สวัสดีค่ะ

ครั้งนี้จะพาไปเที่ยวต่างประเทศกันอีก แต่เป็นต่างประเทศที่ใกล้บ้านเรามากค่ะ นั่นคือ รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย

ทริปนี้เราตามเพื่อนไปเที่ยวอีกเช่นเคย ^^"
ใกล้ๆ ง่ายๆ 3 วัน 2 คืน รวมทุกอย่างไม่เกิน 2,500 บาท (อยู่หาดใหญ่ไม่มีค่าเครื่องบินจ้าาา) เน้นชมเมือง ชมตึกสวยๆ ไม่เน้นกินค่ะ

ปูเลา ปีนัง (Pulau Pinang) เป็นหนึ่งใน 13 รัฐที่ประกอบขึ้นเป็นสหพันธรัฐมาเลเซีย
เดิมชาวมาเลย์รุ่นแรกเรียกว่า ปูเลาวาซาตู หรือเกาะเดี่ยว ต่อมาพบในแผนที่เดินเรือ เรียกว่า ปูเลาปีนัง หรือเกาะหมาก
ต่อมาอังกฤษเรียกว่า เกาะพรินซ์ ออฟ เวลส์ [วิกิพีเดีย]

รัฐปีนัง มีจอร์จทาวน์ เป็นเมืองหลวง และความเก๋าในความเก่าแก่ถึง 200 ปีของจอร์จทาวน์ ทำให้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เนื่องจากยังอนุรักษ์ภูมิสถาปัตยกรรม สมัยอาณานิคม และวัฒนธรรมที่ไม่ซ้ำใครทั้งในตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ [วิกิพีเดีย]


**Day 1**

เราใช้บริการรถตู้หาดใหญ่ - ปีนัง ของบริษัท KTS รอบ 09.30 น. มีวันละ 3 รอบ 09.30, 12.30, 15.30
ทุกรอบต้องไปก่อนเวลาเดินทาง 30 นาทีค่ะ เพราะทางร้านจะได้เตรียมเขียนใบออกนอกประเทศให้เรา
ราคา 400 บาท แต่ถ้าซื้อไปกลับ จะลด 50 บาท เราจึงได้ราคา 750 บาท

บริษัท KTS ตั้งอยู่ถนนนิพัทธ์อุทิศ 1 หรือที่คนหาดใหญ่เรียกว่า สาย 1 ค่ะ เป็นถนน One Way อยู่ตรงข้ามโรงแรม Aloha


ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงชายแดนไทย-มาเลเซีย
ด่านตรงนี้คือ ด่านสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา หรือที่เราเรียกกันว่า ด่านนอก ขาออกนอกประเทศจะใช้ด่านใหม่ ส่วนขาเข้าใช้ด่านเก่าด้านข้างด่านใหม่
ด่านสะเดา อยู่ติดกับ ด่านบูกิตกายูฮิตัม รัฐเคดาห์ หรือที่เราเรียกกันว่า ด่านจังโหลน

***รีมาร์คนิดนึง*** วันที่เราไปเป็นวันอาทิตย์ค่ะ แล้วก็ลืมค่ะว่า...เป็นวันที่ทัวร์มาเลย์กลับเข้าประเทศกัน จึงทำให้รถติด คนติดมากกกกกกกกกกก เสียเวลาอยู่ที่ด่านประมาณ 2 ชั่วโมง -.-" ฉะนั้นขอแนะนำว่าอย่าเดินทางไปวันอาทิตย์ค่ะ หรือไม่ก็ควรเผื่อเวลาเยอะๆๆๆๆๆ
ขาเข้าด้วยค่ะ...วันศุกร์ ทัวร์มาเลย์เดินทางเข้าหาดใหญ่เยอะเช่นกัน ใครเลี่ยงไม่ได้ก็ทำใจเนอะ


ระยะเวลาเดินทางปกติ อยู่ที่ประมาณ 4 ชั่วโมงค่ะ แต่เวลาเราไม่ปกติไง -.-

***รีมาร์คอีกครั้ง*** สำหรับคนที่เดินทางโดยรถตู้ ถ้ารถตู้พาออกนอกเส้นทาง เข้าป่า เข้าดง เข้าซอก เข้าซอย ลัดเลาะคันนาและบ้านคน อย่าได้ตกใจไปค่ะ!
เพราะรถตู้เค้ากำลังหาทางเลี่ยงที่จะเจอตำรวจ JPJ ของมาเลเซีย คนพวกนี้ชอบเรียกรถทะเบียนไทย พยายามยัดข้อหาให้เรา ถ้าเราไม่จ่ายเงิน...ใช่ค่ะ ตำรวจจอมไถนี่เอง
ตอนขากลับ มีคุณป้าคุณลุงจากอีสาน นั่งกลับมาด้วย แกตกใจกันใหญ่เลย กลัวว่าพาไปไหน จนเราต้องบอกแกว่า คือ เหตุการณ์ปกติค่ะ เราเคยเจอแล้ว นั่งรถตู้มาเที่ยวมาเลย์ เจอ JPJ เรียก และขอพาสปอร์ตของทุกคนบนรถ คนขับยื่นพาสปอร์ตให้พร้อมธนบัตร 2 ใบ...ไม่พอจ้าาา เค้าบอกว่าเค้ามากัน 4 คน เลยต้องเพิ่มอีก 2 ใบ เราจึงได้ไปกันโดยดี -.-"

การเดินทางข้ามเกาะปีนังจากเมือง Butterworth มีทั้งทางรถ และทางเรือเฟอร์รี่
ทางรถเราต้องข้ามสะพานมา ซึ่งสะพานปีนัง มี 2 สะพาน คือ สะพานแห่งแรก ที่รถตู้พาเราข้ามมา ส่วนสะพานแห่งที่สอง ซึ่งเปิดใช้มาได้ 2 ปี ถือว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในมาเลเซีย และยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (24 กิโลเมตร)


เมื่อถึงเกาะปีนัง รถตู้จะทะยอยส่งผู้โดยสารตามที่ต่างๆ บอกไว้ก่อนว่า คนขับไม่รู้จักที่พักทุกที่ค่ะ ฉะนั้นควรเตรียมแผนที่ที่พักเราไปเองด้วย

เรากับเพื่อนแยกกันพัก เพราะเพื่อนจองไว้ก่อนแล้วที่ Tune Hotel แต่เราอยากพักโฮสเทล จึงเลือกพักที่ Siok Hostel ค่ะ
เป็นหอหญิง 8 เตียง 2 คืน 64.55 ริงกิต มีอาหารเช้าให้ และต้องมัดจำค่าผ้าห่มและผ้าเช็ดตัว 50 ริงกิต
ทำเลดีพอสมควร อยู่ในจอร์จทาวน์ และไม่ไกลจากตึกคอมต้าร์


หลังจากแยกย้ายเข้าที่พัก เราก็นัดเจอกับเพื่อนคนละครึ่งทาง ซึ่งตรงนั้นเป็นสะพานลอยพอดี



ระหว่างทางที่เดินไปจุดนัดพบ ก็ชมเมืองไปตลอดทางค่ะ



เมื่อพร้อมเพรียงกัน เราก็ไปยังตึก Komtar (Kompleks Tun Abdul Razak) ตึกที่สูงที่สุดนั่นแหละค่ะ มีท่ารถเมล์อยู่ (Komtar Bus Termainal) เพื่อขึ้นรถไป Gurney Drive


เราไปรอรถตรง Lane 1 นั่งไปลง Gurney Plaza ค่ารถไปกลับ เที่ยวละ 1.40 ริงกิต



เรามาชมน้ำทะเลอันแห้งขอด ที่ Gurney Drive -.-" และมาตลาดโต้รุ่งชื่อดังค่ะ นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีห้างสรรพสินค้าด้วยค่ะ


ขากลับก็ไปรอรถเมล์ที่ป้ายเดิม นั่งกลับมาลง Komtar เหมือนเดิม ใกล้กับ Prangin Mall

จากนั้นเราก็แยกย้ายกับเพื่อน ต่างคนต่างเดินกลับที่พัก เส้นทางที่พักเราตามนี้ค่ะ


บรรยากาศไม่เปลี่ยวมาก มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านค่ะ แต่บางช่วงก็เงียบๆ


***Day 2***

วันนี้จะไปชมจอร์จทาวน์ และสตรีทอาร์ต อันนี้บอกเลยว่า ภาพกระจายอยู่ทั่วเมืองค่ะ แอบอยู่ตามซอกหลืบก็มี ทั้งดูแผนที่และมั่วกันไป


จุดสตาร์ทเราอยู่ข้างๆ ที่พักเรา นั่นคือ ถนน Leith St. เราเดินมาเรื่อยๆ


เจอสตรีทอาร์ทอันแรกที่นี่ เป็นลักษณะเหล็กดัด มีอยู่หลายที่ หลายแบบเช่นกัน


เดินมาใกล้ๆ ถึงแยก ก็จะเจอ The Blue Mansion แต่ยังไม่ถึงเวลาเข้าชมค่ะ และต้องเสียค่าเข้าด้วย ข้างในเปิดเป็นให้บริการที่พักด้วยค่ะ
แต่เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราเลยเดินต่อไปค่ะ กะจะแวะกลับมา แต่สุดท้ายก็ติดลมที่จุดอื่น

The Blue Mansion หรือ คฤหาสถ์เฉิงฟัตเจ๋อ (Cheong Fatt Tze) สร้างขึ้นเมื่อทศวรรษที่ 1880 โดยช่างฝีมือชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อสร้างคฤหาสน์หลังนี้โดยเฉพาะ
ในปี ค.ศ. 2000 คฤหาสน์นี้ได้รับรางวัล UNESCO Asia-Pacific Heritage Conservation Award โดยได้รับเลือกให้เป็น "โครงการยอดเยี่ยม" ในกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค จากการบูรณะคฤหาสน์โดยพยายามรักษารูปแบบทางศิลปะและการตกแต่งให้เหมือนสมัยก่อนมากที่สุด


เมื่อเจอแยกก็เดินเลี้ยวขวามาเรื่อยๆ เราก็มาถึง Love Lane ซอยยอดฮิตของนักท่องเที่ยว

ขวามือ คือ St. Xavier's Institution เป็นโรงเรียนชายล้วน น่าจะใช่โรงเรียนชายล้วนในเรื่อง นางอาย


ด้านซ้าย คือ Cathedral Of the Assumption Church


เดินเข้าซอย Love Lane มา บอกตรงๆ ว่า เดินมั่วค่ะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในซอยมีอะไรบ้าง ฮ่าาาา


จนเดินมาเจอร้านเช่าจักรยาน...นี่สินะ ที่เราตามหา


ค่าเช่า คันละ15 ริงกิต เราเช่าจนถึง 4 โมงเย็น ถ้านานกว่านั้น จะอีกราคานึง
และถ้าเช่าเกินเวลาจนถึงสามทุ่ม ก็คิดเพิ่มมาอีก 5 ริงกิต


หลังจากนี้ก็ปั่นหาภาพวาดตามกำแพงค่ะ ก็หลงทางบ้าง ถูกทางบ้าง ไม่มีแบบแผนเลยค่ะ ฮ่ะๆ


จนผ่านมาเจอ Masjid Kapitan Keling


ยังคงตามหาภาพวาดต่อไป


แล้วเราก็เข้ามาในซอยตรงข้าม Yap Temple จนได้เจอภาพวาดสักที!


ปั่นหาภาพไปเรื่อยๆ จนเหนื่อยและกระหาย สุดท้ายก็มาจบที่ร้านที่อยู่ใกล้ที่สุด ณ ตอนนั้น คือ ร้านคาเฟ่ China House

ตามทางก็เจอภาพตามนี้ค่ะ


ร้านนี้ดูจากภายนอกมีแค่ห้องเดียวเหมือนเล็กนะคะ แต่ข้างในร้านยาวไปถึงด้านหลัง ใหญ่โต และเหมือนจะเปิดชั้นสองด้วย
เมนูเยอะแยะเลยค่ะ เค้กก็เพียบ ของแต่ละอย่างดูคุณภาพดีทั้งนั้น เมล็ดกาแฟก็สั่งมาจากร้านดังในสิงคโปร์
แต่เรากับเพื่อนสั่งแค่น้ำคนละแก้ว เพราะราคาเอาเรื่องอยู่ สักพัก พนง.ก็เอาเค้กมาเสิร์ฟ 2 ชิ้น พร้อมบอกว่าเอามาให้ชิม!! เราทวนอีกทีว่าฟรีหรอ...ใช่ค่ะ ได้เค้กกินฟรีเฉยเลย ฮ่าาๆๆ


กินเสร็จแล้วก็ไป Fort Cornwallis ต่อค่ะ ปั่นจักรยานตรงไปจนสุดทางเลย


ระหว่างทางก็เจอสองภาพนี้ อยู่ตรงลานจอดรถค่ะ


ตรงมาจนเจอวงเวียน และตรงไปทางหอนาฬิกา เราก็เจอ Fort Cornwallis

ป้อมปราการนี้มีทางเข้าสองทาง และเก็บค่าเข้า ต่างชาติคนละ 20 ริงกิต ซึ่งเราว่าแพงค่ะ เท่าที่มองๆ จากภายนอก ดูเหมือนไม่น่าจะมีอะไรมาก ถ่ายข้างนอกนี่แหละ!


ถัดจาก Fort Cornwallis ก็เป็น City Hall และ Town Hall ค่ะ ตึกเค้าสวยจริงๆ


จาก City Hall ก็ผ่านไปถึง St. George's Anglican Church


เราพักหาอาหารกินกันแถวนี้ แล้วมั่วไปต่อจนเจอภาพ Street Art และ Pinang Peranakan Mansion


Pinang Peranakan Mansion คฤหาสน์เปรานากัน เป็นคฤหาสน์เก่าของ คาปิตัน ชุงเค็งกวี่ คนงานเหมืองและผู้นำองค์กรลับไห่ซานในช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 บานประตูและหน้าต่างทำจากไม้แกะสลักแบบจีน ปูพื้นด้วยกระเบื้องแบบอังกฤษ อายุกว่า 120 ปี นอกจากนี้ยังมีงานหล่อเหล็กแบบสก็อตอีกด้วย
ต่อมา เศรษฐีปีนัง (Chung Keng Kwee) ได้ขอซื้อต่อจากลูกหลานคฤหาสน์แห่งนี้ ได้ตกแต่งใหม่ ให้บรรยากาศเก่าๆ ของชาวจีนในเขตช่องแคบของรัฐปีนัง ภายในเต็มไปด้วยโบราณวัตถุและของสะสมกว่า 1,000 ชิ้น
อาคารมีเอกลักษณ์ หลายส่วนของอาคารมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบจีน


เราได้เจอกับน้องอั๋น เด็กหาดใหญ่ที่มาเรียนปีนัง และทำพาร์ทไทม์ที่นี่ ได้อธิบายความเป็นมาขอคฤหาสน์แห่งนี้ให้ฟัง

https://www.facebook.com/winya059/videos/vb.651067...

ที่นี่ได้ถูกเลือกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ จาก TripAdvisor
ต้องเสียค่าเข้าคนละ 21.20 ริงกิต


คฤหาสน์แห่งนี้มี 2 ชั้น หลากหลายห้อง และยังเป็นที่นิยมสำหรับคู่รัก ที่มาถ่ายพรีเว็ดดิ้ง วันที่เรามา เจอประมาณ 4 คู่ค่ะ


ส่วนนี้เป็นที่เก็บป้ายบรรพบุรุษ


ห้องนี้รวบรวมเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องแต่งกาย ชุดแต่งงานของบาบ้า นยอนยา


ห้องครัว


ชั้นสอง


หลังจากนี้ก็...จับทางไม่ถูกแล้วค่ะ มั่วเลยละกัน!!


แล้วก็กลับมาคืนจักรยานที่เลิฟเลนค่ะ

***Day 3***

วันนี้ก่อนแยกย้ายกันกลับยังพอมีเวลาเที่ยวนิดหน่อย เราเลยนั่งรถเมล์ไปวัด Kek Lok Si รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือ Temple of Supreme Bliss กล่าวกันว่า เป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหนึ่งในวัดดังของปีนัง

เป็นวัดพุทธศาสนามหายานและแบบดั้งเดิมผสมผสานพิธีกรรมจีนเป็นที่รวบรวมไว้ของสถาปัตยกรรมต่างๆ การก่อสร้างของพระวิหารเริ่มในปี 1890 วัดตัวเองประกอบด้วยห้องโถงขนาดใหญ่หลายแห่งสำหรับการประกอบและการอธิษฐาน ที่นี่มีรูปปั้นของพระโพธิสัตว์ต่างๆ รวมทั้งเทพเจ้าของจีนเป็นงานไม้ที่สลับซับซ้อนซึ่งมักจะทาสีสดใสและมากมาย [กูเกิ้ล]




ด้วยความที่วัดอยู่บนเขา ความเหนื่อยจึงเกิดขึ้น เดินขึ้นๆ ลงๆ เหนื่อยมากกกกกกก


จุดนี้ เรานั่งรถรางขึ้นมา เที่ยวละ 3 ริงกิต


เห็นตึกคอมต้าร์มั้ย


เดินมาฝั่ง Pagoda ต้องจ่ายค่าเข้า 2 ริงกิต


ออกจากวัดประมาณบ่ายสอง ก็นั่งรถเล่นไปทั่วเมืองฆ่าเวลาจนพอใจ ก็แยกกับเพื่อนที่ Tune Hotel ค่ะ เรารอรถตู้มารับกลับหาดใหญ่ที่โรงแรม ส่วนเพื่อนนั่งรถเมล์ไปสนามบินกลับกทม.

ขากลับเข้าหาดใหญ่เร็วมากค่ะ เพราะที่ด่านคนไม่เยอะ...ถ้าว่างๆ จะกลับไปเก็บสถานที่อื่นๆ ในปีนังอีก

ขอบคุณที่ติดตาม และฝากรีวิวก่อนๆ ด้วยค่ะ,,,ทริปหน้าจะไปไหน รอชมนะคะ

...วิญย่า

Winya Pawinya

 วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 23.23 น.

ความคิดเห็น