ไปอุดรครั้งนี้เราเดินทางด้วยเครื่องบินกับที่บ้านเดินทางด้วยแอร์เอเชีย
สถานที่ที่ตั้งใจจะมาในทริปนี้เลยก็คือคำชะโนดต้องการที่จะมาไหว้สักการะหลวงปู่ และแม่ย่า
เราเดินทางโดยการเช่ารถยนต์ส่วนตัวจากสนามบินขับรถมุ่งหน้าสู่คำชะโนด
หลังจากไหว้หลวงปู่กับแม่ย่าเสร็จแล้วก็กลับมาที่เมืองอุดรธานีมาเดินเล่นที่สวน หนองประจักษ์
บรรยากาศตอนเย็นสดชื่นมากๆนั่งดูพระอาทิตย์ตกและคน มานั่งเล่น เดินเล่น มาวิ่งเล่นกันตอนเย็นๆ
ตบท้ายมื้อเย็นด้วยร้านแดงแหนมเนืองเป็นร้านอาหารเวียดนามขึ้นชื่อของเมืองอุดร บอกเลยว่ามาอุดรทีไรต้องมาร้านนี้
ตื่นเช้ามาออกเดินทางสู่จังหวัดหนองคายเพราะว่าอุดรไม่ค่อยมีอะไรเที่ยวนัก
ระหว่างทางไปหนองคายก็แวะวัดผาตากเสื้อ แลนด์มาร์คของที่นี่ก็เห็นจะเป็นสกายวอล์ค
ฝั่งตรงข้ามที่เห็นก็คือประเทศลาว
วิวสวยมากมองเห็นภูเขาและแม่น้ำประเทศลาวไปพร้อมๆกัน
ขับรถออกมาจาก วัดผาตากเสื้อก็มาถึงหนองคายริมแม่น้ำโขง
จะเห็นประเทศลาวอยู่ฝั่งนู้นใกล้มากๆ
ตรงนี้ก็คือสะพานมิตรภาพไทยลาวแต่ช่วงนี้เนื่องจากสถานการณ์โควิคก็ยังไม่เปิดให้ข้ามไป
มาเดินกันที่ Walking Street จึงเงียบเหงามากไม่มีคนเลย
ร้านอาหารริมแม่น้ำโขงก็เงียบ
เดินมาหน่อยก็จะเจอพระธาตุหล้าหนอง
มีเจดีย์ที่จมอยู่ในน้ำบางส่วนซึ่งข้างบนนี้เป็นตัวจำลองจาก องค์ที่จมอยู่น้ำไป
ใครอยากที่จะเห็นใกล้ๆสามารถนั่งเรือ ไปชมได้ตรงนั้นก็จะเป็นน้ำอุ่น แต่คนขับเรือเชี่ยวชาญมากไม่ต้องกลัว
เสร็จแล้วก็กลับเข้าที่พักซึ่งที่พักที่นี่ไม่แพงเลย คืนละ 1,200 ได้ตั้ง 3 คน แต่ราคาจะไม่รวมอาหารเช้าอยู่ใกล้แหล่งอาหารและที่ท่องเที่ยว หาของกินได้ทั้งคืน
ก่อนกลับกรุงเทพฯมีเวลาตอนเช้าสักหน่อยก็แวะที่ท่องเที่ยวในจังหวัดหนองคายอีกสักที่นั่นก็คือศาลาแก้วกู่
ศาลาแก้วกู่เป็นอุทยานเทวาลัยหรือวัดแขก เป็นสถานที่คล้ายพิพิธภัณฑ์แสดงรูปปั้นต่างๆมากมายตามคติความเชื่อ ทางศาสนาพุทธศาสนสถานที่มีการจัดแสดงประติมากรรมปูนปั้นกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย ในพื้นที่ 42 ไร่อำเภอเมืองจังหวัดหนองคาย
ซึ่งขับรถออกมาไม่ไกลจากตัวเมืองเพียงแค่ 3 กิโลเมตรเท่านั้น
ก่อนขึ้นเครื่องบินมีเวลาอีกสักหน่อยระหว่างเดินทางกลับจากหนองคายสู่อุดรจะเจอร้านกาแฟร้านนึงอยู่ในสวน แวะทานเค้กสักชิ้นก่อนกลับ แต่จำชื่อร้านไม่ได้ว่าร้านอะไรเพื่อนๆลอง search ก็น่าจะเจอเหมือนกัน
อาทิตย์หน้าไม่ว่าง
วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 22.10 น.