สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ Travel Route – เที่ยวตามทาง ก็กลับมารีวิวท่องเที่ยวกันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ผมขอ “ห่างกันสักพัก” กับการเที่ยวโซนยุโรป แต่จะเปลี่ยนไปเที่ยวในเอเชียบ้านเรากันแทน เป็นหนึ่งในประเทศที่ผมคิดว่าน่าจะมีรีวิวมากที่สุด มีคนไทยเที่ยวเยอะที่สุด และก็เป็นจุดหมายแรกๆ ที่นักเดินทางมือใหม่ หรือคนที่เริ่มวางแผนจะเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกไปกัน ... ใช่แล้วครับ ... เป็นที่ไหนไม่ได้นอกจาก ประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่ free visa ประเทศที่ร่ำรวยทางวัฒนธรรม ประเพณี อาหารการกินที่ขึ้นชื่อ อากาศเย็นสบาย (ไม่นับฤดูร้อน) และการเดินทางที่แสนจะสะดวกสบายม้ากกมากกก

     ประเทศญี่ปุ่นเองนั้นสามารถท่องเที่ยวได้ในทุกภูมิภาค ซึ่งแต่ละเมือง แต่ละเกาะ ก็ต่างมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป แต่ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆ หรือน้องๆ อยากเริ่มเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นแบบ Backpacker เป็นครั้งแรกแล้วยังคิดไม่ออกว่าจะไปภูมิภาคไหน เมืองไหนดี ผมคิดว่า “การเริ่มเที่ยวที่ภูมิภาค Kansai เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยมีข้อดี เช่น

1. ค่าใช้จ่ายถูก ทั้งที่พัก อาหารการกิน การเดินทาง แต่ไม่นับชอปปิ้งนะ

2. เดินทางภายในเมือง Osaka และไปกลับเมืองต่างๆรอบๆ Osaka ได้ง่ายและใช้เวลาไม่นาน อาทิ Kobe, Kyoto, Nara ฯลฯ

3. ความแตกต่างของวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม สถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกินของแต่ละเมือง ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง


แนะนำ Review ท่องเที่ยวยุโรป และประเทศอื่นๆ

- ทริปฝรั่งเศส ตลาดคริสต์มาส Strasbourg และ Colmar >> https://pantip.com/topic/38450907

             Chamonix สกีรีสอร์ทระดับโลก >> https://pantip.com/topic/38453526

                     Lyon เมืองเก่าโรมัน >> https://pantip.com/topic/38476097

- อยากขับรถเที่ยว Iceland กันไม๊ กดที่นี่เลย >> https://pantip.com/topic/35798202

- หรืออยากขับรถเที่ยว Switzerland ขึ้น Titlis Jungfrau Zermatt Matterhorn กดที่นี่เลย >> https://pantip.com/topic/36398268

- ชอบมรดกโลกไม๊ ไป 1-day trip เมืองมรดกโลก Bruges ที่ Belgium กันครับ https://pantip.com/topic/37706288

- เบื่อยุโรปแล้ว งั้นไปเที่ยว Cape Town ขึ้นเขา ดูฉลามกัน >> https://pantip.com/topic/36610015

หรือสามารถติดตาม Page Facebook “Travel Route : เที่ยวตามทาง” ได้อีกช่องทางนึงครับ โดยผมตั้งใจทำเพื่อแนะนำการเตรียมตัว โดยเฉพาะการเดินทางและการไปขับรถยังต่างประเทศ รวมทั้งอัพเดทเรื่องราว บทความ สาระความรู้ที่เป็นประโยชน์สำหรับนักเดินทาง นักท่องเที่ยวด้วยตนเอง เพื่อเตรียมพร้อมให้ทริปของท่านครบถ้วน สมบูรณ์ ราบรื่น 55+ https://www.facebook.com/travelroutetrip/


ย้อนไปสิบกว่าปีที่แล้ว ผมเองก็เริ่มเที่ยวด้วยตัวเองครั้งแรกก็คือไปแบบ Backpacker ที่ประเทศญี่ปุ่นนี่ละครับ จากนั้นก็เก็บประสบการณ์ในที่ต่างๆ มาเรื่อยๆ ใจจริงก็อยากจะตามรอยพี่เรย์ Mc หรือ พี่สิงห์ เถื่อน travel นะ แต่ตอนนี้ได้แค่ครึ่งเดียวของพวกเขาก็พอใจละครับ 55 จนปัจจุบันผมก็มานิยมชมชอบการขับรถเที่ยว Roadtrip เพราะอยากเดินทางร่วมกับครอบครัว จะมาเปรี้ยว ห้าวเป้งแบบเดิม นั่งบัสนอนเพื่อประหยัดค่าที่พักอะไรแบบนั้นก็คงไม่ไหว แต่ไม่ว่าเราจะเลือกการเที่ยวแบบไหนก็ตาม ประสบการณ์ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า “การเตรียมตัวก่อนเดินทางให้พร้อมที่สุด จะทำให้การท่องเที่ยวของเราผ่านพ้นอุปสรรคและปัญหาไม่คาดคิดที่อาจพบเจอระหว่างการเดินทาง ได้ราบรื่นที่สุด” ทีนี้ มีอะไรที่เราต้องรู้ก่อนไปกันบ้างละ


#1 Backpacker ควรเลือกที่พักแบบไหนดี ระหว่าง  พักโรงแรมเดียวยาวทั้งทริป  VS  เที่ยวเมืองไหนก็พักเมืองนั้น

     นักท่องเที่ยวมือใหม่ถ้ายังรู้สึกไม่มั่นใจว่า เราสามารถบริหารจัดการตนเองระหว่างการย้ายไปนอนตามเมืองต่างๆได้ อาจหลงทางไปโรงแรม ลืมของ ขึ้นรถไฟผิดสาย ฯลฯ  ผมแนะนำว่า การเลือกพักโรงแรมเดียวตลอดทั้ง Trip แล้วแต่ละวันเราเดินทางไปเที่ยวแบบ 1-day trip ไปตามเมืองต่างๆ ก็น่าจะช่วยประหยัดเวลาที่อาจเสียไปได้พอสมควร เช่น นอน Osaka แล้วแต่ละวันนั่งรถไฟไปเที่ยว Kyoto, Nara, Kobe  

      แล้วถ้า Trip ที่ทำมามีเวลามากกว่านั้นเช่น 7-10 วัน เราควรที่จะต้องเปลี่ยนที่พักไม๊??  ผมเองคิดว่า  การพักแต่ละเมือง 2 คืนขึ้นไปเหมาะสมที่สุดเพราะเราจะสามารถเก็บสถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละเมืองที่ไปนอนได้ครบ เช่น 2 คืนแรกนอน Osaka  อีก 2 คืนไปนอน Kyoto แล้วเที่ยวเก็บในเมืองและรายรอบให้หมด  หรืออีก 2 คืนไปนอน Kobe แล้วก็เที่ยวเก็บเมืองทางฝั่งตะวันตกของ Osaka ให้หมด การเที่ยวแบบนี้เหมือนเราแบ่งโซนที่เราเที่ยวเป็น 3 trips ย่อยๆตามเมืองที่ไปนอน ซึ่งจะทำให้เราประหยัดทั้งเวลา และประหยัดค่ารถไฟมากกว่าการนอน Osaka ที่เดียว

      สำหรับการพักราคาประหยัดแบบ Hostel นั้น บางแห่งสามารถจองได้โดยตรงกับ Website ของ Hostel  แต่ส่วนใหญ่ผมจะเลือกจองผ่าน Website Booking และ Hostelworld  โดยยิ่งจองล่วงหน้านานจะยิ่งได้ราคาถูกกว่า และเมื่อได้ booking จองแล้วให้เรา Recheck กับโรงแรมโดยตรงอีกที อาจจะ Message หรือ Mail ไปถามโรงแรมโดยตรงเพื่อ Confirm ว่าเรามีชื่อเข้าพักแล้วจริงๆ ก็ได้ หรือถ้าเขินก็จะแกล้งถามเรื่องอื่น เช่น การเดินทาง เวลาเชคอิน ร้านของกินแถวๆโรงแรมก็ได้เช่นกัน 55  


2#  Backpacker ควรซื้อตั๋ว จองตั๋ว หรือเตรียมข้อมูลการเดินทางตลอดทั้งทริปให้ครบ  โดยสิ่งที่ควรเตรียมไปทั้งแต่เมืองไทย เช่น

- ตั๋วรถไฟ/รถบัส ระหว่างเมือง-สนามบิน Kansai อาจทำการจองไว้ล่วงหน้า หรือดูเส้นทาง วิธีการเดินทาง และเวลาให้ถูกต้อง

- ระหว่างเที่ยวจะใช้ pass รถไฟแบบไหน หรือจะใช้บัตรเติมเงิน  หากเดินทางไม่เยอะการใช้ pass ก็อาจเปลืองกว่าซื้อตั๋วทีละครั้ง (Single ticket)

- ที่พักจะจ่ายเงินล่วงหน้า หรือไปจ่ายตอน checkin  ตรวจสอบวงเงินในบัตรเครดิตว่าเพียงพอสำหรับจ่ายค่าที่พักทั้งทริปหรือไม่

- Internet  จะใช้เป็น Data SIM หรือ Wifi router  และจะใช้ของไทย หรือจะซื้อของญี่ปุ่นที่สนามบิน Kansai  

-  เงิน จะถือเป็นเงินเยน หรือจะแบ่งใช้ Credit card ด้วย  หรือจะใช้ Debit card แล้วไปกดเงินสดที่ญี่ปุ่นเอา

-  การเลือกกระเป๋า ที่ทำให้เราเดินทางสะดวก มีพื้นที่ใส่ของชอปปิ้งเพียงพอ และปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อการถูกขโมยทรัพย์สินใน Hostel  ระหว่างที่เราไม่อยู่ที่พัก

-  ประกันเดินทางซื้อไว้ไม่เสียหายครับ  เดี๋ยวนี้ราคาแค่ 300-500 เท่านั้นสำหรับโซนญี่ปุ่น

จากนั้นเราก็มาเขียนแผนเที่ยวคร่าวๆกันครับ คล้ายกับ Itinerary ที่เราทำส่งเวลาขอ Visa ประเทศต่างๆนั่นล่ะ ส่วนทริปนี้ของผมเริ่มจากการซื้อตั๋วโปรโมชั่นของ Air Asia X ไว้เมื่อเกือบสองปีก่อนตอนที่พึ่งเปิดรูทใหม่ๆ โดยตอนนู้นวางแผนใช้เวลา 6 วัน 5 คืน เขียนเสร็จ รีวิวอีกรอบว่าเราเก็บที่ๆอยากไปครบไม๊ ถ้าครบแล้วก็พร้อมแล้ว เที่ยวได้

วันที่  1         OSAKA

12.00                    ไป Activate Roaming SIM ที่ สนามบินดอนเมือง

14.00 - 21.45         เดินทางไป OSAKA

22.15                    รับบัตร Icoca + Haruka ที่ห้องตั๋ว แล้วนั่งรถ Haruka เข้าที่พักที่ Tennoji stn.

วันที่  2          OSAKA - KYOTO

09.00 – 09.45        นั่งรถไฟจาก Tennoji stn - Kyoto stn. – Arashiyama stn

12.00                    เที่ยวใน Kyoto

18.00                    Check-in Hostel

วันที่  3         KYOTO – UJI - OSAKA

เช้า                       Checkout  ฝากกระเป๋า  เดินเที่ยวในเมือง

บ่าย                      นั่งรถไฟไปเที่ยวเมือง Uji

เย็น                      กลับมา Kyoto stn. นั่งรถจาก Kyoto stn  -  Namba stn.

                           เช็คอินที่พัก Lore Hostel, Namba

วันที่ 4         NARA - OSAKA

เช้า                      นั่งรถไฟจาก Namba stn – Nara stn. ไปเที่ยวเมืองนารา

บ่าย                     Shopping ย่าน Namba, Shinsaibashi, Nipponbashi

วันที่  5         OSAKA     ชอปปิ้ง Gunpla, figure, model ที่ Nippombashi

วันที่ 6         OSAKA

เช้า – บ่าย             ชอปปิ้ง ขึ้นไปชมวิว เดินไหวพระ ศาลเจ้าหลักๆรอบๆเมือง Osaka

เย็น                      นั่ง Haruka จาก Tennoji stn – Kansai Airport เตรียมกลับไทย

ปล. 1  Backpacker ทั้งหลายทำแบบที่ตนเองถนัดได้เลยครับ แต่หลักๆก็คือ ให้เราเขียนแผนไว้หลวมๆว่าวันไหน เช้า – บ่าย – เย็น หรือจะใส่เวลาก็ได้ว่าจะทำอะไรบ้าง เหตุผลคือนอกเหนือจากเผื่อไว้ยื่นให้ Immigration แล้ว (ภาษาอังกฤษนะ) เราจะได้บริหารเวลาได้ง่าย ได้ลองจัดเส้นทางเที่ยวไม่ให้มันวนไปวนมา ไม่ให้อ้อม ให้เดินง่ายๆสั้นๆไม่เหนื่อย และไม่เสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินทาง

ปล. 2 เนื่องจากผมเคยมาย่าน Kansai หลายครั้งมากๆแล้วเลยทำให้ทริปนี้พวกสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆทั้งหลายที่รีวิวอื่นๆใน Pantip ไปกันนั้น ผมเองแทบไม่ได้ไปเลย 55+ เลยจัดแผนเที่ยวส่วนใหญ่เป็นการไปเมืองรอง ที่นั่งชิลๆ slow life  ดื่มกาแฟริมแม่น้ำ ชมนกชมไม้ ตามล่าเครื่องรางตามวัดหรือศาลเจ้าต่างๆแทน คิดสะว่าเป็นการพาเที่ยวเมืองรองสนับสนุนนโยบายรัฐแล้วกัน


#0    แนะนำ ICOCA Card  สำหรับคนที่คิดไม่ออกว่าจะใช้บัตรเดินทางแบบเหมาวันของ JR หรือ Kansai pass ดีนะ

     เป็นประสบการณ์และความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองนะว่า การใช้ pass มันทำให้ผมเองรู้สึกไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ เช่นถ้าซื้อ JR pass ก็จะไม่อยากเสียตังไปซื้อตั๋วรถไฟเอกชน  และบางสถานที่ท่องเที่ยวมีแต่สถานี JR  กลับกันอีกสถานที่มีแต่สถานีเอกชน บางเมืองสาย JR อ้อมมาก  กลับกันบางเมืองสายเอกชนดันอ้อมมากแทน 55+ เลยตัดสินใจไม่ใช้ pass อะไรและเลือกที่จะใช้ ICOCA แทน  เพื่ออิสระในการเดินทางของ Slowlife Backpacker อย่างเราๆ

     ICOCA  สำหรับคนที่ไม่รู้จัก มันคือบัตรเติมเงินนี่ละครับ  คล้ายๆกับ SUICA ของทางคันโตเค้า (Tokyo)  ใช้ได้ทั้งซื้อของตาม 7-11, Family mart  และก็ใช้ขึ้นรถไฟได้ทั้ง JR และเอกชน  แบบบัตร Rabbit แตะที่ทางเข้าแล้วก็เข้าระบบรถไฟได้อย่างง่ายดาย 

     ส่วน Haruka  เป็นรถไฟเชื่อมต่อระหว่าง Kansai Airport – Tennoji – Shin Osaka และเมืองหลักๆข้างเคียง เช่น Kyoto Kobe Nara   ตั๋วประเภทนี้คือ สำหรับคนที่เลือกเดินทางไป-กลับสนามบิน Kansai โดยรถไฟ Haruka  การซื้อแบบ Icoca + Haruka เป็นราคาแบบส่วนลด ซึ่งถูกกว่าการแยกไปซื้อ Haruka เพียงอย่างเดียว โดยเราสามารถจองล่วงหน้าแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายได้  วิธีการก็คือ

1.  เข้าหน้าแบบฟอร์มที่นี่  https://entry.jr-odekake.net/webapp/form/18254_cabb_25/index.do

2. เข้าไปคีข้อมูลของเรา ใส่ข้อมูลส่วนตัวต่างๆ  รวมทั้งรายละเอียดการเดินทางสำคัญๆ เช่น

- Type of ICOCA & HARUKA  สามารถเลือกได้ว่าตั๋ว Haruka จะซื้อเที่ยวเดียว หรือแบบไป-กลับ

- Boarding Section  ก็เลือกสถานีปลายทางที่เราจะไป

- Number of ICOCA   แบบปกติจะมีสามลายให้เลือก คือ The wind, Osaka castle และ Basic

- Boarding date  เลือกวันที่เราเดินทางถึงสนามบิน (วันที่จะใช้ Haruka ครั้งแรก)

3. เมื่อเราจองเรียบร้อยแล้ว เราจะได้รับเมลล์ยืนยันการจองซึ่งต้องปริ้นออกมาเพื่อใช้ในตอนที่ไปรับบัตรและจ่ายค่าบัตร 4,200 เยน 

ก็จะได้รับบัตร ICOCA ลายที่เราเลือกจองไว้ และตั๋ว Haruka แบบ Round Trip (ไป-กลับ)

เดินเข้าไปรับบัตรตามแถวได้เลยจ้ะ

สถานที่รับบัตร    -  JR Ticket Office  อยู่หน้าทางเข้า Aeroplaza     

Area ที่ใช้ Icoca ได้    -      https://www.westjr.co.jp/global/en/ticket/icoca-haruka/pdf/icoca_area.pdf


#1   วิถี Backpacker  แค่เริ่มก็เหนื่อยแล้ว  55

     ตั๋วโปร Air Asia X  DMK – KIX  เราได้ราคา net มาที่ประมาณ 6,000 บาท ไม่มีโหลดกระเป๋า  ซึ่งก็นับว่ามีราคาถูกสำหรับการได้นั่งเครื่อง Airbus A330 ที่นั่งสบายกว่าเครื่องเล็กพวก A320 ของสายการบินอื่น ในวันเดินทางเราถึงสนามบินดอนเมืองกันก่อน Departure time ประมาณ 2 ชม.เพื่อมา Activate SIM ของค่ายสีเขียว  เสร็จแล้วก็นั่งๆ นอนๆ หาของกิน รอเวลาขึ้นเครื่องอย่างไม่เร่งรีบ

     แต่พอดูแผนวันแรกไปก็กังวลไป เพราะ flight นี้จะออกจากดอนเมืองช่วงบ่ายๆ ถึง KIX ประมาณ 21.45 ผ่านคิว ตม. ห้ามโหลดกระเป๋าจะได้ไม่เสียเวลา และต้องเผื่อเวลาไปรับตั๋ว Icoca+Haruka ก่อนที่จะต้องวิ่งขึ้นรถไฟ ตามตารางเวลา 22.15  แปลว่าเรามีเวลา 30 นาทีในการไปให้ทันรถไฟเที่ยวนั้น  และหากเราไม่ทันรถไฟเที่ยวนี้อาจต้องรอเกือบ 1 ชม.สำหรับขบวนถัดไปซึ่งแปลว่า กว่าจะถึงโรงแรมก็เที่ยงคืนแล้วและอาจต้องเสียค่า Late checkin เพิ่มเติมอีก ซึ่งผิดวิถี Backpacker   

รถไฟความเร็วสูง Haruka สีขาวหน้าตาแบบนี้ โดยบัตรเราจะนั่งได้เฉพาะตู้ Non-reserved เท่านั้น (แบบไม่จองที่นั่ง)

** บทเรียนที่  1    โชคดีที่เครื่อง Landing ตอน 21.30 นี่ถ้าไม่ราคาถูกจริงๆ ไม่เอาแล้วนะ ตั๋วเครื่องบินที่ถึงตอนเกือบ 22.00 เนี่ย  55+


# 2   KYOTO Slow life

     คืนแรกเราพักกันที่ Kintetsu Tennoji Hostel ติดกับสถานี Tennoji ด้วยราคาที่คุ้มค่ามากประมาณ 500 บาทต่อคืน กับที่นอนกว้างขวาง เงียบสงบ อยู่ติดสถานีรถไฟ ห้างสรรพสินค้าที่มีอาหารลดราคาตอนดึกๆ และมี Minimart อยู่ข้างหน้าที่พัก ผมตื่นแต่เช้า แพคกระเป๋า Checkout และแวะเติมพลังกันก่อนจะเดินทางไป Kyoto กันต่อ ในทริปนี้ผมเที่ยวแถว Kyoto 2 วัน 1 คืน ก่อนกลับมาพักที่ Namba 2 คืน และกลับมาพักที่ Tennoji ในคืนสุดท้ายเพื่อให้ง่ายตอนเราต่อรถไฟไปสนามบิน Kansaiในตอนเย็น ซึ่งจริงๆแล้วทั้งทริปเราอยู่ Osaka กันแค่ 2-3 วันเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นจัดเป็น 1-day trip ไปเที่ยวเมืองต่างๆ


“การเที่ยวแนวใหม่ ต้องเที่ยวแนว Slowlife”


     คุณเคยรู้สึกไหมว่าหลายๆครั้งเวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศ เราตั้งใจจะไปทุกที่ กินทุกอย่าง เก็บให้ครบ ชะโงกที่นี่ ชะเง้อที่นั่น ความเร่งรีบเหล่านี้มันทำให้หลายๆครั้งเราพลาดโอกาสที่จะค้นพบความสุขจากความสงบ ค้นพบความสวยงามจากการใช้เวลาอย่างช้าๆ ในการเรียนรู้ ซึมซับเสน่ห์ของสถานที่ต่างๆ ดังนั้นรอบนี้ ผมจึงแพลนให้น้อยที่สุด ใช้บัตรเติมเงิน ICOCA แทนการใช้ Kansai pass หรือ JR pass เพื่อให้อิสระกับตัวเองในการเดินทาง  อยากไปไหนก็ใช้ Data SIM ที่ซื้อมาจากไทยก็เพื่อเปิด Hyperdia และ google map เพื่อดูเส้นทาง สถานี และเวลาเที่ยวรถไฟที่เดินทางง่ายที่สุด 


ลองเดินไปอย่างช้าๆ ที่ อาราชิยาม่า

     ป่าไผ่ สายน้ำที่ไหลผ่านตัวเมือง  เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองเล็กๆใกล้ๆ Kyoto แห่งนี้  จากสถานี Tennoji เราใช้บัตร ICOCA นั่งรถไฟ JR มายัง สถานี Kyoto ฝากกระเป๋า Deuter Lite 40+10 litre ของผมไว้ที่ลอคเกอร์ของสถานี จากนั้นนั่ง JR Local ต่อมายังสถานี Arashiyama (แต่ถ้าลง saga-arashiyama จะเป็นรถไฟสายเอกชน) ในตอนเช้านี้...เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวเมืองแห่งนี้ เพราะเรายังพอหาความสงบได้  หาจังหวะโล่งๆให้ถ่ายรูปอย่างที่ใจต้องการได้

     เราใช้เวลาในช่วงเช้าส่วนใหญ่ไปกับการนั่งริมแม่น้ำ ทานข้าวกล่องสถานีรถไฟไป พลางนั่งมองเรือที่ล่องผ่าน ฝูงเป็ดที่ว่ายน้ำตามแรงของสายน้ำ แวะกินขนม ดื่มกาแฟ มองกระแสของผู้คน นักท่องเที่ยวที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป รู้สึกกับตัวเองว่า เป็นการพักผ่อนแบบที่ไม่มีอะไรแต่กลับรู้สึก เป็นการเติมพลังชีวิตที่ productive ยังไงก็บอกไม่ถูก


     เรานั่งรถไฟกลับมา Kyoto อีกครั้ง แพลนในช่วงบ่ายนี้คือฆ่าเวลาเพื่อรอกินอาหารในตอนเย็น 55+ ไม่ใช่สิ  คือการไปเก็บสถานที่ที่เรายังไม่เคยไป  ดังนั้น วัดทอง Fujimiinari kiyomitsu  จะไม่ได้ไปเลย แต่จะไปเดินเล่นดูวัดอีกฝั่งนึงแทน

Yasaka Shrine  ฝั่งตรงข้ามมีร้านซูชิเจ้าอร่อยอย่าง Izuju

วัด Chion-in Sanmon

Aqueduct คูส่งน้ำเก่าบริเวณวัด

ทางเข้าศาลเจ้า Heian


     เราเดินกันจนถึงเย็น แอบแวะไปกินชูชิสายพานประจำเมืองอย่าง Musashi Sushi ก่อนเดินกลับมาย่านใจกลางเมืองอย่าง Gion อีกครั้งนึง  ซึ่งผมตั้งใจมากินราเมนร้านนึงที่มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่ชาวญี่ปุ่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเริ่มดังในหมู่ชาวต่างชาติมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เดินสะพานข้ามแม่น้ำ Kamo ในตอนเย็น


     Kyoto Gogyo  ตั้งอยู่ที่ตลาด Nishiki Market ตลาดอาหารหลักของเมือง Kyoto ร้านนี้เปิดทุกวัน แบ่งเป็น 2 รอบ คือ ช่วงเที่ยง ประมาณ 11.30-14.30 และช่วงเย็นเปิดอีกรอบประมาณ 17.00 – 22.30 Gogyo เป็นร้านราเมนที่มีเมนูขึ้นชื่ออย่างราเมนน้ำดำ มีความโดดเด่นจากการผสมผสานรสชาติระหว่างโชยุซอสที่ถูกเผาด้วยความร้อนซึ่งราดลงไปในน้ำราเมนจนเกิดความหอม ความขม และความกลมกล่อมของน้ำมันที่หอมระเหยกับน้ำซุปที่มีรสสัมผัสตัดกัน แต่อร่อยอย่างลงตัว

     จากที่โดนไซโคมาว่าคิวเยอะนะให้รีบมา เราเลยมารอคิวตั้งแต่ประมาณ 16.50 ก็เริ่มมี Local มาต่อคิวกันบ้างแล้ว  ยืนรอซักพัก เมื่อถึง 17.00 ปุ๊บ พนักงานก็เปิดประตู ยกป้ายออก พร้อมเชิญเหล่านักชิมเข้าร้านทันที  ถึงหน้าร้านจะแคบ แต่ลักษณะอาคารที่เป็นห้องตอนลึกทำให้ภายในกว้างขวาง บริกรสอบถามผมเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งผมก็ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษไป 55 แต่ไม่ต้องกังวลครับ ที่นี่มีบริกรที่พูดภาษาอังกฤษได้ และก็มีเมนูอาหารที่เป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน  

     ที่นั่งจะแบ่งเป็น 2 โซนครับ  ถ้ามาหลายคนร้านก็จะพาไปนั่งที่โต๊ะภายในร้าน  แต่ถ้ามาคนเดียวร้านก็จะให้นั่งที่เค้าเตอร์ซึ่งติดกับครัว  มองเห็นการทำงานชัดเจนในทุกกระบวนการกว่าจะได้ราเมนมา 1 ชาม  แค่กลิ่นก็หอมมากกๆๆ แล้ว

     พนักงานแนะนำ Recommendo setto เป็นชุดราเมนน้ำดำ เสิร์ฟพร้อมผักเครื่องเคียงและน้ำชาเขียวเย็น สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 2,000 เยน หรือ 600 บาทไทย  ผมขอรีวิวง่ายๆ 3 คำ ว่า  “เจ้ม-จ้น-มาก”  ไม่ใช่สิ  ตัวเส้นราเมนมีความนุ่มระดับ Medium ขนาดเส้นไม่เล็กไม่ใหญ่เพื่อให้น้ำซุปและโชยุอัคคี (น้ำดำโชยุเผานั่นละ) สามารถเคลือบเส้นตอนที่เราซู้ดเส้นเข้าปากได้ ตัวน้ำซุปมีความเข้มข้นมาก รสชาติอูมามิอย่างชัดเจน คือ ครบรส และตัดกับความขมของน้ำดำ  ส่วนในราเมนประกอบด้วย หมูชาชูสามชิ้นขนาดใหญ่ ผักต้มที่ใส่มาในชามนุ่มเคี้ยวง่ายกำลังดี ไข่ต้มแบบพะโล้ สาหร่ายหนึ่งแผ่น และลูกชิ้นญี่ปุ่นหั่นบางๆ 1 ชิ้นถ้วน

สรุปคือ  ถ้าได้มา Kyoto อีกรอบก็จะมากินครับ  อร่อยมากก 10/10

     ก่อนกลับ เราซื้อเบียร์ดื่มระหว่างทางเพื่อคลายความหนาวของอุณหภูมิ 5 องศาของ Kyoto จาก Nishiki Market เราเดินลัดผ่านย่านถนนรวยเพื่อนอย่าง Hanamikoji Dori ซึ่งเป็นถนนประวัติศาสตร์ที่มีการอนุรักษ์อาคารที่พักอาศัยในสมัยก่อนไว้ ก่อนเข้าที่พักซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับ Kiyomitsu dera ที่เราจะไปกันในเช้าวันรุ่งขึ้น ...จริงๆแล้ว การพัก Hostel ก็มีข้อดีอย่างนึงคือ มันทำให้เราอยากออกไปเดินข้างนอกบ่อยๆ ทำไมนะหรอ?? ก็เพราะที่นอนมันช่างแคบจริงๆนี่สิ


#3    Uji  เมืองสวยที่เซอร์ไพรส์ที่สุด


     สิ่งนึงที่สังเกตได้อย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนลง การปรับตัว และการพัฒนาของระบบขนส่งสาธารณะของญี่ปุ่นก็คือ  มันมีป้ายภาษาอังกฤษมากขึ้นนะเฮ้ย !!   ซึ่งบอกได้เลยว่า การเที่ยวญี่ปุ่นในสมัยนี้  ง่ายกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ผมมา Kansai ครั้งแรกเยอะมากๆๆ  

     เดี๋ยววันนี้เราไปเมือง Uji กันครับ  จากที่พัก เราเดินไปยังสถานีที่ใกล้ที่สุดอย่าง Kiyomizu-gojo KH38 (Keihan line เอกชน) นั่งไปลง Tofukuji KH36  จากนั้นเปลี่ยนสายไป JR Nara line (JR ของรัฐบาล)  เพื่อไปสถานี Uji  ....  เห็นข้อดีของการใช้ Icoca ไม๊ครับ??

     รถไฟวิ่งลัดเลาะมาตามทางประมาณ 30 นาทีก็ถึงที่หมาย  เมือง Uji เป็นเมืองเล็กๆอยู่ทางทิศใต้ของ Kyoto  นักท่องเที่ยวรู้จักเมืองนี้จากชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ชาเขียวที่ขึ้นชื่อ  แม่น้ำสายใหญ่ที่ตัดผ่านตัวเมือง  และวัดที่มีอุโบสถที่ผมคิดว่าเป็นหนึ่งในวัดที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่น

ของฝากจากชาเขียวเต็มเลยครับ

ร้านโซบะเส้นชาเขียวร้านดัง

     จากสถานีรถไฟ เราเดินตามกลุ่มนักท่องเที่ยวคนอื่นแบบไม่ต้องเปิดแผนที่ก็ไม่หลง ผ่านซอยละลายทรัพย์ที่เป็นศูนย์รวมของร้านขนม ร้านอาหาร ร้านของฝากที่มีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากชาเขียวหลากหลายรูปแบบ เราเดินไปตามถนนก็ผ่านจุดเช็คอินหลักของเมืองคือ ร้านคาเฟ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดอย่าง Nakamura Tochiki ด้วยชื่อเสียง ทำให้คนแน่นร้านมาก คิวเยอะ โต๊ะเต็ม จึงตัดสินใจไม่รอก็ได้ ก็เลยเดินออกมา ซื้อไอติมชาเขียวแบบ take  away ราคา 450 เยน มานั่งกินหน้าร้านแทน ก่อนเดินต่อเพื่อไปสถานที่ท่องเที่ยวหลักของเมืองนี้

     วัด Byodo-in  สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.998ในสมัยเฮอัน  อดีตบ้านพักของข้าราชสำนักระดับสูงแห่งนี้ปัจจุบันเป็นหนึ่งในมรดกโลกของญี่ปุ่น  ผ่านการบูรณะมาหลายครั้งก่อนมีสภาพสมบูรณ์อย่างในปัจจุบัน โดยมีอาคารที่มีชื่อเสียงคือ Phoenix Hall หรือ ศาลาหงส์ ที่มีการออกแบบภูมิสถาปัตย์ให้เหมือนเป็นศาลากลางบ่อน้ำ มีทางเดินสัญจรโดยรอบอาคารผ่านสวนญี่ปุ่นรูปแบบต่างๆ

     แต่ไม่ใช่แค่ศาลาหงส์เพียงเท่านั้น สำหรับผม ไฮท์ไลท์จริงๆของที่นี่คือ พิพิธภัณฑ์สมบัติของ Byodo-in ที่เราไม่สามารถถ่ายรูปมาได้ ตัวพิพิธภัณฑ์นั้นเป็นหมู่อาคารใต้ดินตั้งอยู่ด้านหลังถัดจากศาลาหงส์ ที่อยากให้ทุกคนมาเห็นกับตาตัวเอง เพราะมีการจัดแสดงทรัพย์สมบัติ รูปแกะสลัก อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในศาสนกิจ ที่อลังการ สวยงาม และประเมินค่าไม่ได้จริงๆ

     ไม่ใช่แค่วัด Byodo-in  ที่สวยงาม  ขนาด Starbucks หน้าวัดก็ยังสวยงามไม่แพ้กัน  หลังเติมพลังกาแฟเสร็จแล้ว เราเดินผ่านซอยข้างหลังวัด ดื่มด่ำบรรยากาศแม่น้ำ เมืองเก่า ที่มีความสงบ มีความสวยงามมากๆ  ในความคิดผมนั้น เมืองนี้มีลักษณะคล้ายๆกับ Arashiyama คือ เป็นเมืองขนาดเล็กๆ ที่สงบ สะอาด มีแม่น้ำสายใหญ่ตัดผ่านเมือง และมีสถานที่สำคัญทางศาสนาเปรียบเสมือนหัวใจที่หล่อเลี้ยงให้เมืองนั้นมีชีวิตชีวา

     เราเดินข้ามแม่น้ำมาอีกฝั่งของเมือง ฝั่งนี้มีศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงเช่นกัน  หลังจากไหวพระเสร็จแล้ว ซื้อเครื่องรางเรียบร้อย เราเดินข้ามแม่น้ำสายใหญ่กลับมาฝั่งเมืองอีกรอบเพื่อเดินทางกลับ Kyoto

     เมื่อถึง Kyoto station ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดใจ ปนตื่นเต้น  เพราะตอนออกจาก Uji นั้นท้องฟ้าสดใส อากาศดี แดดแรงมาก  แต่พอมาถึง Kyoto กลับมีหิมะตกลงอย่างหนัก ทำให้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เที่ยวญี่ปุ่นมาที่มีรถไฟ Delay ถึง 30 นาที  ซึ่งคงเป็นเรื่องแปลกสำหรับญี่ปุ่น แต่น่าจะเป็นเรื่องปกติจนชินชาสำหรับคนไทย

     จาก Kyoto คืนนี้เรานั่งรถไฟกลับมา Osaka เพื่อมานอนที่ Hostel ใจกลาง Namba อย่าง Lore Hostel ราคาคืนละประมาณ 700 บาท  ที่พักแห่งนี้มีชื่อเสียงอยู่แล้วในหมู่นักท่องเที่ยว ด้วยทำเลที่ดีมากๆ ตั้งอยู่ซอยที่ติดกับ Dotombori อยู่ใกล้ย่านชอปปิ้งอย่าง Shinsaibashi ย่านโมเดลฟิกเกอร์อย่าง Nippombashi และศูนย์กลางการค้าและการเดินทางอย่าง Osaka-Namba

     Lore Hostel เป็น Hostel 3 ชั้น ที่แยกชั้นสำหรับชาย-หญิงชัดเจน ของผู้ชาย ผมได้พักที่ชั้น 3 ทั้งชั้นเป็นที่นอน 2 ชั้น แถวละ 12 ที่นอน คาดว่าทั้งชั้นไม่น่าต่ำกว่า 100 ที่นอน ที่นอนมีขนาดปานกลาง ที่หลอดไฟและปลั๊กไฟให้ชาร์ตมือถือได้ พื้นที่ส่วนกลาง มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ เครื่องซักผ้า ห้อง common room ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 มีโต๊ะอาหาร ที่นั่ง ส่วน pantry ครัว มีตู้เย็นสำหรับเก็บของกิน มีเครื่องดื่มบริการตนเอง และมีตู้หยอดเหรียญกด soft drink และกาแฟให้บริการ

     ก่อนนอนเราเดินออกมาซอยข้างหลังที่พักเพื่อแวะเช็คอินกับมนุษย์ Glico  ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาดึกมากแล้วแต่กูลิโกะก็ยังไม่หยุดวิ่ง เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่ยังคงเดินไปมาอย่างไม่ขาดสาย


#4    นารา (Nara) อีกครั้ง


หลายๆคนถ้ามีโอกาสมาญี่ปุ่นก็คงอยากไปลิ้มรสซูชิสดๆในตอนเช้า ซึ่งถ้าเป็นที่ Osaka การไปตลาดปลาเพื่อไปต่อแถวกินซูชิที่ร้าน Endo Sushi ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด  แต่สำหรับสาย Backpacker อย่างเราที่เน้นประหยัด สะดวก และตื่นสายด้วย 55  ผมเลือกเดินมาทางขวาของ Namba เดินลงมาตามย่าน Nippombashi เพื่อแวะเติมพลังตอนเช้าที่ตลาด Kuromon Ichiba

     ตลาดอาหารแห่งนี้มีร้านอาหารหลากหลายประเภทเฉกเช่นตลาดอื่นๆ ทั้งขนม เครื่องดื่ม ของหวาน อาหารทะเล ทั้งสดและปรุงสุก  ตลอดความยาวของซอยในตลาดกว่าครึ่งกิโล ผมแวะร้านแรกเป็นโมจิสตอเบอรี่ของคุณลุง เนื้อสัมผัสของแป้งโมจิ เข้ากับครีมและสตอร์เบอรี่รสหวานอย่างลงตัว  ผมแวะร้านต่อไปเป็นร้านซูชิ ซื้อเซทมาหลายกล่อง กล่องแรกเป็นแซลมอนนิกิริชุ่มฉ่ำและสดมาก คุณภาพเทียบกับราคานับว่าถูกมาก

หลังเติมพลังเสร็จแล้ว  เราแวะเติมตังในบัตร Icoca กันต่อ ซึ่งสามารถเติมได้ที่สถานี JR  ให้เรามองหาเครื่องซื้อตั๋วที่มีป้าย Icoca สีน้ำเงินเพื่อเติมเงินในบัตร ส่วนวิธีการเติมนั้นก็สะดวกมากเช่นกัน

1. ใส่บัตร Icoca ในช่องสีแดงที่บอกตามหน้าจอ

2. กด Icoca

3. กดปุ่ม English ทางซ้าย  จากนั้นกด Cash Charge เป็นปุ่มในจอ Display

4. สอดธนบัตรเข้าในช่อง ซึ่งรับเฉพาะมูลค่า 1000 2000 5000 10000

5. รอจนเครื่องมันเติมเงินเสร็จ ยืนยัน ดึงบัตรออก จบแล้ว ไปนาราได้

     หลายปีที่ผ่านมา ในทุกครั้งที่ผมไปสิงคโปร์ ผมจะต้องไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่ Bugis พร้อมเสี่ยงเซียมซีทำนายดวงชะตาทุกครั้ง สำหรับเมืองนาราก็เช่นกัน ทุกครั้งที่ได้มา เราจะเกิดความรู้สึกอิ่มบุญ เปี่ยมสุข และสบายใจในการได้กลับมาไหว้แสดงความเคารพ ณ สถานที่สำคัญทางศาสนาที่มีความศักดิ์สิทธิ์  และครั้งนี้เราก็มีความตั้งใจเช่นเดิมที่จะกลับมาเมืองนี้อีกครั้ง


     เมืองนาราเป็นเมืองขนาดกลาง มีสถานที่สำคัญทางศาสนาหลายแห่งที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองซึ่งเราสามารถเดินเท้าเที่ยวได้จนครบหมดในเวลาครึ่งวันได้  จากสถานี Namba เรานั่งรถไฟเอกชนของ Kintetsu สาย Nara line ประมาณ 1 ชม.ก็เดินทางถึงเมืองนารา  จากสถานีรถไฟ เราเดินต่อไปตามถนนเส้นหลัก ผ่านห้างร้านต่างๆ แวะซื้อขนมเซมเบ้เจ้าดังของเมืองนี้ ที่การันตีได้จากปริมาณผู้คนหน้าร้านจำนวนมหาศาลยังกะแจกฟรี

     เราเดินผ่านวัด Kofukuji ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 ซึ่งภายในวัดนั้นประกอบไปด้วย ศาลเจ้า โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ เจดีย์ 5 ชั้นที่มีชื่อเสียง

ผ่าน Nara Park  สวนสาธารณะประจำเมืองขนาดใหญ่ที่มีครอบครัวกวางอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

     เมื่อเดินพ้นสวนสาธารณะมาก็จะเข้าสู่เขตพื้นที่วัด เราเดินไปตามทาง แวะหลบฝูงกวางที่วิ่งไล่กินขนมเซมเบ้ที่นักท่องเที่ยวหยิบยื่นให้ ข้างหน้าถัดไปไม่ไกลเป็นที่ตั้งของ Nandaimon หรือประตูวัดขนาดใหญ่มากของ Todaiji บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองอย่างมากของ Nara อดีตเมืองหลวงของประเทศนี้   

     วัดโทได หรือ Todaiji เป็นที่ประดิษฐานของประพุทธรูปทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งในอดีตย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 7 วัดแห่งนี้คือศูนย์กลางทางศาสนาที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักร วัฒนธรรมและประเพณี  นอกจากนั้น วัดแห่งนี้ก็ทำหน้าที่เป็นโรงเรียนสงฆ์อีกด้วย  อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่อุโบสถหลักสร้างจากไม้ จึงทำให้จากอดีตจนถึงปัจจุบัน วัด Todaji ได้รับความเสียหาย เสื่อมโทรม ทั้งจากภัยธรรมชาติ ภัยจากมนุษย์ และจากกาลเวลา  ผ่านการบูรณะใหม่มาก็หลายครั้ง  

ภายในวิหารจะมีเสาต้นหนึ่งที่มีช่องในเสาซึ่งเชื่อว่า การลอดผ่านช่องดังกล่าวจะช่วยให้ได้รับพร มีชีวิตที่ดีในภพหน้าเลยทีเดียว


#5    ทางสายบุญแห่ง Osaka

     จากที่เราไป Nara กันมาเมื่อวาน ในวันนี้เราก็ยังคงอยู่ในทริปไหว้พระ 9 วัดกันอยู่ และผมคิดว่าไม่น่าจะมีรีวิวไหนพูดถึงเรื่องการเดินไหว้พระ ไหวศาลเจ้าใน Osaka นะ 555+

     ย้อนกลับไปเมื่อวานหลังจากกลับมาจาก Nara เราตั้งใจไปกินร้านที่ Namba ร้านนึงที่คนไทยทุกคนที่มา Osaka ต้องแวะมากิน ก็คือร้านราเมนสีแดง Ichiran Ramen เดิมนั้นสาขาหลักในย่าน Namba นี้จะตั้งอยู่เลียบคลอง ติดกับร้านทาโกะยากิ  และการรอเข้าคิวที่ร้านนั้นในช่วง Peak เช่น 19.00-23.00 อาจใช้เวลาในการรอคิวกว่า 30 นาที    

     แต่ตอนนี้ Ichiran Ramen มีสาขาเพิ่มแล้วนะครับ อยู่ซอยติดกับ Lore Hostel เลย  และร้านนี้เปิด 24 ชม. ทำให้เราหิวเมื่อไหร่ก็แวะมาได้เสมอ ทั้งเช้า-กลางวัน-เย็น-ดึก และร้านนี้ก็มี vendor ที่ขายแบบกล่องให้เราเอากลับไปทำเองที่บ้านได้ด้วย ผมเลยซื้อมา 1 กล่อง ทำได้ 3 ชาม ราคาต่อกล่องอยู่ที่ 2,000 เยน

สำหรับเพื่อนๆที่อยากเดินทางสายบุญแบบผม ไหว้พระ ล่าเครื่องรางรูปแบบต่างๆ วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปยังศาลเจ้าและวัดภายในเมือง Osaka กัน

  -  ช่วงเช้าเราจะพาลงไปทางใต้ จาก Tennoji เราจะนั่งรถไฟไปสถานี Sumiyoshitorii-Mae  ไปสถานที่ศักดิ์ศิทธิ์ของคนท้องถิ่นอย่าง Sumiyoshi Taisha

-   ช่วงบ่ายเรากลับจาก Tennoji และเริ่มเส้นทางธรรมะจาก Tennoji ขึ้นไปทางเหนือ ผ่านศาลเจ้า Horikoshi Shrine,วัด Shitennoji , ผ่านศาลเจ้า Ikukunitama Shrine แล้วไปสิ้นสุดอยู่ที่ Osaka Castle 

     จากสถานี Tennojiekimae เรานั่งรถไฟเล็กน่ารักมาลงที่สถานี Sumiyoshitorii-Mae ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าสุมิโยชิ  ศาลเจ้านี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 3 เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และในอดีตนั้นชาวประมงและชาวเรือมีความเชื่อว่า หากได้มาสักการะเทพเจ้าที่นี่แล้ว จะช่วยปกป้องให้เดินทางปลอดภัย แคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆได้  

อีกหนึ่งชื่อเสียงของศาลเจ้านี้ก็คือ การจัดวางตำแหน่งของหมู่อาคารและศาลเจ้าภายในบริเวณ รวมถึงสะพานโค้งสีแดงที่หน้าวัดซึ่งเงาสะท้อนบนผิวน้ำของสะพานนั้นทำให้มุมนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยที่สุดของ Osaka

     ในช่วงบ่ายเรากลับมา Tennoji เดินขึ้นเหนือไปตามถนนหลัก แวะไหว้ศาลเจ้าและวัดต่างๆ เพื่อเสริมสิริมงคลให้ตนเอง

ที่แรกเป็นศาลเจ้าขนาดเล็กแต่มีความสวยงาม

ที่ต่อมาเป็นอีกหนึ่งวัดที่มีชื่อเสียงในย่านนี้

     วัดที่มีความสวยงามมากแห่งนี้คือวัด Shitennoji เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ตามประวัติที่จารึกมานั้นวัดแห่งสร้างโดยเจ้าชาย Shotoku เพื่อเป้นการสรรเสริญกษัตริย์ 4 แห่งที่เป็นผู้วางรากฐานให้ญี่ปุ่นมีความเจริญรุ่งเรืองใน 4 ด้าน คือ ศาสนาและการศึกษา สวัสดิการและสิทธิพลเมือง การพยาบาล และด้านเภัชศาสตร์และเวชศาสตร์ ซึ่งในอดีตนั้นถือเป็นรากฐานสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของคนญี่ปุ่น

     พื้นที่โดยรอบวัดสามารถเดินชมได้ฟรี ถ้าพื้นที่ในเขตอาคารหมู่เจดีย์ 5 ชั้น มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม


#6    เก็บตก Shinsaibashi – Namba – Nippombashi – Tennoji  เส้นทาง Shopping แห่ง Osaka

การเลือกพักใน Namba นั้นเหตุผลหลักก็คือ สะดวกในการเดินไปชอปปิ้ง ซื้อของ แล้วเอาของกลับมาเก็บในกระเป๋า แล้วก็ออกไปซื้อต่อ 55  โดยใน Osaka นั้น จะมีย่านชอปปิ้งหลักๆ คือ  ทางตอนเหนือของเมืองจะเป็นโซนแถวสถานี Umeda และ Osaka station ที่เป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าและ Shopping Street จำนวนมาก  และทาง Namba ซึ่งก็เต็มไปด้วยย่านชอปปิ้งเช่นกัน  ซึ่งแบ่งแบบคร่าวๆ เป็นโซนต่างๆได้ประมาณนี้

1. สีแดง     เรียกว่า Americamura  เป็นย่านร้านอาหาร ร้านขายของ เสื้อผ้า ที่เป็นของแนวยุโรปและอเมริกาเป็นหลัก

2. สีเขียว  เส้นนี้คือ Shopping Street ซึ่งสามารถเดินได้จากตั้งแต่สถานี Shinsaibashi (ตรงที่ผมหมุดดาว Anello ไว้) เดินลงมาตลอดเส้นจนกระทั่งถึง Dotonbori หรือสะพานป้าย Glico มีทุกอย่างทั้งเสื้อผ้า รองเท้ากีฬา เครื่องสำอาง ร้านอาหาร ร้านขนมของกินต่างๆ

3. โซนสีชมพู เป็นโซนที่พัก Lore Hostel ของเรา หลักๆย่านนี้จะเป็นร้านของฝาก ร้านยา ร้านกินดื่ม ร้านอาหาร บาร์ต่างๆ และที่พัก Hostel

4. โซนสีม่วง  หากเดินจากสถานี Nippombashi มา ผ่านตลาด Kuromon Ichiba  โซนนี้คือโซนร้านขายโมเดล ของเล่น ของสะสม หนังสือ dvd ผลิตภัณฑ์ 18+ต่างๆ ทั้งสายหุ่นยนต์ Gunpla สายโมเดล ตุ๊กตาสะสม สายโมเดลรถยนต์แบบผมก็ดี

     โดยร้านหลักๆ ของย่านนี้คือ Jungle และ Volks (สายโมเดิลฟิกเกอร์)  ส่วน Kids Land จะเน้นไปทั้งฟิกเกอร์และโมเดลรถยนต์ที่มีมากกว่าห้างร้านอื่น

ปล. ถ้าชอปปิ้งจนเงินหมด สามารถกดเงินได้ที่ 7-11 atm หรือที่เส้นสีเขียวจะมีห้าง Daimaru ให้ลงไปชั้นใต้ดินโซนขายอาหารจะมีตู้ ATM ตั้งอยู่เช่นกัน  

     จากเส้น Nippombachi หากเดินลงมาทางใต้เราจะสามารถเดินมาถึงย่าน Ebisucho และเดินต่อไปถึง Tennoji ได้  บริเวณนี้คล้ายๆกับหัวเมืองทางใต้ของ Osaka เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง เป็นย่าน shopping ร้านอาหาร และเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์ tennoji และ park ที่เป็นสวนสาธารณะที่มีลานกิจกรรมให้สำหรับคนท้องถิ่น  และ Landmark ที่เด่นที่สุดของย่านนี้ก็ต้องยกให้กับ Tsutenkaku Tower

     ย่านนี้เป็นย่านร้านกินดื่ม บาร์ ที่มีราคาถูกกว่าฝั่งทาง Namba อย่างชัดเจน และหากมาเดินเล่นตอนกลางคืน ป้ายไฟนีออนหน้าร้านในย่านนี้มีสีสันฉูดฉาดได้เจ็บมาก

เราเดินบนทางเดินลอยฟ้า ข้ามสวนสัตว์ Tennoji เพื่อขึ้นไปชมวิวบนตึกที่สูงที่สุดของ Osaka ที่ตึก Abeno Haruka

จุดชมวิวของตึกนี้เรียกว่า Harukas 300 ซึ่งเราได้ตั่ว Voucher ขึ้นฟรีมาจากการไปพักที่ Kintetsu Tennoji Hostel การขึ้นจุดชมวิวนั้นให้เราขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 16 ทำการลงทะเบียน แล้วเจ้าหน้าที่จะพาเราไปขึ้นลิฟท์ความเร็วสูงที่ยิงตรงขึ้นไปที่ชั้น 60 ซึ่งทั้งชั้นเป็นหน้าต่างกระจกทั้ง 4 ด้าน และในวันที่อากาศแจ่มใสสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้ง Osaka

อย่าลืมมาเข้าห้องน้ำที่สูงที่สุดใน Osaka กันนะครับ

     สำหรับเรา ย่าน Tennoji เป็นย่านที่ค่อนข้างสงบและน่ามาพัก ย่านนี้ เดินทางสะดวก ทั้งไปสนามบิน Kansai เข้า Namba หรือ Umeda มีรถไฟที่เดินทางไปได้ทั้ง Kobe Kyoto และ Nara  และย่านนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ทำให้ค่อนข้างปลอดโปร่ง มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ให้เราได้นั่งพักผ่อนได้ นอกจากนั้น ค่าครองชีพก็ยังถูกกว่าฝั่งในเมือง

     หลังจากเตร็ดเตร่อยู่ใน Tennoji ซักพัก เราก็แวะไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่ Kintetsu Hostel จากนั้นเดินไปขึ้นรถไฟ Haruka ที่ได้ซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว เพื่อเดินทางไปเชคอินกลับไทยกัน  


****

ทริปนี้ อาจจะไม่ได้พาไปเที่ยวสถานที่หลักๆ เพราะคิดว่ารีวิวของท่านอื่นนี้น่าจะมีพาไปครบแล้ว  แต่เราอยากเล่าให้เพื่อนๆฟัง ในลักษณะของบันทึกการเดินทาง อยากแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งที่อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงมาก แต่ก็มีเรื่องราว มีความสวยงามและ
มีความคุ้มค่าในการเดินทางไปเที่ยวเช่นเดียวกัน

สุดท้าย ฝาก Page ไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ  https://www.facebook.com/travelroutetrip/ ตอนนี้เรามี Content หลายอย่างที่กำลังทยอยอัพเดททั้งในยุโรป เอเชีย และจะเพิ่ม Content การท่องเที่ยวในไทย เพื่อให้คนที่อาจไม่สามารถไปเที่ยวต่างประเทศได้ในตอนนี้ ได้ลองเที่ยว ค้นพบความสวยความของประเทศไทยของเรา ได้ออกไปเที่ยวกันได้ง่ายขึ้น

***

สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้

1.  ตั๋วเครื่องบิน Air Asia X              6,000 บาท

2.  ที่พัก

     -  Kintetsu Tennoji Hostel       500 บาท/ คืน

     -  Kyoto                                480 บาท/ คืน

     -  Lore Hostel, Namba            700 บาท/ คืน

3.  ตั๋ว ICOCA + Haruka               1,200 บาท (4,200 เยน)

                                                เติมเงินเพิ่ม 1 รอบ 2,000 บาท (6,000 เยน)

4.  ค่ากินอยู่                                3,000 บาท

5.  ค่าชอปปิ้งต่างๆ                        5,000 ++ บาท

6.  Data SIM                              500 บาท

7.  ประกันเดินทาง                        400 บาท

8.  ค่าเครื่องรางทั้งหมด                 1,000++ บาท

รวมทั้งสิ้นทั้งทริป ประมาณ  15,780 บาท  ไม่นับค่าชอปปิ้ง  เทียบกับยุโรปของผมนี่คนละเรื่องเลย

ถ้าเพื่อนๆมีคำถามหรืออยากพูดคุย สามารถสอบถามหลังไมค์ หรือในเพจกันได้ครับ แล้วพบกันใหม่ในริวิวต่อไป  สวัสดีครับ /\

เที่ยวตามทาง

 วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 15.37 น.

ความคิดเห็น