"ไม่รู้อะไรดลใจ ให้ผมซื้อตั๋วเครื่องบินที่ไม่ใช่ราคาโปร
ไปคุนหมิงง่ายขนาดนั้น ถ้ามันไม่ใช่ Dream Destinations ผมคงไม่กล้า"

สวัสดีเพื่อนๆ แนะนำตัวกันอีกครั้ง ผมชื่อเอี๊ยะ นะครับ สำหรับเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยอ่านรีวิวของผมมาก่อน จริงๆมันก็มีไม่เยอะหรอกครับ ออกจะเป็นกระทู้กากๆ ด้วยซ้ำ555 แต่ก็ตั้งใจทำมันทุกครั้งแหละ

เมื่อปลายปีที่แล้วผมเอาจมูกไปสัมผัสอากาศสถานที่ในฝัน #1 มาแล้วก็คือ ภูเขาไฟโบรโม่-คาวาอีเจี้ยน หลังจากกลับจากทริปนั้นมา ก็หาช่วงเหมาะๆไปเก็บฝัน #2 ของผมทันที ได้วันเหมาะๆแล้ว วันแรงงานปี 2559 ผมจะลาพักร้อน เอาเท้ามาสัมผัสความฝันของผม>> "แชงกรีล่า ยูนนาน " //อ้าว ทำไมมันไม่เหมือนชื่อกระทู้เลยล่ะ ใช่ครับ "มันเป็นทริปแชง...ที่ไปไม่ถึงแชงกรีล่า" เริ่มเลยนะ (แอบพิมพ์ตอนทำงานเวิ่นมากไม่ดี) หนีไปในยูนนาน 30 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2559

เพื่อนๆที่สนใจแผนการท่องเที่ยว คู่มือการใช้ภาษาจีน ผมมีไฟล์อยู่ครับ ทักทายได้ที่
บันทึกของคนขี้เที่ยว : https://www.facebook.com/khonkheetiew


"จีน..ใครเค้าไปคนเดียวกันวะ" ก่อนที่ผมจะซื้อตั๋วเครื่องบินก็ถามเพื่อนๆอยู่นิดหน่อยว่าใครพร้อมจะไปกับผมบ้าง 555 แต่ก็ไม่มี ซื้อไปแล้วก็ยังถามอยู่ (พยายามหาคนที่ไปแล้วไม่บ่นแน่นอน เพราะครั้งนี้ Backpack 100%) ก็ไม่มีใครไป "เอาวะ ไปคนเดียวก็ได้ หลงไม่กลัว กลัวไม่ได้ไป" คืนวันศุกร์ที่ 29 เม.ย. ก่อนนอนผมก็เช็คสัมภาระทุกอย่าง โดยเฉพาะช็อคโกแลตบาร์ ซีเรียลบาร์ ที่ซื้อมาอย่างเยอะ เพื่อประทังชีพ 7 วัน (เผื่อแ-กอะไรไม่ได้ก็กินไอ้นี่เอา) เช้ามืดของวันเสาร์ที่ 30 ก็รีบขึ้นแท็กซี่มาดอนเมือง เดาว่าคนต้องทะลักดอนเมืองแน่ๆ เพราะวันหยุดยาวววววว--- เที่ยวบินไฟล์ท FD 582 ออกเวลา 7.50 น. กำลังจะพาผมไปประเทศที่ท่าอากาศยานคุนหมิงฉางสุ่ย เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

นครคุนหมิง : นครแห่งใบไม้ผลิ วันที่ 1 ของทริป (30 เม.ย. 2559)

เมื่อก้าวลงที่คุนหมิงปรับเวลาให้เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง อากาศที่คุนหมิงประมาณ 20 องศา (ในขณะที่ไทย 40) รู้สึกเป็นบุญ เป็นคุณมาก ถึงคุนหมิงแแล้วยังไงต่อล่ะ และแล้ว "คนไทยไม่ทิ้งกัน" ผ่านการตรวจ ตม.จีนก็หันซ้ายหันขวา เจอคนไทยมาจากไฟล์ทเดียวกันแหละฮะ ก็เลยได้เพื่อนคนไทยเป็นพี่ผู้ชาย 2 คน คนแรกชื่อพี่หรั่ง เป็นสัตวแพทย์ขี้เที่ยว คนที่ 2 เป็นวิศวกร หนีลูกมาเที่ยว ชื่อพี่กั๊ก เราเลยตกลงกันว่า เราจะวันนี้ที่คุนหมิง เราจะไปด้วยกัน อ่านรีวิวมา เค้าบอกว่าให้หา Shuttle Bus สาย 2 ไปที่ "คุนหมิงจ้าน" (สถานีรถไฟ) เราก็เดินๆๆๆไปที่ประตูที่ 4 ของสนามบิน และซื้อตั๋วรถสาย 2 ราคาคนละ 25 หยวน

พอเรามาถึงสถานีรถไฟ สิ่งที่เราทำต่อก็คือ "แลกตั๋วรถไฟ" ผมลืมบอกไปว่าก่อนจะมาประมาณ 2 อาทิตย์ ผมซื้อตั๋วรถไฟจากไทยมาแล้วผ่านเว็บ https://www.travelchinaguide.com/china-trains/ เพื่อให้ชัวร์ว่า เราจะมีรถไฟไป (คุนหมิง-ลี่เจียง) กลับ (ต้าหลี่-คุนหมิง) แลกตั๋วรถไฟเสร็จก็หาทางไปเที่ยวในเมืองกันต่อ


นักท่องเที่ยว 99% จะไม่รู้ว่าที่นี่คือสถานีรถไฟ จนกว่าจะเห็นรูปปั้น กระทิงสีทองนี้


พวกเรา 3 คน จะไปเที่ยวในเมืองคุนหมิง เพราะรถไฟออกจากคุนหมิงไปลี่เจียงเวลา 20.50 น. เรามีเวลาอีกพอสมควรที่จะเที่ยวในเมืองคุนหมิงเอาล่ะ และแล้วสถานที่ที่เราได้ไปสัมผัสที่แรกก็คือ

วัดหยวนทง เป็นวัดที่ผสมผสานทั้งวัดไทย พม่า และธิเบต วัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาถึง 3 นิกาย สร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังมีอายุยาวนานประมาณ 1,200 กว่าปี

ออกจากวัดหยวนทง เลี้ยวขวาเดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะเจอสวนสาธารณะชุยหู (Green Lake) สวนสาธารณะที่นี่มีป้ายบอกทางภาษาไทยนด้วยนะ สงสัยคนไทยจะมาเยอะแหละ ผมชอบสวนสาธารณะที่นี่ เห็นคนจีนให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมกับครอบครัวมาก มักจะมาเดินเล่นกับครอบครัว ปั่นเรือ ออกกำลังกาย ทานอาหารกันที่นี่ ด้วยความที่วันนี้เป็นวันเสาร์ด้วยแหละคนเลยคึกคักเป็นพิเศษ


ต่อกันด้วยสถานที่ีที่เป็นแลนด์มาร์คของคุนหมิงก็คือประตูม้า-ประตูไก่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลยครับ และเป็นสถานที่เที่ยวสุดท้ายในคุนหมิง ก่อนที่พวกเราจะหาไรทานและกลับไปที่สถานีรถไฟ เพื่อเช็คอินและขึ้นรถไฟ


มาถึงเวลาตอนเย็นของการท่องไปในยูนนานในวันแรกแล้ว ขอตอบโจทย์ "ทริปแชงที่ไม่ถึงแชง" มันเป็นเรื่องราวที่ต้องตัดสินใจ และเลือกเส้นทาการท่องเที่ยว เรา 3 คน ต่างคนต่างมาเจอกันและร่วมทริปวันแรกด้วยกัน พี่กั๊กซื้อตั๋วไปต้าหลี่ และไปลี่เจียงต่อ ส่วนผมและพี่หรั่ง ซื้อตั๋วไปที่ลี่เจียง ส่วนวันท้ายๆค่อยกลับมาที่ต้าหลี่ มันจะมีเวลาที่พวกเรา 3 คน จะเจอกันที่ลี่เจียง ผมกับพี่หรั่งดูท่าจะมีแผนคล้ายๆกัน และลงตัวที่ว่า "ผมจะไปโตรกเสือกระโจนแทนไปแชงกรีล่า" แต่เอาจริงๆผมก็พอจะหาข้อมูลโตรกเสือกระโจนมาค่อนข้างเยอะ ไหนๆก็ไหนๆ ไปก็ไป<<<นี่ล่ะครับทริปแชงที่ไม่ถึงแชง แต่รับประกันความสวยงามและความตื่นเต้น


คุนหมิงจ้าน-ลี่เจียง รถไฟนอนคือรถไฟนอน คืนแรกบนรถไฟ

เรา 3 คน มาถึงสถานีรถไฟคุนหมิง เพื่อรอเวลาเดินทาง ***ดอกจันทน์ 10 ตัว*** อยู่เมืองจีนที่สำคัญที่สุดคือพาสสปอร์ตจะติดต่ออะไรที่เกี่ยวข้องกับการซื้อตั๋ว ซื้อบัตร ต้องใช้พาสสปอร์ตด้วยทุกครั้ง และระบบการตรวจกระเป๋าของจีนค่อนข้างรัดกุม มีเครื่องสะแกนกระเป๋าหลายขั้นตอนมาก**

ผมกับพี่หรั่งไปลี่เจียง ส่วนพี่กั๊กไปต้าหลี่ แล้วก็จะไปเจอกันที่ลี่เจียงในวันที่ 4 พ.ค. สถานีรถไฟคุนหมิงยิ่งใหญ่กว่าสนามบินไทยบางแห่งซะอีก ชานชาลาและโถงรองรับผู้โดยสารได้เป็นหมื่นคน ทุกอย่างถูกจัดระเบียบการขึ้นขบวนรถไว้อย่างดี ไม่มีมั่ว ไม่มีผิด ผู้โดยสารที่มีบัตรเท่านั้นที่จะผ่านมาที่เกตของชานชาลาได้ สมกับเป็นประเทศที่ประชากรเยอะซะจริงๆครับ ถ้าไม่จัดระเบียบแบบนี้แย่แน่ๆนอน

ก่อนที่จะไปขึ่นรถไฟซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดไปด้วย ซื้อไว้เพื่อความอุ่นใจ 555 สถานีรถไฟคุนหมิงมีปลั๊กสำหรับชาร์ตโทรศัพท์ กล้อง ด้วยนะครับ บริการฟรีๆ


ถึงเวลาเดินทางครับ รถไฟขบวนที่ K9606 จะพาผมไปถึงลี่เจียง เช้าวันที่ 1 พฤษภาคม เวลา 6.05 น.


ว่าไปผมมีรูมเมทด้วยนะ ผมคนไทย 2 คน และอีก 4 คน จีนทั้งหมด สปีคอิงลิชกันพอเข้าใจ คุยกันไปเรื่อยๆและออกตัวกับเค้าตรงๆแฝงไปด้วยความขำว่า "ถ้าวันนี้ผมกรนก็อย่าโกรธกันนะ" 555 ภายในรถไฟจีนก็โอเคนะครับ ผมนอนชั้นล่างสุด (เหมือนในรูป) ตอนนั้นเกรงใจรูมเมทมาก เพราะถุงเท้าที่ผมใส่มาทั้งวันมันแผลงฤทธิ์แล้ว รถไฟจีนมีปลั๊กให้เสียบด้วยดีจังส่วน พี่หรั่งคนไทย นอนอยู่บนชั้นบนสุด


เกร็ดเล็กๆน้อยๆ รถไฟชั้น Hard Sleeper 1 ห้องจะมี 6 เตียง ฝั่งละ 3 เตียง ผมนอนข้างล่างนั่งได้ แต่ใครที่นอนชั้น Middle หรือ Upper ไม่สามารถนั่งได้ครับ หัวชวนเพดานแน่นอน "รถนอนก็คือรถนอน" ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น พี่หรั่งบอกผมว่า "ใครกลัวที่แคบไม่ควรนอนข้างบน" เพราะมันอึดอัดมาก ส่วนผมนอนชั้นล่างก็สบายตัว พี่หรั่งเสียสละให้ผมนอนข้างล่าง โดยให้เหตุผลว่า "ผมอ้วนเดี๋ยวจะนอนไม่ถนัด" เหตุผลดี๊ดีแต่ก็โอเคครับ >>>นี่แหละความสะใจของแบคแพคเกอร์ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด

การท่องเที่ยววันแรกจบลงเมื่อหัวถึงหมอนบนรถไฟจีน


////วันนี้เกิดอะไรขึ้น อยู่จีน คนจีนจะพูดจีนกับเรา 100% แม้เราจะถามไปด้วยภาษาอะไรก็ตาม สิ่งที่เราทำได้คือ ยิ้มและ เชี่ย เชี่ย. และจะบอกว่าคนจีนที่คุนหมิงน่ารักและช่วยเหลือดีมากก พรุ่งนี้ถึงลี่เจียงก็ค่อยว่ากันต่อ หนี ห่าวลี่เจียงภูเขาหิมะมังกรหยก วันที่ 2 ของทริป(1 พฤษภาคม 2559 ) วันแรงงานในความทรงจำ....

เช้าวันที่ 2 ของการเดินทางหนีไปในยูนนาน เสียงปลุกบนรถไฟดังกระหึ่ม เป็นเพลงบรรเลงดนตรีจีน ประหนึ่งว่าคนหูหนวกเท่านั้นที่จะไม่ได้ยิน รถไฟปลุกผมจากความง่วงตอนประมาณ 5.30 น. และพาเราเข้าสถานีตอน 6.05 น. เป๊ะ (คือมาเร็วก่อนกำหนดไม่ได้555 ต้องจอดรอเวลาให้เข้าสถานีตรงเวลา อันนี้เป็นข้อดีที่รู้สึกไม่ชิน เมื่อเทียบกะรถไฟไทย) พอลงมาจากรถไฟปุ๊บบบ พูดได้คำเดียวว่า "ไอส-ส ทำไมหนาวแบบนี้" ดูแอพโทรศัพท์ ที่เชื่อมกะพ็อกเก็ตไวไฟ เห็นว่า 11 องศา สั่นนนนน ร่ำลารูมเมทชาวจีน ต่า่งคนต่างแยกย้ายกันไปครับ

เรา 2 คน เลยเดินไปทีศาลารอรถคนรออย่างเยอะ แต่ไม่มีรถประจำทางมาซักคัน มีลุงๆป้าๆ มาชวนให้เราไปกะรถตู้เล็กๆ คิดเงินคนละ 10 หยวน (50 บาท) แต่ต้องรอให้คนครบ 6 คน รถถึงออก รอได้ 5 นาที คนมก็ครบแล้วเราก็มุ่งหน้ามาที่เมืองเก่าลี่เจียงพอมาถึงเมื่องเก่าลี่เจียง ผมก็เอาของไปเก็บที่โฮสเทลที่จองไว้และแป๊บนึงก็ออกไปหารถไปเที่ยวภูเขาหิมะมังกรหยก (ผมขอไปพูดเรื่องเมืองเก่าลี่เจียงวันหลังนะครับ )


ผมกะพี่หรั่ง คุยกันว่าเราจะซื้อ One Day trip หรือจะไปหารถเช่ากันดี ถ้ามาคนเดียวผมคงตัดสินใจซื้อทัวร์ไปแล้ว แต่ไหนๆเราก็มากัน 2 คน ไปถามคนขับรถแถวๆนี้กันดีกว่า ไม่อยากเที่ยวแบบชะโงกทัวร์ และโดนต้อนขึ้นรถ และแล้วในที่สุดก็เจอคุณลุงรถเช่าที่ราคาหาร 2 แล้ว เราพอรับได้ ไม่แพงมาก ตัดสินใจไปเลยครับ ภูเขาหิมะมังกรหยก

ออกซิเจนกระป๋อง (ผมแนะนำให้ซื้อจากเมืองเก่า ราคาจะถูกกว่าที่ลุงพาไปซื้อ )


ช่องซื้อตั๋วเข้าอุทยาน ลุงพาผมไปซื้อ ค่าใช้จ่าย


ค่าขึ้นกระเช้า คนละ 200 หยวน ค่าเข้าอุทยานคนละ 104 หยวน

พอไปถึงช่องขายตั๋วอย่าลืมเอาพาสสปอร์ตไปด้วยนะครับผม ด้วยความที่ 1 พ.ค. เป็นวันแรงงานสากล ย้ำว่าวันแรงงานสากล

คนขึ้นไปชมภูเขาหิมะมังกรหยก เยอะมากกกกกกกกกกกกก (เยอะมากกกจริงๆ)

จนท.ขายตั๋วบอกว่า จะได้ขึ้นกระเช้าอีกที 13.30 น. จะขึ้นมั้ยย จนท.เขียนกระดาษเป็นตัวเลขเวลาให้พวกเราดู ก็เข้าใจว่าเป็นแบบนั้น

กลับมาในรถปรึกษากันแป๊บนึงบอกว่า เห้ยยย เอาไงดีอ่ะ สรุปก็คือ....ซื้อ รีบกลับไปที่เคาน์เตอร์ เจ้าหน้าที่บอกว่ารอบ 13.30 เต็มแล้วต้องขึ้นรอบ 14.00 น. (ชิบ.....) เอาก็เอาหลังจากซื้อบัตรแล้วเราก็แวะถ่ายรุปนั่นนี่ ไปเรื่อยเปื่อยเพราะตอนนั้นเวลา 11.00 น. เท่านั้น

คุณลุงพามาถึงจุดบริการนักท่องเที่ยวใกล้ๆนั้นจะมี โรงละครกลางแจ้ง Lijiang Impression ด้วย แต่ผมไม่ได้ดูนะครับ บัตรเข้าอุทยานสามารถไปดูสระน้ำขาว "ไป่ สุย เหอ" ได้ด้วย มีรถบัสบริการไปส่งและรับกลับ เพื่อให้ครบรูทการมา "ภูเขาหิมะมังกรหยก" จำเป็นต้องไป เพราะยังมีเวลากว่าจะได้ขึ้นรถไปจุดขึ้นกระเช้าตั้ง 14.00 น.


ตามที่บอกไปนะครับ วันนี้วันแรงงาน คนเยอะมากกกกกกกก เยอะเหมือนจะเหยียบTeen กันได้ง่ายๆ


เรานั่งรถบัสของอุทยานรถก็พามาส่งที่นี่ครับ ไป่สุ่ยเห่อ เป็นสถานที่ที่มนุษย์สร้างเลียนแบบธรรมชาติ เบื้องหลังเป็นภูเขาหิมะมังกรหยกที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง เป็นภาพที่งดงามเหนือคำบรรยาย

** การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ต้องทำใจ วันที่ผมไป "ภูเขาหิมะมังกรหยก" เป็นวันที่ฟ้าปิด ลมแรง ทำให้ไม่เห็นยอดเขาได้ชัดเจนมากนัก แต่ก็ยังดีที่กระเช้าขึ้นภูเขาไม่ปิด ถ้าวันไหนลมแรงมากๆ กระเช้าขึ้นภูเขาอาจจะปิดเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ในความโชคร้ายก็ยังโชคดีที่ไม่โชคร้ายไปกว่านี้ อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว "มันดีเสมอ" ครับ


เที่ยวถ่ายภาพซักพัก ก็กลับมาที่จุดบริการนักท่องเที่ยว เพื่อต่อแถวขึ้นรถไปบริเวณที่ขึ้นกระเช้า คนอย่างเยอะ ผมต่อแถวตั้งแต่ 13.30 น. กว่าจะได้ขึ้นรถประมาณ 14.30 น. และที่พีคไปกว่านั้นคือ คนรอที่จุดขึ้นกระเช้าเยอะมากกกกกกกกกกกก เยอะแบบ "ท้อใจ" แต่ไปถึงนั่นแล้วก็ต้องรอต่อไปครับ มาเมืองจีนเพราะต้องการชื่นชมความงามสิ่งนี้ ใครจะไปเที่ยวจีนอย่าลืมดูปฏิทินวันหยุดจีนนะครับ


****จุดพีคของการรอขึ้นกระเช้า "มนุษย์ทัวร์จีน" ก่อหวอดทลายแถวที่ผมและทุกคนเข้ากันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย (คนจีนส่วนใหญ่ชอบมาทัวร์ครับ และคนนำความเกเรก็คือไกด์ทัวร์) คนไทย 2 คน คือผมและพี่หรั่ง พยายามถามคนข้างๆว่า "What Happen???" คนจีนกลุ่มนึงน่ารักมาก พยายามอธิบายให้พวกเราฟัง ประมาณว่านักท่องเที่ยวเหมือนจะหงุดหงิดเพราะรอขึ้นกระเช้านานไปหน่อย เกิดการชุลมุนกันเล้กน้อย จนท.ก็เลยพยายามตัดแถวไม่ให้คนที่แซงเข้ามาด้านใน (เป็นประตูกระจกเอาโถงอาคารรอขึ้นกระเช้า) ยิ่งมีการตัดแถว การแซงคิวอย่างหนักก็เกิดขึ้น แต่โชคดีที่เค้าตัดแถวหลังจากผมไปไม่กี่คน เอาเป็นว่าพอเค้ามาเมิองไทยอย่าไปโกรธเค้าเลยครับ เพราะเค้าอยู่ที่บ้านเค้ายังแซงกันเองเลย 55 (ล้อเล่น)


กว่าผมจะได้ขึ้นกระเช้าประมาณ 16.00 น. และความประทับใจก็เกิดขึ้นเพราะ ภูเขาหิมะมังกรหยก สวยสมคำร่ำลือ จริงงงๆๆๆ


ภูเขาหิมะมังกรหยก หรือ อวี้หลงเซี่ยซาน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเก่าลี่เจียง เป็นภูเขาสูงที่ตั้งตระหง่าน ซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี ทิวเขาแห่งนี้ประกอบไปด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งหุบห้วย ธารน้ำ แนวผา และทุ่งหญ้าน่าซี ทิวเขาแห่งนี้เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นเป็นลักษณะคล้ายมังกรกำลังเลื้อย สีขาวของหิมะที่ปกคลุมอยู่นั้นดูราวกับหยกขาว ที่ตัดกับสีน้ำเงินของท้องฟ้า คล้ายมังกรขาวบนฟากฟ้า ทิวเขาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ภูเขาหิมะมังกรหยก JADE DRAGON SNOW MOUNTAIN นักท่องเที่ยวสามารถนั่งกระเช้าไฟฟ้า ขึ้นสู่จุดชมวิวบนยอดเขาที่ความสูงกว่า 3,356 เมตร และสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 4,506 เมตร เพื่อชมวิวทิวทัศน์และธรรมชาติบนจุดที่สวยงามที่สุด ตลอดสองข้างทางที่ขึ้นยอดเขา ชื่นชมและดื่มด่ำกับความหนาวเย็นของธรรมชาติ อีกทั้งภูเขาหิมะมังกรหยกแห่งนี้ ยังเป็นที่มาของตำนาน ชนเผ่าน่าซี ที่อาศัยอยู่ในเขตที่ราบแถบนี้มานานนับพันปี ทิวเขาแห่งนี้มีพัมธุ์พืชปกคลุมอย่างหนาแน่น ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ป่าจะผลิบานมีสีสันตระการตา ผู้คนจะพากันต้อนสัตว์เลี้ยง พวก แพะ แกะ และจามรีเพื่ออกมากินหญ้า

ตามที่ผมบอกไปครับ วันที่ไปนอกจากคนจะเยอะแล้ว ลมยังแรงมาก จนบันไดทางขึ้นที่สร้างไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปด้านบน เพื่อชื่นชมความงดงามนั้นต้องปิดลงเนื่องจากอันตรายจากลมและหิมะ ผมก็เลยถ่ายรูปได้เพียงจุดชมวิว 4,506 เมตร อากาศด้านบนเบาบาง ลมแรงและหนาวมากกก อุณหภมิด้านบนอยู่ที่ -3 องศา ผมถ่ายรูปได้แป๊บๆก็ต้องรอลงแล้วครับ เพราะคนเยอะมาก ลมแรงมาก และหนาวมาก


ความกังวลใจ เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอนนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. คุณลุงคนขับรถต้องรอเราอย่างแน่นอน ที่สำคัญถ้าคุณลุงไม่รอ "กูจะกลับอย่างไง" และแล้วผมก็ได้ลงจากภูเขาชุดหลังสุด ในเวลา 20.00 น. เตรียมตัวโดนด่าเป็นภาษาจีนได้เลยยย พอลงไปถึงจุดบริการนักท่องเที่ยว พวกเรารีบเดินไปหา รปภ. พร้อมกับพยายามสื่อสารให้เค้าช่วยโทรหาเบอร์คุณลุงคนขับรถให้หน่อย พร้อมยื่นนามบัตรให้ //ต้องขอบพระคุณความใจดีของพี่ รปภ. พร้อมทั้งให้เดินตามไปรอที่จุดที่นัดหมายกับคุณลุง

พอขึ้นรถปุ๊บบบบบบบบบบบ โดนด่าากระจายยย เรา 2 คน เงียบกริบ แก้ตัวอะไรไม่ได้เลย มันเป็นโมเม้นต์ที่แย่มาก ถึงเราไม่รุว่าเค้าพูดว่าอะไร แต่จากอวัจนะภาษา การจิ้มไปที่นาฬิกา และความเสียงดังก็พอจะรู้ว่า "เราไม่ควรเถียง" 5555 นั่งมาในรถเราคุยกันว่า "เราจะโดนฆ่าแล้วหมกไว้ข้างทางมั้ย" 555 จริงๆคุณลุงไม่ได้ดุร้ายขนาดนั้นครับ มันสุดวิสัยจริงๆเพราะคนแน่นมากกกก ขอโทษครับคุณลุง

ถึงเมืองเก่าลี่เจียง ผมก็ยื่นโทรศัพท์พร้อมเปิดแอพเครื่องคิดเลขให้คุณลุง เพื่อให้คุณลุงจิ้มมาว่า พวกเราควรจ่ายค่าเสียเวลารวมทั้งค่าเช่าเท่าไหร่ ถือว่าไถ่บาป.. กลับมาที่โฮสเทล เรา 2 คนก็ให้จนท.โฮสเทลช่วยติดต่อรถประจำทางที่จะไปโตรกเสือกระโจนให้เรา 2 คนหน่อยเพราะพรุ่งนี้เราจะไปผจญภัยกัน.. โฮสเทลยินดีรับฝากสัมภาระต่างๆฟรี เราก็เลยฝากไว้ 1 วัน....



การท่องเที่ยววันที่สองจบลงเมื่อผมกินยาพารานอนที่โฮสเทล

////ข้อคิดประจำวัน "อย่าไปเที่ยวจีน" ในวันเทศกาลหรือวันหยุด ไม่งั้นตายหยังเขียด (เหมือนผม) ราตรีสวัสดิ์พรุ่งนี้เจอกันนะโตรกเสือกระโจนโตรกเสือกระโจน : วันที่ 3-4 ของทริป( 2-3 พฤษภาคม 2559 ) เหนื่อยจนร้องขอชีวิต....

ตื่นขึ้นมาตอนเช้าพร้อมกับอาการเจ็บคอ ทำไมน่ะเหรอ รูมเมทชาวจีนของผม 1 คน (นอนห้องละ 4 คน ) อยากจะสูดพลังไอเย็น (มั้ง) พี่แกเล่นเปิดประตูห้องนอน แล้วอากาศลี่เจียงกลางคืน 7 องศา บ้าไปแล้วว (เตียงที่ผมนอนถึงแม้จะเป็นที่นอนไฟฟ้า แต่ก็ไม่กล้าเสียบปลั๊กนอน ก็เราไม่เคยนอนโดยมีสายไฟอะไรแบบนี้เนอะ กลัวไฟดูด 5555) แต่ช่างมันเถอะอาการโอเคกว่าเมื่อคืนก่อนนอนที่มีอาการปวดๆหัว น่าจะมาจากการขึ้นภูเขาหิมะ....

เช้านี้เราต้องเดินออกไปรอรถประจำทางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโฮสเทลมากนัก จนท.ที่โฮสเทลบอกว่ารถจะมา 7.50 น. และรถก็มาตรงเวลาเป๊ะ ผมขึ้นไปเผ็นผู้โดยสารชุดสุดท้าย บนรถไม่มีคนจีนเลยครับ เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติล้วนๆ วันนี้ความฝันของผมจะสมบูรณ์

นั่งรถหลับๆตื่นๆ ไป ประมาณ 2 ชั่วโมง รถก็จอดให้ จนท.ชาวจีนขึ้นมาเก็บค่าเข้าอุทยานคนละ 52 หยวน และขับมาอีกนิดปล่อยเราลงที่หน้าหมู่บ้านอันเป็นจุดเริ่มต้นของความลำบาก ความเหนื่อยยาก ความเมื่อยล้า ความ...... แต่สวยงาม


เป้าหมายวันแรก :จุดลงรถเมืองเฉี่ยวโถว-Halfway GH วันที่สอง Halfway GH-Tina's Guesthouse
แผนที่การเดินเท้าไปสู่ ฮาล์ฟเวย์เกสต์เฮ้าส์ เห็นจากแผนที่ก็คงชิวๆ เหมือนเดินเล่นๆ ที่สวนหลังบ้าน

ในความเป็นจริง "เหนื่อยนรก" แต่สวยระดับสวรรค์เหมือนกัน


หุบเขาเสือกระโจน ตั้งอยู่ทิศเหนือของเมืองลี่เจียงมาประมาณ 60 กิโลเมตร หุบเขาแห่งนี้มีความยาวประมาณ 15 กิโลเมตร เส้นทางโตรกเสือกระโจนเป็นแม้น้ำที่ถูกขนาบด้วย ภูเขาหิมะมังกรหยก ความสูง 5,596 เมตร ทางทิศตะวันออก และภูเขาหิมะฮาปา ความสูง 5,396 เมตร ทางทิศตะวันตก จุดที่ลึกที่สุดจากยอดเขาถึงแม่น้ำด้านล่างมีความลึกประมาณ 3,800 เมตร และมีหน้าผาสูง 2,000 เมตรตลอดแนวภูเขาทั้งสองฝั่ง

ถือเป็นเส้นทางการ Trekking ที่เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ การเที่ยวโตรกฯไปได้ 2 วิธีนะครับ 1.จะนั่งรถไปสุดท้ายเพื่อถ่ายรูปเฉยๆก็ได้ หรือจะไป 2.วิธีแบบผมคือการ Trekking ไปตามลำน้ำ เลียบริมเหว....

การ Trekking เริ่มต้นเวลา 9.50 น.

การเดินในครั้งนี้มีคนหลากหลายสัญชาติครับ เท่าที่สอบถามก็มีสิงคโปร์ มาเลเซีย ฝรั่งเศส สวีเดน และคนไทยอีก 2 หน่อ เส้นทางที่ผมเดินเรียกว่า Upper Trekking Route เป็นทางเดินเทรคความยาว 24 กิโลเมตร จุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินคือเมืองเฉียวโถว และสิ้นสุดที่ Tina's Guesthouse บริเวณหุบเขาเสือกระโจนตอนกลาง ซึ่งเค้าจะใช้เวลาเดินโดยเฉลี่ยที่ 13 ชั่วโมง ซึ่งจุดหมายแรกของการ Trekking อยู่ที่ Halfway Guesthouse (ใช้เวลาประมาณ 7-9 ชั่วโมง) เราจะต้องไปถึงก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน (ตามแนวเขตเวลา พระอาทิตย์ที่ยูนนานจะตกสนิทประมาณ 2 ทุ่ม : ทางการจีนประกาศทั้งประเทศเป็นเขตเวลา +8 เหมือนกันทั้งหมด ทั้งๆที่สามารถแบ่งเขตเวลาได้ถึง 5 เขต ) วันรุ่งขึ้นเราจะต้องเดินไปที่ Tina's Guesthouse (ใช้เวลา 2-4 ชั่วโมง) ทั้งนี้การ Trekking ไม่มีเวลาที่แน่นอน อยู่ที่กำลังกายและกำลังใจของแต่ละคน

ส่วนที่เดินเหนื่อยที่สุดคือช่วงแรกๆ ซึ่งเป็นทางเดินขึ้นเขาล้วนๆ จาก 1,800 เมตร ไป 2,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็โอเค ถือว่ารอดพ้นความทรมาน จุดที่พีคที่สุด เรียกหยาบๆคือ จุดที่เ-ี้ยที่สุดคือ 28 โค้ง (โค้ง..พ่องงงงง) คือเหนื่อยมาก ขาไม่มีกำลังจะก้าวขึ้น แต่ละก้าวบนนั้น เป็นอะไรที่แสนจะยากเย็น เดิน 2 ก้าว พัก 1 ครั้ง ไม่ไหวจริงๆ ทั้งฝุ่น ทั้งเหนื่อย แต่เห็นวิวระดับนี้ ต้องเดินไปให้ถึง จากที่กลัวๆการเดินริมเหวนะ ไม่กลัวเลยฮะ เพราะสภาพจิตใจและสมองทุ่มเทไปกับ การฝืนก้าวขาและสูดออกซิเจนเข้าปอดให้ได้เยอะที่สุด

เริ่มต้นเดินขึ้นทางชัน ขายังมีแรงอยู่ครับ ชิวๆไป


ท้องนาสีเขียว เป็นภาพมุมสูงของหมู่บ้าน NaXi เป็นจุดที่ผมแวะพักทานอาหารเที่ยง หลังจากนั้นก็เดินไปพบป้าย ที่คนเค้าร่ำลือกันว่า


เป็นจุดเริ่มต้นของความเหนื่อย 28 โค้งนรก ป้ายเขียนว่า “Gain energy to tackle the 28 bends!" หลังจากป้ายนี้ เตรียมตัวสัญญาณชีพต่ำทันที

ในแผนที่ Halfway โคตรใกล้แต่ความจริง "พ่องงงงงงงง ตายยยยย" หลอกันทำไม //ใครที่มาแล้วไม่อยากเดินช่วง 28 โค้งนรกนี้ชาวบ้านจะมีม้าไว้บริการ แต่ใครมีแรงเหลือๆ เดินดีกว่า ...ผมผ่านมาได้ทุกคนก็ผ่านได้!!!!

ด้านล่างลึกๆนั่นคือจุดที่ทัวร์จะมาลงเพื่อถ่ายรูปโตรกเสือกระโจน นั่งรถมาชิวๆได้เลยครับ


เดินไปถ่ายรูปไป...แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่หวั่น...จริงๆก็หวั่นแต่ถ้าจะนั่งตายอยู่ตรงนั้นก็ไม่ไหว 555


พอผ่าน 28 โค้งนรกมาได้เดินมาอีก 2 ชั่วโมงก็ ในที่สุดก็เดินลากสังขารตัวเองมาจึงถึง Tea Horse Guesthouse เวลาประมาณ 16.00 น.แอบถาม จนท.ว่าอีกนานมั้ย กว่าจะถึง Halfway Guesthouse จนท. ยิ้มละตอบว่า "About 3 Hrs. i think you will arrive after sunset" ตอนนั้นในหัวคือเพลง "ต่างคนต่างพูดไม่ออกได้แต่มองตาเท่านั้น" เห้ยยยมันนานขนาดนั้นเลยยเหรอออ เรา 2 คน ไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินต่อไป Final....ถึงซะที่


Halfway Guesthouse ในเวลา 18.30 น. (แต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลย)

คาเฟ่วิววสวย ระดับท็อป 5 ดาว บรรยากาศขัดแย้งกับความเหนื่อยมาก ....


เรา 2 คน ใช้เวลาเดินวันแรกทั้งสิ้นประมาณ 9 ชั่วโมง รวมเวลาพักน้อย พักใหญ่ พักถ่ายรูปแต่จะยืนยันว่าที่นี่สุดยอดจริงๆ เย็นนี้ได้ดื่มด่ำบรรยากาศดีๆ และซึมซับบว่า "ผมมาถึงแล้วนะ..." ผมกะมีโอกาสอวดภาพผ่านเฟสไทม์ให้คนที่ไทยอิจฉาเล่นๆด้วย 5555 "กูจะเที่ยวให้คนอิจฉา" เรานอนที่นี่ 1 คืน รวมทั้งได้ติดต่อจองรถกลับลี่เจีบงไว้เลยครับ พอถึง Tina's Guesthouse จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีรถ สอบถามจากเจ้าของ Halfway บอกว่าจะมีรถรอบเดียวตอน 15.30 น.


บรรยากาศที่นี่ดีมากๆ ด้านหลังเห็นภูเขาหิมะฮาปา แต่ด้วยความเหนื่อยล้าอย่างมากและมีความรู้สึกว่า "ตื่นมากูเจ็บขาหนีบแน่ๆ" ผมนอนชาร์จพลัง ใต้ผ้าห่มหนานุ่ม นอนสูดไอเย็นจนเช้า คินนั้นหลับสบายมากเพราะล้าสุดๆ โดยเฉพาะขา เหมือนอยากถอดขาแขวนไว้ที่ฝาผนัง

ผมตั้งใจตื่นเช้ามาชมแสงอาทิตย์กระทบยอดเขาหิมะ สดชื่นมาก ถ่ายภาพอวดเพื่อนเฟส "วันนี้ผมลาพักร้อนมาเที่ยว" 555 จากเมื่อคืนผมคิดว่าต้องเจ็บขาแน่ๆ แต่เช้านี้ไม่มีอาการใดๆ มีแรงเดินต่อครับ พวกเราก็เลยรีบทานข้าวและเดินเท้า โดยออกเดินเวลา 8.00 น. มีปลายทางที่ Tina's GH เดินเลียบริมเหวไปเรื่อยๆ พบน้ำตกยิ่งใหญ่และสวยมาก ฝูงแพะที่โดนต้อนมากินหญ้าที่เชิงเขา กำลังมาแย่งทางเดินของนักท่องเที่ยว ที่สำคัญคือไม่ควรขวางทางแพะ ถ้าไม่อยากโดนชนตกเขา

การเดินเลียบริมเหวไปเรื่อยๆ มีอยู่ 1 โค้งที่เห็นหมู่บ้านชัดเจน "นั่นไงทีน่า" เหมือนว่าอีก 15 นาที เราต้องถึงปลายทางแล้ว แต่ความเป็นจริง


ที่ไหนได้ "อีก 2 ชั่วโมง" ......

ในที่สุดพวกเราก็ถึง Tina's GH ซะที เช้าที่ผ่านมาผมใช้เวลาเดินมาจาก Halfway GH ประมาณ 2. 30 น. สิริรวมแล้วใช้เวลาในการเดินทั้งเส้นทางประมาณ 11.30 ชม. นักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินมาที่นี่ก็ต้องรอเวลาเดินทาง ไม่ว่าจะไปแชงกรีล่า จะกลับลี่เจียง ก็ต้องขึ้นรถจากจุดเดียวกัน และเวลาใกล้เคียงกัน เวลาว่างๆในวันนี้เยอะครับ ก็เดินเล่นแถวๆหมู่บ้านๆ และนั่งพักรอเวลาจนกว่า 15.30 น.


ส่งท้ายการเดินทางโตรกเสือกระโจนด้วย ภาพจากบนรถถนนที่แสนจะคลาสสิค รถเบรคไม่อยู่คือ "ตายอย่างเดียว" I Have No Choice.

เมืองเก่าลี่เจียง : วันที่ 4-5 ของทริป (3-4 พฤษภาคม 2559)


ในขณะที่ผมนั่งรถกลับมาจากโตรกเสือกระโจน ก็มีเวลาในการหาข้อมูลว่า เมืองโบราณที่มีชื่อเสียงก้องโลก นามว่า “ลี่เจียง" (Lijiang) มีความเป็นมาอย่างไร อารมณ์ของการเดินทางท่องเที่ยวประเทศจีนของ “ตะลอนเที่ยว" ยังไม่จบลง ลี่เจียงเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาทางตอนเหนือของต้าลหลี่ ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ยาวนานกว่า 800 ปี และเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชนเผ่าหน่าซี (Naxi) ที่อพยพมาจากทิเบต

และมีเมืองเก่าลี่เจียงที่ได้รับการอนุรักษ์ ดูแลซึ่งสถาปัตยกรรมแบบจีนไว้เป็นอย่างดี จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1997 จากองค์การยูเนสโก

หลังจากการไปภูเขาหิมะมังกรหยกและเดินโตรกเสือกระโจนมา ทริปของผมสมบูรณ์แล้ว ซึ่งตอนแรกที่คาดหวังไว้ว่าจะไป "ภูเขาหิมะพระจันทร์สีน้ำเงิน ที่แชงกรีล่า" แต่คิดไม่ผิดที่เลือกเปลี่ยนแผนไปโตรกเสือกระโจนแทน ฉะนั้นหลังจากนี้วันที่เหลือจะเป็นการชื่มชมเมืองและความชิวครับ ไม่มีอะไรหนักๆแล้ว

ท่องราตรีเมืองลี่เจียง ผมลงรถบัสหน้าเมืองเก่าลี่เจียง โชคไม่ดีที่ฝนตกพรำๆ ตลอดช่วงเย็น ผมต้องกลับไปที่โฮสเทลเดิม เพื่อเอาของและคุยกับพี่หรั่งว่า เราจะหาที่พักกันใหม่โดนการเดินไปเรื่อยๆ เริ่มจากจุดศูนย์กลางเมืองคือ "ระหัดวิดน้ำ" สัญญลักษณ์เมืองลี่เจียง

คืนนี้เรานอนพักกันที่โรงแรม ห้องละ 120 หยวน ถือว่าโอเคและไม่แพงจนเกิน ขอข้ามการรีวิวโรงแรมละกันนะครับ ถ้าใครอยากทราบหลังไมค์มาได้รายละเอียดค่อนข้างเยอะกลัวจะยาวเกินไป เน้นไปที่สถานที่เที่ยวดีกว่า


เพื่อนๆจำได้มั้ยครับว่า ตอนที่อยู่คุนหมิงมีตัวละคร 1 คน ที่ผมบอกว่าจะมาลี่เจียง ผมก็จัดการไลน์ไปนัดแนะพี่กั๊ก วิศวกร หนีลูกมาเที่ยว

ตามประสาครับ ก็นัดทานไรเล็กๆน้อยๆฟังเพลง ดื่มเบียร์กันนิดๆหน่อยๆ 3 หนุ่ม 3 มุม ไปดูบรรยากาศภายในลี่เจียงเมืองเก่าที่แสนจะคึกคัก (ผับ บาร์ อย่างเยอะ) เป็นเมืองเก่านอกอุดมคติ 555 แต่สนุกเอาเรื่องเลย

เดินเข้าไปเมืองเก่าลี่เจียงเรื่อยๆ ยิ่งเดินเข้าไปลึกๆ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงเมืองโบราณที่มีเอกลักษณ์และมีความสวยงาม เราเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินอัดแน่น และเดินไต่ระดับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เดินชมอาคารไม้แบบจีนโบราณ ที่ดูเก่าแก่และมีมนต์ขลัง และเมื่อมองย้อนลงไปก็จะได้เห็นหลังคาบ้านเรือนจำนวนมากเรียงรายซ้อนกันอยู่อย่างหนาแน่นเป็นภาพที่ดูงดงามไม่ใช่น้อย


ภายในเมืองเก่าลี่เจียงนี้จะมีตรอกซอกซอยจำนวนมาก เป็นที่ตั้งของบ้านเรือนโบราณสวยๆ ให้เราได้เดินเข้าไปชมและถ่ายภาพกันอย่างเพลิดเพลิน ตามตรอกเล็กๆ เป็นที่ตั้งของบ้านเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมลำธารสายเล็กๆ ที่มีสายน้ำใสสะอาดไหลผ่านบ้านเรือนอยู่โดยรอบ มีสะพานหินพาดผ่าน ซึ่งสายน้ำจากลำธารนี้เป็นเหมือนสิ่งหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวเมืองลี่เจียงมาแต่ครั้งโบราณ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงหล่อเลี้ยงเมืองเก่าลี่เจียงให้มีชีวิตชีวา และดูงดงามเป็นอย่างมาก

ปิดท้ายค่ำคืนที่แสนเมื่อยล้า จากการ Trekking ด้วยเบียร์เย็นๆ และเพลงชิว หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปครับ


เมืองเก่าลี่เจียง ภาคกลางวัน วันที่ 5 ของทริป ( 4 พฤษภาคม 2559 )

ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความตั้งใจหลายสิ่งด้วยกัน การเดินทางของผมไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ วันนี้ผมจะต้องไปดู 1) ทะเลหลังคา "ว่าน กู่ โหล"


2) สระมังกรดำ (Black Dragon pool park) 3) เมืองเก่าซูเหอ และ 4) ไปให้ถึงต้าหลี่ก่อนค่ำ

บ้านเรือนส่วนใหญ่ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายมาเป็นร้านค้าขายของมากมาย มีสินค้าพื้นเมืองสารพัดอย่างให้ได้เดินเลือกซื้อกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นผ้าทอสวยๆ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องเงิน ของฝากของที่ระลึกต่างๆ มากมาย รวมถึงยังมีบ้านเก่าที่ถูกดัดแปลงตกแต่งให้เป็นเกสต์เฮาส์ สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดคือ "ชาวลี่เจียงดำรงเอกลักษณ์ของเมืองเป็นอย่างดี" /i]


วิวทะเลหลังคา "ว่าน กู่ โหล"

ผมเดินผ่านจตุรัสกลางเมืองเก่าลี่เจียง เพื่อไปชมความงดงามของเมืองเก่าลี่เจียง ก้าวไปบนบันไดหิน ขั้นต่อขั้น เพื่อจะขึ้นไปจุดที่สูงที่สุดของเมืองเก่าลี่เจียง

สระมังกรดำ ไฮไลท์ลี่เจียง


ผมลงจากว่านกู่โหล ก็เดินไปชมความงามของธรรมชาติกันสักหน่อย โดยมากันที่ “สระน้ำมังกรดำ" เป็นที่เที่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเก่าลี่เจียงมากนัก เหตุที่เรียกที่นี่ว่าสระน้ำมังกรดำ ก็เพราะมีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่นี่ยังเป็นเพียงบ่อน้ำธรรมดา แต่อยู่มาวันหนึ่งชาวบ้านเห็นมังกรดำโผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำ ซึ่งชาวหน่าซีมีความเชื่อเรื่องมังกรอยู่แล้ว จึงตั้งชื่อบ่อน้ำแห่งนี้ว่า สระน้ำมังกรดำ

เมืองเก่าซูเหอ : เมืองเก่าแสนมีเสน่ห์


ภายในเมืองเก่าซูเห่อ ดูเงียบสงบ ไม่พลุกพล่าน เรียกว่าเพลินเพลิดกับการเดินชมบ้านเรือนโบราณเก๋ๆ ที่แต่ละร้านถูกดัดแปลงเป็นร้านค้าขายของไปกันหมด รวมถึงยังจะได้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านออกมานั่งทำเครื่องเงินขายให้กับนักท่องเที่ยว และถ้าใครเกิดหิวขึ้นมา ก็มีชาวบ้านนำผลไม้สดๆ และของพื้นเมืองขายอย่างมากมาย ผมเดินอยู่ในเมืองไม่นานมากนัก เพราะบ่ายนี้จะต้องนั่งรถไปที่ต้าหลี่

ข้อสังเกตุของเมืองเก่าทุกแห่งของจีนก็คือ จะมีธานน้ำเล็กๆไหลผ่านเมืองเก่า ถือเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเก่าจีน อย่างหนึ่ง


ช่วงบ่ายผมกลับไปเอาเป้และของที่ฝากไว้ที่โรงแรมก่อนที่จะ ขึ้นรถบัส ที่สถานีขนส่งลี่เจียงเพื่อไป "ต้าหลี่" หนีห่าวต้าหลี่เมืองเก่าต้าหลี่ : วันที่ 5-6 ของทริป ( 4 - 5 พฤษภาคม 2559)

ผมไปขึ้นรถบัสที่สถานีขนส่งลี่เจียงเพื่อไปที่เมืองเก่าต้าหลี่ เมืองแห่งนี้เป็นสถานที่สุดท้ายของการเดินทางในทริปนี้ของผม ผมจะต้องขึ้นรถไฟกลับไปที่คุนหมิงคืนวันที่ 5 พ.ค. และกลับกรุงเทพฯ ใันวันศุกร์ที่ 6 พ.ค. เวลา 12.00 น.

ต้าหลี่ เป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองชนชาติไป๋ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนานซึ่งเป็นมณฑลชายแดนทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ตั้งอยู่บนที่ราบสูงระหว่างเทือกเขาชางซานทางด้านตะวันตก และทะเลสาบเอ๋อไห่ทางด้านตะวันออก เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวไป๋และชาวอี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ปัจจุบันนี้ ต้าหลี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในและต่างประเทศ ต้าหลี่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมที่สุดแห่งหนึ่งของมณฑลยูนนาน


การมาต้าหลี่ของผมไม่ได้เตรียมการมาเท่าไหร่ ก็ยอมรับกันตรงๆว่ามาให้ถือว่ามาละกัน 55 ลักษณะของเมืองเก่าต้าหลี่เป็นชุมชนที่มีผู้คนอยู่กันเยอะ และไม่ค่อยได้ดัดแปลงบ้านเรือนอะไรมากนัก เมื่อเทียบกับเมืองเก่าลี่เจียง ยามค่ำคืนของเมื่องต้าหลี่มีของขายมากมาย ไม่น้อยหน้าเมืองอื่นๆ มาถึงแล้วก็ต้องไปเดินเล่นซะหน่อย ค่อยกลับไปนอนที่เกสต์เฮ้าส์ ที่เช่าไว้ 1 คืน

เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ถือโอกาสไปปั่นจักรยานชิวๆ เพื่อชมธรรมชาติริมทะเลสาบเอ๋อไห่ซะหน่อย จริงๆมีอีกหลายๆสถานที่ ที่ผมไม่ได้ไปนะครับต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้เก็บสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองต้าหลี่ อย่างที่ผมบอกไปครับ ต้าหลี่เป็นเมืองที่ผมเลือกที่จะมาเพื่อขึ้นรถไฟกลับและมาเพื่อการพักผ่อนชิวๆเท่านั้น....


และแล้วปัจฉิมบทการลาจากทริปนี้ก็เกิดขึ้น ช่วงเย็นๆผมขึ้นรถประจำทางเข้าเมืองใหม่ต้าหลี่ เมืองยิ่งใหญ่เชียวล่ะท่าน


ไปเช็คอินรับตั๋วรถไฟกลับคุนหมิง เพื่อกลับบ้านไปกินผัดกระเพราหมูสับไข่ดาว (อยากกินมากไม่ไหวแล้ว..)

คุนหมิง : วันที่ 7 ของทริป (6 พฤษภาคม 2559 )


ผมมาถึงคุนหมิงเวลาตี 5 ด้วยรถไฟเหมือนเดิม เช้านี้ผมก็ไม่ได้ไปไหนเลยครับ ดิ่งไปขึ้น Shuttle Bus ไปสนามบินทันที เคาน์เตอร์เช็คอิน เปิดเวลา 9.00 น. และรอเวลากลับบ้าน....

สรุปค่าธรรมเนียนต่างๆที่จำเป็น (ต่อคน)

ค่าเข้าวัดหยวนทง 6 หยวน

ค่าตั๋วเข้าอุทยาน(ภูเขาหิมะมังกรหยก) 104 หยวน

ค่าตั๋วขึ้นกระเช้า(ภูเขาหิมะมังกรหยก) 200 หยวน

ค่าเข้าโตรกเสือกระโจน 52 หยวน

ค่าบำรุงเมืองลี่เจียง 80 หยวน

ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆที่จำเป็นก็มีอีกหลายอย่างครับ แต่ผมไม่ลงรายละเอียดละกันเพราะวิธีการเดินทาง ที่พักและเรื่องอาหารมันแล้วแต่สไตล์ของนักท่องเที่ยว ผมใช้ Pocket Money ไปประมาณ 8,000 บาท (สำหรับ 7 วัน) ไม่รวมค่าเครื่องบิน 2 ขา รถไฟ 2 ขา และวีซ่าที่จ่ายมาตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว ถือว่าคุ้มครับ เบ็ดเสร็จไม่น่าเกิน 20,000 บาท

การจากเดินทางมาคนเดียว วางแผนคนเดียวของผมตั้งแต่แรก
ใครจะไปรู้ว่ามิตรภาพดีๆ จะเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว
ใครที่กลัวการเดินทาง...ไม่ต้องกลัวครับ มันคือรสชาติชีวิต
ประสบการณ์ชีวิตแบบนี้ใครก็ให้เราไม่ได้ ฉะนั้นต้อง"ไปเผชิญมัน"


มาตั้งแต่ยังไม่มีหนวด จนหนวดยาว 7 วันที่แสนสนุก


7 Days journey to Yunnan หนีไปในยูนนาน...แชงกรีล่าที่ไปไม่ถึง


ไจ้ เจี้ยน คุนหมิง


บันทึกของคนขี้เที่ยว : https://www.facebook.com/khonkheetiew


มีเรื่องราว Behind the scenes ที่ไม่ได้เล่าในกระทู้ แต่จะทยอยเอาไปลงเพจนะครับ

Kor-eea

 วันพฤหัสที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.20 น.

ความคิดเห็น