ในขณะที่หลายคนคิดถึงทะเลหมอกกับดอกไม้ทางภาคเหนือเมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแต่เชื่อไหมครับว่าเวลาเดียวกันนี้นับเป็นอีกช่วงที่อากาศเป็นใจที่สุดสำหรับการไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวทางฝั่งทะเลอันดามันของไทยเพราะฟ้าและน้ำทะเลช่วงนี้จะสวยใสเป็นพิเศษ อีกทั้งคลื่นลมก็ค่อนข้างสงบทำให้สามารถเดินทางได้อย่างสบายใจ (อาจมีพายุแว๊ป ๆ เข้ามาให้ใจหายใจคว่ำบ้างเป็นบางครั้งแต่ก็ไม่บ่อยนัก อิอิ)

ทริปสั้น ๆ ครั้งนี้ของผมเริ่มจากภูเก็ตถิ่นของผมเช่นเคย …เวลาที่ผมใช้ในการเดินทางจากที่บ้านมายังสนามบินน่าจะพอ ๆ กับเวลาที่เพื่อน ๆ นั่งเครื่องจากกรุงเทพฯ มาลงภูเก็ตล่ะครับ 555ซึ่งจากสนามบินขับรถไปอีกแค่ราว 15 กม. ก็เข้าเขตจังหวัดพังงาแล้วใกล้กว่าขับเข้าเมืองภูเก็ตซะอีก หุหุ

การเดินทางครั้งนี้ผมจะพาไปเที่ยวหลาย ๆ จุดที่น่าสนใจทางฝั่งตะวันตกของพังงาครับอยากรู้แล้วใช่ไหมว่ามีที่ไหนบ้าง ตามมาเลยครับ …

ตื่นแต่เช้า … แวะจิบกาแฟแก้ง่วง กับรองท้องด้วยติ่มซำซะหน่อยที่ “ร้านพิงงา" ก่อนถึงโคกกลอย … ร้านนี้บรรยากาศดี กาแฟอร่อย ผมแวะประจำหากต้องเดินทางด้วยการขับรถไปต่างจังหวัด

เอ้า .. . เดินทางกันต่อครับ … และมาเที่ยวทะเลพังงาทั้งทีจะไม่แวะเขาหลักก็เหมือนมาไม่ถึงครับและวันนี้ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจาก Casa de La Flora เขาหลัก ที่อนุญาตให้ชมห้องพักสวย ๆ และเป็นเจ้ามือเลี้ยงมื้อเที่ยงที่ห้องอาหารริมทะเลห้องพักที่นี่แต่ละห้องบรรยากาศดีจริง ๆ ครับ เหมาะสำหรับคู่ฮันนีมูนมาก ๆ … ตกแต่งแนว modern สวยงาม

สปาแต่ละห้องก็ขวางเหลือเกินครับ เห็นแล้วเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวขึ้นมาในทันใด



ห้องอาหาริมทะเล เสิร์ฟทั้งเมนูไทยและ western

วิวหน้าห้องอาหารครับ



Presentation อาหารสวยงามเรียกน้ำย่อยเป็นอย่างดี

Presentation อาหารสวยงามเรียกน้ำย่อยเป็นอย่างดีอิ่มจากมื้อเที่ยงแล้ว เรามุ่งหน้าสู่บ้านน้ำเค็มซึ่งเป็นท่าเรือที่จะเดินทางไปยังเกาะคอเขาซึ่งนั่งเรือแบบชิล ๆ ไปราว 5 นาทีก็ถึงแล้ว … อันที่จริงเกาะคอเขานั้นอยู่ใกล้ฝั่งมากเหมือนนั่งเรือจากท่าพระจันทร์ไปท่าพรานนกฝั่งธนนั่นแหละครับซึ่งถ้าเราต้องการขับรถเที่ยวเองบนเกาะก็สามารถนำรถขึ้นแพขนานยนต์ หรือจะเลือกนั่งเรือจ้างเพื่อไปเช่ารถสองแถวทางฝั่งโน้นก็ได้ ส่วนมอเตอร์ไซด์หรือจักรยานก็สามารถนำขึ้นเรือข้ามฟากลำเล็กหรือแพขนานยนต์ไปได้เช่นกัน

รถยนต์ขึ้นลำซ้ายนะครับ อย่าลงผิดลำไม่งั้นเรือจม 555 … มองเห็นไกล ๆ โน่นคืออีกฝั่งครับใครเป็นแชมป์ว่ายน้ำก็ว่ายข้ามไปได้เลย อิอิ

ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่พบได้เยอะมากที่นี่

บัวจิ๋วที่เล็กที่สุดในโลก (กว่าจะมองเห็น หากันอยู่พักใหญ่แบบว่ายังอายุน้อยสายตายังไม่ยาวน่ะ)

กิ่งก้านของพืชพันธุ์ริมน้ำที่นี่ดูสวยคลาสสิครับรองว่าถูกใจเหล่าช่างภาพแน่ ๆ

จากนั้นเราก็เดินทางสู่แหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึกที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณสันนิษฐานว่าที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของเมืองท่าโบราณและเป็นจุดสำคัญในการแลกเปลี่ยนและซื้อขายสินค้ากับเมืองตะโกลา(เชื่อว่าคือตะกั่วป่าในปัจจุบัน)ทั้งนี้นอกจากเศษซากอิฐของอาคารแบบโบราณที่มีอายุอานามเป็นหลักร้อยปีแล้ว ยังมี่ร่องรอยของการขุดค้นหาวัตถุโบราณจำพวกลูกปัดกระจายอยู่ทั่วไปน่าเสียดายที่อาคารซึ่งจัดทำเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของที่นี่ไม่ได้รับการทำนุบำรุงทำให้สภาพรกร้างไปมาก

พี่รุ่งกำลังบรรยายเรื่องราวของบ้านทุ่งตึกให้ฟัง แอบให้ความหวังพวกเราว่าอาจเจอลูกปัดโบราณแต่ละคนก็เลยก้มหน้าก้มตาดูตามพื้นกันใหญ่ อิอิ

ซากอาคารโบราณ

ห่างไปอีกไม่ไกลนักเป็นพื้นที่ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นจัดเตรียมไว้สำหรับทำสนามบินรบแต่มาแพ้สงครามเสียก่อนทำให้ที่นี่เป็นเพียงลานดินอัดแน่นที่มีความราบเรียบเป็นพิเศษมาหลายปีจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2547เมล็ดพันธุ์พืชบางชนิดได้ถูกพัดพาขึ้นมาและพยายามจะหยั่งรากแทรกลงไปบนพื้นดินที่ถูกอัดแน่นจนเกิดเป็นต้นไม้ที่ดูแคะเกร็นกระจัดกระจายอยู่บนทุ่งหญ้าแห่งนี้

สำหรับช่างภาพรวมถึงชาวต่างชาติผมว่าสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือฝูงควายของชาวบ้านและนกกระยางธรรมชาติจำนวนมากของที่นี่ เป็นภาพที่สวยงามจริง ๆ… เสียดายที่ไม่ได้เดินทางมาในช่วงเช้าตรู่ไม่เช่นนั้นคงได้ภาพสวย ๆ ของที่นี่เยอะทีเดียว

อีกหนึ่งความ amazing ที่ผมเองก็เพิ่งได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรกคือปูเสฉวนปีนต้นไม้ซึ่งพี่รุ่งรวมถึงคนที่นี่เองเองก็ยังไม่ทราบว่าทำไมปูเสฉวนเหล่านี้จึงต้องปีนต้นไม้ด้วยทีแรกผมก็แอบลุ้นว่าจะได้เห็นหรือไม่แต่พอไปถึงต้องบอกว่ามีเยอะจริง ๆทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ต่างมุ่งมั่นที่จะไต่ขึ้นไปบนต้นสนริมหาด นับเป็นความมหัศจรรย์อีกอย่างของธรรมชาติที่ต้องหาโอกาสมาสัมผัสด้วยตัวเองให้ได้

เชื่อไหมครับว่า เจ้าปูเสฉวนตัวนี้มันกำลังเดินไปยังต้นไม้เพื่อจะไต่ขึ้นไป แต่ขึ้นไปเพื่ออะไรก็ไม่มีใครทราบ

ตัวนี้ไต่ขึ้นไปสูงแล้ว กำลังโหนกิ่งไม้เล่น (โอ้ว แม่เจ้า) นี่ภาพจริง ๆ ไม่ได้รีทัช

ดู VDO กันจะ ๆ เลยดีกว่า



เพื่อน ๆ ในกลุ่มกำลังอิ่มเอมกับบรรยากาศยามเย็นที่เกาะคอเขา

เย็นวันนั้นคุณรุ่งเลี้ยงอาหารเย็นพวกเราด้วยเมนูพื้นบ้านและซีฟู้ดสด ๆ จากทะเล.. คุณรุ่งเล่าว่าที่เกาะคอเขาแห่งนี้อุดมไปด้วยสัตว์ทะเลเพราะเป็นเขตปากแม่น้ำที่อุดมไปด้วยอาหารของสัตว์ทะเลแต่ทว่าสัตว์น้ำที่จับได้ในเขตนี้เกือบทั้งหมดจะถูกส่งไปขายที่ภูเก็ตเพื่อป้อนให้กับนักท่องเที่ยวที่โน่นหากไม่ใช่คนพื้นที่แล้วล่ะก็ยากที่จะหาซื้อได้แม้จะเป็นแหล่งจับสัตว์น้ำเหล่านี้ก็ตาม

ก่อนทานอาหารผมเก็บภาพบรรยากาศที่ริมหาดหน้า C&N Kho Khao Beach Resort ของคุณรุ่งแสงสวยทีเดียว ต้นมะพร้าวที่นี่ก็รูปทรงเย้ายวนให้เก็บภาพซะเหลือเกิน


อาหารค่ำมื้อนี้ เน้นไปที่อาหารซีฟู้ดกับเมนูท้องถิ่น

แอบกระซิบดัง ๆ ว่าอาหารที่นี่ไม่แพงครับวัตถุดิบก็สด ๆ ทั้งนั้นราคาถูกกว่าที่ภูเก็ตบ้านผมมากมาย ไม่แปลกใจเลยที่จะเจอคนภูเก็ตขับรถมาทานอาหารทะเลกันที่ท้ายเหมืองหรือสองแพรกที่พังงาในวันหยุดเป็นประจำเพราะนอกจากได้เที่ยวเพลิน ๆ แล้วยังได้ทานอาหารสด ๆ ในราคาถูกกว่าร้านส่วนใหญ่ในภูเก็ตด้วย

หากนำรถมาเองการเดินทางบนเกาะคอเขานั้นสะดวกมากเพราะมีถนนลาดยางอย่างดีจากหัวเกาะไปจนถึงท้ายเกาะรวมระยะทางราว 15 กม.ชายหาดจะอยู่ทางฝั่งตะวันตกของถนนส่วนแหล่งท่องเที่ยวและจุดที่น่าสนใจก็อยู่ริมถนนหรือไม่ก็แยกออกจากถนนสายหลักไปไม่ไกล … แม้เกาะคอเขาจะไม่ได้มีหาดทรายขาวหรือน้ำใสมากเหมือนหมู่เกาะสิมิลันแต่ที่นี่กลับมีธรรมชาติและระบบนิเวศน์ที่น่าค้นหาเป็นอย่างมากส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเกาะคอเขาเหมาะสำหรับ

- คนที่รักธรรมชาติ และต้องการมาพักผ่อนในสถานที่เงียบสงบ

- คนที่สนใจศึกษาระบบนิเวศน์ทั้งพืชพรรณ และสัตว์เฉพาะถิ่น

- ที่นี่เหมาะมากสำหรับการปั่นจักรยานนักปั่นทั้งหลายต้องถูกใจเส้นทางการปั่นบนเกาะแห่งนี้แน่ ๆ

- ช่างภาพที่สนใจภาพแนวธรรมชาติ

- ผู้สนใจด้านประวัติศาสตร์รับรองว่าที่นี่มีเรื่องให้เรียนรู้เพียบเลย

เราออกจากเกาะคอเขากันตอนค่ำอิ่มทั้งท้องและความรู้ที่สำคัญรู้สึกอิ่มใจมากที่ได้สัมผัสอีกหนึ่งคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวไทยแห่งนี้คืนนี้เราพักกันที่ La Flora เขาหลัก… ห้องพักกว้างขวางมาก เสียดายที่ได้นอนแค่คืนเดียว

เช้าวันรุ่งขึ้นผม check out ออกเดินทางจากโรงแรมไปยังท่าเรือคุระบุรีเพื่อเดินทางต่อไปยังหมู่เกาะสุรินทร์โดยมีโปรแกรมที่จะพักบนเกาะหนึ่งคืน… ซึ่งทริปนี้ผมได้ใช้บริการของ กรีนวิวทัวร์เหมือนเช่นเคย

ใช้เวลาราวชั่วโมงเศษ ๆ ก็ถึงหมู่เกาะสุรินทร์แต่ก่อนที่จะขึ้นเกาะ เราแวะดูปะการังน้ำตื่นกันก่อน 2 จุด … โชคดีเหลือเกินที่วันนี้ฟ้าเป็นใจใสมาก ๆ

ข่าวดีสำหรับคนชอบดำน้ำก็คือแนวปะการังที่หมู่เกาะสุรินทร์ในวันนี้กำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวจากการฟอกขาวเมื่อหลายปีก่อนเริ่มเห็นปะการังอ่อนมากขึ้น และแน่นอนว่าปลาก็เยอะกว่าเมื่อหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาส่วนพระเอกอย่างปลาการ์ตูนหรือนีโม่ก็มีให้เห็นแทบทุกจุดดำน้ำของที่นี่



ได้เวลาเที่ยง เรือก็นำเราขึ้นฝั่งเพื่อทานอาหารเที่ยงและพักผ่อนอาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ต์เหมือนกับทัวร์ทั่ว ๆ ไป… ช่วงบ่ายนักท่องเที่ยวสามารถเลือกได้ว่าจะเดินเล่นพักผ่อนบนฝั่งหรือออกไปดำน้ำอีก

น้ำริมฝั่งก่อนถึงตัวอุทยานใสมาก

สำหรับผมตอนมารอบที่แล้วได้ถ่ายภาพบนฝั่งรอบ ๆ ที่ทำการอุทยานจนหนำใจแล้วรอบนี้ก็เลยเก็บบรรยากาศแบบเร็ว ๆ รอบนึงแล้วขึ้นเรือเพื่อไปสำรวจแหล่งชมปะการังต่อ

บรรยกาศชายหาดใกล้ ๆ ที่ทำการอุทยาน

หินรูปแม่ไก่ และ จระเข้ สัญลักษณของหมู่เกาะสุรินทร์

ช่วงบ่ายก็ไปดำน้ำกันต่ออีก 2 จุด … ใครตั้งใจมาดำน้ำอย่าลืมพกครีมกันแดดมาเยอะ ๆ นะ ขอบอก


จากนั้นกลับมาพักผ่อนที่บริเวณอุทยานอีกรอบ … ผมเลยเดินชมบรรยากาศยามเย็นที่หาดด้านหน้าอุทยานหน่อย ได้บรรยากาศไปอีกแบบ


ข่วงเย็นวันนั้นเราเดินทางไปชมพระอาทิตย์ตกกันที่อ่าวกระทิงซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านพักทหารเรือที่ทำหน้าที่ดูแลน่านน้ำไทยเขตนี้

มื้อค่ำบนเกาะทานกันที่ร้านอาหารของอุทยานอาหารก็มีหลายอย่างดีครับ จัดเป็นชุด ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม ทานได้จนอิ่ม รสชาติถือว่า ok เลย



คืนนั้นผมลองถามเจ้าหน้าที่ดูเล่น ๆ ว่าเต้นท์หน้าหาดยังว่างไหม เพราะรอบที่แล้วก็ได้พักในบ้านพักแล้ว คราวนี้ก็เลยอยากลองไปนอนเต้นท์ดูบ้าง คงได้บรรยากาศไปอีกแบบและก็โชคดีครับยังมีเต้นท์ว่างอยู่ เจ้าหน้าที่นำเครื่องนอนมาให้ชุดนึงได้นอนฟังเสียงคลื่นรับลมเย็น ๆ ผ่านหน้าต่างเต้นท์หลับสบายมากเลย … ใครมาหมู่เกาะสุรินทร์ลองพักเต้นท์ดูนะครับ นอกจากทำเลจะดีกว่าบ้านพักแล้ว ลมเย็น ๆ กับเสียงคลื่นมันฟินจริง ๆ

รุ่งเช้าหลังอาบน้ำทานข้าวกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาไปสำรวจหาดไม้งามอีกหนึ่งหาดซึ่งมีลานกางเต้นท์สำหรับนักท่องเที่ยวแต่ช่วงนี้คนยังไม่เยอะ ทางอุทยานจึงจัดให้พักกันที่ตัวอุทยานแห่งชาติเพียงจุดเดียว … และก็เหมือนการเดินทางมาหมู่เกาะสุรินทร์รอบที่แล้ว ขณะที่เรือแล่นผ่านอ่าวหน้าหาดกระทิงซึ่งอยู่ระหว่างไปหาดไม้งามเราได้เห็นเต่าทะเลตัวเป็น ๆ แหวกว่ายอยู่ใกล้ ๆ กับเรือเสียดายที่พอเราส่งเสียงเอะอะด้วยความดีใจ มันก็ว่าน้ำหนีไปอย่างรวดเร็วจนบันทึกภาพไว้ไม่ทัน


ระหว่างนั่งเรือไปหาดไม้งาม ต้องผ่านอ่าวที่น้ำใสแบบนี้และที่นี่สามารถเจอเต่าได้เป็นประจำ

จุดเด่นของหาดไม้งามคือเป็นหาดที่น้ำทะเลสวย ชายหาดค่อนข้างยาวด้านทิศตะวันตกของหาดมีแนวป่าโกงกางที่สามารถพบลูกปลาฉลามมาวนเวียนหาอาหารด้วยไม่ต้องตกใจกลัวนะครับเพราะมันตัวเล็กและฉลามพันธุ์นี้ก็ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์เรา



ใกล้ ๆ กันมีบึงน้ำจืดด้วย ดอกบัวกำลังบานสวยงามเลย



ออกจากหาดไม้งามเราแวะดำน้ำกันที่อ่าวสุเทพซึ่งเป็นอีกจุดที่ผมว่ามีปลาเยอะดี รวมถึงดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูนด้วย


ก่อนทานข้าวเที่ยง เราแวะไปชมวิถีชีวิตหมู่บ้านมอร์แกนกัน … ผมชอบสีของน้ำบริเวณอ่าวหน้าหมู่บ้านมอร์แกนมากหากที่นี่ไม่ใช่อุทยาน รับรองได้ว่า ณ จุดที่เป็นหมู่บ้านจะต้องเป็นโรงแรม 5 ดาวราคาแพงที่คนทั่วไปคงไม่ค่อยมีโอกาสได้มาสัมผัสเป็นแน่



หลังจากทานข้าวมื้อเที่ยงกันที่อุทยานแล้ว ก็ได้เวลาอำลาหมู่เกาะสุรินทร์อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สร้างความประทับใจทุกครั้งที่มาเยือนต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานจริง ๆ ที่ช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมของหมู่เกาะแห่งนี้ให้ยังคงความเป็นธรรมชาติ และมีปริมาณนักท่องเที่ยวที่เหมาะสม เพื่อรักษาให้เกาะแห่งนี้ยังคงสวยงามต่อไปนานเท่านานค่ำคืนนี้เราพักกันที่ คุระบุรีกรีนวิวรีสอร์ทเป็นที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือไปหมู่เกาะสุรินทร์ดังนั้นลูกค้าที่ซื้อ package tour หมู่เกาะสุรินทร์ส่วนใหญ่ก็จะมาพักกันที่นี่นับว่าเป็นอีกหนึ่งรีสอรท์ที่บรรยากาศดีมาก เพราะโอบล้อมด้วยธรรมชาติมีบึงอยู่ใจกลางรีสอรท์ทำให้ได้บรรยากาศผ่อนคลายส่วนห้องพักก็ตกแต่งให้เข้ากับความเป็นธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน



ที่พักบรรยากาศดีมาก โอบล้อมด้วยป่าและเขา



มื้อค่ำคืนนั้นเราทานกันที่ห้องอาหารของรีสอร์ท นับเป็นอีกหนึ่งมื้อที่อิ่มและอร่อยมาก ๆอาหารทุกจานอร่อยหมด (คือมันอร่อยและถูกทานจนหมดไม่มีเหลือ อิอิ) ใครผ่านไปผ่านมาแนะนำให้แวะที่นี่ครับ รับรองไม่ผิดหวัง แถมราคาไม่แรงด้วย



รุ่งเช้าเราเดินทางไปชม "พลับพลึงธาร" พันธุ์ไม้น้ำหายากที่สวนตาเลื่อนกันทางเขาสวนคุณตาอยู่ตรงตลาดคุระบุรีนั่นเองสวนแห่งนี้ก็เหมือนกับสวนยาง ผสมผสานกับสวนผลไม้ที่มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านเหมือนกับสวนชาวบ้านทั่วไปแต่ที่น่าทึ่งคือคุตาเลื่อนเจ้าของที่ได้นำพันธุ์ของพลับพลึงธารซึ่งเจริญเติบโตได้ดีในน้ำที่ใสสะอาดและมีการไหลตลอดเวลาทำให้บัดนี้มีต้นพลับพลึงธารอยู่เต็มลำธารในเขตพื้นที่ของคุณลุง และได้รับการปกป้องไม่ให้นำพันธุ์ออกไปขายเพราะราคาหัวของพลับพลึงธารนั้นสูงเอาการทีเดียว


ดอกของพลับพลึงธารมีสีขาวคล้าย ๆ ดอกพลับพลึงใบยาว ๆ ของมันจะลู่ไปตามกระแสน้ำเกิดเป็นภาพที่สวยงามไปอีกแบบ

ตาเลื่อนนำพวกเราชมพลับพลึงธารและสวนของคุณลุงด้วยความคล่องแคล่วแม้อายุจะมากแล้วคงเป็นเพราะได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์และได้ออกกำลังกายไปกับการทำสวนแห่งนี้นั่นเอง



ตาเลื่อน ผู้นำพวกเราเที่ยวชมด้วยตัวเอง

จุดหมายต่อไปสำหรับวันนี้คืออ่าวเคยซึ่งเป็นชายหาดอีกแห่งของคุระบุรีที่ทอดตัวยาวในแนวเหนือ-ใต้ที่นี่ยังไม่เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวจึงยังคงความเงียบสงบ เหมาะสำหรับการนั่งพักผ่อนหรือทำกิจกรรมกลุ่มเป็นอย่างมากอีกทั้งยังไม่มีการปิดกั้นหรือจับจองพื้นที่ริมหาดทำให้สามารถเข้าถึงตัวหาดได้อย่างสะดวกสบาย

ทัศนียภาพอันสวยงามและเงียบสงบของอ่าวเคย



มื้อเที่ยงวันนี้เราทานกันไม่ไกลครับร้านโกศักดิ์อยู่ตรงตลาดคุระบุรีนี่เองดูเผิน ๆ จากด้านนอกเหมือนเป็นร้านอาหารตามสั่งธรรมดาแต่พอเข้าไปในร้านแล้วมีการแบ่งโซนห้องแอร์ไว้เป็นสัดเป็นส่วน ที่สำคัญกว่าคือเมนูอาหารน่าสนใจไม่แพ้ร้านริมทะเลดัง ๆ เลย… ไม่รู้จะบอกยังไงดี นอกจากคำว่าเฮ้ย อร่อยอีกแล้ว อร่อยทุกจานเสียด้วยแถมวัตถุดิบก็คุณภาพดีและแน่นอนว่าราคาเป็นมิตรเอามาก ๆ(อยากให้ร้านที่รสชาติและราคาแบบนี้ไปเปิดที่ภูเก็ตบ้านผมเยอะ ๆ จัง เฮ้อ!)



ปิดท้ายโปรแกรมของทริปนี้กันที่การล่องแพไม้ไผ่ที่คลองลำรู่ใกล้ ๆ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในซอกเขาไม่ไกลจากฐานทับเรือทับละมุ … แพลำนึงจะมีนักท่องเที่ยว 2 คนและมีพนักงานของทัวร์ 1 คนทำหน้าที่ค้ำยันแพให้ไหลไปตามลำคลอง … บรรยากาศสองฝั่งคลองนั้นร่มรื่น สายน้ำก็ใสสะอาดและเย็นชื่นใจช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดี

ระหว่างทางมีแก่งหินเล็ก ๆ ให้ได้ลุ้น (ว่าจะทำกล้องตกน้ำไหม) เป็นระยะแต่โดยรวมแล้วเป็นการนั่งเอาก้นแช่น้ำเย็น ๆ ชมทิวทัศน์รอบ ๆ มากกว่าไม่ได้มีอารมณ์หวาดเสียวผจญภัยเหมือนการล่องแก่งในแม่น้ำชื่อดังหลาย ๆ แห่งของไทย … อย่างไรก็ตามผมชอบบรรยากาศมาก และราคาต่อแพ 400 บาท (เท่ากับ 200 บาทต่อคน) สำหรับคนไทยนับว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับระยะเวลาราวครึ่งชั่วโมงที่น้อง ๆ เขาต้องถ่อนำพวกเรามาจนถึงจุดหมาย


ทริปนี้นับเป็นอีกทริปอันสุดแสนประทับใจเพราะได้สัมผัสแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลกับมุมมองใหม่ ๆ อย่าง “เกาะคอเขา"ได้กลับไปเห็นความอุดมสมบูรณ์และอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติที่ “หมู่เกาะสุรินทร์" กับ “อ่าวเคย" และแถมด้วยการชมพันธุ์ไม้หากยาก “พลับพลึงธาร" รวมถึง สนุกสดชื่นกับการ “ล่องแพที่คลองลำรู่"ที่ทำให้ทริปอันดามันรอบนี้สนุกสนานครบรสเลยทีเดียว … อ้อ ขอบอกว่าอาหารพื้นบ้านและซีฟู้ดที่พังงานั้นนอกจากรสชาติอร่อยถึงรสสไตล์ปักษ์ใต้แล้วราคายังสบายกระเป๋าด้วย… รู้แบบนี้แล้วอย่าลืมหาโอกาสลงมาสัมผัสเสน่ห์แห่งอันดามันกันที่พังงานะครับ โดยเฉพาะหน้าหนาวแบบนี้ รับรองว่าไม่ผิดหวัง

สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชอบผลงานถ่ายภาพสามารถติดตาม instagram @9mot หรือ facebook page 9MOT-Photography และติดตามรีวิวทริปสนุก ๆ ทั้งไทยและต่างประเทศได้ที่ www.9mot.com .... ขอบคุณคร้าบขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรีวิวนะครับ

ความคิดเห็น