การเดินทางรอบนี้เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนครับ บังเอิญได้ไปอยู่ที่ San Francisco ช่วงหนึ่งและพอมีเวลาว่างก็รวบรวมกำลังพลขับรถเที่ยวลงไปทางใต้ของซานฟราน เลาะไปตามชายฝั่งของมหาสมุทร Pacific ตามเส้นทางที่มีชื่อเสียงว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดที่หนึ่งในอเมริกา คือ Highway 1 (California State Route 1) ลงไปจนถึงเมือง Santa Barbara บางคนถ้ามีเวลาหน่อย ก็ขับยาวลงไปถึง Los Angeles หรือ Seattle เลยก็ดีครับ

วิวทิวทัศน์ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคตามถนนที่เราจะไปนี้ ก็คงเข้ากับห้วข้อกระทู้ “ที่เดิม แต่ไม่เคยเหมือนเดิม" ที่บังเอิญเป็นอารมณ์ดราม่าช่วงนี้พอดี 555 เพราะในแต่ละวันภาพที่เห็นอาจไม่เหมือนกันเลย บางทีต้องลุ้นว่าจะมีหมอกบังทุกอย่างทำให้ไม่เห็นวิวอะไรเลยหรือเปล่า เหมือนไปซานฟรานแล้วบางทีอาจมองไม่เห็น Golden Gate Bridge หรือไปญี่ปุ่นแล้วอาจไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิอะไรประมาณนั้น ตอนวางแผนมานี่ลุ้นแล้วลุ้นอีก เพราะเป็นช่วงที่ฝนตกเกือบทุกวันมาตลอดเดือนธันวา แต่โชคดีที่ช่วงที่มาฟ้าใสและไม่มีฝนแล้ว


ในวันที่มีหมอก

Highway 1 นี่จริงๆ ยาวตั้งแต่ Orange County ทางใต้ของลอสแองเจลลิสขึ้นไปจนบรรจบกับ US highway 101 แถว Mendocino County แต่ส่วนที่เป็น scenic route ที่มีชื่อเสียงคือตั้งแต่ Carmel ไปจนถึง San Luis Obispo ครั้งนี้พวกเราจะไปเที่ยวส่วนของ Monterey Bay Area, Big Sur, เมือง Solvang และ Santa Barbara ครับ ระยะทางรวมจากซานฟรานซิสโกจนถึงเมือง Santa Barbara ก็ประมาณ 350 ไมล์ (one-way) แต่ขากลับพวกเราจะขับกลับทาง US highway 101 ซึ่งระยะทางจะสั้นกว่าประมาณเกือบ 50 ไมล์ และใช้เวลาเร็วกว่า (ประมาณ 1 ชั่วโมง)



ในรีวิวนี้ไม่ได้พูดถึงทุกจุดที่เป็นจุดชมวิวนะครับ เพราะไม่ได้แวะไปทุกจุด จะพูดเฉพาะจุดที่สำคัญและที่เคยไปครับ ถ้าละเอียดต้องเอารีวิวจาก idol เรื่องการท่องเที่ยวของผมไปตามลิงค์นี้เลยครับ http://pantip.com/topic/32138581


ถนนเส้นนี้นอกจากจะสวยงามขึ้นชื่อแล้ว ยังมีชื่อเป็นถนนเส้นที่ค่อนข้างอันตราย คงเพราะเป็นถนนสองเลน บางช่วงโดยเฉพาะช่วงตั้งแต่ Big Sur จนถึง San Luis Obispo อาจมีโค้งเยอะหน่อยและบางช่วงติดขอบหน้าผา (แต่ก็มีรั้วกั้นให้) แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้ขับยากอะไรและรถก็ไม่ได้เยอะมากด้วยเพราะไม่ใช่ถนนเส้นหลัก (แต่อาจต้องเตรียมยาแก้เวียนหัวไว้หน่อย)


ถ้าออกเดินทางจากซานฟรานซิสโก อาจเข้า highway 1 ได้ตั้งแต่ช่วง Half Moon Bay หรือ Santa Cruz ซึ่งก็เป็นที่ๆ คนนิยมมาพักผ่อนพอสมควร และจะผ่าน Pigeon Point Lighthouse ที่หยุดถ่ายรูป ชมวิวที่มีชื่ออีกที่หนึ่งในแถบนี้ แต่เราจะไม่ได้ไปจุดนั้น เพราะจะอ้อมและเสียเวลากว่า รวมทั้งวิวทะเลก็ไม่ได้สวยไปกว่าที่ๆ เราจะไปกัน เลยขับลงมาที่ Monterey เลย

Pigeon Point Lighthouse ที่แวะมาครั้งก่อน (ถ่ายเมื่อ ก.ค.2557)

ขับมาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงก็มาถึง Monterey (จุด 1 ในแผนที่ข้างบน) -- Monterey เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางใต้ของ Monterey Bay ที่นี่มีที่เที่ยวที่สำคัญคือ Fisherman's wharf และ Monterey bay aquarium ที่ Fisherman's wharf จะมีกิจกรรมอย่างหนึ่งคือการล่องเรือดูปลาวาฬ อันนี้ยังไม่เคยไปครับ ส่วน Aquarium เป็นที่ที่มีชื่อเสียงมากในแถบนี้ แต่ค่าเข้าค่อนข้างแพงทีเดียว คือ ประมาณ 39$



อันนี้รูปจากทริปก่อน เพราะคราวนี้เราไม่ได้เข้า เนื่องจากวางแผนจะต้องลงไปจนถึง Mcway Falls ก่อนมืด


ถ้าไม่ได้เข้าชมหรือทำกิจกรรมอะไร ที่นี่ก็เป็นที่ที่แวะกินกลางวันได้ ซึ่งมีร้านอยู่พอสมควร และสามารถเดินชมวิวทะเลได้

จาก Monterey ขับต่อลงมาไม่นาน ก็จะถึงเมืองเล็กๆ ชื่อ Carmel-By-The-Sea หรือเรียกสั้นๆ ว่า Carmel (จุด 2 ในแผนที่ข้างบน)


ซึ่งอยู่ใน Monterey County เช่นกัน ที่นี่ก็เป็นอีกที่ที่แวะเดินเล่นในเมืองได้ มีร้านเล็กๆ น่ารักๆ ร้านอาหารพอสมควร และชายหาดยังเป็นที่นิยมในการมาพักผ่อนและเล่นน้ำแต่คลื่นค่อนข้างแรงโดยเฉพาะฤดูหนาว และบางจุดมีหินเยอะ ทำให้กิจกรรมทางน้ำไม่มากเท่าแถบ Santa Cruz เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็น dog friendly city อีกเมืองนึง ดังนั้นจะเห็นคนพาสุนัขมาวิ่งเล่นเต็มหาดไปหมด เห็นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้

ระหว่างทางระหว่าง Monterey และ Carmel จะมีถนนที่เป็น scenic road คือ 17-Mile Drive ซึ่งวิ่งเป็นวง เลียบไปตาม Pebble beach และ Pacific grove สำหรับคนที่ไม่มีเวลาจะขับลงไปไกลกว่านี้ สามารถแวะดูวิวชายฝั่งแปซิฟิคจากที่นี่ก็ได้ แต่เสียค่าเข้าน่าจะประมาณ 10$ ที่นี่มีหลายประตูทางเข้า แล้วแต่ว่าวิ่งมาจากไหน ตามแผนที่ข้างล่างครับ


แผนที่ 17-mile drive

แต่ครั้งนี้เราขับผ่านที่นี่ข้ามไป Carmel และลงต่อไปตาม Highway 1 เลย เพราะวิวทางใต้สวยกว่า

รูปด้านล่างเป็นวิวช่วงที่ขับตาม 17-mile drive เป็นวิวที่เห็นตามโปสการ์ด


ถัดลงไปจาก Carmel ประมาณ 6.7 mile ก็จะถึง Garrapata State Park (จุด 3 ในแผนที่ข้างบน) จะมีความยาวตามชายหาดประมาณ 2 ไมล์ มีจุดชมวิวให้จอดรถและเดินลงไปยังชายหาดได้


ในฤดูใบไม้ผลิประมาณเดือน มี.ค.-ก.ค. จะมีวิวนึงที่คนถ่ายรูปชอบมาถ่าย โดยเฉพาะเวลาพระอาทิตย์ตก คือมุมที่เห็นดอก Calla Lilies บานเป็นแถวยาวออกไปทางชายหาด (แต่ไม่แน่ใจว่าช่วงเดือนอื่นๆ จะบานบ้างหรือเปล่านะครับ) สามารถมาจุดนี้ได้ตรงทางเดินที่ลงไปยังชายหาด Garrapata Beach (Gate 19) (จะเห็นรถจอดเยอะๆ ข้างทาง) ลงบันไดแล้วเดินตามชายหาดไปทางเหนือ จะเห็นร่องน้ำตื้นๆ ที่มีน้ำไหลลงมายังทะเล แล้วเดินย้อนตามขึ้นไปก็จะเจอ แต่จุดนี้ตอนที่ผมแวะมารอบนี้ น้ำทะเลขึ้นสูงทำให้เดินต่อไปไม่ได้ หรืออาจเดินมาจากทางด้านบนก็ได้ครับทาง Gate 18 แต่ป้ายเล็กมากๆๆ


Calla Lilies (ถ่ายตอน เม.ย.2557)

ขับต่อลงมาอีกหน่อย ก็จะเจอสะพาน Rocky Creek Bridge (จุด 4,5 ในแผนที่ข้างบน)


ถัดมาก็จะเจอสะพาน Bixby Bridge (จุด 4,5 ในแผนที่ข้างบน) ซึ่งแสดงว่าเราเริ่มเข้าสู่ Big Sur แล้ว ซึ่งอยู่ห่างจาก Carmel ลงมาประมาณ 13 ไมล์


ขับเลยต่อมาจะมีจุดชมวิวมองย้อนกลับไปทางสะพาน


มากันเป็นคู่ก็โรแมนติคดีนะครับ เป็นที่ที่สร้างความทรงจำดีๆ ได้มากมายทีเดียว


ดอก California poppy (ช่วงเดือน เม.ย.2557)


Big Sur แรกๆ ก็งงๆ ว่าตกลงเป็นเมืองหรืออะไร แต่จากวิกิฯบอกไว้ว่าเป็นเหมือนบริเวณหนึ่งในแถบ Central coast ซึ่งไม่มีขอบเขตชัดเจน แต่กินระยะทางประมาณ 90 ไมล์ตั้งแต่ Carmel river ลงมา


จาก Bixby bridge ขับลงไปเรื่อยๆ ไปจนถึงทางเข้าของ Pfeiffer beach ตอนแรกเราจะข้ามตรงนี้ไปก่อนเพราะอยากกลับมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก ที่มีแสงอาทิตย์ส่องลอดช่องหินออกมาเป็นลำ แต่ปรากฏว่าหาดปิด...เลยอด เลยวิ่งต่อไปดูพระอาทิตย์ตกที่จุดต่อไปเลยซึ่งขับต่อไปประมาณครึ่ง ชม. ก็คือ Julia Pfeiffer State Park (จุด 6,7 ในแผนที่ข้างบน)

ที่บริเวณนี้จะมีจุดชมวิวน้ำตกที่ตกลงมาที่ชายหาดลงมหาสมุทร ชื่อว่า Mcway Falls ซึ่งใน North America มีน้ำตกเพียง 5 ที่เท่านั้นที่ตกลงมายังมหาสมุทร สามารถจอดรถได้ในตัว park แล้วเดินมาตาม waterfall overlook trail หรือจอดริมถนน (แต่ต้องระวังหน่อยเพราะแคบแต่จอดฟรี) แล้วเดินตามทางเดินลงไปยังจุดชมวิว นอกจากนี้ภายในตัว park มี trail ให้เดินและมีน้ำตกเล็กๆ ภายในเช่นกัน


Waterfall overlook trail เดินจากจุดจอดรถใน Julia Pfeiffer State Park

ที่จุดสิ้นสุดของ trail จะเป็นซากบ้านพักของเจ้าของพื้นที่เดิมที่นี่


วิวน้ำตก (ถ่ายตอน เม.ย.2557 ประมาณ 14.00 น. ถ้ามาช่วงพระอาทิตย์ลงต่ำจะค่อนข้างย้อนแสงหน่อย ช่วงนั้นพระอาทิตย์ตกประมาณสองทุ่ม)


รูปนี้จากทริปนี้ ช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกซึ่งจะตกเร็วเพราะตอนนี้เป็นฤดูหนาว (ประมาณ 17.30 น.) ความเห็นส่วนตัว มันสวยตอนที่แสงอาทิตย์ฉาบหน้าผาและน้ำตก


จากจุดนี้ไปเราก็จะยิงยาวไปยังที่พักที่ใกล้ๆ กับ Hearst Castle (จุด 8,9 ในแผนที่ข้างบน) ที่เราจะมาเที่ยวกันพรุ่งนี้ โดยจุดที่พัก คือ San Simeon มีโรงแรมและร้านอาหารไม่มากนัก ส่วนใหญ่ร้านอาหารจะเป็นของโรงแรมซะมากกว่า ทำให้ถ้าไปกินช้า คิวจะค่อนข้างยาว แต่สะดวกและใกล้ตัวปราสาท จากบริเวณนี้ถ้ากลับซานฟราน ก็สามารถเบี่ยงเข้าสู่เส้น US highway 101 ได้ ไม่ต้องย้อนอ้อมกลับทางเดิม


โดยปกติ ถ้ามีเวลาค้างหนึ่งวัน ผมจะลงมาถึงประมาณแถวนี้แล้ววันรุ่งขึ้นก็ค่อยไปปราสาทแล้วขับกลับ แต่ถ้ามาเช้าเย็นกลับ มักจะลงมาถึงแค่ Mcway Falls แล้วก็กลับครับ


วันรุ่งขึ้น เราออกเช้าหน่อยไปแวะที่จุดชมวิว elephant seal (แมวน้ำช้าง) หรือ Piedras Blancas Rookery (จุด 8,9 ในแผนที่ข้างบน) ซึ่งอยู่ย้อนขึ้นไปจาก Hearst Castle ประมาณ 10 นาที


คุณพ่อ


และเด็กๆ


และก็รีบลงมาที่ตัวปราสาทให้ทันเวลาทัวร์ปราสาท การมาเที่ยวที่ปราสาทนี้ต้องจองทัวร์เพื่อเข้าชม จะมีแบ่งเป็นสามส่วนใหญ่ๆ (ไม่รวม evening tour) คือ ส่วน Grand rooms tour, Upstairs Suites tour และ Cottages and Kitchen tour ทัวร์ละ 25$ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที สำหรับคนที่เคยมาครั้งแรกหรือครั้งเดียว ควรเลือก Grand rooms tour เพราะเป็นจุดหลักๆ ของปราสาท

http://hearstcastle.org


Hearst Castle นี้อยู่ใน San Simeon อยู่บนพื้นที่ของนาย William Randolph Hearst มหาเศรษฐีนักหนังสือพิมพ์ ผู้ผลิตภาพยนตร์และนักสะสมงานศิลปะ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแห่งนี้ตั้งแต่ปี 1919 และมีสถาปนิกผู้ออกแบบคือ Julia Morgan ตัวปราสาทใช้เวลาสร้างนานมากเพราะ Hearst มีการเปลี่ยนแบบตลอดเวลา จนเมื่อเขาเสียชีวิตในปี 1951 ปราสาทก็ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ระหว่างที่ Hearst ยังมีชีวิตอยู่ ปราสาทแห่งนี้มักถูกใช้เป็นที่จัดงานสังสรรค์ของกลุ่มคนมีชื่อเสียงทั้งนักการเมืองและดาราฮอลลิวู้ดอยู่เป็นประจำ ในตัวปราสาทตกแต่งอย่างหรูหรา มีห้องต่างๆ กว่าร้อยห้อง มีสระว่ายน้ำภายนอกและภายใน สนามเทนนิส หรือแม้กระทั่งโรงหนังเล็กๆ ปัจจุบันปราสาทนี้ตกเป็นของรัฐ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอย่างที่เราได้มากัน ผมได้มาทั้งหมดสองทัวร์ ครั้งแรกที่มาคือ Grand rooms tour และอีกครั้ง (ก็คือรอบนี้) ได้จองเป็น Upstairs Suites tour ไป ส่วน Cottages and kitchen ไม่เคยไปครับ

การมาที่นี่ก็ขับรถมาจอดที่ Visitor center และไปรับตั๋ว เขาจะมีให้ขึ้นรถบัสต่อขึ้นไปยังปราสาทซึ่งอยู่บนภูเขาด้วยระยะทางประมาณ 5 ไมล์

วิวปราสาทบนยอดเขามองจาก Visitor center

เส้นทางรถบัสจาก Visitor center ขึ้นไปยังตัวปราสาท

ภายนอกปราสาท


สระว่ายน้ำสุดอลังการของที่นี่ (Neptune Pool) แต่มาสองรอบปิดซ่อมทั้งสองรอบ


Grand rooms tour เป็นทัวร์ห้องหลักๆ ของบ้านที่ใช้ต้อนรับแขกและปาร์ตี้ และได้ดูหนังสั้นๆ เกี่ยวกับบ้านหลังนี้ตอนท้ายทัวร์ด้วย ทัวร์นี้จะอยู่ชั้นล่างของบ้าน คนที่ใช้รถเข็นสามารถเข้าทัวร์ได้



Indoor Pool (Roman Pool)


Upstairs Suites tour จะเป็นส่วนของห้องนอน ห้องสมุด ห้องทำงาน


ห้องนอนท่าน Hearst


ห้องสมุดและห้องทำงาน



------------------------------------------------------

จากจุดนี้เราก็ขับรถต่อมุ่งไปที่เมืองที่เราจะพักคืนนี้คือ Solvang (จุด 10 ในแผนที่ข้างบน) -- Solvang เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใน Santa Ynez Valley ใน Santa Barbara County ลักษณะสิ่งก่อสร้างและร้านค้าจะตกแต่งแบบน่ารักๆ สไตล์แดนิส (เดนมาร์ก) และมีกังหันลมเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองนี้ (จุดเขียวในแผนที่ข้างล่าง) กิจกรรมที่ทำในเมืองนี้มีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็มาแวะเดินเล่น กินอาหาร ชิมไวน์ และอาจเลยต่อไปเมืองอื่นๆ ต่อไป แต่เราพักที่นี่คืนนึง



เราออกจาก Hearst Castle ก็เกือบบ่ายโมงแล้ว และแวะกินอาหารกลางวันกันที่ San Luis Obispo กว่าจะมาถึง Solvang ก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว จะมืดพอดี แต่ตัวเมืองมีบริเวณให้เดินดูไม่มากนัก เดินเพลินๆ ดูร้านต่างๆ ตกแต่งน่ารักดี ช่วงนี้มีประดับประดาไฟคริสต์มาสด้วย


ที่นี่ก็มีชื่อเสียงเรื่องเบเกอรี่เช่นกัน


เราอยู่ที่นี่แค่ช่วงเย็น พักหนึ่งคืนและออกเดินทางไป Santa Barbara พรุ่งนี้เช้า


---------------------------------------------------------


วันรุ่งขึ้นเราก็ขับรถต่อกันไปยังจุดสุดท้ายของทริปนี้คือเมือง Santa Barbara (จุด 11 ในแผนที่ข้างบน) ที่นี่เป็นที่ๆ นิยมของนักท่องเที่ยวแถบแคลิฟอร์เนียอีกที่นึง ไม่ว่าจะเป็นจุดแวะพัก มาพักผ่อนหย่อนใจแถบชายหาดและทะเล มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะเล็กๆ สวนสัตว์ ร้านอาหารมากมาย ที่เมืองนี้จะมีสองส่วนหลักๆ คือส่วน downtown และท่าเรือ/ชายหาด ซึ่งน่าเดินเที่ยวมากทั้งสองส่วน

ส่วน downtown จะมีร้านค้าร้านอาหารมากมาย ตกแต่งได้น่าเข้าและน่าเดินมาก นอกจากนี้ยังมี Historic landmark ให้เดินชมได้รอบๆตามแผนที่ด้านล่าง ถ้าจะง่ายก็เริ่มเดินจากหมายเลข 1 คือ County Courthouse ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของที่นี่

Walking tour : Historic Landmarks (รูปนี้เอามาจากรีวิวของคุณ One Light One Shadow ตามลิงค์ในต้นกระทู้ครับ)

ตัวเมือง อาคารตกแต่งอย่างสวยงาม มองเห็นภูเขาเป็นฉากหลังในบางช่วง สวยทั้งเมืองเลยครับ


County Courthouse สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1929 ภายในและภายนอกตกแต่งสวยงามสไตล์ Spanish-Moorish ประตู หน้าต่าง กระเบื้อง มีลวดลายสวยงาม และยังมีหอนาฬิกาซึ่งสามารถเดินขึ้นไปชมวิวของเมืองในมุมสูงได้ 360 องศา


Courthouse Santa barbara

ภายใน Courthouse

วิวเมืองจากจุดชมวิวบนหอนาฬิกา


จุดที่มีเสน่ห์มากอีกจุดของที่นี่คือ ส่วนของชายหาดและท่าเรือ ซึ่งดูได้ตามแผนที่ข้างล่าง ถ้าเราเดินมาจากถนนเส้นหลักของเมือง คือ State Street ตรงมาเรื่อยๆ จะเจอรูปปั้นปลาโลมา ซึ่งเป็นส่วนที่เรียกว่า Stearns Wharf จะมีร้านอาหาร, aquarium เล็กๆ อยู่ ที่นี่ถูกสร้างขึ้นกว่าร้อยปีแล้ว โดย John P Stearns ถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของที่นี่เช่นกัน


ส่วนทางเดินบริเวณ Stearns Wharf


ถ้าเดินไปทางตะวันตก (ทางซ้ายของแผนที่) ก็จะไปที่ Santa Barbara Harbor ซึ่งเป็นท่าจอดเรือ มีวิวทะเล เรือ และภูเขาเป็นฉากหลัง สวยมาก


Leadbetter Beach (เส้นสีเหลืองในแผนที่)

ส่วนปลายทางเดินของ Santa Barbara Harbor


เสร็จจากจุดนี้เราไปชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ East beach ซึ่งเป็นชายหาดกว้าง คนไม่มากนัก ทรายค่อนข้างละเอียด


East beach (เส้นสีน้ำเงินในแผนที่)

นอกจากจุดที่กล่าวไป Santa Barbara ยังมีที่แวะเที่ยวอีกหลายที่ทั้งพิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ ถ้ามีเวลาก็สามารถแวะเข้าชมได้ครับ



ราปิดท้ายการเดินทางตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคที่นี่ ตลอดเส้นทางมีวิวชายฝั่งที่สวยงาม มีจุดแวะมากมาย เป็นอีกที่นึงที่ไม่ควรพลาดถ้าได้มาเยี่ยมเยือนแคลิฟอร์เนียครับ

ติดตามการท่องเที่ยวอเมริกาและที่อื่นๆ ได้ทาง https://breathemyworld.com นะครับ

ขอบคุณครับ :)




Breathe-My-World

 วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.54 น.

ความคิดเห็น