สวัสดีครับ

วันนี้ขอรีวิวทริปเฉพาะกิจ จากทริปไป Iceland ก่อนหน้านี้ https://pantip.com/topic/35798202  ที่ผมมีเวลา 2-3 วันก่อนที่จะเดินทางไป Iceland ตอนนั้นจึงเลือกไป Amsterdam และ Brussel  ซึ่งด้วยความที่ผมเป็นคนชอบเที่ยว จึงได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนๆบ่อย ๆ

และพอเราพูดถึงประเทศ Belgium แล้ว เพื่อนๆก็มีคำถามว่า ถ้ามีเวลาแค่ 1 - 2 วัน ประเทศนี้มีเมืองไหนก็น่าสนใจบ้าง  ผมเชื่อว่า 100 ทั้ง 100 ก็ต้องตอบว่า Brussel  แต่จริงๆแล้ว มันมีอีกเมืองหนึ่ง ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีความสวยงาม จากธรรมชาติ สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ที่คงอยู่มายาวนานกว่าหลายร้อยปี  และเป็นหนึ่งในมรดกโลกจากการรับรองของ Unesco

เมืองที่ผมพูดถึง คือ เมือง Bruges  หรือ Venice of the North แห่ง Belgium



ข้อมูลทั่วไปของเมือง Bruges

ในช่วงคริสศตวรรษที่ 12 - 15 เมืองแห่งนี้เป็นหนึ่งในเมืองท่า เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเบลเยี่ยม เป็นศูนย์กลางด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ  การค้าขายขนสัตว์ เหล็ก ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงถดถอยหลังศตวรรษที่ 15 แต่ในช่วงศตวรรษที่ 19 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็สามารถฟื้นฟูความเจริญของเมืองกลับมาได้อีกครั้งจากรายได้มหาศาลจากการท่องเที่ยว

ชื่อเสียงของ Bruges ในมิติของการท่องเที่ยวนั้น มาจากสถาปัตยกรรมของยุคกลางที่กระจายรายล้อมอยู่ในทุกๆ มุมของตัวเมือง นอกเหนือจากความสวยงาม เรื่องราวของยุคสมัย วัฒนธรรม ความเจริญรุ่งเรืองในแต่ละศตวรรษนั้นสะท้อนออกมาจากอาคาร รูปปั้น อนุสาวรีย์ ที่มีรูปแบบทางศิลปะที่แตกต่างกัน แต่ก็ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

ทริปนี้เป็น 1 Day trip  โดยผมเริ่มเดินทางโดยรถไฟจาก Brussel ในตอนเช้า ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินทางถึง Bruges  เดินเสพศิลปะ หาที่นั่งปิคนิคชิลๆ เดินถ่ายรูปตามมุมสวยๆ ก่อนเดินทางกลับในช่วงเย็น เป็นทริปสบายๆ เดินทางง่ายๆ ไม่ลำบาก

จริงๆแล้ว ผมเป็นคนที่ชอบดูสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น เช่น ภูเขา แม่น้ำ ทะเล  มากกว่าดูสิ่งปลูกสร้างจากฝีมือมนุษย์  แต่สำหรับเมือง Brudges ผมอาจยกเว้นไว้ให้เมืองนึง ^^ เพราะเมืองแห่งนี้มันไม่ใช่แค่สิ่งปลูกสร้าง มันมีชีวิต มีเรื่องราวที่เล่าเรื่องราวของตัวมันเอง



ทริปนี้เราเริ่มเดินทางจากสถานีรถไฟ Brussel Central กัน ไม่มีข้อมูล ไม่รู้ตารางรถไฟก็ไม่ต้องกังวลครับ ข้อมูลน้อยๆ เที่ยวแบบไม่รู้อะไรล่วงหน้า  จะได้ตื่นตาตื่นใจเวลาไปเห็นของจริงครับ 55+  ทีนี้พอไปถึงสถานี จนท.ห้องตั๋วสามารถพูดภาษาอังกฤษ (สำเนียงฟังยากๆ) ได้ครับ ก็โชว์แผนที่ โชว์ชื่อเมือง ให้นายสถานีออกตั๋วให้เรา แต่เราก็ต้องเช็คป้ายประกาศตารางรถไฟดีดีนะครับ เพราะ platform อาจจะมีเปลี่ยนได้  พยายามมองหาคำว่า bruges ให้เจอ ทีนี้ก็ไม่หลงแล้ว

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึง Bruges  เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ สามารถใช้เวลา 2 - 3 ชั่วโมงก็สามารถเดินได้จนครบ  แต่ด้วยความเป็นเมืองท่องเที่ยว เราคาดหวังได้ว่า อาหารและเครื่องดื่มต้องแพงทะลุเพดานแน่ๆ แนะนำว่า ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวสายประหยัด ซื้อตุนไว้จากร้านที่สถานีรถไฟเลยครับ  

เรามาถึง Bruges กันแล้ว  เมืองนี้มีอะไรให้ดูมั่งนะ

1.  นั่งเรือชมเมือง  อย่างที่ผมเกริ่นไว้ข้างต้นว่า เมืองนี้คือ Venice ดังนั้นการนั่งเรือชมเมือง ลัดเลาะไปตามคูคลองรอบเมืองๆ ดูบรรยากาศ อาคารริมน้ำ แล่นเรือลอดสพานสวยๆ คือ สิ่งที่ต้องทำ  ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

2.  หามุมถ่ายรูปสวยๆ  การมาเที่ยวเมืองนี้ตอบโจทย์สวยถ่ายรูป สาย IG  คุ้มค่าตั๋วรถไฟแน่นอนครับ โดยเมืองนี้มี landmark สวยงามๆ เช่น

- Market Place  หรือลานกลางเมือง

- Bacilica of the Holy Blood

     - Church of the our Lady

     - City Gateways

     - Lake Minnewater และ Kasteel Minnewater Restaurant

     - ห่านขาว !!

ยังหาห่านขาวไม่เจอ  ก็เดินไปเรื่อยๆก่อน 55+  จากสถานีรถไฟ ใช้เวลาเดินประมาณ 15-20 นาทีก็จะเข้าถึงใจกลางเมืองครับ ระหว่างทางก็จะมีมุมถ่ายรูปสวยๆ ตึกทรงเก่าๆที่ถูกอนุรักษ์ไว้ บางหลังเป็นบ้านพักอาศัยที่มีคนอยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่ปรับปรุงเพื่อโชว์ แบบเมืองท่องเที่ยวหลายๆเมือง

เมื่อเริ่มเดินเข้าถึงเขตเมือง สิ่งที่รู้สึกได้คือ คลองเยอะจริงๆ เมืองแห่งนี้มีคลองสายเล็กๆกระจายอยู่ทั่วเมืองคล้ายๆกับระบบถนนในอดีต ผมเดินข้ามสะพานแล้วสะพานเล่า ก็เห็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในเมือง โบสถ์ Church of our Lady  ตั้งตระหง่าน โดดเด่น สวยงามสง่า

เดินไปเรื่อยๆ ผ่านย่านร้านอาหารและร้านค้า เริ่มพบเจอคลอง เจอเรือแล่นสวนกันไปมาๆ  ก็เลยตัดสินใจว่าไปนั่งลงเรือก่อนแล้วกัน จะได้ชมเมืองให้รอบๆ ถ้าเจอตรงไหนสวยๆ ก็ค่อยเดินมาดูอีกรอบบนบกเอาได้

ยืนต่อแถวซื้อบัตรเสร็จแล้ว ก็รอแถวขึ้นเรือประมาณ 20 นาที เรือก็วนมารับเราแล้วครับ เรือลำนึงนั่งได้ประมาณ 15-20 คน กัปตันเรือเป็นทั้งคนขับ เป็นทั้งไกด์ พูดได้ประมาณ 5 ภาษา  แต่ทริปนี้นอกจากหัวทอง ก็มีพวกหัวดำแบบผม ก็เลยยังคงใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักอยู่ 55+


ข้อดีของการนั่งเรือ คือ เย็น  ไม่ใช่ !!! คือ เราสามารถเดินทางได้ครบทุกมุมของเมืองภายใน 15 นาที ได้วางแผนได้ว่าส่วนไหนของเมืองที่ตรงกับความสนใจของเรา เพื่อที่จะเมือขึ้นฝั่งแล้ว จะได้เลือกที่จะไปได้  เพราะการที่จะเที่ยวให้ครบทุกมุมของเมืองอาจต้องใช้เวลามากกว่า 2-3 ชม.ครับ นอกเหนือจากนั้น ตึก อาคาร ที่ติดน้ำ มันมีเรื่องราวของมันที่น่าจะสนใจ ตามที่ลุง George ได้เล่าให้ลูกทัวร์เรือของแกฟัง


ช่วงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากลุง George กัปตันสุดเท่


เรื่องราวที่น่าสนใจของอาคารที่ติดน้ำ หรือที่เรียกว่า Canal House นั้นคือระบบการเก็บภาษีประจำปีที่เรียกว่า ระบบ Window Tax

ที่มาของระบบนี้ เกิดจากการที่ในช่วงยุคกลางนั้น ความเจริญเติบโตของเส้นทางค้าขายโดยเฉพาะทางน้ำนั้น สร้างความร่ำรวยให้กับเมืองท่าต่างๆ เช่น Amsterdam รวมถึง Bruges เป็นอย่างมาก ซึ่งการเจริญเติบโตของเมือง การขยายตัวของเขตชุมชนเมือง ก็มาพร้อมกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และการสร้างที่พักอาศัยของกลุ่มพ่อค้าผู้ร่ำรวยก็มีแนวโน้มที่จะสร้างบ้านให้มีขนาดใหญ่โตขึ้นเช่นกัน

ดังนั้น ระบบ Window Tax จึงถูกใช้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ควบคุมไม่ให้ขนาดของเมือง โตจนเกินไป โดยใช้การจัดเก็บภาษีบุคคลจาก จำนวนหน้าต่าง ขนาดหน้าต่าง และรวมถึงจำนวนประตูของอาคารแต่ละหลัง

และเพื่อลดการจ่ายภาษี ชาว Bruges หัวแหลมบางหลังนั้น ก็มีการรวมใช้ประตูเดียวกัน (คือบ้าน 2 หลัง ใช้ประตูบ้านบานเดียว เปิดประตู 1 บาน ไปเจอประตูบ้านอีก 2 บาน ประมาณนั้นครับ ) หรือมีการก่ออิฐปิดหน้าต่างบางบานที่ไม่จำเป็นไป ภาษีก็จะได้ถูกลงอีก

ดังนั้นเวลาเรานั่งเรือไปเรื่อยๆ ก็จะมีเรื่องสนุกๆ ให้นั่งทำคือ ดูว่าบ้านหลังไหนรวย บ้านหลังไหนประหยัดงบ  ซึ่งบ้านหลังที่รวยสุดมีหน้าต่างเกือบ 50 บานได้ครับ




อยากที่ผมบอกไปว่า เมืองนี้มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะจริงๆ คงไม่ต้องบรรยายมาก ให้ภาพเล่าตัวมันเองดีกว่าครับ

ช่วงบ่ายๆ เริ่มหิวกันแล้ว เราก็เลยเดินหาที่นั่งกินข้าวเที่ยงกัน จนเจอห่าน !! จนได้ ก็เลยเลือกนั่งกินกันตรงนี้แล้วกันครับ  ตรงจุดนี้ น่าจะเป็นบ้านของมัน และก็เป็นจุดสุดคลองที่เรือจะต้องมาวนกลับ ซึ่งก็สามารถเห็นห่านเบลเยี่ยมตัวเป็นๆ ได้


มุมถ่ายรูปที่สวยที่สุดใน Bruges

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 16.00 ผมก็กำลังเดินทางกลับสถานีรถไฟ เราเลือกเดินมาผ่านทางสวนสาธารณะ ซึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดีอย่างมากก เพราะทำให้มาบังเอิญเจอจุดที่ถ่ายรูปสวยที่สุดในเมือง และในทริปนี้เลยทีเดียว

ฝั่งที่เดินมานั้นเป็นทางทิศใต้ของเมือง เราต้องเดินผ่านสวนสาธารณะ Minnewater Park ซึ่งเป็นสวนขนาดใหญ่ เราเดินเลาะไปตามทะเลสาบ จนได้เห็นร้านอาหารที่มีวิวสวยที่สุดในเมือง (และคิดว่าราคาก็คงแพงที่สุดเช่นกัน)

ร้านอาหาร Kasteel Minnewater Restaurant  หรือเรียกว่า ปราสาท ก็คงจะไม่ผิดนัก  ร้านแห่งนี้ ถูกหลักฮวงจุ้ยทุกอย่าง หน้าบ้านติดน้ำ หลังบ้านติดเขา บ้านเราติดแบ้ง  ขายอาหารอะไรผมไม่รู้ แต่คิดว่าคนในร้านน่าจะมีความสุขกับวิวที่เขาได้รับ

ก่อนกลับ ขอทิ้งภาพสวยๆของทะเลสาบแห่งนี้ไว้จูงใจให้มาเที่ยวเมืองเล็กๆที่มีเสน่แห่งนี้ อย่าง Bruges กันครับ


สรุป

เมืองแห่งนี้ ถ้ามีโอกาสได้มาเที่ยว Brussel อยากให้ลองเพิ่มวันเดินทาง 1 วันให้กับเมือง Bruges ครับ มันมีเสน่ มีความน่าสนใจ และมีความสวยงามจากศิลปวัฒนธรรมในแต่ละยุคครับ

การเดินทาง จาก Brussel ใช้เวลาเที่ยวละ 1 ชม. และมีรถไฟทุกๆ 1 ชม. และทุกๆ 30-45 นาที ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช่น ช่วงหัวค่ำ

ค่าใช้จ่าย บวกค่าเรือ บวกค่ากิน ไม่นับค่าชอปปิ้ง ต่อคนตก 2000 +- ไม่แพงจนเกินไปครับ

ขอบคุณที่ติดตามชมครับ  รอบหน้า ถ้ามีโอกาส ใจผมจริงๆอยากทำรีวิว Trip ตุรกี มาก  เพราะเป็นประเทศที่สวย คนน่ารัก อาหารอร่อย อากาศดี  และค่าครองชีพถูก  ถ้ามีโอกาส รออ่านรีวิวอันต่อไปได้เลยครับ ^^


ฝากติดตามกระทู้รีวิวเที่ยวเมืองอื่นๆ ที่ได้ทำไว้ด้วยครับผม 

1. ทริปไอซ์แลนด์ https://pantip.com/topic/35798202

2. ทริปเยอรมนี ออสเตรีย สวิสเซอร์แลนด์ https://pantip.com/topic/36398268

3. ทริป Capetown, South Africa https://pantip.com/topic/37154739


เที่ยวตามทาง

 วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 11.28 น.

ความคิดเห็น