มาครับทุกคน เดินป่าอีกทริป สำหรับทริปนี้ เราขอพาเพื่อนๆ ไปตะลุยป่าดิบชื้นหน้าฝน
ใครสายชิว สายหวาน ชอบสบาย รถถึง พักก่อนครับ ทริปนี้ลุยอย่างเดียว
การเตรียมตัวเหรอ เหมือนทริปเดินป่าทั่วไป
- เดิน วิ่ง ออกกำลังกล้ามเนื้อ ก่อนไป อย่างน้อย 1 เดือน
- ชวนเพื่อนร่วมทริป อย่างน้อย 2 เดือน
- จองที่พักที่อุ้มผาง แนะนำเป็นกโฮมสเตย์ ล่วงหน้า 2 สัปดาห์
- จองรถ|คนขับพาไปหมู่บ้านกุยเลอตอ (สามารถติดต่อสอบถามได้ตามโฮมสเตย์)
- จองตั๋วรถโดยสาร อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- เตรียมสัมภาระ อย่างน้อย 3 วัน
อุปกรณ์เดินป่า
- เป้ใหญ่ 1 ใบ อันนี้ต้องทนนะ ถ้าไม่ทนพกอุปกรณ์เย็บซ่อมแซมไปด้วย
- ชุดเดินป่า เสื้อผ้า รองเท้า หมวก ผ้าเช็ดตัว เสื้อกันฝน (โดยเฉพาะรองเท้าต้องเลือกที่แข็งแรง ทน และไม่อุ้มน้ำ)
- เต็นท์ขนาดเล็ก|แปลผูก พร้อมอุปกรณ์เสริม เช่น กราวชีท ฟรายชีท แผ่นรองกันน้ำ เชือก
- อุปกรณ์ทำอาหาร ได้แก่ หม้อสนาม ช้อนซ่อม ถ้วยชาม มีด
- ไฟฉาย
- ไฟแช็ก
- ปูนขาว
- กล้องถ่ายรูป ( mirrorless)
ปล. อย่าลืม ธูป
เอาล่ะ เตรียมของจองรถแล้วเราก็ไปกันเลยดีกว่า
เราเริ่มต้นตอนเช้ากับบรรยากาศสดชื่นแจ่มใส อากาศเช้านี้ที่ตัวอำเภออุ้มผางสดใส มีแสงแดดออกมาเคล้าเคลียกับสายหมอก แค่เห็นแดดก็ดีใจแล้ว เราตื่นตั้งแต่ตีห้า เก็บสัมภาระขึ้นรถกะบะของพี่สำเนียง พี่สำเนียงเป็นคนขับรถพาเราไปที่หมู่บ้านกุยเลอตอ เราให้รถไปจอดที่ตลาดก่อนออกเดินทางเพื่อซื้อเสบียงสำหรับ 2 วัน 1 คืน เมนูที่แพลนไว้ เป็น เช้านี้เป็นน้ำเต้าหู้ ปลาท่องโก๋ ข้าวโพดปิ้งหอมๆ ตอนเที่ยงเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้ง กับน้ำพริกแมงดา ตอนเย็นต้มยำปลากระป๋อง และตอนเช้าของอีกวันเป็นเมนูข้าวต้มเห็ดหอม กาแฟ ไข่ต้ม
รถกะบะพาเราออกจากตัวอำเภออุ้มผางไปตามถนนสายอุ้มผาง-บ้านเบิ้งเคิ่ง ซึ่งห่างออกไป 60 กม. เพื่อไปหมู่บ้านกุยเลอตอ ถนนเป็นทางราดยางตลอดเส้นทาง แต่โค้งเยอะ หลุมเยอะมาก ขับเร็วไม่ได้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็ชมวิวไปเรื่อยๆ
และแล้วเราก็มาถึงหมู่บ้านกุยเลอตอสักที ดูเวลา 09.40 น. หมู่บ้านกุยเลอตอเป็นชุมชนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงพูดไทยได้แต่ไม่ค่อยชัด มี 50-60 หลังคาเรือน บ้านเรือนเป็นบ้านแบบชาวเขาเรียบง่าย หลังคามุงจากและไม้แผ่นสับ ฝาบ้านและพื้นบ้านทำจากไม้ไผ่ทุบ ใต้ถุนยกสูง 1-2 เมตร
ทางเข้าหมู่บ้านจะมีด่านชุมชน ไว้ให้เราลงทะเบียน และเก็บค่าธรรมเนียม คนละ 20 บาท เราเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อจ้างคนนำทางพาไปน้ำตกปิตุ๊โกร การเดินทางไปน้ำตกเขาไม่อนุญาตให้เราเดินทางไปเอง จะต้องจ้างคนนำทางซึ่งเป็นเหมือนธุรกิจชุมชน พี่สำเนียงคนขับรถกะบะพาเราเข้าไปติดต่อกับครอบครัวคนนำทาง ชาวบ้านแถวนั้นดูแตกตื่นเมื่อเห็นเรา เรารออยู่ประมาณ 30 นาที เหมือนเขาพยายามตามหาคนนำทางให้เราแต่ไม่มีใครว่างเลย เขาเลยแนะนำเด็กหนุ่มคนนึงให้เรา เป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี เป็นลูกชายของคนนำทางที่พี่สำเนียงพาไปติดต่อ เราก็ไม่แน่ใจว่าจะนำทางให้เราได้จริงมั้ย เลยขอคุยกับน้องก่อน ประโยคแรกที่ผมถามคือก่อไฟเป็นมั้ย น้องตอบว่าก่อไฟได้คับ น้องพูดภาษาไทยได้ชัด เราตกลงเอาน้องคนนี้แหละ ดีเหมือนกันมีแต่วัยรุ่นไปด้วยกัน น้องเขาขอเวลาเก็บของ 5 นาที
เราเริ่มออกเดินทางเท้า พี่สำเนียงจอดรถกะบะและนอนค้างคืนรอรับเราอยู่แถวลำห้วย แกบอกคืนเดียวขี้เกียจกลับ หาปลาอยู่แถวนี้ไปขายด้วย เราลัดเลาะไปตามลำธาร ที่มีน้ำไหลตลอด สองข้างทางเป็นเนินเขาเตี้ยๆ เป็นไร่ข้าวโพดของชาวบ้าน ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านที่นี่ จากหมู่บ้านไปถึงน้ำตกเป็นระยะทาง 4.4 กม. แต่เป็นทางที่ค่อนข้างโหด
เราเดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 2 กิโลเมตรจะเจอน้ำตกเล็กๆ ให้เราพักเหนื่อย ล้างเท้าที่เต็มไปด้วยโคลน ได้ล้างหน้าล้างตา เล่นน้ำเย็นฉ่ำ แล้วก็พักรับประทานมื้อเที่ยงกันที่นี่ น้ำที่ใช้ดื่มยังเป็นน้ำที่ซื้อมาจากอุ้มผาง ยังเหลือพอให้ดื่ม ไปกันต่อครับ เป้าหมายยังอีกยาวไกล
หลังจากผ่านน้ำตกแรกมาทางเดินจะเริ่มเป็นเขา ต้องปีนขึ้นลงตามไหล่เขา ป่าช่วงนี้เป็นป่าดิบชื้น อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณต่างๆ ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นจนแสงแดดส่องไม่ถึง
ทางเดินเริ่มลำบากขึ้นเรื่อยๆ ต้องข้ามเขาหลายลูก ผ่านน้ำตกหลายแห่ง สะพานข้ามน้ำตกเป็นไม้ไผ่ที่ชาวบ้านทำขึ้นเพื่อเดินข้าม ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินข้าม
เดินจนขาลาก เพื่อนๆที่เดินมาด้วยกันเริ่มห่างกันออกไปเรื่อยๆ ตามกำลังของแต่ละคน ส่วนกรุ๊ปอื่นพักกันที่ฐาน 2 ฐาน 3 กันไปหมดแล้ว พวกเราตกลงกันว่าจะไปพักฐานสุดท้าย ที่อยู่ใกล้น้ำตกที่สุด เดินข้ามเขามาหลายลูกในที่สุดก็มาถึงที่พัก
มาถึงก็รีบจับจองพื้นที่ วางสัมภาระไว้ แล้วรีบออกไปยลโฉมน้ำตกรูปหัวใจ ตื่นเต้นมาก อยากรู้ว่าจะเหมือนในรีวิวมั้ย ค่อยๆ ลัดเลาะไปตามลำน้ำที่ตกมาจากน้ำตกรูปหัวใจ วินาทีแรกที่ไปถึง สายตาจับจ้อง สวยจริงๆ สวยสมคำล่ำลือ น้ำตกรูปหัวใจ น้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ด้วยความสูง 500 เมตร ตกแยกกันเป็น 2 ฝั่ง ไหลมาบรรจบกันเป็นรูปหัวใจ เห็นแบบนี้ก็หายเหนื่อยเลย
เรามาถึงน้ำตกก่อนนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ทำให้บริเวณโดยรอบเงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงน้ำที่สาดกระเซนมาอย่างแรงด้วยความสูง ตัวผมเองอิ่มเอมกับบรรยากาศโดยรอบ เราใช้เวลาอยู่กับน้ำตกค่อนข้างนาน เพราะไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่จะได้กลับมาที่นี่อีก
หลังจากถ่ายภาพ นั่งซึมซับวิวน้ำตกอันงดงามเบื้องหน้าอย่างเต็มอิ่มกันทุกคน ก็ได้เวลาเดินทางกลับไปแคมป์ ระหว่างทางกลับ ก็จะมีลำธาร น้ำตกที่ไม่แรงมาก เราอดใจไม่ไห้ ถอดเสื้อผ้ากระโดดน้ำเล่นกันตรงนั้นเลย น้ำเย็นมาก ตอนแรกว่าจะเล่นแค่แป๊บเดียว เผลอแว๊บเดียว ล่อไป 3 ชั่วโมง กับการเล่นน้ำตก สนุกเหมือนได้ย้อนวัยเด็กอีกครั้ง
เรากลับมากางเต็นท์ ก่อไฟ ทำอาหารเย็น อารมณ์เหมือนเข้าค่ายลูกเสือ คือต้องทำเองทุกอย่าง น้องไกด์เป็นคนก่อไฟให้ พวกเราสามคนช่วยกันทำกับข้าวเมนูง่ายๆ ต้มยำปลากระป๋องสูตรเด็ด ระหว่างนั้นก็ลุ้นอยู่ว่าจะมีกรุ๊ปอื่นมาสมทบมั้ย จนตะวันลับเหลี่ยมเขาทั้งป่าก็ยังคงเงียบ เหมือนมีแค่เราสี่ชีวิต แอบวังเวงเหมือนกันนะครับ
ตกเย็น ความมืดเข้าปกคลุมทั่วผืนป่า มีเพียงแสงไฟที่เราก่อไว้ตอนทำกับข้าวที่ยังให้แสงสว่าง ทั้งป่าเงียบสงัด แม้แต่ลมหายใจของเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ก็ได้ยินชัดเจน หลังทานข้าวเสร็จ เรานั่งล้อมวงรอบกองไฟ คุยเรื่องสัพเพเหระ บทสนทนาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราววิถีชีวิตของชาวบ้านในเขตอำเภออุ้มผาง โดยมีน้องไกด์ที่ค่อนข้างเป็นหนุ่มขี้อาย ค่อยบรรยายให้เราฟังทีละเรื่องสองเรื่อง เรื่องที่ขาดไม่ได้ในบทสนทนาระหว่างเดินป่าแบบนี้ก็คือ เรื่องผี กับเรื่องเสือ เราคุยกันออกรสออกชาดจนลืมความเมื่อยล้าไปเลย เป็นอีกหนึ่งโมงยามที่ชีวิตไม่ได้เร่งรีบ ผมได้มีโอกาสฟังเรื่องราวชีวิตของแต่ละคน เป็นช่วงเวลาน่าจดจำ ก่อนแยกย้ายกันไปนอน
ตกกลางคืน ขณะที่ทุกคนกำลังหลับสนิท ฝนตกมาห่าใหญ่ น้ำซึมผ่านแผ่นรองนอนเข้าในเต็นท์จนเปียก นึกขึ้นได้ด้วยความเป็นห่วง ผมรีบออกมาดู เห็นน้องไกด์ของเรานอนขดอยู่ด้านนอกเสื้อผ้าเปียกปอนด์ ชวนให้เข้าไปนอนในเต็นท์ก็ไม่ยอมเข้าไป จนฝนหยุดตกไปเอง
รุ่งเช้าเราตื่นแต่เช้า ราวๆ ตีห้าครึ่ง รีบเก็บสัมภาระ เพื่อออกเดินทางไปยอดดอยมะม่วงสามหมื่น
ทางไปยอดดอยมะม่วงสามหมื่นค่อนข้างชันและลำบาก ต้องปีนเขาขึ้นไปอีกหลายลูก ปกติจากน้ำตกไปยอดดอยใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะปีนขึ้นไปและไปพักค้างแรมบนนั้นอีกหนึ่งคืนค่อยกลับ เพราะบนนั้นจะมีแคมป์ให้พักแรมอีก 1 จุด แต่วันนี้เราตัดสินใจว่าเราจะเดินขึ้นไปและเดินกลับออกมาและล่วงหน้ากลับหมู่บ้านกุยเลอตอเลย โดยจะไม่ให้ค่ำมืด เราก็ถามไกด์ว่าเราทำแบบนี้ได้มั้ย ไกด์ยืนยันว่าได้ เราก็จ้วดไปเลย
เส้นทางเดินแรกๆ ก็เป็นป่าไผ่ ลัดเลาะไปตามไหล่เขา ยังไม่ชันมาก แต่หลังจากเลยแคมป์พักแรมซึ่งเราใช้เป็นที่ฝากสัมภาระไว้แล้วนั้น เส้นทางจะชัน ภูเขาที่ปีนขึ้นไปเริ่มเป็นเขาหญ้ามองเห็นวิวด้านล่างชัดเจน เมื่อปีนสูงขึ้นไปอีกจะเห็นวิวทะเลหมอกด่านล่างสวยงาม เมื่อปีนขึ้นไปถึงจุดชมวิวเราจะได้เห็นวิวมุมสูงของน้ำตกปิตุ๊โกร จากยอดเขาไหลลงตามหุบเขา สวยงามคุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อย
จุดนี้จะยังไม่ใช่ยอดดอยมะม่วงสามหมื่น แต่วิวสวยจึงหยุดพักถ่ายนรูป สวยงามสามร้อยหกสิบองศา มองขึ้นไปด้านบนจะเห็นยอดดอยมะม่วงสามหมื่นอยู่ไม่ใกล้ไปไกล มีหมอกปกคลุมหนาจนคิดว่าฝนตก เราเดินต่อไปที่ยอดดอย แต่ยังไม่ถึงเพื่อนๆก็ชวนกันกลับ บอกว่าเอาไว้มาใหม่ครั้งหน้า ผมโคตรเสียดาย เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะได้มีโอกาสมาอีกมั้ย
เราเดินทางกลับพร้อมกับความรู้สึกฝังใจ ว่าสักวันเราต้องกลับมาที่นี่อีก เพื่อมาทำให้มันสำเร็จ
ปล. ขอให้เพื่อนๆทุกท่านเที่ยวให้สุดนะครับ
อยากเที่ยวก็เที่ยว
วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 22.40 น.