สวัสดีครับ เป็นครั้งแรกที่ได้มารีวิวกับ README ยังเป็นมือใหม่ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ ถ้าข้อมูลผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ก่อนเลยนะครับผม ก็ไม่รู้จะเอ่ยยังไงเนอะ555 เอาเป็นว่ามาเริ่มเลยกันเนาะ ปกติผมเป็นคนชอบเที่ยวอยู่แล้ว โดยเฉพาะทะเล ชอบมาก แต่ความจริงคือชอบหมดป่าเขาลำเนาไพร อะไรพวกนี้ ชอบการเดินทาง คนเดียวก็เที่ยวได้นะ 5555 ถามว่าแล้วทำไมถึงไปวังเวียง จริงๆวังเวียงเป็นสถานที่แห่งนึงที่อยากไปมากสถานที่หนึ่ง จำได้ว่าเคยอ่านรีวิวครั้งนึงมันน่าสนใจเลยทำให้อยากไป อยากรู้ว่าที่นั่นมันมีอะไร ทำไมคนถึงไปเที่ยวกันเยอะแยะ ไปแล้วมันจะเหมือนกับที่เค้ารีวิวรึเปล่า มันจะสวยอย่างนั้นรึเปล่า ก็เลยบอกกับตัวเองว่าสักวันนึงเถอะเราจะต้องไปเยือนที่แห่งนี้ให้ได้ และแล้วจุดเริ่มต้นของทริปนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อมีเพื่อนมาชวนไปเที่ยววังเวียง เฮ้ยอยากไปอยู่พอดีเลย เราก็ตอบไปทันทีเลยว่าไป จากนั้นก็เริ่มหาข้อมูลกัน โดยการไปครั้งนี้เพื่อนเป็นคนเตรียมการไว้หมดตั้งแต่จองเครื่อง จองที่พัก ดูรายละเอียดต่างๆ เราสบายเตรียมตัวเที่ยวอย่างเดียว 555 แต่จริงๆก็ช่วยเพื่อนดูบ้าง อิอิ

ปล.อาจจะยาวหน่อย อ่านไปงงไปไม่ต้องตกใจ 5555 ลองอ่านกันดูครับ
***มีสรุปค่าใช้จ่ายกับคำแนะนำให้ตอนท้าย
สอบถามเพิ่มเติมที่ Facebook : อยากเที่ยวก็เที่ยว

ทริปวังเวียง สปป.ลาว เส้นทางดอนเมือง-อุดรธานี-เวียงจันทน์-วังเวียง

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียนาฬิกาเอ้ยเสียเวลา มาเริ่มการเดินทางของเราเลยดีกว่า เริ่มต้นจากกทม.ละกันเนอะ เดินทางกันด้วยเครื่องบินนะเออ สนับสนุนโดยสายการบิน Air Asia แหมพูดเหมือนได้บินฟรี 555 เดินทางจากดอนเมืองไปลงอุดรธานี พอดีเราได้เพื่อนคนเก่งประจำทริปจองมาได้ในราคาประมาณ 820 บาท เที่ยวที่เราจองไว้คือเที่ยว 11.30 น. ผมนี่ตื่นเต้นมาถึงแต่8โมงเช้าเลยฮะ 555 ไม่ค่อยอยากไปเท่าไรเล๊ย จากนั้นเพื่อนจากชลบุรีก็มาสมทบอีก 3 คน รวมผมด้วยก็เป็น 4 แล้วมีเพื่อรออยู่อุดรอีก1 รวมทริปนี้เรามีทั้งหมด 5 คน พอเพื่อนมาจัดการเคลีย์ทุกอย่างเรียบร้อย ก็ไปนั่งรอ ใกล้เวลาพนักงานประกาศ>>ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปอุดรธานี เที่ยว 11.30 น.เครื่องได้มีการดีเลย์ นึกในใจเอาละวะตูรอมาตั้งนาน555จะต้องรออีกหรอว๊า แล้วพนักงานก็ประกาศต่อไปว่าดีเลย์ 10 นาที เฮ้อ ค่อยโล่งอก นั่งรอไม่ถึง 10 นาทีจริงๆ เฮ้ยเป๊ะเลยก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกันละฮะ

เดินเข้ามาผมนี่ยิ้มกรุบกริบเลยทีเดียว สาวair asia แจ่มมากฮะ ผมนี่นั่งตาเยิ้มตลอดการเดินทาง อยากเก็บใส่กระเป๋ากลับบ้าน 5555 จริงๆผมถ่ายมาหลายรูปแต่ไม่ให้ดูหรอกผมเก็บไว้ดูคนเดียวดีกว่า 555 ให้ดูแค่นี้พอ :P ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินทางมาถึงท่าอากาศยานอุดรธานีๆๆๆ ไวมาก จากนั้นเราก็นั่งแทกซี่จากสนามบินไปบขส.ค่ารถ 200 บาท เอ้อผมลืมบอกไปอย่าไปผิดบขส.นะครับ บขส.ที่ไปสปป.ลาวจะอยู่ตรงข้ามกับเซนทรัลอุดรนะครับผม

นั่งแทกซี่ประมาณ 20 นาที เราก็มาถึงบขส. ถึงก็ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ รถที่ไปวังเวียงโดยตรงจะมีรอบเดียวนะครับคือรอบ 08.30 น.ราคา 320 บาท คือถ้าใครจะไปรอบนี้ต้องมาถึงแต่เช้ามาจองตั๋วแต่เช้าไม่งั้นอาจจะไม่ทันการได้ แต่ถ้าไม่ทันก็ไม่เป็นไรครับต่อรถไปลงเวียงจันทน์ก่อนแล้วค่อยต่อไปลงวังเวียงก็ได้ครับ

ส่วนเป้าหมายในการเดินทางของพวกเราคือไปเวียงจันทน์ รอบที่พวกเราไปกันคือรอบบ่ายสอง ค่ารถ 80 บาท โดยต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อตั๋วนะครับ

นี่ก็คือตารางเดินรถไปวังเวียงมีรอบเดียว ส่วนไปเวียงจันทน์มีเกือบทุกชั่วโมงฮะไม่ต้องกลัวว่าจะตกรถ ใครที่จะไปวางแผนการเดินกันได้เลยฮะ

โฉมหน้าค่าตารถที่เราจะไปเวียงจันทน์ ไปกันเลย ลุยยยยยย

14.00 น.เป๊ะ รถออกเลยฮะ ตรงเวลาดีแฮะ จากนั้นพนักงานบนรถก็เดินมาแจกใบผ่านเดินทางเข้า-ออก จะมีด้วยกัน 2 ใบ ใบนึงจะมีสองข้าง ขาเข้ากับขาออก เป็นของไทยใบนึง ของลาวใบนึง ให้เราเขียนเลยทั้งขาเข้าขาออก (ควรเตรียมปากกามา) ใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมงก็จะมาถึงด่านไทย จากนั้นก็ลงรถเอาพาสปอร์ตกับใบผ่านแดนไปยื่นที่ด่าน รถจะไปจอดรออยู่อีกด้านนึง ยื่นเอกสารปั้มตราเสร็จเรียบร้อยก็ขึ้นรถเดินทางต่อมายังด่านตรวจคนเข้าเมืองสปป.ลาว ก็เหมือนเดิมลงไปยื่นเอกสารกับพาสปอร์ต ตรงนี้จะยุ่งยากนิดนึงต้องมีคีย์การ์ดผ่านประตู เหมือนเวลาเราขึ้นBTS เสียค่าธรรมเนียม 5 บาท หรือ 1000 กีบ ถ้าเลยเวลา4โมงเย็นเสีย 55 บาท(เค้าบอกว่าเป็นค่าOT) เพื่อนผมช้าไปหน่อยโดนกันไป 5555

ใช้เวลาไม่นานรวมๆแล้วประมาณ 2 ชม.กว่าๆเราก็มาถึงแล้ว"นครหลวงเวียงจันทน์" ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตรงนี้ใช่บขส.เวียงจันทน์หรือป่าว

รถที่จะต่อไปยังสถานที่ต่างๆก็มีประมาณนี้ครับ มีทั้ง 4ล้อ 3ล้อ ส่วนที่พวกเรานั่งไม่ใช่คันนี้หรอกครับ เป็นมอไซ3ล้อเครื่องอืดๆ จอดทีดับที 555 ลืมถ่ายรูปมาให้ดู ส่วนที่พักที่เราดูไว้ว่าจะไปพักที่นี่ชื่อ เวียงจันทน์ โกลเด้นซัน ปรากฏว่าคนขับพาไปไม่ถูก แกไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน แกเลยแนะนำให้ไปแถวริมน้ำโขง แกบอกราคาถูก พวกเราก็เลยตกลงทันที นั่งสามล้อประมาณ 40 นาทีถือว่าค่อนข้างนานเพราะเป็นช่วงเย็นรถติดมาก พวกเราลงตรงแถวริมโขงจากนั้นก็เดินหาที่พักกัน เดินเลาะกันมาเรื่อยๆ ตอนแรกเดินไปเจอราคา4พันกว่าต่อคืน แพงไป ถอยด่วนๆ 555

เดินกันมาเรื่อยๆจนมาได้ที่นี่แหละฮะ Lao Silk Hotel อยู่ห่างจากริมน้ำโขงไม่ถึง 100 เมตร ในราคาคืนละประมาณ 1280 บาทไทย ห้องพักสะอาดดี เตียงนุ่ม แอร์เย็นฉ่ำมาก มีตู้เย็น มีโทรทัศน์ มี WiFi มีอาหารเช้าด้วย ถือว่าโอเคเลย ด้วยความโชคดีตรงที่เราพัก อยู่ตรงข้ามกับคิวรถที่เราต่อไปวังเวียง พวกเราก็เลยจองกันไว้เลยในรอบ 9 โมงเช้า พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องรีบร้อน เก็บของเช็คเอ้าแล้วก็มารอรถได้เลย



ภายในห้องก็ประมาณนี้ หลังจากที่เช็คอินกันเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินเลาะเล่นกันแล้ว ไปดูกันว่าแถวนี้มีอะไรบ้าง

ภาพความประทับใจภาพแรกที่ได้เห็นในเมืองเวียงจันทน์ คือการจอดรถนี่แหละฮะ ดูดีเป็นระเบียบไม่ต้องมีคนมาคอยโบกรถด้วย

บรรยากาศริมน้ำโขง ช่วงตอนเย็น บรรยากาศดีใช้ได้เลยทีเดียว ลมพัดเย็นสบาย

วิถีชีวิตคนที่นี่ก็ไม่ต่างจากบ้านเรา ส่วนใหญ่ก็มาเดินออกกำลังกาย เดินเล่น ชิวๆ
วันที่เราไปโชคดีหน่อยมีถนนคนเดินริมโขงหรือตลาดมืด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีทุกวันหรือเปล่า

บรรยากาศก็เหมือนบ้านเราเป็นถนนคนเดิน มีของกินของใช้ขาย พวกเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า งานฝีมือต่างๆ ฯลฯ ราคาก็ไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่

เดินไปสักพักเสียงในท้องมันร้อง....ร้องว่าหิวแล้ว 5555 ไปหาอะไรลงท้องกันดีกว่า

ก็เลยมาได้ร้านนี้แหละครับ เป็นร้านที่พวกเราจ้องไว้ตอนเดินหาที่พัก พิกัดอยู่หน้าวัดจันทบุรี ไม่แน่ใจว่าอ่านถูกรึป่าว 555 อยู่ตรงข้ามกับถนนคนเดิน

นี่แหละฮะอาหารที่พวกเราสั่ง ไก่ย่างข้าวเหนียวส้มตำ รสชาติก็พอได้ อร่อยอยู่ๆ

ส้มตำแซบอีหลี อิอิ

และที่พวกเราอยากจะลิ้มลองรสชาติ เอ๊ะหรือผมคนเดียวที่ว้อน 555 เบียร์ลาวครับผม หรือที่พวกเราอ่านกันว่า เบยลาว รสชาติมันคืออ่ะ นุ่มลิ้นดี 555 ราคาก็ 12000 กีบ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 48-50 บาท จะว่าไปก็ไม่ถูกเท่าไหร่นะ แต่รสชาติใช้ได้ มื้อนี้เลยจัดไป 4 ขวดเบาๆ 5555 ค่าเสียหายในมื้อนี้ของเราจัดไปแสนเจ็ดหมื่นกว่ากีบ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 680 บาท ก็ถือว่าไม่แพงนะสำรับ 5 คน ตอนจ่ายเงินพวกเราใช้เงินไทย จ่ายแบงค์ 1000 ไปได้ทอนกับมาเป็นเงินกีบ ปรากฏว่าคิดยังไงมันก็ได้ประมาณ 200 กว่าบาทไทย คิดว่าพวกเราขาดทุนเลยไปคุยกับแม่ค้าใหม่ แต่พอฟังแม่ค้าคิดเอ๊ะทำไมมันเหมือนตรง หรือพวกเราคิดไม่เป็น 555 แต่เอาเถอะถ้าขาดทุนไปร้อยกว่าบาทไม่เป็นไรก็ยังถือว่ามื้อนี้ไม่แพงมาก หลังจากที่พวกเราอิ่มแล้ว พวกเราก็กลับไปนอนพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกันต่อ

มาเริ่มกันที่เช้าวันที่ 4 พ.ค. 59 หลังจากที่กินข้าวเช้า เช็คเอ้ากันเรียบร้อย ระหว่างรอรถมารับไปวังเวียง พวกเราก็เลยตกลงกันว่าจะแลกเงินกีบกันคิดว่ามันใช้ง่ายกว่า และของบางอย่างใช้เงินกีบน่าจะถูกกว่าใช้เงินไทยก็เลยไปแลกกันมา 3000 บาท ได้มา 600000 กว่ากีบ จุดแลกเงินกีบก็มีธนาคารกับร้านค้าบางร้านก็รับแลก

ประมาณ 9 โมงรถก็มารับ (ลืมบอกไปครับ ค่ารถไปวังเวียงประมาณ 200 บาทไทยครับผม) จากนั้นก็ขับไปรับผู้โดยสารจนเต็มคันรถ คนส่วนใหญ่เป็นต่างชาติเกือบทั้งคันมีพวกเรา 5 คนกับพี่อีก2คนที่เป็นคนไทย นอกนั้นต่างชาติทั้งคัน รถออกจากเวียงจันทน์จริงๆก็ประมาณเกือบ 10 โมง ระหว่างทางประมาณครึ่งทางจะมีจอดพักให้เข้าห้องน้ำ แนะนำให้เข้า แล้วก็หาอะไรกินด้วยเพราะไม่งั้นจะหิวไส้กิ่วแบบพวกเรา 555 เพราะพวกเราคิดว่าใกล้ถึงเลยไม่ได้หาไรกินกัน ส่วนค่าเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้ฟรีนะฮะ คนละ 5 บาทหรือ 1000 กีบ

ใช้เวลาในการเดินทางที่แสนทรหด ขึ้นเขาลงเขา ทางเป็นแบบลาดยางหยาบๆหน่อย สั่นเสทือนตลอดการเดินทางกันเลยทีเดียว 555 รวมๆแล้วใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบๆ 5 ชม. พวกเราถึงวังเวียงกันเวลาประมาณเกือบบ่าย 3 โมง บอกตรงโคตรหิว หิวแบบ กินควายได้ทั้งตัว 555
ตอนแรกก็ว่าจะหารถต่อไปที่พัก แต่ว่าเค้าคิดแพงเลยตัดสินใจเดิน เดินถามทางกันไปเรื่อย ที่พักที่พวกเราจองไว้คือ vang vieng backpacker เดินมาจากจุดที่ลงรถก็ไม่ไกลมากเท่าไรก็มาถึง คือจริงๆโรมแรมนี้ชื่อเดิมคือ บุญตัง หรือว่าชื่อนี้อยู่แล้วก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนจองคือจองในชื่อ backpacker ก็ยังงงๆอยู่เหมือนกัน

นี่แหละฮะหน้าตาของที่พักเรา ผมว่าไม่โอเท่าไหร่แต่ดีที่ราคาถูก 555 ห้องพักค่อนข้างเก่า แอร์ไม่เย็นเลย ดีที่มีพัดลมช่วย มีทีวี มีwifi เล่นในห้องช้าแต่พอเล่นได้ เล่นข้างล่างเร็วใช่ได้

ห้องที่พวกเราพักเป็นห้องใหญ่ เตียงเดี่ยว 5 เตียง พวกเรานอนที่นี่กัน 2 คืนราคา 2788 บาท หาร 5 คนตกคนละ 557 บาท ถือว่าถูกเลยทีเดียว ได้ในราคานี้ห้องประมาณนี้เรียกว่าโอเคแหละเนาะ

วิวจากระเบียงที่พัก หลังจากที่เช็คอินกันเรียบร้อย พวกเราก็ได้เวลาออกหากิน 555 หลังจากที่ลืมไปเลยว่าหิวมาก

เดินกันมาไม่ไกล เลือกไปเลือกมาก็มาได้ร้านนี้ จำไม่ได้ว่าชื่อร้านอะไร ไม่ได้ถ่ายรูปมา 555 เพราะตอนนั้นหิวมากก ขอบอกเลยว่าส้มตำลาวร้านนี้เด็ดมาก แซบนัวลงตัวทุกย่าง รึว่าหิวว่ะ 555 มื้อนี้ซัดส้มตำกันไป 3 จาน แซบคัก แซบนัว แซบหลาย แซบอีหลี 555 ส้มตำลาวจะเป็นส้มตำใส่ปลาร้าผสมกะปิ ใส่มะเขือเทศลูกเล็ก รสชาติไม่ได้ออกกลิ่นไปทางปลาร้าหรือกลิ่นกะปิแบบชัดเจน คือถ้าคนไม่กินปลาร้านี่กินได้สบาย

ข้าวผัดก็อร่อย จริงๆสั่งกันมาหลายอย่างฮะ แต่ไม่ได้ถ่าย หิวจัด กินกันเรียบ ไม่เหลือออ 5555

และที่ขาดไม่ได้เลยคือเจ้านี่และ เบยลาว 5555 จัดกันตลอดทริป มื้อนี้ซัดไปแค่ 3 เบาๆพอ บอกเลยส้มตำลาวกับเบียร์ลาวเป็นอะไรที่ต้องสั่งมาเจอกัน อร่อย เด็ดสุดๆ

ค่าเสียหายมือนี้จัดไป 292000.... กีบ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณพันร้อยกว่าบาท หารแล้วตกคนละสองร้อยกว่าๆ
จากที่ดูแต่ละรายการแล้วก็แพงอยู่พอสมควร แต่ก็อย่างว่าแหละเป็นสถานที่ท่องเที่ยวราคาโดยรวมก็ถือว่าไม่แพงมาก มื้อนี้กินอิ่มกันจนจุก
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินไปหาร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ เราเช่ากันมา 2 คัน ต่อรองได้มาในราคา 260000/2คัน/2คืน เฉลี่ยแล้ววันละประมาณ 260 บาทต่อคนต่อวัน ไม่มีน้ำมันนะครับ เราไปเติมกันอีกคันละ 60 บาทเต็มถัง เฉลี่ยแล้วคันละ 290 บาทต่อวัน

จากนั้นพวกเราก็แว๊นมาเลาะถ่ายรูปเล่นกันแถวริมน้ำซอง ชื่นชมบรรยากาศยามเย็น

เห็นเค้าว่ากันว่าค่าขึ้นบอลลูนคนละ 2500 บาท พวกเราได้แต่ยืนมองกันตาปริบๆ คืออยากขึ้นนะ แต่ไม่มีตัง 555 ดูข้างล่างก็พอและ แต่คิดว่าวิวข้างบนคงสวยน่าดูเลยเนอะ

บรรยากาศยามเย็นริมแม่น้ำซอง บรรยากาศดีใช้ได้กันเลยทีเดียว สบายกายสบายใจ แหมบรรยายากาศมันน่า.... 5555 พูดแล้วคอแห้ง อิอิ

กดถ่ายไปเรื่อยเปื่อย กดอย่างเดียว 555

ที่เห็นนี่ก็คือบาร์ริมน้ำ มีอาหาร มีเครื่องดื่มขาย แล้วก็เป็นที่ที่พวกเราจะนั่งกันในวันนี้ อิอิ

จะว่าไปคนก็ไม่เยอะเท่าไรหรืออาจจะเป็นเพราะว่าไม่ใช่วันหยุด

จากนั้นเราก็มาจับจองที่นั่ง เลือกอันท้ายสุดเลยฮะ บรรยากาศแบบฟินๆยังไงบอกไม่ถูก 555

คอแห้งได้ไม่นาน มาจนได้ นี่แหละความฟินมันอยู่ตรงนี้ 555 นั่งเอาเท้าแช่น้ำจิบเบียร์ ฟินจุงเบยย แต่เพื่อนผมมันลงไปทั้งตัวเลยฮะ 555 ผมก็อยากจะลงแหละแต่ดันใส่ขายาวมา อดไปดิ เย็นนี้เราเลือกชิมเบยลาวblack รสชาติดาร์กมาก รสชาติเข้มข้นซะเหลือเกิน สำหรับคนชอบแบบเข้มๆ แนะนำให้ลองเลยสวดยอดมาก ส่วนผมหรอแบบนี้เข้มไป แต่เมาได้หมด 555

พอค่ำหน่อย พวกเราก็กลับที่พัก เตรียมตัวอาบน้ำเพราะเรามีนัดกันที่ Sakura bar อิอิ เค้าว่ากันว่าถ้ามาวังเวียงเป็นอีกสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเดี๋ยวไปดูกันว่ามันเป็นยังไง

กลับมาอาบน้ำอาบท่าที่ห้อง เห็นวิวระเบียงที่พักสวยดีเลยแชะไว้สักภาพ บรรยากาศดีจุงเบยย

แต่งตัวกันเสร็จ พวกเราก็แว๊นกันมาที่นี่เลยฮะ SAKURA BAR อยู่ไม่ไกลกันกับที่พวกเราพักเลย ห่างกันประมาณกิโลกว่าๆ ลุยยยสิครับรอไร ไปชิมเหล้าฟรีกัน อิอิ

บรรยากาศในร้านก็โอเคนะ มีดีเจเปิดเพลงหนุกๆ มีเหล้าฟรีช่วง 2 ทุ่ม ถึง 3 ทุ่ม เป็นเหล้าผสมโค้ก สไปร์ท น้ำผลไม้ แล้วแต่เราจะเลือกว่าจะผสมอะไร จะมีพนักงานเทให้ ผมว่ารสชาติมันไม่โออ่ะมันหวานไป ขืนกินไปหลายแก้วล่วงแหงๆ 555


บรรยากาศภายในร้านก็ประมาณนี้ ตอนแรกคนก็ไม่เยอะนะ นั่งไปสักพักเพียบเลยทีนี้ ส่วนใหญ่ก็มากินเหล้าฟรีแหละ 555 ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง มีพวกจีนเกาหลีบ้าง ส่วนคนไทยก็เยอะอยู่
ถ้าถามผมว่าโอไหม สำหรับผมว่าไม่โอเท่าไร หรือผมไม่ค่อยชอบแบบนี้ก็ไม่สิรู้นะ 5555

ตกดึกหน่อยมีกิจกรรมที่น่าสนใจอย่างนึง คือนี่แหละฮะโยนลูกปิงปองใส่แก้วเบียร์ ฝั่งไหนโยนลงอีกฝั่งต้องดื่มให้หมดแก้ว

ฝั่งไหนแม่นๆหน่อยอีกฝั่งก็เมากันไป 555พวกเราใช้เวลาอยู่ทีนี่ไม่นานเท่าไร กลับกันยังไม่ถึงสี่ทุ่ม พวกเราว่ามันไม่ค่อยหนุก อาจจะเพลียกับการเดินทางด้วย เลยกลับกันไปนอนพักผ่อนเอาแรงกันดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยลุยกันต่อ

สวัสดีเช้าวันที่ 5 พ.ค. 59 ตื่นคนแรกเลยกะว่าจะมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น ปรากฏว่าไม่ทัน 555 สายนิดเดียวเองน๊า พระอาทิตย์ไม่รอกันเลย

ได้ข่าวว่าตอนเช้ามีตลาดขายของสดผมก็ไม่รอช้า ไปถ่ายรูปเล่นกันดีกว่า ไปดูกันว่ามีอะไรขายบ้าง

ผักกูด เรียกเหมือนแถวบ้านเรา

อันนี้ผักอะไรไม่รู้อ่ะ ลืมถาม 555

มีผักแล้วก็ต้องมีปลา

นี่ ต้องอันนนี้เลย แมงกุ๊ดจี่ ใช่ป่าวอ่ะ น่าจะใช่นะ 555 เค้าว่ากันว่ามันย่อง ใครชอบของแปลกก็จัดเลย ส่วนผมไม่ค่อยถนัดกินของแบบนี้ 555

แลดูวิถีชีวิตคนที่นี่ดูเรียบง่ายดีอ่ะ ดูไม่วุ่นวาย ไม่ต้องเลิศหรูอะไรมากมาย เหมือนดูแล้วรู้สึกสบายใจยังไงบอกไม่ถูก

มื้อเช้าสำหรับวันนี้ เรามาชิมนี่เลย เค้ากันว่าถ้ามาเมืองลาวต้องชิมเจ้านี่ คนลาวเรียก "เฝอ" ผมว่าถ้าเมืองไทยก็ก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละครับ รสชาติก็โอเคนะ กลมกล่อม ซดน้ำร้อนๆ อร่อยยยยยดี

และอีกอย่างแซนวิทเมืองลาว อันใหญ่บักคัก เค้าว่ามาแล้วต้องลองชิม ถึงแป้งมันจะแข็งไปหน่อย แต่รสชาติโดยรวมก็อร่อยใช้ได้

ค่าเสียหายมือนี้โดนไป 107000 กีบ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 400 กว่าบาท
หลังจากที่กินข้าวกันอิ่มวันนี้พวกเรามีนัดว่าจะไปบลูลากูล รออะไร ไปกันเลย ลุยยย

บลูลากูลอยู่อีกฝั่งนึงของแม่น้ำซอง ระยะทางไปประมาณ 7 กิโล พวกเราเลือกไปกันตอนเช้าเพราะคาดว่าตอนบ่ายๆคนจะเยอะมาก เพราะคงจะจังกับพวกทัว ไปถึงแต่เช้าไม่ค่อยมีคนจริงๆฮะ สบายเลย ถ่ายรูปแบบไม่ต้องหลับคนกันเลยทีเดียว ค่าเข้าบลูลากูลคนละ 10000 กีบ ประมาณ 40 บาทไทย

น้ำลึกอยู่นะ น้ำใสมาก สวยเป็นสีฟ้าเลย แล้วก็เย็นมาก ฟินฮะบอกเลย อิอิ แต่ผมว่าสถานที่มันเล็กไปหน่อย นึกภาพออกเลยถ้าคนมาเยอะๆคงแน่นขนาด ใครว่ายน้ำไม่เป็นก็มีเสื้อชูชีพให้เช่านะถ้าจำไม่ผิด 2 ชม. 1 ตัว ประมาณ 20000 กีบ

รูปนี้เป็นอีกฝั่งนึง น้ำใสเหมือนกันแต่ไม่ค่อยมีคนเล่นเพราะมันไม่มีที่กระโดดน้ำ มองไปจะเห็นสไลด์เดอร์ด้วย ไม่แน่ใจว่าถ้าเล่นจะเสียตังหรือป่าวนะ

อันนี้เป็นทางขึ้นไปกระโดดน้ำอันบนสุดบอกเลย ดูเหมือนไม่สูงเท่าไร แต่จิงๆสูงใช้ได้เลยทีเดียว

ถ่ายจากอีกด้าน พื้นที่โดยรวมไม่ใหญ่มาก ถ้าคนมาเยอะนี่คงไม่ต้องพูดถึง

เค้าว่ากันว่าถ้ามาที่นี่แล้วต้องโดด ถ้าไม่โดดถือว่ามาไม่ถึง ที่กระโดดมี 2 ระดับ ระดับประถม กับ มหาลัย คนใจไม่ถึงก็กระโดดแค่ประถมพอ 555 ส่วนคนชอบอะไรเสียวๆก็ต้องลองระดับมหาลัยแล้วแหละ ส่วนผมอะหรอ ผมลองแล้ว......ลองดูเค้าโดด ผมนี่ไม่กล้าเอาชีวิตน้อยๆไปเสี่ยงหรอก 5555 ผมกลัวความสูงเพราะมันเสียว 555 เอาเป็นว่าดูเค้ากระโดดกันก็สนุกสนานกันไป

ผมว่าความเด็ดของบลูลากูลมันไม่ได้อยู่ที่น้ำใสๆสีฟ้าหรอกฮะ ผมว่ามันอยู่ที่นี่ 555555 ผมขอมอบวลีนี้ให้กับบลูลากูลละกัน"บลูลากูลที่ว่าสวยยังแพ้สาวหมวยที่มาเล่นน้ำ" 555 โทดทีมือผมมันลั่น เห็นอะไรขาวๆหน่อยไม่ได้ยั้งมือไม่ค่อยอยู่ 55555


เราใช้เวลาร่วมๆ 2 ชม.ที่บลูลากูล จากนั้นก็แว๊นมอไซกันออกมาเพื่อจะไปถ้ำปูคำ ขับออกมาหน่อยเห็นทางเลี้ยว ป้ายบอกทางชี้ไป เลี้ยวกันไปเลย ขับมาได้สักพักเอ๊ะทำไมมันไกลจัง เลยจอดถามทาง ปรากฏว่ามาผิดทางฮะ 555 ความจริงคือมันอยู่ตรงบลูลากูลนั่นแหละครับ อยู่ทางด้านใน คือพวกเราไม่รู้กันเอง 555 จะกลับเข้าไปอีกก็คงไม่แล้วล่ะต้องเสียค่าเข้าอีก เลยตัดสินใจไม่ไปกัน แว๊นไปหาสถานที่อื่นกันต่อดีกว่า

ระหว่างทางเห็นวิวสวยดี เลยจอดถ่ายภาพซะหน่อย

เค้าว่ากันว่าเส้นทางนี้เมื่อก่อนเป็นทางดินลูกรัง ถ้ามาหน้าฝนนะไม่ต้องพูดถึง คงจะลุยโคลนกันน่าดู หลังจากที่ถามคนที่นั่นเค้าบอกเพิ่งทำเสร็จได้ไม่ถึง 2 เดือนเอง

ในระหว่างที่ถ่ายรูป แล้วดูรูปเฮ้ยมันยังไม่โอว่ะ อยากได้แบบใกล้ๆติดทุ่งนาอะไรประมาณนี้ เพื่อนเลยเอ่ยขึ้นมาว่าตอนขามาเห็นทางไปทุ่งนาอยู่นะ เพื่อนเลยนำไป แล้วก็เลี้ยวกันเข้าไปทางนาดีๆนี่แหละครับ มีรถมอไซขับเข้าไปก่อนคันนึง เค้าเห็นเราขับตามเข้าไป เค้าเลยจอดแล้วตะโกนมาว่าไปขึ้นเขากันมั้ยพี่ ฮะไปไหนนะ ขึ้นเขาพี่เดี๋ยวผมนำไป ไม่ไกลๆ พวกเราก็เลยบอกเลยว่าไปๆ ไหนๆก็มาล่ะ ลุย

เขานี้ชื่อเขาผาแดงเค้าบอกว่าจุดชมวิวิวสวย จริงๆก็เป็นภูเขาที่เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นครับแต่ป้ายทางเข้ามันเล็กไปหน่อย ป้ายจะเป็นสีเหลืองๆอยู่เส้นเดียวกับทางไปบลูลากูล ก่อนขึ้นก็จัดการเสียค่าขึ้นคนละ 10000 กีบ ถามไถ่กันเสร็จสับ น้องคนที่ขับมอเตอร์ไซด์นำหน้าเรามาแหละเป็นไกด์นำเราขึ้นไป พวกผมเลยถามไปว่าไกลไหม ทางขึ้นยากไหม น้องเค้าบอกไม่ไกลหรอกใช้เวลาขึ้นประมาณ 30 นาที ทางขึ้นก็ไม่ยาก เอ้าไปกันเลยพวกเรา ลุยครับลุย


ตอนแรกๆก็เดินสบายๆ พอขึ้นมาสักพัก เฮ้ยทำไมมันชันขึ้นเรื่อยๆ อีแตะก็อีแตะเหอะ 5555 ชุดก็ไม่พร้อม ร้องเท้าก็ไม่พร้อม เอ้า ปีนป่ายกันต่อไป555 แต่จะว่าไปก็สนุกดี แต่เหนื่อยเหลือหลายขึ้นไปพักไป หอบกันไป 5555 แนะนำถ้าคนอยากขึ้นมาจริงๆให้เตรียมน้ำดื่มไปด้วย

ปีนป่ายกันมาได้สักพัก พอเริ่มเห็นวิวละว้อย คิดว่าคงไกลถึงเอ้ยใกล้ถึงแล้วล่ะ ถามไกด์ตลอดทางพี่แกบอกใกล้ถึงตลอด แต่ไม่ถึงสักที จนมีเพื่อนสองคนถอดใจ ไม่ขึ้นต่อจะรออยู่ตรงนี้เพราะเหนื่อยจริงๆ ทางขึ้นก็ค่อนข้างลำบาก ชุดก็ไม่พร้อม ก็เหลือเราสามคนแหละฮะที่ลุยกันต่อ คิดอยู่อย่างเดียวไหนๆตูขึ้นมาถึงขนาดนี้ล่ะ ต้องไปให้ถึงดิว่ะ เอ้า ลุยต่อกันไปลุย


เดินขึ้นกันมาได้สักพัก คุยกันกับเพื่อนที่เดินกันขึ้นมา ดีแล้วแหละที่เพื่อน2คนไม่ตามขึ้นมา เดินกันมาอีกไกลโคตร ทางก็โหดสัสรัสเซียกันเลยทีเดียว 555 แต่ผมชอบอยู่ช่วงนึงเป็นทางเรียบๆ ป่านี่เขียวชอุ่ม ตรงนั้นแบบชุ่มชื้นมาก เย็นๆด้วย เดินไปแบบเหมือนอยู่ในห้องแอร์ เย็นสบายเลย แต่ลืมถ่ายรูปมาเพราะเหนื่อย ถถถ55 ขากลับจะถ่ายลืมอีก 555

ในที่สุดเราก็เดินกันมาถึง เย้ยยยย ไหนวิวอยู่ไหน ไหนทำไมเขาบัง อ้าวไม่ใช่ ไม่ใช่ด้านนี่หว่า 5555 หยอกๆ

นี่แหละวิว รูปนี้เป็นวิวด้านซ้าย ว้าวววสวยงามจริงๆ มองลงไปนี่ตูขึ้นมาได้ยังสูงโพด เขาบอกว่าถ้าเห็นวิวแล้วจะหายเหนื่อยก็ไม่เห็นหายนะ 555 แต่วิวสวยจริงยอมรับๆ

รูปนี้วิวด้านหน้าก็จะเห็นเมืองวังเวียงแบบเต็มๆ เห็นวิวจริงๆประมาณ 180 องศาได้ เห็นเมืองวังเวียงชัดเจน

ส่วนวิวทางด้านขวา ก็เห็นวิวเป็นภูเขา สวยกันเลยทีเดียว

ถ้าได้ถ่ายแสงตอนเย็นหรือเช้าๆหืม คงสวยแจ่มฝุดๆ

จะว่าไปก็เกือบเห็นวิวได้ 360 องศาแหละ แต่อีกด้านจะมีภูเขาเป็นฉากหน้า สวยไปอีกแบบ

นี่แหละไกด์ของเราชื่อน้องมิตร

ชื่นชมบรรยากาศ ถ่ายรูปกันสักพักก็ลงกันดีกว่า ทางลงก็ทางเดิน แต่รู้สึกเหมือนตอนลงก็ไม่เหนื่อยนะ ไม่เหนื่อยเหมือนตอนขึ้น แต่บางช่วงแทบสไลด์555 ต้องหาที่เหยียบดีๆ ขนาดไกด์เรายังลื่นไม่รู้กี่รอบแล้วพวกเราจะไปเหลือหรอ 5555 กางเกงผมนี่ตูดขาดด้วย 555


ระหว่างทางลงก็ถ่ายรูปอะไรไปเรื่อยเปื่อย เจอเห็ดด้วยยย

ดอกไม้อะไรไม่รู้สวยดี

ลงมาถึงไกด์บอกจะพาเราไปดูหินอะไรก็ไม่รู้ ปรากฏว่าเดินไปถึงหินหายครับพี่น้อง 5555 อดดูหินเลย แหมหลอกตูปะเนี่ยยยย ยังเหนื่อยไม่พอใช่ม้ายย มองกลับขึ้นไปนี่ตูขึ้นไปได้ยังไง เกือบเอาชีวิตมาทิ้งแล้วมั้ยละ 555 ล้อเล่นๆ สนุกมาก ลงมาแขนขาอ่อนแรง แต่แค่นี้จิ๊บๆ อิอิ

ด้านล่างมีทุ่งดอกหญ้าสีขาวด้วย สวยเลย มีนางแบบแจ่มๆนะ หืมมมม
ลงมาถึงไกด์บอกขอค่าไกด์ด้วยนะพี่ 3 คน คนละ 100000 กีบ หาาาอะไรนะ นึกในใจจะเอาตูตั้งแสนเลยหรอ ขึ้นไปอย่างเหนื่อย5555 คนละแสนนี่คิดเป็นเงินไทย 400 บาทเลยนะ เพื่อนสาวเราเลยต่อรองเหลือ 3 คน 200000 น้องเค้าก็โอเค ค่อยยังชั่ว แหมมม ก็ถือเป็นประสบการณ์ของพวกเราเลยแหละที่ไม่ได้ถามไถ่ให้เรียบร้อยก่อน แนะนำสำหรับคนที่อยากไปนะครับ ให้ถามไกด์ก่อนว่าคิดค่าไกด์เท่าไร ต่อลองกันให้เรียบร้อย ไม่งั้นจะโดนแบบพวกเรา 555

หลังจากที่ขึ้นเขากันมาเหนื่อยๆ หาอะไรจิบแก้เหนื่อยกันหน่อย 5555 ร้านเดิมแหละฮะบาร์ริมน้ำ เหมือนเดิมไก่ย่างข้าวเหนียว ส้มตำลาว เบียร์ กินกันอยู่แค่เนี๊ยะ จริงๆ แต่ฟินโคตร อิอิ กินกันอิ่มก็กลับที่พัก จากนั้นเย็นๆก็แว๊นมอไซเล่นกัน ว่าจะไปหาสะพานส้ม ที่เค้าว่าเป็นแลนมาร์คของวังเวียง ไปหากันจนเจอปรากฏว่าเสียค่าเข้าเลยเอาเป็นว่าพรุ่งนี้ค่อยมาละกัน

ระหว่างทางเห็นโรตีขายกันอยู่หลายร้าน ก็เลยอยากจะลิ้มลองรสชาติของโรตีเมืองลาวกันดู แวะลองซะหน่อย

มีหลายรส เลือกกันได้ อันละหมื่นกีบนะถ้าจำไม่ผิด

นี่เลยที่พวกเราสั่งรสกล้วยหอม โรยหน้าด้วยช็อกโกแล๊ตด้วย รสชาติใช้ได้เลย นุ่มลิ้น กินเข้าไปแบบหวานฉ่ำ ละลายในปาก อย่อยยจุง ฟินอีกละ 555 ถ้าไปแล้วต้องลอง อิอิ

จากนั้นก็มากันที่เดิมแหละฮะ บาร์ริมน้ำซอง เป็นอะไรที่ต้องมาทุกวัน บรรยากาศดี บรรยากาศมันใช่ แล้วก็อาหารรสชาติดี รสตำลาวเด็ดมาก ที่สำคัญราคาไม่แพงมาก วันนี้คนเต็มทุกที่นั่งเลย คนเยอะมาก

เย็นนี้เราเลือกชิมนี่เลยฮะ เบยลาว Gold ไหนๆมาละลองมันทุกอย่าง อิอิ ผมว่าอันนี้กินง่ายสุด นิ่มสุด รสชาติดีเลยล่ะ แต่มันแพงขวดมันเล็ก กินเท่าไรก็ไม่เมา 555

ได้เวลาเปิดตัวรถที่พวกเราเช่ากันมาล่ะฮะ เป็นไงล่ะโหดอะดิ๊ 555 ผมพูดเล่น 555 ได้สองคันนี้นะ หืมมม พอดีเจอมันจอดอยู่แถวบาร์ริมน้ำ ผมชอบเลยถ่ายรูปเก็บมา คืนนี้เรานั่งอยู่ริมแม่น้ำซองกันถึงประมาณสี่ทุ่ม จากนั้นก็กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เรามีนัดกันที่สะพานส้ม น้ำตก และสุดท้ายลองห่วงยางหรือTubingของบอกอันนี้ถือเป็นไฮไลท์ มันมาก อิอิ


สะบายดี เช้าวันที่ 6 พ.ค. 59 ช่วงเช้ามืด มีฝนตกมาอย่างหนักหน่วง ลมโคตรแรงเหมือนพายุเข้า เช้ามาบรรยากาศเลยเป็นอย่างที่เห็น มีหมอกบางๆไหลผ่าน ถ่ายรูปสิครับรอไร อิอิ

วันนี้ผมเลยได้มีโอกาสขึ้นไปบนชั้นบนสุดของที่พัก แล้วถ่ายรูป เออวิวสวยใช้ได้เลย วิวดีกว่าชั้นที่พวกเราพักเพราะว่าถ่ายแล้วมันติดสายไฟ ชั้นนี้อยู่สูงหน่อยถ้าไม่ได้ขึ้นมาคงเสียดายแย่

ชอบๆ บรรยากาศแบบเย็นสบายเลย แอบกังวลว่าวันนี้ตูจะอดเที่ยวหรือเปล่า แต่พอสายๆหน่อยแดดก็ออกเหมือนเดิม เย้เกือบล่ะ แฮร่ๆๆๆ

ฟ้าหลังฝนนี่มันสวยจริงๆนะ ชอบมากๆๆๆมุมนี้ ใช่เลย
วันนี้เราต้องเปลี่ยนที่พักกันตอนแรกว่าจะไปพักแถวริมน้ำซอง ใกล้กับบาร์ริมน้ำปรากฏว่าเต็มครับเลยอด เศร้าแพ๊บ ถ้าได้ตรงนั้นนะหืม วิวโคตรดี เสียดายๆ สุดท้ายเลยมาได้ที่ Champa lao the villa

ห้องพักก็โอเคนะ แต่ลืมถ่ายรูปมา มีทีวี มีแอร์ มีwifiเร็วใช้ได้ จากนั้นก็ทำการย้ายของ เช็คอินเรียบร้อยแล้วเตรียมตะลุยเมืองวังเวียงวันสุดท้าย

เช้านี้เราเปลี่ยนร้านใหม่ เฝอร้านนี้หน้าตาน่ากินมาก รสชาติก็ใช้ได้เลย จริงๆเพื่อนกินแต่ขอเพื่อนถ่าย 555 ส่วนผมกินข้าวผัด อร่อยอยู่นะแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา

จากนั้นเราก็มากันที่นี่เลยฮะ สะพานส้มถ้ำจัง ค่าเข้าประมาณคนละหมื่นกีบ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เมื่อใครได้มาเยือนที่นี่ก็ต้องมาถ่ายรูปกับสะพานส้มแห่งนี้ ไม่งั้นเดี๋ยวเค้าหาว่ามาไม่ถึงวังเวียงนะจ๊ะ จริงๆมันก็เป็นสะพานธรรมดานี่แหละฮะ แต่ว่ามันดูสวยอ่ะ มันดูคลาสสิก วิวสวยดี ต้องไปเห็นกับตา อิอิ

เดินเข้ามาข้างในก็จะมีนี่แหละฮะ เห็นเค้าว่ามันคือน้ำผุดเป็นน้ำแร่ที่ไหลออกมาจากถ้ำ น้ำใส สีฟ้า สวยเลย น้ำเย็นมาก มองไปด้านในก็จะเห็นเป็นถ้ำไม่แน่ใจว่าเข้าไปลึกแค่ไหน เล่นน้ำได้นะแต่ที่ค่อนข้างแคบนิดนึง ส่วนอื่นๆก็มีถ้ำจัง ต้องเดินขึ้นบันไดไป แต่พวกเราไม่ได้ขึ้นเพราะเหนื่อยล้าจากจากขึ้นเขาเมื่อวาน
ผมใส่เลนฟิกเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู ลองกดถ่ายแล้วมันแคบขี้เกียจเปลี่ยนเลนส์ 555 พวกเราใช้เวลาที่นี่กันไม่นานแล้วก็ไปน้ำตกกันต่อ

แว๊นมอไซกันมาระยะทางประมาณ 6 กิโลมาน้ำตกตาดแก่งยุ้ย ( ตาดภาษาลาวแปลว่าน้ำตก ) บอกเลยทางเข้าเป็นทางลูกรังตลอดทาง มีช่วงขึ้นๆลงๆอยู่บ้าง สนุกดี 555 พอมาถึงต้องเดินเท้าต่ออีกประมาณ 200 เมตร เดินขึ้นไปสักพักเริ่มเหนื่อยแฮะ พอดีมีพี่คนนึงเดินสวนทางมา เพื่อนเลยถามไปว่าอีกไกลไหมพี่ พี่เค้าตอบมาว่าไม่ไกลๆขึ้นไปอีกนิดเดียว แต่น้ำไม่เยอะเท่าไรนะ มันสวยมั้ยพี่ พี่เค้าบอกว่าถ้าน้ำเยอะคงสวยๆ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปต่อ พี่เค้าบอกไหนๆมาแล้วก็ขึ้นไปเหอะ ลองๆดู เลยเดินกันขึ้นมาต่อ เอะใจอยู่เหมือนกันคุยกันกับเพื่อนว่าเดินขึ้นมาทำไมไม่ได้ยินเสียงน้ำตกเลยว๊า พอขึ้นมาถึงเป็นอย่างที่เห็น หาาาา น้ำมีเท่าเนี๊ยะ โหย อุส่าตั้งความหวังไว้ พังทลายในพริบตา 55555 ไม่คิดว่าน้ำจะน้อยขนาดนี้ ตั้งใจจะมาถ่ายชั้นบนสุดก่อนเลยนะเนี่ย แง่งงง ชาวบ้านเค้าบอกว่าถ้าช่วงหน้าฝนน้ำจะเยอะ แต่ดูแล้วถ้าน้ำเยอะคงสวยจริงๆอ่ะ เพราะมันตกสูงมาก

ส่วนชั้นล่างลงมาก็พอมีน้ำบ้าง

ชั้นนี้อ่ะน้ำเยอะสุด แต่น้ำค่อนข้างขุ่นเพราะเมื่อคืนฝนตก ตอนแรกตั้งใจจะไปเล่นน้ำตกกันปรากฏว่าน้ำมันน้อย

พวกเราเลยใช้เวลาที่น้ำกันไม่นาน เดินขึ้นไปถ่ายรูปแล้วก็ลงกันเลย เอาเป็นว่าถือมาให้ได้เห็น มาให้ได้รู้ว่าเราก็มานะน้ำตกตาดแก่งยุ้ย อิอิ

จากนั้นพวกเราก็มาเล่นนี่เลยล่องห่วงยางหรือเรียกอย่างว่า Tubing มีอยู่ร้านเดียวในวังเวียง ราคาต่อคนประมาณ 55000 กีบ ค่ามัดจำห่วงยาง 60000 กีบ จากนั้นจะมีรถนำเราไปส่งยังจุดปล่อย ระยะทางประมาณ 7 กิโล ใช้เวลาล่องไปตามน้ำประมาณ 3 ชม. บอกเลยสนุกมาก ผมยกให้เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลย อีกอย่างรองเท้าแตะเอาติดไปด้วยถือเป็นไม้พายได้อย่างดี 555 ความสนุกมันจะอยู่ตอนช่วงน้ำไหลแรงๆ(ตอนนี้มันสุด)กับตอนที่ขบวนเรือยายักผ่าน หลบกันให้วุ่น บ้างก็มีชนกันบ้าง 555 บ้างก็สาดน้ำใส่กันมันเลย ผมแนะนำให้ใส่หมวกกับเสื้อแขนยาวด้วยหรือไม่ก็โบกครีมกันแดดดีๆ เพราะไม่งั้นผิวคุณจะไหม้เกรียม 555 เพราะมันนาน3ชม.จริงๆนะ แต่บอกเลยวิวข้างทางสวยมาก เสียดายผมไม่ได้เอากล้องไปเพราะไม่มีกระเป๋ากันน้ำ ไม่งั้นคงจะมีรูปมาอวดกันบ้าง เลยขอรูปที่เพื่อนถ่ายมารีวิว บอกเลยถ้าเป็นช่วงหน้าฝนน้ำคงจะเยอะและไหลแรงกว่านี้คงจะมันมาก เอาเป็นว่าถ้าไปแล้วไม่ลองจะเสียดาย ^^ *มีข้อจำกัดคือถ้าเล่นแล้วต้องคืนห่วงยางภายใน 18.00 น.เพราะถ้าเกินเวลาจะโดนหักค่ามัดจำ 20000 กีบ จากที่มัดจำไว้ 60000 กีบ และอีกอย่างถ้าห่วงยางหายเราก็จะเสียค่ามัดจำไปเลย

กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือนี่เลยพายเรือคายัก แต่พวกเราไม่ได้เล่นกัน คือมีเพื่อนไปถามคนที่นั่นมามีคนบอกว่า 800 บาทต่อคน เลยว่ากันมันแพงไป แต่ผมกลับมาแล้วถึงมารู้ทีหลังว่ามีแบบเหมาแค่คนละ 360 บาทได้ทั้งพายเรือคายักกับล่องห่วงยาง นึกแล้วยังเสียดายอยู่ไม่หาย ถ้าใครได้ลองไปเที่ยวก็ลองตามหากันดูนะครับผม
เรือคายักที่ล่องมาก็จะปล่อยจุดเดียวกันกับล่องห่วงยาง แต่จะใช้เวลาน้อยกว่าแน่นอน
หรือถ้าใครขี้เกียจพายเรือ ไม่ชอบพาย ก็มีนั่งเรือหางยาวชมวิวก็มีเหมือนกัน ก็น่าจะได้อีกบรรยากาศนึง

ล่องห่วงยางมาถึงเสร็จพวกเราก็มาหาอะไรกันที่เดิมบาร์ริมน้ำ ส้มตำกับเบียร์ลาวเหมือนเดิม 555 หลังจากนั้นก็กลับที่พักไปพักผ่อน

ดึกคืนสุดท้ายที่วังเวียงพวกเราก็มากันที่นี่เลยฮะ EARTH อยู่ใกล้ๆกันกับที่พัก พิกัดง่ายๆคืออยู่ใกล้กับจำปาลาวบังกะโล บอกเลยบรรยากาศดีนั่งจิบเบียร์ใต้แสงเทียน มีคนเล่นดนตรีโฟลคซอง เมาสิครับไม่เหลือ คืนสุดท้ายนี่จัดไปเกือบลัง ถือเป็นการส่งท้าย 555 มีอาหาร มีเครื่องดื่มหลากหลาย มีคนขายเป็นฝรั่ง แต่เจ้าของน่าจะเป็นคนไทย ราคาก็กลางๆ ที่สำคัญมีwifiด้วย เล่นกันได้สบาย อยู่ที่นี่กันเกือบเที่ยงคืนนะถ้าจำไม่ผิด จากนั้นก็กลับไปพักผ่อน ฮืออออออออ พรุ่งนี้ต้องกลับกันแล้ว

ตื่นเช้ามา สะบายดีวันที่ 7 พ.ค. 59 วันท้ายของทริปนี้
ขอออกมาเก็บบรรยากาศ เก็บแสงอาทิตย์ตอนเช้ากันซะหน่อย ที่เห็นนี้เป็นวิวจากที่พัก ทางด้านข้างจะมีที่ให้ชมวิวเป็นระเบียงมีทุกชั้น ด้านนี้จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นด้วย

ทางด้านหลังที่พักก็จะเห็นวิวมองเห็นภูเขา บอกเลยบรรยากาศตอนเช้าดีมากจริงๆ

มีคนเล่นบอลลูนกันแต่เช้าเลยแฮะ

ก่อนกลับขอไปถ่ายรูปตรงจำปาลาวบังกะโลซะหน่อย ผมชอบมากวิวตรงนี้ มันดูสวยแบบเป็นธรรมชาติดี ที่พักที่เราเห็นข้างล่างนี้ก็คือจำปาลาวบังกะโล ได้ข่าวว่าเจ้าของเป็นคนไทยที่สำคัญราคาหลักร้อยเอง แต่บอกเลยวิวหลักล้าน สวยมากจริงๆ

โจ๊กมื้อสุดท้ายที่วังเวียง หลังจากที่เมื่อคืนหนักไปหน่อย เลยแฮงค์ 55555
เมื่อถึงเวลาพวกเราก็เตรียมลากันแล้วนะวังเวียง พวกเราใช้เวลากันที่นี่ 4 วัน 3 คืน บอกเลยมันไวมาก เหมือนเราเพลินกับบรรยากาศที่นี่ ได้มาพักผ่อนแบบเต็มที่ สนุกสานานเฮฮา รู้สึกผ่อนคลายจริงๆจนไม่อยากกลับไปทำงาน มาที่นี่ถือว่าได้อะไรหลายๆอย่าง ได้ออกมาท่องโลกกว้าง ประสบการณ์ใหม่ๆที่ไม่เคยได้จากที่ไหน ความทรงจำดีๆที่นี่ คงไม่มีวันลืม ถือเป็นการเที่ยวนอกประเทศครั้งแรกที่ประทับใจ และที่สำคัญผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้เดินทางไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ หวังว่าถ้ามีโอกาสจะมาเที่ยวอีกแน่นอน คงถึงเวลาเก็บข้าวเก็บของได้เวลา......บอกลาบ๊ายบายวังเวียง

รถที่กลับอุดรธานีมีที่ให้จองหลายจุด ตามร้านค้าต่างๆ จะมีป้ายบอกอยู่ ส่วนที่พวกเราจองจะเป็นมินิมาร์ท อยู่ตรงข้ามกับจำปาลาวบังกะโล เราจองไว้ตั้งแต่เมื่อวานในรอบ 09.00 น.ตั๋วราคา คนละ 430 บาท จะมีรถมารับเราตรงหน้ามิมาร์ทจะพาเราไปส่งที่บขส.จากนั้นไปเปลี่ยนตั๋วแล้วขึ้นรถคันนี้เลย ใช้เวลาเดินทางจากวังเวียงประมาณ 5 ชั่วโมงถึงอุดรธานี เราถึงกันประมาณ เกือบบ่ายสามโมง จากนั้นก็หารถกลับกัน เราว่าแยกกันตรงนี้เพื่อน 1 คนกลับบึงกาฬ ส่วนเพื่อนอีก 3 คนกลับชลบุรี ตอนแรกผมก็ว่าจะไปลงกทม.แต่ไม่มีเพื่อน 555 เลยตัดสินใจไปลงชลบุรี ไปรำลึกความหลังซะหน่อย พวกเราเลือกกลับรถทัวร์ รถที่จะกลับมีรอบ 20.30 น ตั๋วราคา 407 บาท ส่วนตั๋วไปกทม.ราคาก็น่าจะเท่าๆกัน
พวกเรายังพอมีเวลา เลยไปเดินเล่นดูหนังที่เซนทรัลกันก่อน จากนั้นก็มารอรถกัน รถออกตรงเวลาดี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชม.ถึงชลบุรีก็เช้าเลย จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ในส่วนการรีวิวผมขอจบตรงนี้ละกันเนาะ

สรุปค่าใช้จ่ายโดยประมาณคร่าวๆ

วันที่ 3 พ.ค. 59
ค่าเครื่องบิน 820
ค่า taxxi 200/4 50
ค่าข้าวที่บขส. 40
ค่ารถไปเวียงจันทร์ 80
ค่าบัตรผ่านแดน 5
ค่าที่พักที่เวียงจันทร์หารแล้ว 640
ค่าข้าวเย็นหารแล้วคนละประมาณ 160
รวม 1854

วันที่ 4 พ.ค. 59
ค่ารถไปวังเวียง 200
ค่าที่พัก 2คืน 2788/5 557
ค่าเช่ารถมอไซด์ 2 วัน+ค่าน้ำมัน 1040+120/5 232
ค่าข้าวเย็นคนละ 235
รวม 1224
วันที่ 5 พ.ค. 59
ค่าอาหารเช้า 100
ค่าเข้าบลูลากูล 40
ค่าขึ้นเขาผาแดง+ค่าไกด์เฉลี่ยคนละ 200
ค่าอาหารโดยเฉลี่ย 200
รวม 540
วันที่ 6 พ.ค. 59
ค่าที่พัก 700
ค่าอาหารเช้าเฉลี่ย 120
ค่าเข้าถ้าจัง 40
ค่าเข้าน้ำตก 40
ค่าเช่าห่วงยาง 220
ค่าอาหารเฉลี่ย 200

รวม 1320
วันที่ 7 พ.ค. 59
ค่าอาหารโดยเฉลี่ย 100
ค่ารถวังเวียง-อุดร 430
ค่าบัตรผ่านแดน 50
ค่ารถอุดร-ชลบุรี 407
รวม 987

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยประมาณ 1854+1224+540+1320+987 = 5925 บาท

**ปล.ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้เป็นค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ไม่ได้บวกค่าเครื่องดื่มทั้งหมดกับค่าอาหารบางมื้อ จำไม่ได้บ้าง ไม่ได้จดบ้าง 555 ต้องขออภัยด้วยครับผม แต่โดยรวมค่าใช้จ่ายก็ประมาณนี้ เตรียมไปประมาณ 5000 - 7000 น่าจะพอสบายๆ ส่วนพวกเราหมดกับค่าเครื่องดื่มถ้ารวมแล้วก็หลายอยู่ 5555

**ข้อแนะนำ
1.คนลาวฟังภาษาไทยออก ไม่ต้องกลัวว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ภาษาส่วนใหญ่พูดคล้ายกัน
2.สามารถใช้เงินบาทได้โดยที่ไม่ต้องแลกเงินกีบ
4.ถ้าจะแลกเงินกีบไม่ต้องแลกเยอะเพราะมีที่ให้แลกหลายแห่งที่สำคัญถ้าเหลือแลกคืนยาก(แนะนำให้แลกที่ธนาคารจะได้เลทดีกว่า)
3.วิธีคิดแปลงเงินกีบเป็นเงินไทยอย่างคร่าวๆ มีวิธีคือง่ายๆแค่ตัดเลขศูนย์ 3 ตัวท้ายออกแล้วคูณ 4 เช่น 10000 กีบ (10x4) คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 40 บาท
5.ที่พักควรศึกษาข้อมูลให้ดี อ่านตามรีวิวดีๆ หรือถ้าไม่ต้องจองล่วงหน้าก็สามารถมาหาที่นี่ได้เลยมีให้เลือกเยอะมากมีตั้งแต่หลักร้อยขึ้นไป
6.ถ้าไปช่วงปลายฝนต้นหนาวอากาศน่าจะดี และวิวคงสวยมาก
7.ส้มตำลาว แซนวิชลาว โรตีลาว เฝอ และเบียร์ลาวเป็นอะไรที่ต้องลอง
8.สิ่งที่ไม่ควรพลาด บลูลากูล ถ้ำจัง น้ำตกตาดแก่งยุ้ย(หน้าฝน) บาร์ริมน้ำ ล่องห่วงยาง พายเรือคายัก ขึ้นเขา
9.หมวก แว่นตาควรเตรียมไปโดยเฉพาะแว่นใส่เวลาขับมอไซกันฝุ่นเข้าตา
10.ถ้าอยากขึ้นเขาผาแดงแนะนำให้ต่อลองราคาไกด์ก่อนขึ้น
11.พาสปอร์ตควรจะมีเพราะหนังสือผ่านแดนชั่วคราวอยู่ได้เพียง 3 วัน 2 คืน
12.ปากกาควรเอาติดไปเอาไว้เขียนใบผ่านแดนเข้าออก

ผมก็ขอฝากรีวิวนี้ไว้ด้วยนะครับ สำหรับผมก็ยังมือใหม่หัดรีวิว อยากแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในครั้งนี้ หวังว่าคงจะเป็นประโยขน์กับผู้ที่สนใจและรักการท่องเที่ยว ก็ลองอ่านดูได้ครับ อาจจะอ่านไปงงไปบ้างวนไปวนมาบ้าง 555 ไม่ว่ากันเนอะ ถ้าข้อมูลผิดพลาดปะการใดต้องต้องอภัยไว้นะที่นี่ด้วยนะครับผม

ยังไงๆมาสอบถามหลังไมค์ได้ครับ Facebook : Sarun Sudnum ยินดีครับผม ถามได้ครับ ^^



อยากเที่ยวก็เที่ยว

 วันพฤหัสที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 09.56 น.

ความคิดเห็น