ครับใช่แล้ว…ผมกำลังพูดถึง "กระบี่"จังหวัดริมฝั่งอันดามันที่เราๆ คุ้นเคยกันนี่แหละ แต่วันนี้ผมจะเอาความลับเล็กๆ ของกระบี่มาบอก ใครอยากรู้ตามมาดูกันเลย
ความลับเล็กๆ อย่างแรกของกระบี่ที่จะบอกก็คือ กระบี่สามารถเที่ยวได้ทุกฤดูครับ แม้ว่าใครๆ มักจะคิดถึงกระบี่ในช่วงหน้าร้อนก็ตามแต่เชื่อไหมครับว่าที่นี่มีอะไรให้ค้นหามากมาย ถึงจะเป็นช่วงมรสุมแบบเวลานี้ก็ตามเถอะเพราะในระหว่างฤดูฝนไปจนถึงต้นหนาว ต้นไม้ใบหญ้าของกระบี่จะเขียวขจีสวยสดชื่นสุดๆ ...ตอนเช้าๆ หรือช่วงหลังฝนอาจมีสายหมอกจางๆ คลอเคลียอยู่ตามยอดเขาไม่ต่างจากบรรยากาศทางภาคเหนือเลยจะบอกให้ ... และนี่เป็นที่มาของรีวิวนี้ Krabi in GREEN season
ปฏิบัติการล้วงลับกระบี่ของผมรอบนี้ใช้รถส่วนตัวครับเพราะผมอยู่ภูเก็ต ขับรถแบบสบายๆ2 ชั่วโมงเศษๆ ก็ถึงแล้ว แอบอิจฉาเพื่อนๆ ที่มาจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาแค่ชั่วโมงนิดๆ ด้วยสารพัดสายการบินlow cost ก็ได้มาชิลที่กระบี่กันแล้ว ยิ่งช่วงนี้โปรแรงๆ ออกมายั่วกิเลสกันแทบไม่หยุดหย่อน เฮ้อ ... จะว่าไปใช้ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ลงมาเที่ยวกระบี่อาจใช้งบพอๆ กับเดินช็อปปิ้ง-ดูหนังในห้างที่กรุงเทพฯ เลย อิอิ
เส้นทางจากภูเก็ตสู่กระบี่ ราว 20 กม.เศษๆ ก่อนถึงกระบี่ก็จะได้พบกับถนนสวย ๆ แบบนี้ครับ
ทริปกระบี่ของผมรอบนี้ตั้งใจมาเก็บภาพบรรยากาศและค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะหลังจากสอบถามน้องๆ ช่างภาพชาวกระบี่เรื่องมุมเก็บภาพสวยๆ แล้วก็ตกลงใจว่าจะพักที่หาดคลองม่วงซึ่งอยู่ห่างจากอ่าวนางที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยกันดีไปทางทิศเหนือราว 13 กม. โดยพักที่ Beyond Krabi Resort เพราะอยู่ใกล้ๆ ทำเลถ่ายภาพแนะนำของเซียนช่างภาพชาวกระบี่
แต่ก่อนจะเช็คอินที่โรงแรมผมแวะไปทานอาหารเย็นที่ร้าน “เรือนไม้" ซึ่งเป็นร้านอาหารชื่อดังของกระบี่ที่เสิร์ฟเมนูปักษ์ใต้รสเยี่ยม ไม่เคยทำให้ผิดหวังจนกลายเป็นร้านประจำของผมเลยก็ว่าได้ มากระบี่ทีไรก็ต้องแวะมาทานสักมื้อเป็นอย่างน้อย ...
เมื่อก่อนร้านนี้จะอยู่ใกล้ๆ เมืองกระบี่แต่เดี๋ยวนี้เปิดร้านใหม่ห่างออกมาหน่อยบนเส้นทางที่จะไปสุสานหอย, อ่าวนาง, หาดนพรัตน์ธา และชายหาดชื่อดังอื่นๆ รวมถึงหาดคลองม่วงด้วยหากนั่งรถมาจากเมืองกระบี่ร้านจะอยู่ในซอยเล็ก ๆ ทางขวามือเลยจากแยกคลองจิหลาดไม่ถึง 2 กม.ถ้าหากมาตอนกลางคืนก็ต้องสังเกตุดีๆ เพราะป้ายร้านจะเล็กสักหน่อยอาจขับเลยได้ง่ายๆ เอาเป็นว่าถ้าขับไปจนเจอปั๊มปตท. ใหญ่ทางซ้ายมือก็แสดงว่าเลยแล้ว อิอิ (อันนี้เป็นความลับนะห้ามบอกใครผมขับเลยประจำ 555)
ป้ายทางเข้าเล็กหน่อยครับกลางคืนเปิดไฟสีเหลืองๆ
ร้านนี้นอกจากอาหารอร่อยแล้ว บรรยากาศในร้านก็ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยวัสดุธรรมชาติ (อันนี้ต้องชื่นชมเจ้าของร้านจริงๆ ที่ช่างสรรหาวัสดุมาใช้ได้อย่างลงตัว)สำหรับเมนูอาหารแนะนำที่ผมไม่อยากให้พลาดคือปลาอินทรีย์ทอดน้ำปลา, น้ำพริกกุ้งสด (บางวันมีสาหร่ายทะเลมาพร้อมผักสดด้วย อร่อยโฮก), ผักเหลียงผัดไข่, แกงส้มปลากระพง, กุ้งผัดกะปิกับสะตอความลับต่อไปที่ผมจะบอกคือที่นี่มีเมนูเครื่องดื่มพิเศษไม่ซ้ำใครคือน้ำมะม่วงปั่น ... ฮั่นแน่ จะต่อว่าผมล่ะสิว่ามะม่วงปั่นมันพิเศษยังไง ก็มะม่วงที่ว่านี่มันไม่ใช่มะม่วงสุกไงครับ แต่เป็นจำพวกมะม่วง 3 ฤดูที่นำมาปั่นไปพร้อมๆ กับเปลือกให้รสชาติอมเปรี้ยวดื่มแล้วชื่นใจเป็นที่สุด ถ้าความรู้วิชาโภชนาการของผมไม่แย่จนเกินไป น้ำมะม่วงปั่นแก้วนี้น่าจะให้วิตามินซีสูงเอาการทีเดียวส่วนใครไม่กลัวอ้วนอาจลองข้าวเหนียวทุเรียนเป็นของหวานล้างปากซึ่งที่นี่ใช้เหนียวดำรสชาติกลมกล่อมไม่หวานจนเกินไปโอ๊ย!...อร่อยอย่าบอกใครเชียว
บรรยากาศในร้านผมชอบสไตล์การตกแต่งแบบเป็นธรรมชาติของเขา
มาดูหน้าตาอาหารที่ผมสั่งบ้าง
เมนูแรก แกงเลียงผักหวานของโปรดของผม อิอิ
น้ำพริกกุ้งเสียบกับภาชนะเก๋ๆ เสียดายวันนี้ไม่มีสาหร่ายทะเล T T
ไข่เจียวปู เมนูสิ้นคิด
ภาพนี้เป็นเครื่องดื่มที่ผมพูดถึงครับ น้ำมะม่วงปั่น
อิ่มอร่อยจากมื้อเย็นแล้วผมก็รีบบึ่งรถไปโรงแรมเลยครับ เพราะใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกแล้ว แสงน่าจะกำลังสวยพอดี ...พอถึง Beyond Krabi Resort ผมก็ไม่รอช้ารีบคว้ากล้องมาเก็บแสงสุดท้ายของวันกับบรรยากาศสีขาวนวลสลับเทาดูสะอาดตาของ lobby ทันทีวิวจาก Lobby ซึ่งเป็นชั้น 5 ของอาคารสามารถมองเห็นท้องทะเลและหมู่เกาะของกระบี่ได้ไกลสุดสายตา แสงจากท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มช่วง Twilight ตัดกับแสงไฟประดับอาคารเป็นภาพที่งดงามเกินบรรยายจริง ๆ
ทั้งนี้ผมบันทึกภาพทั้งหมดแบบ RAW และถ่ายค่าแสงคร่อม +- อย่างละ 1 stop ไว้ด้วย เพื่อให้สามารถนำมาปรับแต่ง white balance ปรับแสงได้สะดวกในภายหลัง
มัวแต่ทานอาหารเพลิน เกือบมาไม่ทันพระอาทิตย์ตก อิอิ
เมฆเยอะไปหน่อย แต่ก็ยังดีที่พอมีแสงสวย ๆ ...เกาะที่เห็นในภาพใกล้ๆ นั่นแหละครับเกาะกวางที่ผมหมายตาไว้เป็นจุดถ่ายภาพ
ส่วนของ Lobby โรงแรมซึ่งอยู่บนชั้น 5 ของอาคาร วิวสวยทีเดียว
ห้องพักของผมเป็นแบบ Deluxe Sea View อยู่บนชั้น 4 ของอาคารที่หันหน้าออกทะเลมีระเบียงชมวิวได้อย่างเต็มตาผมแอบหมายตาเกาะกวางซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึง 200 เมตร ไว้แล้วสำหรับเก็บภาพบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้เช้า อิอิ
สำหรับห้องพักก็ตกแต่งได้สวยสะอาดตา ผนังด้านหนึ่งทาสีฟ้าน้ำทะเลอีกด้านและพื้นเป็นลายไม้ทำให้รู้สึกอบอุ่นห้องน้ำดูโมเดิร์นหน่อยด้วยการทำลายนูนบนผนังสีเทา รวม ๆ แล้วให้อารมณ์ของห้องพักโรแมนติกริมทะเล
บรรยากาศห้องพักของผมคืนนี้
คืนแรกของทริปผมนั่งทำงานจนดึก โดยโรงแรมให้รหัส WIFI มา 2 ชุดสำหรับผู้เข้าพัก 2 คนซึ่งแต่ละชุดสามารถเชื่อมต่อ internet ได้กับอุปกรณ์ 1 ตัวในเวลาเดียวกันทำให้ระหว่างที่ผมใช้ notebook ก็จะไม่สามารถใช้งานรหัสดังกล่าวบนมือถือได้แต่ก็ไม่เป็นปัญหามากนักเพราะโทรศัพท์ยังรับสัญญาณ internet จาก DTAC ได้อยู่ดี ☺เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้าลงไปเก็บภาพบรรยากาศริมทะเลตามที่ตั้งใจไว้
เดินผ่านห้องอาหารที่ยัง set ไม่เรียบร้อย (เพราะยังไม่ถึงเวลาอาหารเช้า) ก็เลยแอบเก็บบรรยากาศแบบไม่ค่อยมีคนไว้ก่อน
แม้อากาศจะไม่เป็นใจเท่าไหร่แต่ก็ได้ภาพต้นไม้ที่ยืนต้นโดดเดี่ยวใกล้เกาะกวางได้สมใจทั้งนี้ผมใช้ filer ND เพื่อลดแสงลงทำให้สามารถใช้ shutter speed ได้ต่ำ ๆ จนริ้วคลื่นกลายเป็นภาพผืนน้ำที่ดูนุ่มนวลอย่างที่เห็นครับ
ครั้งนี้นับเป็นการใช้ ND แบบที่สามารถลดแสงได้ถึง 10 stop เป็นครั้งแรกแต่ปัญหาคือผมซื้อรุ่นแบบที่ปรับระดับการลดแสงไม่ได้ทำให้เมื่อสวมฟิลเตอร์แล้วจะไม่สามารถมองเห็นอะไรเลยในช่องมองภาพเพราะมันมืดมากการถ่ายภาพแต่ละ shot จึงต้องโฟกัสไว้ให้เรียบร้อยแล้วจึงสวยฟิลเตอร์ในภาพหลังซึ่งก็ยุ่งยากเอาการดังนั้นถ้าเพื่อน ๆ กำลังมองหาฟิลเตอร์ประเภทนี้อยู่ล่ะก็ผมแนะนำให้เลือกซื้อแบบที่ปรับระดับการลดแสงได้นะครับ เพราะคงใช้งานสะดวกกว่าเยอะทีเดียวบรรยากาศสระว่ายน้ำของโรงแรมยามเช้า
หลังจากเก็บภาพบรรยากาศยามเช้าแล้วผมก็ทานอาหารเช้ารองท้องก่อนออกเดินทางไปเที่ยวเกาะกับทัวร์ห้องอาหารอยู่ที่ชั้นล่างสุดติดกับสระว่ายน้ำแถมมองเห็นวิวทะเลด้วยอาหารเช้าที่นี่เป็นแบบ Buffet มี line อาหารให้เลือกหลากหลายพอสมควรแต่ที่ชอบมากคือการเลือกใช้วัตถุดิบที่คุณภาพครับอีกอย่างผมชอบไข่ต้มที่มีให้เลือกทั้งแบบที่ต้ม 3, 5 และ 8 นาทีแล้วแต่ว่าใครชอบแบบไหนอิอิ
ไม่อยากบอกเลยว่าแม้อาหารเช้าจะมีหลายอย่างให้เลือก แต่พอเอาเข้าจริงผมก็ทานแต่เมนูเดิม ๆ ทุกครั้งไม่ว่าจะไปพักที่โรงแรมไหนนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงบอกได้ว่าวัตถุดิบที่นี่ดีกว่าโรงแรมหลาย ๆ แห่งในระดับเดียวกัน
Buffet line ของโรงแรม
อายจังไม่อยากโพสภาพอาหารเช้าประจำเมื่อไปเที่ยวเลย
กาแฟสดลาเต้
ทานอาหารเช้าเสร็จก็ได้เวลานัดกับรถที่จะมารับไปทัวร์เกาะพอดี ... และความลับต่อไปที่ผมจะบอกก็คือ เกาะใกล้ๆ กระบี่ที่น่าสนใจและไปเที่ยวได้แบบ day trip นั้นไม่ได้มีเพียงแค่เกาะปอดะกับทะเลแหวกเท่านั้นแต่ยังมีหมู่เกาะห้องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
หากเพื่อน ๆ เลือกจะไปทะเลแหวก ซึ่งเป็นสันทรายที่เกิดในช่วงน้ำลงเชื่อมเกาะไก่ เกาะทับและเกาะหม้อเข้าวด้วยกัน จนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen Thailandอันโด่งดัง ... ความลับของทะเลแหวกที่เพื่อน ๆ อาจไม่รู้คือช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการชมปรากฏการนี้คือช่วงเช้าในวันที่เป็น 5-7 ค่ำ ทั้งข้างขึ้นและข้างแรมเพราะในช่วงเช้าของวันที่เป็น 5-7 ค่ำน้ำจะลงจนเกิดปรากฎการณ์ดังกล่าวโดยเฉพาะก่อน 9 โมงจะมีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก จึงไม่ต้องแหวกคนนับพันเพื่อถ่ายภาพสวย ๆของทะเลแหวกอันที่จริงช่วงข้างขึ้นข้างแรมที่ต่างกัน ก็จะทำให้เกิดน้ำลงในช่วงเวลาที่แตกต่างกันของวัน แต่ผมคิดว่าปริมาณนักท่องเที่ยวช่วงเช้าน่าจะน้อยที่สุด จึงแนะนำในช่วงเวลานี้แต่ถ้าเลือกวันไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องถามคนขับเรือครับว่าช่วงไหนที่น้ำลงจนสามารถมองเห็นทะเลแหวกได้ ...อันที่จริงช่วงที่น้ำจะลงต่ำมากที่สุดคือ 15 ค่ำถึง 2 ค่ำ แต่จะไปลงตอนช่วงเย็นของวัน ซึ่งอาจจะเหมาะสำหรับถ่ายภาพกับแสงพระอาทิตย์ตกแทนที่จะเป็นความสดใสของช่วงกลางวัน
ทะเลแหวกในวันฟ้าใสอีกหนึ่งสุดยอด Unseen Thailand ของกระเบี่
หลังจากเก็บภาพที่ทะเลแหวกแล้วอย่าลืมแวะเกาะปอดะนะครับ เพราะที่น้ำหาดทรายขาวน้ำใสสวยงามมาก ๆ
ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องงบประมาณ การเหมาเรือเที่ยวก็น่าสนใจครับ ราคาเหมาสำหรับครึ่งวัน 1,700 บาทหารกัน 4-5 คนก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ต้องไปรอคิวแถมขอให้คนขับเรือไปจุดที่ต้องการได้ด้วย
ภาพชุดนี้ผมถ่ายเก็บไว้ตอนมากระบี่รอบก่อนหน้าเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาข้อดีของการมาในช่วง green season ก็คือในวันที่อากาศดีฟ้าจะ clear มาก ๆ ครับจะว่าไปแล้วดูสดใสกว่าฤดูร้อนด้วยซ้ำไป เพราะช่วงนั้นแม้จะไม่มีฝนแต่บางครั้งฟ้าจะหลัว ๆ ไม่สดใสเท่าที่ควรแต่สำหรับทริปรอบนี้ ผมเลือกที่จะไปหมู่เกาะห้องแทนครับโดยนั่งเรือ speed boat จากท่าเรือที่หาดนพรัตน์ธารา
ได้เวลาขึ้นเรือ Speed boat
ใช้เวลาราว 40 นาทีก็ถึงเกาะห้องซึ่งจุดแรกที่ทัวร์นำไปชมก็คืออ่าวห้องหรือทะเลในที่เป็นทะเลสาบตื้นๆ สีเขียวมรกต มีทางเข้าเป็นช่องผาเล็กๆ เพียงทางเดียวด้านในเป็นเวิ้งอ่าวที่โอบล้อมไปด้วยหน้าผาสูงและมีไม้จำพวกโกงกางประดับอยู่ที่ด้านหนึ่งของอ่าวทั้งนี้ต้องเข้ามาชมในช่วงน้ำขึ้นเพราะหากน้ำลงจะไม่สามารถนำเรือเข้ามาได้
บรรยากาศด้านในอ่าวห้อง หรือทะเลใน
ทางเข้าเพียงทางเดียวสู่ทะเลใน
ป่าโกงกางด้านในอ่าวห้อง
หลังจากนั้นเรือก็นำเราไปยังเกาะผักเบี้ยซึ่งมีแนวชายหาดแคบ ๆมีร่มไม้ให้นั่งพักผ่อนหรือจะเล่นน้ำก็ได้เช่นเดียวกันแต่เนื่องจากเริ่มมีฝนปรอย ๆ ผมจึงต้องงดถ่ายภาพด้วยกล้องตัวเก่ง แต่นำ Go Pro ที่ใส่เคสกันน้ำมาใช้งานแทน
ฝนตกปรอยๆ ที่หาดผักเบี้ย
มีเพียงไม่กี่ภาพครับด้านบนนี่แหละครับที่ใช้กล้องตัวใหญ่ถ่ายที่เหลือเป็น Go Pro แต่ส่วนใหญ่ถ่าย VDOเลยไม่ได้นำมาโชว์เพื่อนๆจุดต่อไปที่ทัวร์ไปแวะคือเกาะเหลาลาดิงหรือเกาะพาราไดซ์ซึ่งมีอ่าวเล็ก ๆ ที่มีน้ำสีเขียวใสกับหาดทรายขาวสะอาด สมชื่อหาดพาราไดซ์ที่นี่นอกจากปลาลายเสือที่เห็นเป็นประจำแล้วยังมีฝูงปลาตัวเล็ก ๆ นับพันนับหมื่นตัวว่ายไปมารวมกันเป็นฝูงอยู่ริมฝั่งสร้างความตื่นเต้นให้กับนักท่องเที่ยวที่เล่นน้ำได้ไม่น้อยโดยเฉพาะเมื่อฝูงปลาตัวเล็ก ๆ เหล่านี้กระโดดเหนือผิวน้ำเป็นริ้ว มันเป็นภาพที่ Amazing มาก ๆ ผมเองก็เพิ่งเคยสัมผัสแบบประชิดตัวเป็นครั้งแรก และก็โชคดีสุดๆ ที่รอบนี้มีกล้องซึ่งสามารถบันทึกภาพใต้น้ำติดมาด้วย ทำให้สามารถบันทึกประสบการณ์ใหม่ได้อย่างสนุกสนาน ... ความลับอย่างนึงที่ผมจะบอกคือไม่ต้องไปพยายามไล่ให้ฝูงปลาเหล่านี้ให้มันกระโดดนะครับ มันไม่กลัวคุณหรอก ที่มันกระโดดนั้นเพราะมีปลาตัวใหญ่ที่เข้ามาโจมตีทำให้มันต้องกระโดดหนีเอาชีวิตต่างหาก
บรรยากาศที่เหลาลาดิง
ของเล่นง่ายๆ บนเกาะ
ฝูงปลา ... พระเอกของเกาะแห่งนี้
นักท่องเที่ยวสนุกกับการดำน้ำตื้นที่นี่มาก
จุดแวะสุดท้ายของทัวร์ก็คือชายหาดด้านหน้าของเกาะห้องนั่นเองลักษณะของหาดเป็นเวิ้งอ่าว 2 แห่งที่เชื่อมกันเป็นรูปตัว w หาดทั้งสองนี้เหมาะสำหรับการเล่นน้ำ หรือจะนอนพักผ่อนใต้ร่มไม้ก็ให้ความสุนทรีย์ไม่แพ้กัน
ทุ่นที่ใช้เป็นทางเดินขึ้นสู่เกาะ
แม้ในวันฟ้าหม่น แต่เกาะห้องก็ยังคงสวยสดใส และดูสดชื่นไปอีกแบบ
เราอำลา day trip หมู่เกาะห้องกันราวบ่าย 2 โมงและใช้เวลาอีกราว 45 นาทีเพื่อกลับไปยังท่าเรือเนื่องจากพอมีเวลาเหลือก่อนที่พระอาทิตย์จะตก ผมจึงเก็บภาพบรรยากาศทั่ว ๆ ไปของที่รีสอร์ท และลองริ้มรสอาหารของที่โรงแรมดูบ้าง ซึ่งเป็นอาหารไทยได้แก่ ปลาแซลมอลผัดเผ็ดสะตอ และเมนู western ที่เป็น pork chopต่อด้วยของหวาน มะม่วงสดกับ tiramisu cake ... ต้องบอกว่านอกจากหน้าตาอาหารจะสวยงามแล้ว รสชาติก็อร่อยมากซะด้วย .. Steak จานเบ้อเริ่มก็เลยเหลือแต่กระดูก อิอิ
มื้อเย็นที่ Beyond Krabi Resort ดูดีมีสกุล อิอิ
ยามเย็นที่บริวเวณเกาะกวางใกล้ๆ กับโรงแรม
เก็บบรรยากาศโรงแรมยามเย็นบ้าง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นผมมีโปรแกรมต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปบันทึกภาพยังสถานที่ท่องเที่ยวลึกลับอีกแห่งของกระบี่ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักนักเป็นบึงน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนของกระบี่ทำให้เป็นจุดถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมากบรรยายสรรพคุณแล้วเกือบลืมบอกชื่อไปเลยครับว่า สถานที่แห่งนี้คือ “หนองทะเล"ซึ่งทางเข้านั้นอยู่เยื้อง ๆ กับเส้นทางที่จะเข้ามายังหาดคลองม่วงนี่เองขับรถไปจากโรงแรมราว 15 นาทีก็ถึงแล้วแต่เนื่องจากยังไม่ได้รับการโปรโมทให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการจึงไม่มีป้ายบอกทางและต้องหาทำเลถ่ายภาพเอาเอง โชคดีที่ผมรู้จักน้องช่างภาพของกระบี่ซึ่งเป็นคนแรก ๆ ที่เผยแพร่ภาพของหนองทะเล ผมจึงไม่พลาดที่จะไปชมความงามและเก็บภาพที่หนองทะเลแห่งนี้
ความงามของ "หนองทะเล" ที่สวยคลาสสิคไม่ต่างจากปางอุ๋งของแม่ฮ่องสอนเลย
ลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของหนองทะเลคือ เพื่อน ๆ มีโอกาส 87.6354% ที่จะได้เจอไอหมอกจาง ๆ ลอยจากผิวน้ำในช่วงเช้าตรู่ เหมือนกับที่ปางอุ๋งไม่มีผิด สรุปง่าย ๆ คือมีโอกาสเจอไอหมอกสูงมาก ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นช่วงฤดูหนาวแถมบางวันอาจได้เจอสายหมอกบนยอดเขาอีกยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ ... ตัวเลขผมมั่วเอาจากที่ถามน้องๆ เจ้าถิ่นนะครับ เพราะเขามาทีไรก็เจอทุกที แต่ผมเผื่อไว้หน่อย กันโดนด่า 555วันนี้ผมมีโปรแกรมไปเที่ยวหาดไร่เลย์ แต่ไปครั้งนี้ผมจะลองปีนเขาที่นี่ดู เพราะไร่เลย์ถือเป็นจุดปีเขาที่ดังที่สุดของไทยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงไม่ค่อยมีคนไทยนิยมทำกิจกรรมนี้มากนักผมก็เลยอาสาไปลองด้วยตัวเองความลับที่ผมจะบอกก็คือผมไม่เคยปีนเขา และออกจะกลัวความสูงนิด ๆ แต่ก็คิดว่าโปรแกรมปีนเขาแค่ 2-3 ชั่วโมงคงให้ปีนเขาแบบง่าย ๆ ไม่สูงมากนัก
ผมลงเรือที่ท่าเรืออ่าวน้ำเมา ซึ่งเป็นท่าเรือที่อยู่ใกล้ไร่เลย์ที่สด
หน้าผา สัญลักษณสำคัญของไร่เลย์
บรรยากาศท่าเรือของไร่เลย์ ซึ่งอยู่คนละด้านกับหาดสวยจะเป็นแนวต้นโกงกาง สวยไปอีกแบบ
หาดทรายด้านหน้า เหมาะสำหรับเล่นน้ำ แต่ฟ้าครึ้มแบบนี้ผมว่าปีนผาน่าจะสนุกกว่า แถมไม่ร้อนด้วย
กิจกรรมปีนเขาของผมไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว แต่ยังมีสาว ๆ ร่วมด้วยอีก 2 คนโดยมีผู้สอนเป็นทีมงานจาก Railay Rock Climbing Shop ... เราเริ่มกิจกรรมด้วยการฝึกผูกเงื่อนสำหรับยึดเรากับอุปกรณ์สำหรับช่วยปีนเขาจากนั้นผมก็ต้องเป็นผู้ช่วยให้ผู้สอนนำเชือกขึ้นไปร้อยไว้ยังจุดที่จะให้เราฝึกปีนโดยต้องเรียนรู้วิธีการให้เชือก, การตรึงเชือกให้ตึง และการค่อย ๆ ปล่อยเชือกเพื่อนำผู้สอนกลับลงมาซึ่งขั้นตอนนี้สำคัญมากเพราะผู้สอนฝากชีวิตไว้กับผมเลยทีเดียว ทำให้ผมแอบกลัวนิด ๆกลัวจะทำเขาตกลงมา แต่ก็ยังไม่เท่ากับเวลาที่ต้องปีนด้วยตัวเองโดยแบบฝึกหัดแรกคือการปีนเขาที่ความสูง 8 เมตร (ประมาณตึก 2 ชั้น)ซึ่งก็สามารถเรียกเหงื่อได้แบบซึม ๆและความเสียวพอประมาณ
ทางเดินไปที่สำหรับฝึกปีนผา
หน้าผาที่เราจะปีนกัน โอ้ววว ไม่นะ ทำไมมันสูงจัง(วะ)
แบบฝึกหัดแรกเริ่มกันที่ 8 เมตร.. ผมเก็บภาพที่สาว 2 คนในกลุ่มที่ไม่เคยปีนเขามาก่อนปีนขึ้นไปจนถึงจุดหมาย เพื่อบอกเพื่อนๆ ว่าถ้าตั้งใจแล้วไม่ต้องมีประสบการณ์ก็ปีนได้ครับ
ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับแต่ทำได้จริงๆ
แต่เมื่อต้องเจอกับแบบฝึกหัดที่ 2 ด้วยความสูง 12 เมตรแถมบางจุดมองแทบไม่เห็นเลยว่าจะเอาเท้าวางตรงไหนก็ทำให้แอบกลัวเหมือนกัน แต่กลัวเสียหน้ามากกว่าเลยดั้นด้นไปจนถึงจุดหมายซึ่งนับว่าคุ้มค่ามาก ๆ เพราะวิวบนนั้นมันสวยจริง ๆ ยิ่งมันเกิดขึ้นได้เพราะเราได้ปีนป่ายขึ้นมาด้วยตัวเองนั้นยิ่งทำให้การบรรลุเป้าหมายครั้งนี้มันเป็นสุดยอดประสบการณ์จริง ๆ ...
เมื่อกี้แค่น้ำจิ้มครับคราวนี้12 เมตรผมเป็นช่างภาพเช่นเคย (ก็ตอนผมปีนเขาไม่ได้ถ่ายให้นี่นา อิอิ)
ตอนที่รู้สึกสนุกสุดก็ตอนโหนตัวลงมาเหมือนในหนังนั่นหละ
เกือบลืมบอกไปว่าการปีนเขาช่วงนี้ดีอย่างที่แดดไม่ร้อนเกินไปทำให้ไม่เพลียและอ่อนล้าจากแสงแดด ขอเพียงมีกำลังขาที่ดีและใจสู้ก็สามารถพิชิตเป้าหมายได้แล้วส่วนราคาสำหรับกิจกรรมปีนผาครึ่งวันก็อยู่ที่ 800 บาทครับ
ขากลับจากไร่เลย์เป็นช่วงเวลาน้ำลงก็เลยมีโอกาสได้เห็นวิธีการรับส่งนักท่องเที่ยวจากเรือมายังรีสอร์ทเห็นแล้วเก๋ดีเลยเก็บภาพมาฝากครับ
ผมว่าบรรยากาศตอนน้ำลงก็สวยไปอีกแบบนะครับ
หรือตอนฝนตั้งเค้าก็ยังถ่ายภาพให้สวยได้ครับ ไม่จำเป็นต้องแดดจัด ฟ้าใสเสมอไป
ออกจากไร่เลย์ผมแวะเข้าเมืองกระบี่ไปหากาแฟกับเค้กอร่อย ๆ ทานที่ร้าน ณ นภาซึ่งนอกจากกาแฟจะอร่อยแล้ว เค้กที่นี่ก็นุ่มหอมอร่อยเพราะใช้เนยสด แต่เท่าที่ทราบมาร้านนี้เปิดเฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์เท่านั้น (เจ้าของโคตรอาร์ตเลย 555) แต่เรื่องวันที่ร้านเปิดนี่ผมถามเมื่อนานมาแล้วนะครับ ไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวนี้ยังเปิดเฉพาะ 3 วันนี้เหมือนเดิมหรือเปล่า ไปรอบนี้ก็ลืมถามซะด้วยส่วนทำเลของร้านก็อยู่ที่ถนนหน้าเมืองใกล้ ๆ กับท่าเรือเจ้าฟ้า
เค้กสุดแสนอร่อย
เย็นวันนั้นก่อนเดินกลับผมทานอาหารเย็นที่ Lae Lay Grill (แลเลกริล) แถวอ่าวนางซึ่งร้านนี้ผมไม่เคยทานมาก่อน เป็นร้านที่ตกแต่งแนว art โดยนำวัสดุเหลือใช้มาประดับผนังสวยทีเดียวส่วนวิวก็งดงามสามารถมองเห็นอ่าวนางและเขาด้านทิศเหนือของกระบี่ได้อย่างชัดเจนเมนูที่นี่ก็แปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนที่อื่น ลองดูครับว่าผมทานอะไรบ้าง
ปูนิ่มคั่วพริกเกลือ
ปูม้าคั่วไข่เค็ม
ซุปเสฉวน (Chef recommend)
เมนูนี้ชื่อ Snow white
ปลาทอดน้ำปลา
รสชาติอาหารที่นี่อร่อยมากครับ ไม่แปลกที่มีนักท่องเที่ยวมาทานเยอะมาก ทั้งชาวไทยและต่างชาติผมก็ยังแปลกใจว่าทำไมผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ... ส่วนราคาก็เหมาะสมครับ ไม่ถูกแต่ก็ไม่แพงเวอร์ถ้าอยากทานอาหารอร่อย บรรยากาศดี วิวสวย ผมว่าร้าน ok เลย
ก็คงต้องส่งท้ายรีวิวด้วยภาพอาหารนี่แหละครับ และก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้ามาติดตามความลับเล็กๆ ซึ่งผมนำมาบอกเล่าอันที่จริงกระบี่นั้นมีที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมายโดยเฉพาะในช่วง กรีนซีซันแบบนี้อาจหนีทะเลไปเที่ยวน้ำตก, คลองสองน้ำ หรือสระมรกตก็ล้วนแล้วแต่สวย ๆ ทั้งนั้นหากมีโอกาสผมจะนำภาพสวยๆ พร้อมข้อมูลที่น่าสนใจมาเล่าเพื่อน ๆ อีกนครั
เพื่อน ๆ ที่ชอบผลงานของผมสามารถติดตามอ่านรีวิวได้ที่ blog 9mot.com ติดตามผลงานถ่ายภาพได้ที่ facebook 9MOT-Photography และ follow Istagram ของผมได้ที่ @9mot
สุดท้ายต้องขอขอบคุณ ททท. กระบี่ที่อำนวยความสะดวกให้ผมได้พบกับสุดยอดประสบการณ์ดีๆ ของกระบี่ในครั้งนี้ครับ
นายมด
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.38 น.