เรามากันที่จุดเริ่มต้นของทริปนี้ดีกว่า
ถั่นถ๊านนนนนน
ปารีส แวร์ซาย
ทริปนี้เริ่มต้นที่ความอยากส่วนตัวและเงินในบัญชีมีพอพอดี เลยถามเพื่อนร่วมทางว่าจะไปมั้ยอ่ะ ปารีส ? นางก็เช็คเงินในบัญชีละก็บอกว่าโอเค
วันนั้นเลยวางแผนไปทำวีซ่า (ทำวีซ่าที่สก็อตแลนด์ตามลิ้งค์นี้ > https://www.facebook.com/23kmx/posts/935393749890760 ของแท้ต้องขายของ ต้องมีโฆษณากั้น บอกเลย 5555555)
เราไม่ได้นั่งเครื่องไป เพราะ
1) ไม่ชอบเครื่องบินเล็ก ถ้าจะไปถูกแบบถู๊กถูก (มากสุดไม่เกิน £40 ถ้าจองก่อนนานๆ) ก็บิน RyanAir ซึ่งก็เป็นเครื่องเล็กอ่ะ มันสั่น น้องกลัว ._.
ส่วน 2) คือกระเป๋ามันใหญ่ง่ะ เพราะไม่ได้ไปแค่ปารีสไง จะไปโรมาเนียต่อด้วย เลยมีกระเป๋าใหญ่ในนึง (ซึ่ง 80% ในนั้นเป็นของเรา) และใบลากแครี่ออนอีกคนละใบ เลยคิดว่านั่งรถไฟไปดีกว่า แถมยังเป็นหนึ่งใน Bucket List ของเราก่อนมาด้วย (นั่ง Eurostar ไปยุโรป)
ค่าน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มอาจจะมากกว่าค่าที่นั่งก็ได้นะเออ
ค่าเสียหายรวม:
- £163 (ประมาน 8,000 บาท/คน จัดเป็นค่ารถไฟไปปารีสและไปลอนดอนอันใหม่เพราะตกรถไฟขบวนแรก)
คิดว่า ถ้านั่งเครื่องตั้งแต่แรกอาจจะสาหัสน้อยกว่านี้ ._.
นั่งรถไฟมาได้ประมานสามชั่วโมงก็ถึงที่หมายและความพีคก็เริ่มขึ้นทันที
ความพีคแรกคือมีประเป๋าสามใบและต้องนั่งเมโทร (รถใต้ดิน) ไปโรงแรม
สถานีรถไฟอยู่ตะวันออกเฉียงเหนือของปารีส โรงแรมอยู่ตะวันตกเฉียงใต้
ไหนๆ ก็มาแล้วมะ ก็ไฟต์ต่อกันไป กว่าจะถึงโรงแรมก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า ล้องหั้ยหนักมั่ก
แถมระบบซื้อตั๋วยังงงๆ อีก นี่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องซื้อตั๋วแบบไหน เลยซื้อแบบเป็นเที่ยวๆ ราคาเที่ยวละ 1,8 € (ที่ยุโรปฝั่งนี้เค้าใช้ , กับ . สลับกัน อันนี้ก็คือ 1.8 นั่นแหละ บอกไว้ จะได้ไม่งง)
แนะนำว่าใครอยากไปปารีสแบบประหยัดให้พกเค้าเตอร์เพนไปด้วย นี่ปวดเมื่อยมากกกกก กระเป๋าก็ไม่ใช่เบาๆ ยี่สิบกว่าโลได้ ชะนีปกติไม่มีกล้าม ตอนนี้นึกว่านักเพาะกาย
ไปถึงโรงแรม...... เจ้าหน้าที่ไม่พูดอังกฤษค่า คือแบบ เดินทางมาเหนื่อยๆ ยังต้องมาสื่อสารภาษามืออีก แต่เห็นมีป้ายบอกว่าพูดสเปน เลยถามเป็นภาษาสเปนว่าพูดสเปนมั้ยคะ นางก็บอกว่า พูดได้ๆ แล้วก็สื่อสารกันด้วยภาษาสเปนตั้งแต่นั้นมา
โรงแรมตั้งอยู่ ณ สถาที Pernery สาย 13 (สีฟ้า) เดินออกมาแล้วเจอเลย
จองไปทั้งหมด 3 คืน รวมค่าเสียหายทั้งหมดเท่ากับ 230€ (สำหรับสองคน) หรือประมาน 9,000 บาท
โรงแรมชื่อว่า Hotel L'Oasis สามารถจองใน Booking.com ได้ที่:
อีกหนึ่งความพีคคือพอมาถึงโรงแรม เอาของออกจากกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็หิวไง ทำไงหละ ก็ตีหนึ่งแล้ว ทุกอย่างปิดหมดแล้ว ทางเลือกเดียวคือ delivery พอถามอากู๋แล้วสิ่งแรกที่ขึ้นมาคืออาหารญี่ปุ่น ถามว่าสั่งมั้ย สั่งสิ
เราใช้เครือค่ายของ 3 (three) ที่อังกฤษ มันเอามาใช้ที่นี่ได้ฟรี (และอีกหลายๆ ประเทศเลยนะ) โทรได้ อินเตอร์เน็ตได้ 4G ก็มา
พอโทรไป เค้าพูดอังกฤษได้ คือแบบ รู้สึกเหมือนสวรรค์ประทานมากบอกเลย เราก็สั่งๆ แล้วบอกที่อยู่ไป บอกว่าจะจ่ายแป็นเงินสด ค่าอาหารทั้งหมดประมาน 23€ ซึ่งก็ประมานพันกว่าบาทไทย ถามว่าตอนจ่ายมือสั่นมั้ย บอกเลยว่ามาก มากขนาดไหนหรอ? แลกกับซูชิง่อยๆ สี่ห้าชิ้น ข้าวไก่เทอริยากิหนึ่งจานและซุปมิโซะหนึ่งถ้วย มากขนาดนั้นแหละ T_________T/
รูปเปิดอัลบัมต้องมา
วันนี้สองก็แงะตัวเองออกจากเตียงมาให้ทันเวลาอาหารเช้าของโรงแรมซึ่งปิด 10 โมง (อาหารเช้ามื้อละ 9€ ไม่กินไม่ได้ค่า TT/)
ด้วยราคาแล้วก็คาดหวัง Omlette ไรงี้ (Omlette du fromage ปะละ) นี่ก็แต่งหน้าลงไปกินข้าว พอไปถึง สวัสดีค่า ครัวซองต์สองชิ้น ขนมปังแบบ Baguette อีกครึ่งชิ้น น้ำส้มกับนมอย่างละ 1 แก้ว
แต่ก็นะ อาหารเช้า เดี๋ยวก็เที่ยงแล้ว
พอกินเสร็จก็ขึ้นมาบนห้องเพื่อดูเช็คลิสท์ว่าวันนี้จะไปไหนบ้างและอากาศข้างนอกเป็นยังไง ปรากฏว่า 5 องศา (ก่อนมาเช็คแล้วว่า 10+ ชัวร์ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ชุดที่เอามาก็มีแต่กระโปรง ร้องไห้แป๊บ)
บางทีเราก็คิดนะ ว่าอยู่อังกฤษมาตั้งนาน หนาวหน้าสั่นมาแล้วก็หลายครั้ง ปารีสเป็นเมืองหลวง จะหนาวขนาดไหนเชียว?
หึหึ
Places:
1. Notre-Dame
2. Louvre Museum
3. Le Marais (Kraft Hotdog)
4. Eiffel Tower
ขอขอบคุณ Worada E. สำหรับคำแนะนำเรื่องเที่ยวปารีสและเป็นล่ามจำเป็นให้ในยามลำบาก นี่อาจจะไปไม่ถึงสนามบินถ้าไม่มีนาง กราบบบบบ
นั่งจากสถานี Pernety (โรงแรม) สาย 13 สีฟ้าไปเปลี่ยนเป็นสาย 10 สีเหลืองที่สถานี Duroc และไปเปลี่ยนเป็นสาย 4 สีม่วงอีกทีที่สถานี Odéon เพื่อที่จะไปลงที่สถานี St-Michel Notre-Dame
ออกเดินขึ้นมาจากเมโทรคือทุกอย่างสวยงามมาก ทั้งวิวทั้งอากาศ พอเดินข้ามถนนมาทางเลียบแม่น้ำเท่านั้นแหละ นักเร่รายเงินก็แห่กรูกันเข้ามารัวๆ มาทั้งในแบบให้ลงชื่อรับของรางวัลบ้าง ขายพวงกุญแจหอไอเฟลบ้าง เดินตามบ้าง ผมนี่รีบก้าวเดินตรงไปที่ Notre Dame เลยครัช :<
เหมือนเป็นแหล่งท่องเที่ยวของปารีส มิชฉาชีพเลยเยอะนิดนึง ใครจะไปปารีสระวังกันด้วยนะคะ
แน่นอนว่าคนต้องเยอะรัวๆ นี่ขนาดไปเช้าแล้ว ยังมีคนไปเช้ากว่า ตอนแรกจะเดินไปถ่ายรูปอีกฝั่งด้วย แต่เพราะว่ามันเริ่มจะสายแล้ว จะรีบไปต่อแถวเข้าลูฟวร์ เลยไม่ได้เดินอ้อมไปเลย (._.)/
เปิด City Mapper ดูแล้วไม่น่าจะไกล ในแอปฯ บอกว่าเดินประมาน 10 นาที ด้วยความที่อากาศ (ยัง) ไม่หนาวมาก เราเลยเดิน แต่เอาจริง เดินแล้วเจอวิวแบบนี้ก็น่าเดินนะ
สวยจนต้องข้ามถนนไปถ่ายรูป ลืมไปชั่วขณะว่าต้องรีบไปต่อแถวเข้าลูฟ
อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นรัวๆ นี่ก็ใส่กระโปรงออกมาเพราะตอนเช้าไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ ดีนะที่ยังใส่ถุงน่อง ก็เช็คก่อนเดินทางแล้วนะว่าอากาศไม่หนาวมาก อยู่ดีๆ ทำไมหนาว ทำไมต้องแกล้งกัน เสียใจแป๊บ :<
ระหว่างทางก็เจอหลายๆ อย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ตอนเขียนก็มานั่งกูเกิ้ลเอาว่าที่นี่คือที่ไหน (ความกากอยู่ตรงนี้นะครัช) เดินผ่าน Sainte-Chapelle แต่ไม่ได้เข้าไปเพราะว่าดูจากแถวแล้วก็เพลียใจรัวๆ จำได้ว่าตอนนั้นเวลาประมาน 10 โมง คือโหดมาก ไม่รู้ว่าคนแรกมาต่อตั้งแต่กี่โมง (._.)/
เดินตาม City Mapper นางบอกให้เดินตรงไปแล้วจะเจอลูฟวร์ เราก็เดินตรงไปนานมาก เดินเดิน 10 นาทีได้ เดินไปไม่เจอสักที แต่บรรยากาศดีมาก รถไม่เยอะ คนไม่เยอะ และตึกสวยมากกกกก
เดินไปก็หลงไป เดินกลับไปกลับมาหลายรอบมาก จนไปไปหยุดที่ข้างหลังของ Louvre Palace (ซึ่งถามเพื่อนคนฝรั่งเศษแล้วนางบอกว่านี่คือ French Parliament ซึ่งคือไม่ใช่จ้า -_______- แกทำชั้นหลงงงง เช้อะ) ละคือไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ใน City Mapper ก็บอกว่าถึงแล้วนี่ไงลูฟวร์! ดีส อีส ลูฟวร์! เราก็แบบ ไหนพีระมิด? หะ? ไหน? แอปฯ มั่ว! จำได้ว่ายืนเถียงกับมือถืออยู่นานมาก (-_-)/ จนเห็นคนเดินผ่านประตูเข้าไป เลยเดินมั่ง
แถ่นแถ๊นนนน เข้าไปกลาง Cour Carrée ซึ่งสวยมากกกกกก สวยสุดไรสุด (เราจะเว้นเรื่องคนขายไม้เซลฟี่ที่ตื้อมากจนเราอยากรีบถ่ายรูปแล้วเดินหนี)
ไม่ได้ถ่ายเป็นรูปไว้เพราะมัวแต่ถ่ายวีดีโอ อันนี้ที่ไม่ชัดเพราะแคปมาจากวีดีโออีกที จะทำ Vlog แต่ต้องดูความขี้เกียจก่อนรัวๆ
เดินผ่านสแควร์นี่ไปก็คือพีระมิดลูฟวร์!! โอยยย ถึงสักที ปลาบปลื้มมากกกก
อยากเข้าไปดูภาพ Liberty Leading the People ของจริงสักครั้ง แต่เห็นจำนวนคนแล้วก็บายรัวๆ แถมอยู่ดีๆ อากาศก็หนาวขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ทำให้ต้องหาที่หลบภัย ซึ่งแน่นอนว่าคือร้านขายของที่ระลึกของลูฟวร์นั่นเอง (เรื่องเสียเงินก็มา) สุดท้ายคือซื้อโปสการ์ดรูป Liberty Leading the People และรูปรูปปั้น Nike of Samothrace มาแทน
ตอนนั้นเป็นเวลาประมาน 11 โมง ซึ่งก็สายแล้วสำหรับการเข้าลูฟวร์ ดูจากจำนวนคนแล้ว ไม่แน่ในว่าหนึ่งทุ่มจะได้เข้าหรือเปล่า :<
พวกเธอดูจำนวนคนซะก่อนนนนนนนน แลัวแถวไม่ได้มีท่าทีจะขยับเลยแม้แต่นิด ร้องไห้แป๊บ
คิดไว้ว่าวันต่อไปจะมาใหม่แต่เช้าแบบ เจ็ดแปดโมง มานอนรอก่อนไปแวร์ซาย เสียใจมาก อยากดูจริงๆ นะ T_T
หลังจากช็อปจนสบายใจแล้วก็นั่นเมโทรจะไป Le Marais จริงๆ จะไปช็อปตามรอยควีนเจ (Jessica Jung, อัลบัม With Love, J ออกแล้วนะ MV เพลง FLY คืองานพรีเมี่ยมมากกกกกก #ขายของไทม์) แต่ไหนๆ ก็เที่ยงแล้ว ก็ไปกินข้าวด้วยเลย ได้ยินมาว่าฮอตด็อกร้าน Kraft อร่อย
เดินจากลูฟวร์ไปหน่อยจะเป็นสถานีเมโทร Châtelet ซึ่งนั่งไปแค่ 1 สถานีก็ถึง Hôtel de Ville
คือใช้เมโทรมาก็หลายครั้งนะ นั่งแบบ แปดเก้าสถานีไรงี้ ไม่เป็นไรเลย พอนั่งแค่สถานีเดียวนี่ดันโดนล้วงกระเป๋า คือผู้ชายข้างหลังกระซิบว่า "พ้อกเก้ดๆๆ" เราก็หันไปถามว่า "Pardon?" นางก็ชี้ๆ ที่กระเป๋า เราก็งงๆ พอหันไปเท่านั้นแหละค่า พาสปอร์ตกับกระเป๋าตังค์ลงมานอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นแล้วข่าาาาาา!! ตอนั้นตกใจมาก รีบหยิบขึ้นมาเช็คของดู บัตรอยู่ครบ พาสปอร์ตอยู่ บัตรวีซ่านักเรียนอยู่ แต่สิ่งที่ไม่อยู่คือแบงค์ 50€ นะครัช คือยังดีที่มีเงินสดแค่นั้น (ส่วนมากใช้บัตร) ยังดีที่ตอนนั้นถือมือถือไว้กับมือเพราะกำลังเอารูปจากกล้องเข้ามือถือเพื่อจะส่งให้แม่
เสียใจง่ะ หงุดหงิดด้วย นี่คือเซ็งมาก เดิน Le Marais ไม่สนุกเล่อะ
ว่าจะถ่ายรูปฟรุ้งฟริ้งแบบควีนเจสักหน่อย อากาศก็หนาว จะเดินไป Hôtel de Ville ก็หนาว ลมแรงอีก ละคือใส่กระโปรงไป
เลยเดินไปกินฮอตด็อกแบบเซ็งๆ
(รูปถ่ายจากมือถือเพราะขี้เกียจหยิบกล้องออกมาถ่ายง่ะ ไม่ได้แต่งด้วย ซอรี่ ._.)
พอไปถึงร้าน คือบรรยากาศดีมาก คนขายคือแบบ ดูอัธยาศัยดี เห็นเราเป็นนักท่องเที่ยวเลยชวนคุย พอเล่าให้ฟังเรื่องโดนล้วงกระเป๋า นางก็บอกว่าพวกเมโทรที่ติดกับสถานที่ท่องเที่ยวอ่ะมีคนพวกนี้เยอะ ไม่เป็นไรนะ มีลูกค้าหลายคนที่โดนแบบนี้ เค้าจะจ้องคนที่ดูเป็นนักท่องเที่ยวเพราะรู้ว่ามีเงินสดเยอะ (เสียใจย่ะ ชั้นอยู่อังกฤษ ชั้นใช้บัตร เช้อะ)
เห็นว่าพนักงานอัธยาสัยดี บวกกับความหงุดหงิดชั่วคราว เลยกินฮอตด็อกไป 4 ชิ้น (don't judge me :<)
มาปารีสแล้วต้องไปไหน?
มาปารีสแล้วก็ต้องไปหอเหล็กไอเฟล แต่ไม่ขึ้นแล้วนะเมโทร ขึ้นอูเบอร์แทน หงุดหงิดมาก เรียกอูเบอร์เลย เช้อะ
หอไอเฟลของจริงเป็นยังไง?
เป็นหอเหล็กที่สูงมาก คือเอาจริงก็รู้นะว่าสูง แต่พอมาเห็นของจริงมันสูงกว่าที่คิดเยอะมาก ตอนแรกคิดไว้ว่าจะขึ้นไป พอเห็นละก็บาย บายจำนวนคน บายความสูง และก็บายเมื่อรู้ว่าต้องจองล่วงหน้า
คิดๆ ดูแล้ว ถ้าขึ้นไปถ่ายรูปจากข้างบนแล้วไม่เห็นหอไอเฟล จะรู้มั้ยว่าเป็นปารีส? ก็อาจจะ ก็อาจจะไม่ ในเมื่อหอไอเฟลคือสัญลักษณ์ของปารีสไปแล้ว ใช่ป่ะ? โอเค
วิวแม่น้ำ Seine ระหว่างเดินไปที่ระเบียงสถานี Trocadéro สวยมากกกกกกกกกกกกกกก โอ้ย ชอบบบบบ งามสุดไรสุด
คุยกับพี่ (พี่นางไปปารีสบ่อย) พี่บอกวิวหอไอเฟลที่ดีที่สุดถือตรงสถานทีเมโทร Trocadéro ซึ่งตรงนั้นจะมีระเบียงออกไป มองจากตรงหอไอเฟลคือเป็นเขาที่ต้องปีนบันไดขึ้นไปตรงระเบียง คือตะกายดอยอีกแล้ว คือร้องไห้แป๊บ (T_T)/
ปล: นกพิราบนางไม่ยอมหลบอ่ะ นางอยากเป็นนางแบบ นางโพสอยู่นานมาก จนเราถ่ายรูปหอไอเฟล ถ่ายรูปคู่กับหอไอเฟล ถ่ายรูปให้คนอื่นคู่กับหอไอเฟลก็แล้ว นางยังอยู่เลย
ถามว่าวิวคุ้มมั้ย คุ้มมาก แนะนำสุด ใครมาปารีสและจะมาไอเฟล ให้ลงสถานี École Militaire ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม Trocadéro โดยมีหอไอเฟลขั้นกลาง แล้วเดินจากสถานีนั้นข้ามแม่น้ำมาขึ้นเมโทรที่ Trocadéro เพราะจะได้ทั้ววิว Champ de Mars หอไอเฟล แม่น้ำ Seine สวน Trocadéro และวิวจากระเบียงนั่นเอง
เพราะหนาวมาก เลยเรียกอูเบอร์กลับโรงแรมเลย เป็นอันว่าจบวัน
A day in Versailles
Welcome to the Cake Party.
วันสามตื่นสาย ตื่นมาก็ประมาน 9 โมงกว่าๆ เลยอดไปลูฟวร์เลย เวลาไม่พอ ไว้ทริปหน้าละกันถ้ามีโอกาศ ._.
ด้วยความที่ขี้เกียจมากๆ ถึงขั้นมากที่สุด เลยว่าจะไม่กินอาหารเช้า (เอาจริงแอบเสียดายเล็กๆ คิดอยู่นานมากว่าจะทิ้งเก้ายูโรดีมั้ย ฮรือออ แพงเหลือเกิน)
คุณป้าเจ้าของโรงแรมมาเคาะประตูถึงห้องตอนสิบโมงพร้อมถาดอาหารเช้า มีทั้งครัวซองต์ นมร้อน นมเย็น น้ำส้ม เนย แยม มาครบเป็นถาด เรานี่ปลาบปลื้มมาก T_____T/
พอกินข้าว อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จก็เรียกอูเบอร์ไปที่สถานีเมโทร St-Michel Notre-Dame เจ้าเก่าเจ้าเดิม แต่คราวนี้เดินต่อไปที่สถานี RER ซึ่งก็คือรถไฟที่วิ่งรอบนอกของปารีส ซื้อตั๋วได้ที่เครื่องขายตั๋ว ราคาไปกลับ 4 ยูโร จะได้ตั๋วมาสองใบ ระวังอย่าสลับกันนะคะ
พอซื้อตั๋วเสร็จก็มายืนรอรถไฟ ละคือก็งงๆ เพราะสายที่จะไปแวร์ซายคือ RER C ไม่รู้ว่าขบวนไหนคือ C ไง ก็ยืนรองงๆ อยู่สักพัก เริ่มนาน รอประมาน 20 นาทีได้ เริ่มไม่ใช่ละ เลยไปถามพนักงาน พนักงานชี้ไปที่หลังเรา ... คือบอร์ดบอกขบวนอยู่หลังเรา เรามองไม่เห็นเอง นี่คือพลาดรถไฟไปสองขบวนแล้ว -___-
ความโง่นะครัช ความโง่
ลงสถานีปลายทางเลย แม้สองสามสถานีก่อนปลายทางจะมีคำว่าแวร์ซายอยู่ก็ตาม นี่ลงไปแล้ว เลยต้องรอขบวนต่อไปมาแล้วค่อยขึ้นต่อ เราโง่ให้คุณแล้ว 555555
ปล: ได้กิน Escargot แล้ว ดีงามสุดอะไรสุด ชื่อร้านคือ Le Boeuf a la mode และนี่คือลิ้งค์จาก Tripadvisor https://www.tripadvisor.com/Restaurant_Review-g187148-d776661-Reviews-Le_Boeuf_a_la_mode-Versailles_Yvelines_Ile_de_France.html
มันดีมากค่ะทุกคน!
พอลงที่สถานีก็เดินข้ามถนนมาทางสตาร์บั๊กส์ (สีดำๆ นั่นคือสถานีรถไฟ ในรูปคือข้ามถนนมายืนหันหลังให้สตาร์บั๊คแล้ว) จากตรงนี้ให้หันหน้าเข้าสตาร์บั๊คส์แล้วเดินไปทางซ้ายแล้วเลี้ยวขวาจะเจอทางเดินตรงๆ กว้างๆ ที่มีต้นไม้อยู่สองข้างทาง ให้เดินตามทางนั้นไปจนสุดก็จะเห็นลานจอดรถหน้าพระราชวังแวร์ซาย
เดินมาอีกก็จะเห็นรูปปั้นพระราชา Louis XIV (หลุยส์ที่สิบสี่) ซึ่งเป็นพระราชาที่ครองราชนานที่สุดในยุโรป (72 ปีกับ 110 วัน) มีความเชื่อว่ารูปปั้นทรงม้า ถ้าม้ายกสองขาขึ้นคือเสียชีวิตระหว่างการสู้รบ แต่ถ้ายกขาข้างเดียวคือแค่บาดเจ็บ แต่เสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่น พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่เสียชีวิตวันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ. 1715 ก่อนยุคปฏิวัติฝรั่งเศษนิดนึง
ปล: พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ไม่ใช่สามีของมารี อ็องตัวแน็ตนะจ้ะ นางคู่กับหลุยส์ที่สิบหก ซึ่งเป็นหลานของหลุยส์ที่สิบสี่ แต่นางก็เคยอยู่ที่วังแวร์ซายนี่แหละ พระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกสร้างวังเล็กๆ ให้นางกลางสวน Gran Trianon (สวนหลังวังฯ ที่ใหญ่มากกกกกกกกกกกกกก ขับรถกอล์ฟใช้เวลาประมานชั่วโมงนึงได้กว่าจะรอบ) ชื่อว่า Petit Trianon จริงๆ มีรูป แต่มันไม่สวยง่ะ ขับรถไฟถ่ายไป ถาพเบลอมาก รอวีดีโอละกันนะ ._.
อ่ะอ่ะ ความโง่อีกอย่างคือวังปิดวันจันทร์ ........
เราไปวันจันทร์ .......
เสียใจขนาดไหน พูดดดด T______T
ในเมื่อวังปิด เราก็ทำได้แค่เดินเล่นในสวนหลังวัง ถามว่าสวนใหญ่ขนาดไหน บอกเลยว่าขับรถกอล์ฟหนึ่งชั่วโมงยังไม่รอบ -_____-
Le Bassin d'Apollo
(The Fountain of Apollo)
Le Bassin d'Apollo
พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ทรงให้ขุดบ่อน้ำให้ใหญ่ขึ้นเพื่อที่จะสร้างรูปปั้นเทพอะพอลลโล เทพแห่งดวงอาทิตย์ ด้วยเหตุที่ว่าพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่เป็นที่รู้จักในนาม The Sun King นั่นเอง
ธีมหลักของสวนคือเทพเจ้ากรีกโบราณ สองข้างทางตลอดทางเดินจากวังลงมาที่บ่อน้ำนี่ก็ถูกตกแต่งด้วยรูปปั้นเทพจากตำนานกรีกโบราณทั้งหมด สวยมาก ถ้ามีเวลาอยากให้ไปกัน นำอาหารมาปิกนิคด้วยก็ได้ บรรยากาศดีมาก (ถ้าไม่หนาว) ที่มีรูปแค่นี้ก็เพราะมัวแต่ถ่ายวีดีโอ ._.
ขากลับนั่ง RER กลับมาลงที่สถานี Invalides (เราอ่านว่า อิน-บา-ลี-เดส มานานมาก ถึงว่าคนไม่ค่อยเข้าใจเวลาถามทาง แต่หลังจากถามเพื่อนเอกฝรั่งเศสแล้ว ... มันอื่นว่า "แอ็งวาลีด" ขอขอบคุณเมวอร่าอีกรอบครัช ._.) เราก็จะเจอ .... พี่ทอม!! เอ้ย ไม่ใช่ ลีโอนาโด ดีคาปีโอ! เอ้ย ก็ไม่ใช่อีก
สิ่งที่เจอคือ Pont Alexandre III สะพานชื่อดังที่ใช้ถ่ายหนังมาแล้วไม่รู้กี่เรื่อง ทั้ง Inception ทั้ง Midnight in Paris คือสวยมากกกกกกกกกก ที่บอกว่าไม่ค่อยชอบปารีสเพราะคนเยอะ ขอถอนคำพูด ที่นี่สวยและสงบมาก ตอนกลางวันน่าจะสวยกว่านี้ แต่กลางคืนก็สวยพอกัน โอ้ยยย ดีงามมมมมม ถ้าเดินเลยไปหน่อย เวลาถ่ายรูปจะเห็นทั้งสะพาน ทั้งหอไอเฟล ดีงามล้นแปด ใครอยากเดินชมวิวยามดึก ขอแนะนำที่นี่ ดีมากจริงๆ
ที่เป็นขาวดำเพราะพยายามปรับสีแล้วมันไม่สวย เลยเป็นขาวดำเลย ดราเมติกสุดๆ
หมดแล้ว
ทริปนี้ไม่เน้น ฝศ เพราะหลังจากที่โดนล้วงกระเป๋าไปวันแรก บวกกับราคาหลายๆ อย่างที่แพงมหาโหด เลยทำให้หมดสนุกเลย
._.
อย่างไรก็ตาม ถึงเวลาสปอนเซอร์หลัก
แม่.
55555555
และขายของไทม์:
เพจ https://www.facebook.com/23kmx/
ขอบคุณค่ะ
รัก
- 23kmx (< นี่ชื่อไอจีเอง ฮั่ลโหล 55555)
23km away from home
วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.53 น.