สวัสดีมิตรรักนักชิมทุกท่านครับ วันนี้กระผมนาย “ภรรยาหา สามีใช้" จะพาทุกท่านไปสำรวจและอิ่มหนำสำราญกันแบบพุงปลิ้นไม่แคร์สื่อกันกับห้องอาหารที่ชื่อว่า The Pavilion ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ครับ โดยหลังจากนี้ผมขออนุญาตตัดชื่อเรียกห้องอาหารลงสั้นๆ ให้เหลือแค่ Pavilion พอนะครับ จะได้กระชับๆ หน่อยครับ


เอาล่ะครับ ขั้นแรกนี้ผมขอให้ทุกท่านเตรียมท้องให้พร้อม เลือกกางเกงหลวมๆ ขยายเข็มขัดออกกว้างๆ เมื่อเสร็จแล้วเรามาเริ่มก้าวไปพร้อมๆ กันเลยครับ


ห้องอาหาร Pavilion เป็นหนึ่งในห้องอาหารหลักของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนพระราม 4 ตัดกับถนนสีลม โดยห้องอาหารแห่งนี้ถูกย้ายตำแหน่งไปมาอยู่หลายครั้งและล่าสุดได้ย้ายมาอยู่ที่ชั้นล่างสุดของโรงแรมครับ หากใครที่เข้ามาทางประตูฝั่งถนนพระราม 4 ให้เลี้ยวขวามาแป๊บเดียวก็จะเจอเลย ส่วนคนที่เข้ามาทางฝั่งประตูถนนสีลมให้เดินตามทางมาซักพักก็จะเจอครับ เรียกได้ว่าสามารถมาได้ง่ายๆ จากทั้ง 2 ประตูครับ



ห้องอาหารแห่งนี้เป็นห้องอาหารแบบ open นะครับ นั่นคือ ไม่ได้เป็นห้องปิดแยกออกไปชัดเจน ทำให้คนที่มาใช้บริการโรงแรมสามาถมองเห็นเราได้อย่างไม่ยากครับ สำหรับพื้นที่ของห้องอาหารก็ไม่กว้างมากครับ ผมคะเนด้วยสายตาดูแล้วน่าจะจุได้ราวๆ 120-130 คนครับ


ในวันจันทร์-เสาร์ ห้องอาหารแห่งนี้จะเปิดบริการวันละ 3 รอบ คือ รอบเช้า กลางวัน และเย็นครับ ส่วนในวันอาทิตย์นั้นจะเปิดบริการเพียง 2 รอบเท่านั้น คือ รอบเช้า และมื้อพิเศษอย่าง Sunday Brunch ซึ่งอัตราค่าบริการในแต่ละวันแต่ละรอบก็จะแตกต่างกันออกไปครับ สำหรับมื้อที่ผมไปทานนั้นเป็น Sunday Brunch ของวันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2559 โดยสามารถเริ่มทานได้ตั้งแต่เวลา 12.00 น. จนถึงเวลา 15.00 น. และมีอัตราค่าบริการอยู่ที่ท่านละ 1,550 บาท/คน ++ (เมื่อรวม Vat 7% และ Service Charge 10% แล้วก็จะอยู่ที่ประมาณ 1,825 บาท/คน ครับ)


หมายเหตุ : ในช่วงที่ผมไปนั้นทางห้องอาหารมี Promotion พิเศษที่น่าสนใจมากๆ อยู่อันนึงครับนั่นคือ หากคุณไปทั้งหมด 4 คน จะจ่ายเพียงคนละ 999 บาท/คน ++ เท่านั้นเองครับ (รวม Vat และ Service Charge แล้วจะอยู่ที่ประมาณ 1,176 บาท/คน) เรียกได้ว่าลดไปเยอะมาก หรือหากใครที่หาคนไปร่วมก๊วนครบ 4 คนไม่ได้ก็คงต้องดูโปรโมชั่นของบัตรเครดิตต่างๆ ดูครับ ผมเห็นแว้บๆ ว่ามีร่วมหลายการอยู่หลายธนาคารเลยครับ



ห้องอาหารแห่งนี้จะวางไลน์อาหารเป็นรูปวงกลมนะครับ โดยมีอาหารที่เป็นอาหารหนักพวกข้าวและกับข้าวต่างๆ อยู่ตรงกลางครับ จากนั้นจะมีไลน์อาหารประเภทต่างๆ เช่น Grill Station, Cold cut, ชีส, ขนมปัง, สลัด, ญี่ปุ่น, จีน, ซีฟู้ดส์แล้วก็ของหวานอยู่รอบๆ ครับ ซึ่งเดี๋ยวผมจะพาไปดูแบบเจาะลึกทีละโซนๆ เลยนะครับว่ามันมีอะไรกันบ้าง แต่ด้วยความที่ผมเองก็เป็นเพียงผู้ชายตัวเล็กๆ ที่กินไม่จุ ดังนั้นอาหารบางรายการจะมีเพียงรูปให้ดูเท่านั้นแต่ไม่มีรสชาติกำกับบอกนะครับ เพราะเมนูอาหารมันเยอะมาก ผมชิมทั้งหมดไม่ไหวจริงๆ ครับ ขนาดแค่ชิมอย่างละนิดอย่างละหน่อย น่าจะไม่ถึงครึ่งของเมนูทั้งหมดที่มี วันนั้นผมยังแทบกลิ้งกับบ้านเลยครับ เดี๋ยวเราเริ่มกันที่ไลน์ตรงกลางก่อนเลยนะครับ หน้าตาจะเป็นแบบนี้ครับ


ที่ไลน์นี้จะมีพวกข้าวและก็กับข้าวหลากหลายประเภทเลยครับ ซึ่งหน้าตามันน่าทานมากกกกก โดยเฉพาะขาหมูกับหมั่นโถวครับ แต่นี่เป็นไลน์ที่ผมไม่ได้แตะไม่ได้ชิมเลยซักคำ เพราะว่าพื้นที่ในท้องผมมันโดนอย่างอื่นแย่งชิงไปหมดแล้วครับ @_@



วันที่ผมไปนั้นมีเมนูอาหารในไลน์นี้ตามนี้ครับ ใครที่ดูแล้วชอบใจ ถ้าได้มีโอกาสไป ผมรบกวนฝากชิมแล้วมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะครับว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้างครับ


- คอร์นมีทย่างกับสตูว์เห็ด

- แกะอบกับแครอทและฟักทอง

- สตูว์เนื้อกับไวน์แดงฝรั่งเศส

- น่องไก่อบ

- ปลาหิมะทอดในซอสมะเชือเทศ

- ฉู่ฉี่ปลาแซลมอน

- ขาหมูกับหมั่วโถว

- หน่อไม้ฝรั่งผัดกุ้ง

- เนื้อผัดพริกไทยดำ

- ข้าวผัดแกงเขียวหวานไก่

- ซุปแครอทเย็น



ก็จบไลน์อาหารไลน์แรกที่อยู่ตรงกลางกันแล้วนะครับ ทีนี้ผมจะเริ่มพาไปดูไลน์อื่นๆ ที่อยู่รอบๆ บ้างครับ เริ่มจากไลน์ที่เป็น Grill Station กันก่อนเลยดีกว่าครับ เพราะนี่เป็นหนึ่งในไลน์ที่ผมชอบมากครับ อาหารมีไม่เยอะ แต่อร่อยมากแทบทุกอย่างที่ได้ชิมครับ หน้าตาสเตชั่นก็จะประมาณนี้ครับ



เมนูอาหารที่มีก็ได้แก่ เนื้อเวลลิงตัน, ปูอบชีส, แฮมอบ, แซลมอนอบ, ซี่โครงหมูบาร์บีคิว, กระเบื้องทะเล และหมูสามชั้นทอดน้ำปลาครับ


ที่สเตชั่นนี้เค้าจะมีพ่อครัวคอยประจำการอยู่นะครับ ทั้งหั่น ทั้งทำนู่นนี่ให้ครับ และก็ใครอยากได้ซอสอะไร ปรุงแต่งรสชาติยังไงก็มีให้ครบๆ ที่นี่เลยครับ



สำหรับรายการที่ผมได้ชิมที่สเตชั่นนี้ก็มีตามนี้ครับ



- แฮมอบ บอกเลยว่าอันนี้อร่อยมากกก หอม นุ่ม ห้ามพลาดเลยครับ

- เนื้อเวลลิงตัน จานนี้ก็อร่อยครับ เนื้อสุกกำลังดี ไม่เหนียว เสิร์ฟพร้อมกับขนมปัง ใครที่ชอบกินเนื้อ ต้องจัดเลยครับ

- หมูสามชั้นทอดน้ำปลา จานนี้เฉยๆ ครับ

- ปูอบชีส อร่อยมากครับ เค็มๆ มันๆ ตักกินแป้บเดียวหมดตัวเลยครับ

- แซลมอนอบ จานนี้กลางๆ ครับ รสชาติตามมาตรฐานทั่วๆ ไป

- ซี่โครงหมูบาร์บีคิว อร่อยดีครับ ซี่โครงชิ้นใหญ่ ก็เลยทำให้มีเนื้อเยอะด้วยครับ


จบจาก Grill station แล้ว มาต่อกันที่โซนถัดไปครับ โซนนี้จะเป็นพวก cold cut แล้วก็อาหารทานเล่นจานเล็กๆ ครับ มีหลายเมนูเหมือนกันครับ แต่ผมมีเป้าหมายในการชิมที่ใหญ่กว่านี้ก็เลยไม่ได้ชิมอะไรในโซนนี้เลยครับ



มาต่อกันที่โซนถัดมาครับ โซนนี้จะมีพวกสลัด, ขนมปัง แล้วก็ชีสครับ โดยสลัดนี่มีน้ำสลัดและท็อปปิ้งให้เลือกเยอะมากครับ ส่วนชีสก็ถือเป็นทีเด็ดของห้องอาหารแห่งนี้เลยครับ เพราะว่ามีการตั้งเป็น Cheese corner เลยครับ มีให้เลือกตักหลายประเภทมาก แต่ตัวผมเองไม่ใช่สายผัก ไม่ใช่สายชีสก็เลยข้ามโซนนี้ไปแบบไม่ได้ชิมอะไรเลยครับ ฮา



ปล. เท่าที่ผมเดินผ่านไปผ่านมาหลายรอบ เจ้า Cheese corner นี่มีคนสนใจหลายคนเลยนะครับ โดยเฉพาะเด็กชาวต่างชาติ ผมเห็นเด็กคนนึงเดินไปตักหลายรอบมากกกก



ต่อกันที่โซนถัดมาครับ โซนนี้จะมีอาหาร 2 สัญชาติรวมกัน คือ ไทยกับจีน โดยอาหารไทยที่ว่านี่จะเป็นพวกยำต่างๆ แล้วก็ลาบครับ ซึ่งเค้าจะมีตัวอย่างอาหารที่เราสามารถสั่งได้วางให้ดูที่หน้าเคาเตอร์ครับ และจะมีเชฟสวยๆ อย่างในภาพนี้นี่แหละครับที่จะเป็นคนคอยทำให้



เท่าที่ผมจำไม่ผิดน่าจะสามารถสั่งเมนูได้ 4-5 อย่างเลยมั้งครับ แต่ผมไม่ได้ชิมเลย และก็ไม่ได้สั่งมาถ่ายรูปให้ดูด้วยเพราะรู้ตัวว่าสั่งมาก็กินไม่หมด เสียดายของเปล่าๆ ครับ เอาเป็นว่าใครที่ชอบทานอะไรเผ็ดๆ หรืออยากหาอะไรตัดเลี่ยน ตัดรสชาติเดิม ก็ลองแวะเวียนมาที่จุดนี้แล้วสั่งเชฟเค้าดูนะครับ ผมว่าน่าจะช่วยได้เยอะเลยครับ


ถัดจากบะหมี่ก็จะเป็นติ๋มซำและก็ข้าวเปล่าครับ ติ๋มซำจะมีขนมจีบ, ฮะเก๋า แล้วก็ซาลาเปาครับ โดยซาลาเปาจะมีทั้งหมด 3 ไส้ ได้แก่ หมูสับ หมูแดง และครีม รายการพวกนี้ผมได้ทานครบทุกอันครับ ตัวขนมจีบกับฮะเก๋า รสชาติกลางๆ ส่วนซาลาเปาผมว่าไส้หมูสับกับครีมอร่อยดีครับ และก็ให้ไส้มาเยอะดีด้วยครับ



เอาล่ะครับ ต่อไปผมจะพาทุกท่านเข้าสู่โซนของคาวโซนสุดท้ายแล้ว และเป็นโซนที่ทำให้หลายๆ คนมุ่งมั่นกับการมากินอาหารที่นี่มากๆ นั่นก็คือ โซนซีฟู้ดส์ครับ!! โดยโซนนี้จะถูกวางไว้คู่กับอาหารญี่ปุ่นครับ ดังนั้นเราแว่บไปดูอาหารญี่ปุ่นกันก่อนนะครับ แล้วค่อยไปจัดหนักกับซีฟู้ดส์กันในตอนท้าย



อาหารญี่ปุ่นของที่นี่มีให้เลือกเยอะดีครับทั้งซาชิมิ ซูชิ แล้วก็ยังมีพวกปูอัด ไข่หวาน ไข่ปลา ยำสาหร่ายให้ตักด้วยครับ ตัวซาชิมินี่อยู่ในเกณฑ์ดีตามมาตรฐานโรงแรมระดับนี้ครับ เนื้อปลาเด้ง แน่นดีครับ



ต่อกันที่ Seafood ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ครับ เรียกว่านี่เป็นเป้าหมายแรกของหลายๆ คนเลยครับ เพราะพอห้องอาหารเปิดเท่านั้นก็มีคนเดินตรงดิ่งเข้ามาที่จุดนี้กันอย่างมากมายเลยครับ แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับว่ามันจะมีน้อย มันจะหมด และเราไม่ได้ทาน เพราะว่าที่นี่เค้าจัดเต็มมาก พอเริ่มพร่องปั๊บพนักงานก็ทยอยนำมาเติมเลยครับ เติมชนิดที่ว่าอีก 15 นาทีจะ 15.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ห้องอาหารจะปิดแล้ว พนักงานยังมีเดินเอามาเติมอยู่เลยครับ เรียกได้ว่ากินกันได้จนวินาทีสุดท้ายเลยครับ ><



เจ้า Seafood Station นี่ มีประเภทของเนื้อให้เลือกหยิบเยอะมากครับ ไม่ว่าจะเป็นปู กุ้ง หอย หอยนางรม กั้ง แล้วก็ปลาหมึกครับ โดยเจ้าหอยนางรมนี่มีถึง 6 สายพันธ์เลยนะครับ กินกันให้คลอเรสเตอรอลทะลักเลย @____@



แล้วก็ถ้าใครสังเกตภาพด้านบนเมื่อกี้ดีๆ จะเห็นว่ามีเจ้าล็อบสเตอร์ (lobster) อยู่ใน Station นี้ด้วยครับ สำหรับทุกคนที่มาทาน Sunday Brunch นั้น จะสามารถสั่งล็อบสเตอร์มาทานได้คนละหนึ่งตัวครับ โดยจะมีพนักงานมาถามคุณที่โต๊ะตั้งแต่แรกๆ เลยครับว่าสนใจจะรับมั้ย และจะรับเป็นอะไรระหว่างนึ่งหรือย่างครับ ซึ่งเมนูนี้ผมแนะนำเลยครับว่าให้สั่งทุกคนครับ!! ใครไม่ทานก็ไม่เป็นไรสั่งมาก่อน เดี๋ยวเพื่อนเราทานให้แน่นอนครับ......ฮา


และก็ผมแนะนำว่าให้สั่งตั่งแต่เนิ่นๆ เลยครับ เพราะว่ามันใช้เวลาในการทำนานพอควรอยู่ครับ กว่าที่วันนั้นผมจะได้ก็น่าจะราวๆ 20 นาทีได้ครับ โดยผมกับภรรยาสั่งไปคนละตัว เป็นแบบนึ่ง 1 ตัว และแบบย่าง 1 ตัวครับ หน้าตาจานที่ผมได้จะเป็นแบบนี้ครับ สำหรับจานอื่นๆ อาจจะหน้าตาแตกต่างไปบ้างครับ แต่เรื่องรสชาติและขนาดของล็อบสเตอร์ไม่หนีกันครับ


จานแรกคือแบบนึ่งนะครับ ส่วนจานที่สองคือแบบย่าง สีจะแตกต่างกันเล็กน้อย แบบย่างเนื้อจะสีเข้มกว่าและเนื้อดูแห้งกว่าเล็กน้อย สำหรับเรื่องรสชาติว่าอันไหนอร่อยกว่าแบบไหน ผมว่าแล้วแต่คนเลยครับ โดยส่วนตัวผมว่าแบบนึ่งเนื้อนิ่มกว่า ทานง่ายกว่าแบบย่าง ผมจึงชอบแบบนึ่ง ส่วนภรรยาผมเธอชอบแบบย่างเพราะเธอบอกว่าเนื้อมันแน่นๆ กว่าครับ เอาเป็นว่าถ้าใครมีโอกาสได้ไปกับเพื่อนก็ลองสั่งมาทั้ง 2 แบบเลยนะครับ และก็ลองเปรียบเทียบรสชาติกันดูครับว่าชอบแบบไหนมากกว่าครับ



เอาล่ะ เรามาดูขนาดของก้ามและก็ความยาวของลำตัวมันกันดีกว่าครับ ด้านความยาวของลำตัวไม่ยาวมากนัก แต่ขนาดของตัวโดยรวมก็ใหญ่กว่ากุ้งทั่วไป 2-3 เท่าได้ครับ ส่วนก้ามนั้นใหญ่พอดูเลยครับ ที่สำคัญเจ้าก้ามนี่ทานง่ายมากด้วย เพราะเค้าแกะเปลือกมาให้เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ



ทีนี้เรามาดูรูปของเนื้อซีฟู้ดส์ประเภทอื่นๆ กันบ้างครับ ว่ามันจะเยอะและน่ากินแค่ไหนครับ อย่างที่บอกไปตอนต้นครับว่ามันมีครบมากไม่ว่าจะเป็นปู กุ้ง หอย หอยนางรม กั้ง หรือปลาหมึก โดยเนื้อพวกนี้เราสามารถหยิบมาแล้วก็ทานได้เลยครับ เท่าที่ผมได้ชิมมาความสดของแต่รายการอยู่ในระดับที่ดีมากเลยครับ



ในส่วนของน้ำจิ้มนั้นจะมีให้เลือกสองแบบครับคือ น้ำจิ้มสีเขียว แล้วก็น้ำจิ้มที่สีออกส้มๆ แดงๆ ครับ แบบสีเขียวรสชาติจะออกเปรี้ยวๆ หน่อย ส่วนแบบสีส้มรสชาติจะเผ็ดกว่าหน่อย ซึ่งตัวผมเองคิดว่าแบบสีส้มนี่รสชาติเผ็ดกำลังดี ไม่เผ็ดจนเกินไป แต่สำหรับคนที่ชอบทานเผ็ดๆ อาจจะคิดว่ามันจัดจ้านน้อยไปหน่อยครับ ซึ่งก็คงต้องทำใจเพราะเดาว่าทางห้องอาหารคงไม่กล้าทำเผ็ดมาก เพราะน่าจะมีลูกค้ามาทานหลายกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างชาติซึ่งทานเผ็ดมากไม่ค่อยได้ครับ ส่วนเครื่องเคียงต่างๆ เช่นกระถิน หอมเจียว เลมอนก็สามารถหยิบเพิ่มเติมได้จากบริเวณสเตชั่นนี้ได้เลยครับ



ปล. ก้ามปูของที่นี่ยาวมากกกกกครับ ยาวกว่ามีดอีก @_@ แล้วก็กะเทาะเปลือกมาให้เรียบร้อยแล้วด้วย ส่วนกุ้งนี่ก็มีทั้งแบบผ่าซีกและก็แบบแกะเปลือกมาให้เรียบร้อยแล้วครับ ฟิน กินง่ายมาก ><



สำหรับหอยนางรมนั้น มี option พิเศษให้สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการทานแบบสดๆ ด้วยนะครับ โดยเราสามารถที่จะสั่งให้นำไปอบเนย ชีส หรือ กระเทียมได้ด้วย โดยผมได้ลองแบบอบชีส กับ อบเนยมาครับ ต้องบอกว่าอร่อยถูกปากผมมาก เพราะผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทานหอยนางรมสดซักเท่าไหร่ครับ พอนำไปแปรรูปแบบนี้มานี่ จากเดิมที่ทานได้แค่ไม่กี่ตัว กลายเป็นว่าวันนั้นผมจัดไปเยอะเลยครับ เจ้าหอยนางรมที่นำไปอบชีสกับอบเนยนั้นมันจะมีผักโขมใส่มาด้วยนะครับ ส่วนก้อนส้มๆ ตรงกลางนั้นเป็นหินกับเกลือนะครับกินไม่ได้ และอย่าเผลอเอาเนื้อหอยนางรมไปแตะโดนนะครับ เดี๋ยวมันจะทำให้หอยเค็ม T_____T



สำหรับใครที่สั่งแบบอบชีสมา ผมแนะนำให้รีบทานตอนที่พึ่งเสิร์ฟใหม่ๆ นะครับ เพราะชีสมันจะยังเยิ้มๆ อยู่ครับ ส่วนตอนแรกที่ผมบอกไปว่าหอยนางรมที่นี่จะมีทั้งหมด 6 สายพันธ์นั้น เท่าที่ผมพอจะแยกออกก็จะมี 2 สายพันธ์คือ จากฝรั่งเศส ตัวมันจะเรียวๆ ยาวๆ หน่อย ส่วนอีกอันคือจากออสเตรเลีย ลักษณะตัวจะเล็ก สั้นๆ ออกเป็นแนวกลมๆ หน่อยครับ



อ๊ะ..........ผมลืมเรื่องที่สำคัญไปเรื่องนึงก็คือ นอกจากล็อบสเตอร์ และหอยนางรมอบที่เราสามารถสั่งเพิ่มจากพนักงานได้แล้ว เรายังสามารถสั่งฟัวกราส์ได้อีกอย่างด้วยนะครับ โดยเจ้าหอยนางรมอบกับฟัวกราส์นี่เราสามารถสั่งได้เรื่อยๆ ไม่จำกัดจำนวนเลยครับ



ตามปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทานฟัวกราส์ซักเท่าไหร่ เพราะลองทานมาหลายที่แล้วรู้สึกไม่อร่อย ไม่ถูกปาก แต่ไหนๆ ก็มีโอกาสได้ลองชิมในที่ใหม่ๆ แล้วก็เลยลองสั่งมาดูเผื่อจะพบความแตกต่าง ซึ่งหลักจากที่ทางพนักงานได้นำมาเสิร์ฟและลองชิมดู ก็พบว่าตั้งแต่ผมเคยกินฟัวกราส์มา 4-5 ที่ ฟัวกราส์ของที่นี่ถือว่ามีรสชาติดีสุดเลยครับ นุ่ม มัน แล้วก็ละลายดีครับ ดังนั้นสำหรับใครที่ชอบทานเมนูนี้ลองสั่งมาชิมดูนะครับ



และแล้ว ในตอนนี้เราก็จบในส่วนของคาวกันไปแล้ว ต่อไปก็เป็นส่วนของของหวานซึ่งหลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันมีแค่นิดเดียว แต่ผมอยากจะบอกไว้ตรงนี้เลยว่า “มัน เยอะ มาก"

.

.

.

.

.

.

มันเยอะมากจริงๆ ครับ สำหรับไลน์ของหวานของที่นี่ บอกเลยว่าวันนั้นผมน่าจะได้ชิมแค่ราวๆ 20% ของปริมาณของของหวานทั้งหมดที่ทาง Pavilion มีครับ หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผมเว่อร์ พูดโม้เกินไป ถ้ายังไงลองไปดูรูปกับชื่อรายการกันดูนะครับว่ามันมีอะไรกันบ้าง สำหรับรายชื่อบางเมนูผมก็ไม่ได้ใส่มานะครับเพราะหาป้ายชื่อไม่เจอและผมเรียกไม่ถูกครับ ไปดูกันเลยครับ ^^


- ช็อคโกแลตฟองดู

- ข้าวเหนียวมะม่วง

- เครปส้ม (Crepe Suzette)

- บานอฟฟี่

- ทาร์ตไข่

- มาการอง

- สตรอเบอรี่ชีสเค้ก

- เค้กชาเขียว

- บราวนี่

- มาร์ชเมลโล่

- โดนัท

- Panna Cotta

- Pecan Pie

- ทาร์ตผลไม้

- เอแคร์

- ช็อคโกแลตพุดดิ้ง

- ช็อคโกแลตมูส

- Summer Pudding

- ครีมบูเล่กลิ่นใบเตย

- ราสเบอรี่ ช็อคโกแลตเค้ก

- Forest Fruits & Zabaione Bavarian Cream

- ฟรุ๊ตสลัด

- แอ๊ปเปิ้ล สตูเดิล

- ขนมไทยต่างๆ

- ขนมหวาน ประเภทน้ำแข็งไส เช่น เฉาก๊วย สลิ่ม รวมมิตร

- ไอศครีม

- ผลไม้



เป็นยังไงครับ เยอะแยะละลานตามากเลยใช่มั้ยครับ ผมว่าสำหรับคนที่ชอบทานของหวานมากๆ คงชอบไลน์อาหารของที่นี่มากเลยนะครับ มันเยอะแหละหลากหลายมากเลยครับ และด้วยความที่เมนูมันเยอะมากขนาดนี้นี่แหละครับ ประกอบกับผมอิ่มมากๆ มาจากโซนซีฟู้ดส์แล้ว ทำให้ผมได้ชิมของหวานไม่กี่อย่างตามรายการนี้เท่านั้นครับ



- บานอฟฟี่ รายการนี้อร่อยเลยครับ อร่อยมากๆ ด้วย ขนาดผมอิ่มแล้วยังต้องขอกินเบิ้ลอีกหนึ่งครับ ตรงทอปปิ้งด้านบนจะเป็นกล้วยตากนะครับ

- แอปเปิ้ลสตูเดิล เมนูนี้เฉยๆ ครับ ทั้งๆ ที่ปกติผมเป็นชอบทานเมนูนี้มาก ไปที่ไหนไม่พลาดที่จะกินและก็ค่อนข้างพึงพอใจในรสชาติทุกครั้ง แต่สำหรับของที่นี่ผมรู้สึกว่ามันไม่ถูกลิ้นผมเท่าไหร่ครับ และเนื้อแป้งมันออกจะแข็งๆ ไปหน่อยครับ

- ช็อคโกแลตฟองดู เมนูนี้เป็นความเห็นจากคุณภรรยา เพราะเธอชอบทานช็อคโกแลตครับ รสชาติอร่อยถูกปากเธอครับ และคิดว่าสาวๆ หลายคนน่าจะชอบ เพราะมันมีอะไรให้ไปจิ้ม ไปเสียบเจ้าน้ำพุช็อคโกแลตนี่เยอะเลยครับ

- Panna Cotta อร่อยดีครับ ด้านบนสีเหลืองๆ นั่นคือพีชครับ

- เฉาก๊วย และ รวมมิตร รสชาติกลางๆ ไม่ได้มีอะไรประทับใจเป็นพิเศษครับ

- ไอศรีม อร่อยเลยครับ มีทั้งหมด 3 รส คือ ลิ้นจี่เชอร์เบท, มะนาวเชอร์เบท แล้วก็วนิลา ผมไม่ได้ถ่ายรูปมานะครับเพราะตอนตักออกมานั้นมันค่อนข้างเหลวนิดหนึง ถ่ายรูปมาแล้วไม่ค่อยสวยครับ



สำหรับของหวานอีก 2 เมนูที่ผมได้มีโอกาสลองชิมก็คือ เครปส้ม (Crepe Suzette) กับ ข้าวเหนียวมะม่วง โดยทั้ง 2 รายการนี้จะตั้งเป็นสเตชั่นพิเศษอยู่ข้างๆ ไลน์ของหวานหลักนะครับ ไปดูกันที่เครปส้มก่อนครับ ใครที่ต้องการทานก็เดินไปแจ้งพนักงานที่ประจำจุดอยู่ได้เลยครับ เดี๋ยวเค้าจะทำให้ใหม่ๆ เลย



ในเรื่องของรสชาตินั้น ตัวแป้งคือแป้งเลยครับจืดสนิทไม่มีรส ส่วนน้ำที่ราดมาข้นดีครับ อร่อย ออกปนกันหลายรสทั้งหวาน และเปรี้ยว แล้วก็ส้มที่ใส่มาด้านบนนั้นอร่อยดีครับ



ต่อกันที่ข้าวเหนียวมะม่วงครับ เป็นสเตชั่นแยกออกมาต่างหากเช่นเดียวกัน โดยอยู่คนละฝั่งกับเครปส้ม ซึ่งพนักงานบอกว่าสเตชั่นนี้พึ่งตั้งมาไม่นานเองครับ เดาว่าน่าจะมีเฉพาะช่วงนี้เท่านั้นครับ สิ่งที่ดีงามของเมนูนี้คือมันมีข้าวเหนียวให้เลือกเยอะหลายสีมากครับ และก็ไม่ได้มีแค่มะม่วงให้เราเลือกเป็นท็อปปิ้งเท่านั้น แต่ยังมีพวกหน้ากุ้ง หน้าปลาแห้งให้ด้วยนะครับ โดยส่วนตัวผมว่าสเตชั่นนี้เค้าจัดออกมาได้สวยงามดีนะครับ เห็นแล้วแบบว่าต้องเก็บท้องไว้และต้องเดินมากินให้ได้ 55555



สำหรับตัวรสชาตินั้นผมได้ลองชิมเฉพาะข้าวเหนียวมะม่วงครับ โดยทางพนักงานจัดจานมาสวยเป็นกรณีพิเศษสำหรับถ่ายรูปให้ครับ ตัวข้าวเหนียวรสชาติอยู่ในเกณฑ์กลางๆ ยังไม่นุ่มมาก และไม่หอมกะทิเท่าที่ควร ส่วนตัวมะม่วงนั้นผมเจอทั้งลูกที่หวานมากและก็ลูกที่อมเปรี้ยวครับ ถ้าใครได้ชิ้นที่หวานทั้งจานนี่คงจะฟินน่าดูครับ



ในที่สุดเราก็จบไลน์ของหวานกันแล้วครับ หลายๆ คนอาจจะคิดว่าการเดินทางของเรานั้นมันจบสิ้นแล้ว แต่ผมอยากจะบอกว่ายังครับ!! เพราะเรายังมีเรื่องเครื่องดื่มอีกที่เรายังไม่ได้พูดถึงกันเลยครับ โดยห้องอาหาร Pavilion แห่งนี้จะมีพนักงานคอยบริการน้ำเปล่าให้กับทุกท่านฟรีๆ ตลอดเวลาครับ แต่สำหรับท่านที่เบื่อน้ำเปล่า หรือต้องการความแปลกใหม่ในชีวิต ทางห้องอาหารเค้ามีเครื่องดื่มทางเลือกไว้ให้เรา 2 แบบด้วยกันครับ



แบบที่ 1 คือ ชากิ๊บเก๋ยูเรก้า 3 รสชาติครับ โดยเครื่องดื่มชนิดนี้เราสามารถทานได้ฟรีเลยนะครับ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ทางห้องอาหารจะตั้ง Station ไว้บริเวณด้านซ้ายของทางเข้าห้องอาหารครับ ชาทั้ง 3 รสชาติจะถูกใส่ไว้ในแก้วหน้าตาเก๋ๆ ชิคๆ แบบนี้ครับ ซึ่ง 3 รสชาติที่ว่าก็ได้แก่

- ชามะนาว (Lemon iced tea)

- ชามิ้นท์ (Mojito iced tea)

- ชาขิง (Ginger iced tea)


หากท่านสนใจรสชาติไหนก็แจ้งพนักงานได้เลยครับ เดี๋ยวเค้าจะตักน้ำแข็งใส่ให้แล้วเราก็ลองชิมดูที่ตรงนั้นก่อนเลยครับว่าหวานพอดีหรือยัง หากหวานน้อยไปก็ให้พนักงานเติมน้ำเชื่อมเพิ่มได้ครับ สำหรับผมเองได้ชิมครบทั้ง 3 แบบ และพบว่าชอบชาขิงมากที่สุด รองมาเป็นชามะนาวและปิดท้ายด้วยชามิ้นท์ครับ



ส่วนเครื่องดื่มแบบที่ 2 ก็คือไวน์ครับ แต่ว่าส่วนนี้เราจะต้องจ่ายเงินเพิ่มนะครับ โดยการให้บริการเครื่องดื่มไวน์ของที่นี่ไม่ธรรมดานะครับ เพราะว่ามีการจัดเป็น Buffet Wine โดยมีเวลาให้ทานทั้งหมด 2 ชั่วโมงและจ่ายเพียง 500 บาท/คน ++ เท่านั้นครับ



สำหรับผู้ที่สนใจก็เพียงแจ้งพนักงาน เดี๋ยวเค้าจะเอานาฬิกาที่เราเห็นอยู่ในภาพนั่นมาให้เราที่โต๊ะเพื่อเป็นการจับเวลาครับ ผมเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญไวน์เท่าไหร่หรือเรียกตรงๆ ว่าไม่มีความรู้เลยก็ได้ครับ - -“ ก็เลยไม่รู้ว่าไวน์ที่ทาง Pavilion เตรียมไว้รสชาติเป็นอย่างไร คุณภาพในระดับไหน แต่ผมว่ามันมีหลากหลายดีนะครับ และราคาที่เค้าตั้งไว้ก็ไม่แพงเลยครับ ใครสนใจลองดูนะครับ ตัว Station ก็อยู่ด้านหน้าห้องอาหารข้างๆ กับที่วางชาเมื่อกี้เลยครับ รับรองว่าเห็นเด่นชัดแน่นอนครับ



และแล้ว เราก็เดินทางมาถึงจุดสุดท้ายของมื้อนี้แล้วจริงๆ ครับ นั่นคือการทานชาหรือกาแฟปิดท้ายมื้อนี้ของเราครับ สำหรับกาแฟของที่นี่สามารถสั่งเป็นคาปูชิโน่ หรือ ลาเต้ได้ด้วยนะครับ



ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่า ในความเห็นผมหลังจากที่ได้ไปอิ่มจนพุงแทบจะแตกและต้องกลิ้งกลับบ้านในวันนั้น มีความเห็นในมุมต่างๆ กับห้องอาหาร Pavilion อย่างไรบ้างครับ



รสชาติอาหาร : ถึงผมจะไม่ได้กินอาหารทุกประเภทที่เค้ามี แต่เท่าที่ได้ชิมมาถือว่าทุกรายการสอบผ่านและดีมากในหลายๆ รายการเลยครับ โดยเฉพาะ Grill Station อย่างแฮมอบ และ เนื้อเวลลิงตันเป็นอะไรที่ผมชอบมาก ส่วนพวกซีฟู้ดถือว่าสดและดีในทุกประเภทเนื้อเลยครับไม่ว่าจะเป็นกั้ง กุ้ง ปลาหมึก หอย หอยนางรม หรือ ล็อบสเตอร์ อาจจะมีบางเมนูบ้างที่ผมไม่ถูกปาก หรือไม่ประทับใจอะไรเป็นพิเศษแต่เมนูเหล่านั้นให้พูดตามตรงแล้วก็คืออยู่ในเกณฑ์มาตรฐานครับ ไม่มีจานไหนที่แบบกินแล้วต้องเบ๊ปาก หรือกรอกตามองบนเลยครับ


ความหลากหลายของอาหาร : มันจะหลากหลายไปไหน.......ผมต้องพิมพ์ประโยคนี้จริงๆ เลยครับ สารภาพตามตรงว่าตอนแรกที่ผมเห็นห้องอาหาร Pavilion ครั้งแรก ผมแอบคิดในใจว่ามันเล็กจังและจะมีอะไรให้กินเยอะเหรอ แต่พอผ่านไป 2 ชั่วโมงครึ่ง และเหลืออีกเพียงครึ่งชั่วโมงจะครบเวลา ผมต้องคิดใหม่เลยว่า ทำยังไงถึงจะชิมได้ถึงครึ่ง T____T ดังนั้นเรื่องความหลากหลายของอาหารที่นี่ผมว่าสอบผ่านสบายๆ ครับ อาจจะมีขาดพวกสปาเกตตี้ มักกะโรนีอะไรบ้าง แต่ผมว่าแค่นี้ก็เยอะจนเลือกทานไม่หมดแล้วครับ กลุ่มเพื่อนหรือครอบครัวที่มากลุ่มใหญ่ๆ น่าจะสามารถเลือกทานเลือกกินประเภทของเมนูที่ตัวเองชอบได้อย่างสบายๆ เลยครับ


ความสะอาดของร้าน : ไม่มีปัญหาอะไรในข้อนี้และสำหรับโรงแรมเกรดนี้ครับ สอบผ่านสบายมากครับ


การบริการของพนักงาน : เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ผมประทับใจครับ พนักงานที่นี่ดูแลดี พูดสุภาพและก็เต็มใจช่วยบริการดีมากครับ


ความสะดวกของการเดินทาง : โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เป็นโรงแรมที่มีทำเลที่ตั้งค่อนข้างดี และเดินทางสะดวกนะครับ เพราะสามารถเลือกใช้บริการ MRT หรือ BTS ไปลงสถานีสีลมและเดินต่อจากสถานีไปไม่ไกลครับ ส่วนคนที่ขับรถไปก็สามารถเลือกเดินทางได้ตามสะดวกเลยว่าจะไปทางไหนไม่ว่าจะเป็นถนนพระราม 4 หรือ ถนนสีลมครับ


ความคุ้มค่า : หากเราดูกันที่ราคาเต็มๆ อย่างเดียวที่ราคาท่านละ 1,550 บาท/คน ++ (รวม Vat 7% และ Service Charge 10% แล้วอยู่ที่ประมาณ 1,825 บาท/คน) อาจจะมองว่าเป็นการกินข้าว 1 มื้อที่ราคาสูงไปหน่อย แต่เมื่อลองเทียบกับประเภทของอาหารที่มีให้เลือก คุณภาพของอาหารที่ได้รับ และมองราคาเทียบกับ Sunday Brunch ของโรงแรมอื่นในระดับเดียวกัน ผมว่าราคาของ Pavilion ดูคุ้มค่าและน่าสนกว่านะครับ และยิ่งมี Promotion เสริมดีๆ อย่างมา 4 คน จ่ายเพียง 999++ เท่านั้น หรือไม่ก็โปรโมชั่นอื่นๆ จากบัตรเครดิต มันทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เยอะ และช่วยเพิ่มความคุ้มค่าได้อีกระดับเลยครับ


สรุป : The Pavilion เป็น 1 ในห้องอาหารของโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่มีคุณภาพอาหารของ Sunday Brunch ที่ดี มีเมนูอาหารให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะคนที่ชอบทานล็อบสเตอร์ หอยนางรม กุ้ง กั้ง ปู ฟัวกราส์ ชีส และของหวาน พนักงานมีความสุภาพเอาใจใส่ดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหาห้องอาหารเอาไว้คุยงานกับแขกคนสำคัญแต่ไม่ถึงกับเป็น Private เพราะห้องอาหารนั้นเปิดโล่งให้คนข้างนอกมองเห็นได้พอสมควรครับ หรือเหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการใช้เวลาในวันหยุดกับการทานอาหารดีๆ ร่วมกัน มีซีฟู้ดส์ที่ทานง่ายๆ ไม่ต้องแกะลำบาก มีของหวานมากมายให้เด็กๆ สาวๆ ได้ลองชิม สำหรับในเรื่องของราคาที่อาจจะดูสูงไปสำหรับบางคน ลองแวะเวียนไปติดตามข่าวหรือโทรไปสอบถามดูเป็นระยะๆ ครับ เพราะห้องอาหารพวกนี้มักจะมีโปรโมชั่นอะไรจัดเป็นประจำๆ อยู่แล้ว พอเจอโปรโมชั่นไหนที่เหมาะๆ และเรารับกับราคานั้นได้ก็จัดเลยครับ



ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ครับ หากขาดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยด้วยนะครับ และการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือรสชาติที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ และหากใครชอบการรีวิวของผม สามารถไปติดตามหรือแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการกิน ไม่ตก ไม่หล่นเวลาเข้าร้านอาหารนะครับ


ความคิดเห็น