Peles Castle (Castelul Peleș) หรือปราสาท เปเลช (ออกเสียงว่า "เป-เลช" ไม่ใช่ เปเลส หรือ เพ-เลส เพราะตัว ș ในภาษาโรมาเนียออกเสียงคล้ายกับตัว ช.ช้างในภาษาไทย) ถูกสร้างขึ้นโดย King Carol ที่ 1 ในปี 1873 โดยให้ตั้งอยู่กลางหุบเขาเพราะ King Carol ที่ 1 นั้นทรงชอบวิวทิวทัศของหุบเขานี้


โดยดีไซน์จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมยุค Neo-Renaissance กับยุค Gothic Revival ซึ่งเป็นแนวที่นักออกแบบส่วนใหญ่นำมาใช้ออกแบบปราสาทในยุคสมัยนั้น จึงออกมาคล้ายๆ กับปราสาทเทพนิยายที่เราคุ้นเคยกันอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง

ที่มา: หนังสือแนะนำการท่องเที่ยวเมือง Sinaia



รูปปั้น King Carol ที่ 1 ในสวน Courtyard หน้าปราสาท



รายละเอียด exterior เบาๆ ก่อนเข้าไป


- ค่าเข้า 20 Ron (ประมาน 200 บาทไทย)

- ค่าบัตรถ่ายรูปข้างใน 32 Ron (ประมาน 300 บาทไทย)



เพราะว่ามีค่าถ่ายรูป (ที่แพงกว่าค่าเข้า) รูปภายในตัวปราสาท

ขออนุญาติไม่ให้นำออกไปโพสที่อื่นนะคะ แชร์ได้ แชร์โลด แต่ไม่เซฟเอาไปโพสน้า <3 จุ๊บบบบ



ห้องแรกที่ไปถึงคือห้องโถงที่เป็นทางตัน สองข้างทางเป็นระเบียงมองลงไปข้างล่าง ทุกคนที่เข้าไปต้องเอาถุงคลุมรองเท้าเพื่อความสะอาด



ห้องทำงานก็มา คือรูปที่เห็นนี่แต่งแล้วเยอะมาก รูป raw ที่ได้มานี่ก็เหลืองเชียว ไฟที่จัดไว้ไม่ได้ช่วยเรื่องแสงในการถ่ายรูปเลย บายยยยย


รู้ชะตากรรม (อีกครา) ตอนที่ดูรูปในกล้องแล้วเห็นความเหลืองของภาพ เม็มก็จะเต็ม จะถ่าย Raw ก็ไม่ได้ ล้องไห่ T____T



ห้องดนตรีเก่า (นี่ลดแสงแล้วได้แค่นี้จริงจริง ._.)



The Florentine Hall


(รูปนี้มีใน wikipedia ด้วย มุมนี้เลย ตอนถ่ายไม่รู้ ตอนนี้รู้แล้ว แอบดีใจที่ถ่ายมา 555555)



The Arabic Room



The Dining Room



The Western Corridor



The Bed Chamber


ห้องเจ้าหญิงสุดๆ อย่างกับห้องในปราสาทเทพนิยาย งามแต้~

จำได้ว่าตอนมาถึงห้องนี้คือหลงกับไกด์ เลยแบบ f** it เดินเองก็ได้

แล้วก็เดินมั่ว แล้วก็หลงเข้าไปที่ไหนไม่รู้ ออกมาสวนข้างหลังได้ไงไม่รู้ งงเลย แต่เป็นสวนที่ห้ามนักท่องเที่ยวเข้า

โดนเชิญกลับไปห้องโถงรัวๆ น้องซอรี่ ._.

ปกติเค้าห้ามเดินคนเดียว เพราะจะมีเจ้าหน้าที่หัวและท้ายขบวน

แต่ไม่รู้ว่าเค้าลืมเราได้ไง T_____________________T/

(อี จขกท. นางจะเคลมว่านางตัวเล็กแหละค่ะ อย่าถือสานาง)



The Butler's Room


(นี่ห้อง Butler นะ ยังดีย์ขนาดนี้ ดีกว่าห้องนอน จขกท อีกค่ะ ฮรืออออออ~)



Interior ของปราสาทนี้เป็นการผสมผสานกันของหลายๆ ทวีป (หรือทุกทวีปที่ King เคยไปเยือน)


อันนี้ (ถ้าจำไม่ผิด) จะเป็นแนวเอเซีย แนวแบบ มองโกเลีย ประมานนี้

ถ้าผิด ข้าน้อยขออภัย

เพราะว่าต้องรีบไปอีกที่ เลยไม่สามารถรอไกด์ภาษาอังกฤษได้

เลยต้องเลือกภาษาที่สามารถไปได้ทันที ซึ่งตอนนั้นมีโรมาเนีย สเปน อิตาลี T______T/

ถ้าเจ้าของกระทู้ฟังผิด เจ้าของกระทู้ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยค่ะ



หมดแล้วสำหรับเปเลช~


ไปต่อกันที่ปราสาทพี่แดร็กคูล๊าลาลาของเรา

ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าคาดหวังเหมือน จขกท

ตอนไปตื่นเต้นมากกก แบบ กรี้ดกร้าด จะได้ไปปราสาททั่นเค้าท์

เหอะ




แล้วก็นั่งรถกลับมาที่เมือง Brasov ซึ่งตอนนั้นคือหิมะตกหนักมากๆ องแทบไม่เห็นทางเลย ขาวโพลนไปหมด กล้องก็มัว แถมเป็นไอน้ำอีก รูปที่ได้เลยเป็นอย่างที่เห็น


หิมะตกปรอยๆ ตั้งแต่ที่เปเลชละ แต่มาตกหนักรัวๆ ที่บราชอฟ ไอ่เราก็ดีใจ เพิ่มความพี๊คกับปราสาทแดร็กคูล่าไปอีกกกก แบบ อากาศอีมครึม หิมะตก ไรงี้ ความ medieval ไปอีกกกกก โถ่ ไม่น่าโง่เลย T_T



ค่าเข้าปราสาทก็ 20 Ron (ประมาน 200 บาทไทย) พอจ่ายค่าเข้าปุ๊บก็ถึงเวลาตะกายดอย คือจำได้ว่าทั้งหนาวทั้งลมแรง แถมยังต้องเดินขึ้นเขาอีก สิ่งที่คิดไว้คือข้างในต้องเริ่ดหรูอลังค์เหมือนที่เปเลชชัวร์


(แก รูปนี้เรา resize ประมาน 5 รอบ ไม่ถึง 700KB สักที คือไรรรรรร นี่แบบ ตั้ง quality ที่ low แล้วนะ ฮรือออ คือรูปอื่นได้หมด คือไรขาาาา)



อันนี้ไม่เกี่ยวแต่นางเป็นหมาของคนขายของตรงหน้าปราสาท นางเดินไปเดินมา ใครให้ของกินนางจะเมินใส่ ไม่กินของจากคนแปลกหน้า เรายังเดินไปไม่ถึงครึ่งทางเลย นางวิ่งไปวิ่งมา วิ่งผ่านเราไปสองรอบละ อึดมากเจ้าหมาน้อย



- ไม่ถึงรูปปราสาทสักที จริงๆ นี่ สร้างความตื่นเต้น เป็นแบบ increase tension ก่อนจะ ตู้มมมม !!!!



ระหว่างทาง ที่พักถ่ายรูปไม่ใช่อะไร เหนื่อยไง นี่ตะกายดอยอยู่นะ หนาวก็หนาว -10/-15 ได้


(ในสแน็ปแช็ตนางบอก -12 เรานี่แบบ ทำไมรู้สึกหนาวกว่านั้นยะ! นี่มัน Spring ได้ไง ไหนบอกกก พูดดดดด)

ไม่ถึงสักที ดูจากข้างล่างดูไม่ไกล แต่นี่เดินนานละ ไม่ถึงสักที -_-



ขอเล่าก่อนว่าทางเดินขึ้นไปดูกว้างอยู่ แต่พอไปถึงยอด บันไดที่จะเข้าไปในปราสาทคือแคบมาก (เน้นมากมาก) เดินสวนกันไม่ได้ ไม่มีราวจับ และลื่นมากๆ เพราะหิมะตก หลายคนไม่ได้เข้าไปเพราะกลัวตกบันได แต่เราไฟต์ไง แบกกล้องปีนป่ายสุดๆ แล้วชุดนี่ไม่ได้ใส่มาเตรียมปีนป่ายเลยค่าาา


แต่ชะนีไฟต์ ชะนีมาแล้ว ชะนีต้องไฟต์!!


แถ่นแถ๊นนนนนนนนน !!!


Bran Castle (Castelul Bran) หรือ ปราสาท บราน มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน แม้ไม่ทราบปีที่ก่อตั้งที่แน่ชัด แต่นักประวัติศาสตร์คาดว่าน่าจะประมานช่วงปี 1200 ถึง 1300 ปราสาท บรานเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในนามของปราสาทแดร็กคูล่า เนื่องจากเป็นสถานที่ตั้งของนวนิยายเรื่องแดร็กคูล่าของผู้แต่ง แบรม สโตกเกอร์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากความโหดร้ายของ Vlad III เจ้าของปราสาทแห่งนี้นั่นเอง

ที่มา: ป้ายในปราสาท



ในที่สุดก็ปีนมาถึงข้างบน (เย่) เสี่ยงตายหลายรอบมากกว่าจะขึ้นมาถึงตรงนี้ ที่ภาพไม่ชัดเพราะมือสั่นน่ะ ไม่ใช่อะไรหรอก



ไต่ขึ้นแล้วก็ไต่ลงมา จริงๆ ตอนแรกจะไม่โพสรูปนี้ แต่ที่โพสเพราะอยากเล่าเบื้อหลังของภาพนี้ คือรูปนี้เราไม่ได้เป็นคนถ่าย


#อวดผัวไทม์ กรุณาข้ามไป 5555555

ขุ่นแฟนเป็นคนถ่าย สาเหตุที่นางได้กล้องเราไปเพราะว่าเราล้ม เราใส่รองเท้าบูทไป แล้วทีนี้เหมือนมันมีหิมะติดอยู่ พอลงบันไดมาก็เลยลื่นขึ้นสุดท้าย ก้นจ้ำเบ้า แทนที่นางจะมาช่วยเรา เรารีบรับกล้องไปดูว่ากล้องเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วก็ลองกล้องโดยการถ่ายรูปนี้



หลังจากที่หายเจ็บแล้วเราก็ไต่บันไดลงมาต่อที่ชั้นล่าง หลังจากเดินทั่วแล้ว


สรุปได้ว่าไม่มีอะไรน่าสนใจหรือคุ้มค่าพอสำหรับการเสี่ยงเจ็บตัวจากความชันของบันได

พวกเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ถูกแทนที่ด้วยของสะสมของ Queen Marie (1914-1927) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของเล่นต่างๆ เช่นพวกรถเหล็กหรือหุ่นไม้

บางห้อง (เช่นห้องนอน) ถูกจัดไว้ให้คล้ายกับในสมัยก่อนที่สุด แต่ของหลายชิ้นหายไป ทำให้ความน่ากลัวหรือ vibe ของปราสาทนั้นหายไปจนหมดสิ้น โอเค แยกย้าย

(ทำแบบนี้ตบชะนีตกเหวตั้งแต่ตอนปีนขึ้นมาด้วยความหวังอันเปลี่ยมล้นเถอะค่ะ!!!!)



บรานเป็นปราสาทที่วิวข้างนอกสวยกว่าของข้างใน วิวรอบๆ ก็สวย



ลากันด้วยรูปนี้ พอแต่งสีแล้วมันสวยดี


สำหรับรูปที่ไม่ได้อยู่ในอัลบัม หรือเป็นที่เป็นทาง หรือเป็นหมวดเป็นหมู่

สามารถรับชมได้ ณ Facebook: https://www.facebook.com/23kmx/

(เพราะงานขายคืองานของเรา) เอ๊ะ ยังไง 5555555

ณ ตอนนี้ ขอลา

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

บะบายยย~


รัก


- 23kmx (ชื่อไอจีก็อันนี้นะ บอกแล้วว่าเน้นขาย 55555)

23km away from home

 วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.21 น.

ความคิดเห็น